หลังจบอาหารมื้อสายเจ้าของห้องก็แยกตัวไปอาบน้ำ พอเดินเช็ดผมออกมาก็เห็นร่างบางนั่งเหม่ออยู่บนโซฟา เขาจึงเข้าไปโน้มตัวกอดเธอจากทางด้านหลัง เกยคางไว้กับไหล่เล็ก
“เป็นอะไรไป”
หญิงสาวส่ายหน้าแทนคำตอบ ปล่อยให้คนตัวโตกดจูบตามซอกคอเล็กไล่ไปถึงไหล่ลาด
“บอกพี่มาสิ เรื่องไอ้หมอนั่นใช่ไหม”
“คือ...”
พริมาไม่ค่อยอยากพูดถึงเรื่องนี้เท่าไรนัก แต่ในเมื่อเธอเป็นคนลากเขาเข้ามาก็ควรจะอธิบายให้ฟังสักหน่อย
“เมื่อคืนนี้...คุณพอใจไหมคะ” เอาเข้าจริงก็ยังไม่กล้าพูดอยู่ดี เลยเลี่ยงไปเรื่องอื่นก่อน
ดวงตาคมพราวระยับขึ้นมาทันใด รีบก้าวข้ามพนักโซฟาไปนั่งเบียดกับคนตัวเล็ก
“ต้องตอบแบบไหนถึงจะได้ทำอีก”
“คุณ!”
“โอเค ๆ จริงจังแล้วก็ได้” เขาจับกำปั้นเล็กขึ้นมาจูบ “พี่ไม่สนหรอกว่าพราวจะเก่งเรื่องบนเตียงไหม เพราะเราเรียนรู้ไปด้วยกันได้ ขอเพียงแค่พราวเรียนกับพี่แค่คนเดียว”
“พราวก็ไม่เคยคิดอยากเรียนกับครูหลาย ๆ คนพร้อมกัน แต่เขา...”
“หมอนั่นพูดว่าอะไรบ้างเหรอ”
เสียงทุ้มเอ่ยถามนิ่ง ๆ พลางเกลี่ยนิ้วโป้งบนหลังมือนุ่ม
“ลองเล่ามาสิ พี่จะได้บอกมุมมองของผู้ชายคนอื่นให้ไง พราวจะได้รู้ว่าตัวเองไม่ดีจริง ๆ หรือหมอนั่นแค่เป็นคนเฮงซวยเฉย ๆ”
ได้ยินดังนั้นพริมาก็เผลอหัวเราะชอบใจ ทำคนมองคลี่ยิ้มตาม มือก็ยกสองขาเรียวขึ้นมาพาดบนตักแล้วนวดวนเบา ๆ
“ว่าไงครับ พี่รอฟังอยู่นะ”
“พี่เปลวบอกว่าที่เขาไปมีคนอื่นก็เพราะพราวทำเรื่องอย่างว่าไม่เก่ง ไม่ร้อนแรงถึงใจ...นี่คุณยังฟังอยู่หรือเปล่าคะ”
“หืม โทษที พี่เลิกฟังตั้งแต่เราพูดชื่อหมอนั่นแล้ว”
หญิงสาวถึงกับทำหน้าไม่ถูก เขาเป็นคนบอกให้เธอเล่าเองแท้ ๆ
“ช่างเถอะค่ะ พราวไม่อยากรู้แล้ว”
“แต่พี่อยากบอก”
มือหนาเลื่อนเข้าใต้ชุดคลุมอาบน้ำ ไล่ไปตามท่อนขานวลเนียน
“ช่างหัวหมอนั่นเถอะ ตอนนี้เราสนใจแค่กันและกันก็พอ พราวเห็นด้วยไหม”
เขาจับข้อเท้าเล็กข้างหนึ่งยกขึ้นสูง แล้วไล่กดจูบตั้งแต่ปลายเท้ายันหัวเข่ามน แต่พอเห็นใบหน้าอีกคนก็เอ่ยถามต่อ
“ทำไมยังขมวดคิ้วอยู่ มีเรื่องอื่นให้คิดอีกเหรอ”
“ค่ะ” พริมาพยายามดึงชายเสื้อคลุมลงแต่ก็ไร้ประโยชน์ “พราวกำลังชั่งใจว่าจะลาออกดีไหม”
“จะลาออกทำไม”
“ก็พราว...”
“ไม่อยากเห็นภาพบาดตาเหรอ”
“เปล่าค่ะ พราวแค่ไม่ชอบเวลาที่มีคนมองแล้วกระซิบนินทาเรื่องส่วนตัว”
“ไม่ต้องสนใจหรอก เดี๋ยวคนอื่นก็ลืมกันไปเอง พราวไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ไม่ต้องหนีไปไหนทั้งนั้น”
“นั่นสิคะ” คนตัวเล็กตอบอย่างขอไปที เพราะสติสตังชักจะเตลิดไปกับปลายนิ้วยาวแล้ว “คุณ...อื้อ”
“ลืมชื่อพี่แล้วเหรอ”
“อะไรนะคะ”
“พี่ชื่อภูดิศ ไหนเรียกพี่ภูให้ฟังอีกสิ”
พริมาจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้า สายตามีคำถามเต็มไปหมด แต่อีกฝ่ายเอาแต่ไซ้เธอไม่หยุดหย่อน ไม่เปิดโอกาสให้ซักเลย
“เร็วสิ ไหนพี่ภูขาล่ะ”
“อ้ะ พี่ภู อือ ตรงนั้นค่ะ”
“ครับ” ภูดิศยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะจัดการลากคนตัวเล็กเข้าสู่วังวนแห่งแรงปรารถนาอีกรอบ
เขามีเวลาอีกเพียงหนึ่งคืนเพื่อล่อลวงสาวน้อยให้ติดบ่วงเสน่หาจนถอนตัวไม่ขึ้น ดังนั้นจะมามัวชักช้าไม่ได้
แต่ดูจากความเห็นแก่ตัวของแฟนเก่านั่น ไม่แน่ว่าเขาอาจจับเจ้านกน้อยตัวนี้ไว้ในอุ้งมือได้แล้ว เหลือเพียงตะล่อมจนเธอยอมอนุญาตให้เขาเข้าไปอยู่ในกรงด้วยกัน
สรุปได้ว่าเขาไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้ให้สูญเปล่าเป็นแน่ ต้องตอกย้ำจนคนตัวเล็กจำขึ้นใจ
“ภู ไอ้ภูเว้ย เปิดประตูสิวะ กูเคาะมาชาติกว่าแล้วนะ”
“ใครวะ” ร่างสูงลุกขึ้นนั่งบนเตียงพลางขยี้หัวอย่างหงุดหงิด พอนึกขึ้นได้ก็ควานหาความนุ่มนิ่มที่กอดรัดไว้ทั้งคืนไปด้วย
“หายไปไหนแล้วเนี่ย”
“ไอ้ภู กูจะกลับกรุงเทพฯ แล้ว ตกลงมึงจะไปทำงานให้กูไหม”
ภูดิศลุกขึ้นหยิบเสื้อคลุมมาสวมแล้วเดินไปกระชากประตูเปิด
“เป็นมึงจริง ๆ ด้วย กูก็ว่าไอ้คลื่นมันไม่ได้ขี้โวยวายแบบนี้”
คนนอกห้องเป็นชายหนุ่มร่างผอมท่าทางดุ ๆ ดวงตาเรียวเฉียงขึ้นเล็กน้อย กำลังยืนตีหน้ายักษ์ใส่เขาอยู่
“เอาลูกน้องกูมานอนกกตั้งหลายคืนขนาดนี้ มึงไม่คิดจะทำงานชดใช้ให้หน่อยหรือไง”
อธิปเดินบ่นตามเจ้าของห้องเข้ามาอย่างถือวิสาสะ
“พูดอย่างกับมึงเป็นพ่อเล้าที่ส่งเด็กมาบริการกู” ภูดิศยกขวดน้ำขึ้นดื่มจนหมดแล้วถามต่อ “พราวล่ะ”
“ขึ้นรถกลับไปพร้อมเพื่อนแล้ว” พอเห็นสีหน้าอีกฝ่ายอธิปก็แค่นเสียงใส่ “เหอะ มึงไม่ต้องห่วง อิงฤดีไม่ยอมให้เปลวเข้าใกล้พราวอีกแน่”
“ให้มันจริงเถอะ”
“แต่ถ้ากูสั่ง...”
“เออ ๆ กูจะไปทำงานกับมึง พอใจหรือยัง”
“ก็นิดนึง” อธิปพยักหน้ารับนิ่ง ๆ แต่ก็เก็บความอยากรู้อยากเห็นไว้ไม่อยู่แล้ว
“ว่าแต่ทำไมมึงถึงถูกใจน้องแว่นแผนกบัญชีคนนั้นวะ ปกติกูเห็นมึงควงแต่สาวสวยเปรี้ยวจี้ดทั้งนั้น”
“กูไม่ได้ชอบแบบนั้น แค่อะไรง่ายก็คว้าไว้ก่อน”
ที่จริงเขาไม่คิดว่าจะได้กลับมาอีก ก่อนหน้านี้เลยรักสนุกไปหน่อย
“มึงหมายถึงใครวะ น้องพราวหรือสาวแซบ”
“ไม่บอก”
“เอ้า ไอ้เวรนี่ มาพูดให้อยากรู้แล้วก็เล่นแง่ใส่กูอีก”
“ไหนมึงว่าจะกลับกรุงเทพฯ ไม่ใช่เหรอ รีบกลับไปสิ”
“เปลี่ยนเรื่องเชียวนะมึง” อธิปเบะปากใส่อย่างหมันไส้ “จะกลับพร้อมกันไหม”
“กูต้องอยู่คุยกับไอ้คลื่นอีกหน่อย ไอ้ลูซมันไม่อยากให้รตามาที่นี่จริง ๆ”
“เป็นกูก็ไม่อยากพาเมียที่กำลังท้องเดินทางไกล ๆ หรอก”
ทั้งคู่พยักหน้าให้กันอย่างเข้าใจ ภูดิศเปิดน้ำขวดใหม่มาดื่มแล้วพูดต่อ
“ไปเถอะ เสร็จงานทางนี้แล้วกูจะไปหามึงเอง”
“เออ ไว ๆ หน่อยแล้วกัน เกิดน้องน้อยของมึงถูกขโมยไปก่อนจะมาโทษกูไม่ได้นะ”
“ไอ้เวร ไอ้ปากเสีย”
ภูดิศจะลุกขึ้นไล่เตะเพื่อน ยังดีที่รู้สึกว่าข้างล่างมันโล่ง ๆ เลยหยุด ไม่อย่างนั้นคงได้ออกมาห้อยต่องแต่งอวดความใหญ่โตกันแน่
ฝ่ายอธิปเดินหัวเราะออกจากห้องไป แค่ได้คำสัญญาจากปากเพื่อนก็พอใจแล้ว
เช้าวันจันทร์พริมาก็ไปทำงานตามปกติ สีหน้าท่าทางสดชื่นแจ่มใสดี จนอิงฤดีที่ยืนรออยู่หน้าบริษัทเบาใจไปเปลาะหนึ่ง
สองสาวคล้องแขนกันเดินตรงไปที่อาคารคู่ทรงกลมสูงสามชั้น ตัวตึกรูปทรงเก๋ไก๋สมกับเป็นบริษัทรับทำโฆษณาชื่อดัง
ทั้งคู่กระซิบกระซาบคุยกันเรื่องวันหยุดที่ผ่านมาอย่างสนุกสนาน ทำเอาคนที่ยืนรออยู่หัวเสียไม่น้อย
ตั้งแต่พริมาออกไปจากงานเลี้ยงพร้อมกับไอ้คนแปลกหน้านั่น เขาก็ยังไม่ได้เจอหน้าอีกเลย จึงยังไม่มีโอกาสได้ปรับความเข้าใจกัน
“พราว พี่ขอคุยด้วยหน่อย”
“พี่เปลว” รอยยิ้มบนใบหน้าหวานหุบลงทันใด “พราวไม่มีอะไรจะคุยด้วยค่ะ”
พริมารีบเดินเลี่ยงไปอีกทาง แต่อัคคีก็คว้าจับแขนเล็กไว้
“พราวฟังพี่ก่อน เรื่องวันนั้น...”
“ยังมีอะไรต้องพูดกันอีกเหรอคะ พราวมันได้ยินกับหูเห็นกับตาขนาดนั้น”
อิงฤดีขยับเข้าไปยืนบังหน้าเพื่อนสนิทเอาไว้ เลยถูกอัคคีชักสีหน้าใส่ทันที
“นี่มันเรื่องของผัวเมีย คนนอกไม่เกี่ยว”
“เลิกกันแล้วจะผัวเมียอะไรอีก ใช่ไหมพราว”
อิงฤดีหันไปถามเพื่อน พริมาพยักหน้ารับแล้วตัดสินใจพูดกับชายหนุ่มตรง ๆ
“เราจบกันแค่นี้เถอะค่ะ พราวจะไม่โกรธที่พี่เปลวนอกใจอีก แต่...”
“ถ้างั้นเรากลับมาคบกันเถอะนะ แม่พี่จะกลับมาแล้ว แถมบอกให้ชวนพราวไปกินข้าวที่บ้านด้วย ท่านคิดถึง”
อัคคีจับมือเล็กมากุมไว้แน่น ใช้สายตาเศร้าสร้อยมองอ้อนแฟนสาว ท่าทางเหมือนลูกสุนัขโดนทิ้งก็ไม่ปาน
ตอนนี้คงต้องยอมให้ไปก่อน ขอแค่ง้อได้สำเร็จก็พอ อย่างไรก็คบกันมาตั้งหลายปี เธอไม่มีทางตัดรักแรกได้ง่าย ๆ แน่
“พี่ก็บอกท่านไปสิคะว่าเราเลิกกันแล้ว หรือจะพาคนใหม่ไปแนะนำด้วยเลยก็ดีนะคะ”
“ไม่นะพราว”
“ปล่อยค่ะ ใกล้ได้เวลาเข้างานแล้ว พราวขอตัวก่อน”
หญิงสาวแกะแขนตัวเองออกแล้วจูงมือเพื่อนเดินหนีเข้าตึกสำนักงาน อัคคีกำลังจะตามไปง้อต่อแต่ปภาดาเข้ามาเกาะแขนไว้
“ใกล้ได้เวลาประชุมเรื่องโปรเจคใหม่แล้วนะเปลว เราไปเช็กงานกันก่อนดีกว่า”
แม้จะไม่พอใจนักแต่ก็ขัดเหตุผลที่อีกฝ่ายยกขึ้นมาไม่ได้ อัคคีเลยยอมปล่อยให้สาวรุ่นพี่พาเดินเลี้ยวไปทางอาคารสร้างสรรค์ ที่ทำงานของฝ่ายผลิตโฆษณา
ปภาดาดูออกว่าชายหนุ่มหัวเสียเพียงใด เธอเลยพยายามพูดเอาใจไปเรื่อย อดทนกับความเย็นชาที่สาดมาเป็นระลอกได้ดี
อุตส่าห์จับแยกกับยายจืดนั่นได้แล้ว เหลือเพียงแค่ทำให้เขาหลงจนโงหัวไม่ขึ้นเท่านั้น เพียงเท่านี้อัคคีก็จะอยู่ข้างกายเธอตลอดไป
ภูดิศใจร้อนมาก พอเข้าเช้าวันจันทร์ก็พาแฟนสาวไปจดทะเบียนสมรส เปลี่ยนสถานะเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายให้เรียบร้อยแต่คาดไม่ถึงว่าจะได้เจอนิธินันท์กับอิงฤดีที่นั่นด้วย ในมือถือเอกสารไว้ไม่ต่างกันเลย“อ้าว”“อุ้ย คือ...คุณภูขอให้เรามาเป็นพยาน...”“ไม่ต้องหาเรื่องแก้ตัวเลยย่ะ เปิดตัวได้สักทีนะเรา”พริมากอดแขนเพื่อนสนิทพากันเดินเข้าไปในสำนักงานเขต ทิ้งให้สองหนุ่มยืนมองคุมเชิงกันไปมาแม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่ทั้งคู่รับรู้ตรงกันว่าการแข่งขันได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้วเย็นนี้ต้องรีบกลับไปผลิตทายาททันทีต่างคนต่างเซ็นเป็นพยานให้อีกคู่หนึ่ง เพียงไม่นานธุระก็เสร็จเรียบร้อย พอดีกับที่อธิปโทรตามให้รีบเข้าบริษัท“ไปไหนกันมา ทำไมที่แผนกบัญชีมีใครสักคน”บอสหนุ่มยืนกอดอกจ้องมองคนทั้งสี่ที่ดูมีพิรุธชอบกล“กูพาเมียไปจดทะเบียนสมรสมา”ภูดิศกอดคอพริมา ทำท่าทางอวดว่านี่คือภรรยาของตน อธิปเบะปากใส่เพื่อนก่อนหันไปหาหัวหน้าแผนกบัญชี“คู่นี้ก็เลยไปจดบ้างว่างั้น”“เปล่านะคะ ๆ” อิงฤดีรีบปฏิเสธพัลวัน“เราตั้งใจไปจดของเรากันเองครับ ไม่ได้แข่งกับใครจริง ๆ”นิธินันท์เอ่ยตอบแทน แต่นั่นกลับทำให้สีหน้าบอสหนุ่มยิ่งเคร่งข
พอปรับความเข้าใจกับแฟนสาวเรียบร้อย ภูดิศก็ขึ้นไปคุยกับน้องสาวบ้าง แต่กลับเจออธิปอยู่ในห้องทำงานเพียงลำพัง“อ้าว เดมี่ล่ะ”“กูสั่งให้ลงไปช่วยเก็บกวาดที่ห้องบัญชี”“เออ ให้แก้ไขปัญหาด้วยตัวเองก็ดี จะได้รู้ว่าไม่ควรทำ”“มึงไม่กลัวเธอลงไปทะเลาะกับพราวเหรอ”“ไม่หรอก กูคุยกับพราวเข้าใจแล้ว” ภูดิศทิ้งตัวลงนั่งไขว่ห้างที่โซฟา “กูห่วงเดมี่มากกว่า สงสัยจะทะเลาะกับแม่มาอีกแล้ว คงต้องให้หลบอยู่ที่ไทยสักระยะ”อธิปพับกระดาษใบหนึ่งเก็บใส่ลิ้นชักชั้นบนสุด ตาแอบมองเพื่อนสนิทที่นั่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวด“กูจะให้น้องมึงมาเป็นผู้ช่วย”“จริงเหรอ ถ้าได้อย่างนั้นก็ดีสิ”“มึงจะไม่ถามเหรอว่ากูทำไปทำไม”“ไม่ล่ะ ถ้ามึงยอมช่วยเดมี่กูก็พอใจแล้ว”“แต่งานผู้ช่วยของกูมันหนักนะเว้ย เลิกงานก็ไม่เป็นเวลา ต้องตามกูไปทุกที่ ขนาดผู้ชายยังลาออกกันไปหมด”“ก็ลองให้เธอทำดูก่อน ถ้าไม่ไหวค่อยเลิก มึงโอเคไหมล่ะ”“ถ้างั้นก็ตกลงตามนี้”“เออ ขอบใจมึงมาก”สีหน้าภูดิศสบายใจขึ้นเยอะ เพราะตอนอยู่ต่างประเทศก็มีอธิปนี่แหละที่เดมี่ดูจะเกรงใจบ้าง คงพอช่วยอบรมสั่งสอนได้อยู่“ถ้าเดมี่ทำตัวงอแงมึงก็ลงโทษได้เลยนะ”“มึงพูดเองนะ”อธิปถามย้ำ ภูดิศจึ
“ว่าไงนะ”“คุณภูพูดขอยายพราวแต่งงานแล้ว อิงก็เลยคิดว่าในเมื่อคู่ที่เพิ่งคบกันแค่เดือนกว่ายังคิดไปถึงขั้นนั้นได้ แล้วทำไมพวกเราถึงจะก้าวไปอีกขั้นไม่ได้”นิธินันท์รีบตบไฟเลี้ยวเข้าจอดข้างทาง ปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วเอี้ยวตัวไปกอดแฟนสาวไว้แน่น“ขอบคุณครับที่คิดฝากชีวิตไว้กับพี่ พี่สัญญาว่าจะดูแลเราให้ดีที่สุด”“อิงต่างหากที่ต้องขอบคุณ นอกจากพี่นันท์แล้วคงไม่มีใครทนกินไข่เจียวกรอบในไหม้นอกของอิงหรอกค่ะ”“พูดถึงเรื่องนี้...พราวยังเปิดคอร์สสอนเราทำกับข้าวอยู่ไหม”“พี่นันท์!”“ตัวพี่น่ะไม่เท่าไหร่หรอก สงสารก็แต่ลูก”“นี่คิดไปถึงไหนแล้วคะ”“ถึงตอนทำลูกไงครับ”“คนหื่น!”ร่างบางเอ็ดเข้าให้อีกรอบ แต่คนตัวโตก็หาได้เกรงกลัว กดจูบกดหอมจนน้ำลายเปียกหน้าแฟนสาวไปหมด“ถ้าอิงอยากจัดงานแต่งแบบไหนก็บอกได้เลยนะ พี่อาจทำได้ไม่หรูหราอะไรนัก แต่พี่ก็ตั้งใจว่าจะไม่ทำให้เราต้องอายใคร”“ไม่ต้องหรอกค่ะ เราจดทะเบียนกันเฉย ๆ ก็ได้ เก็บเงินค่าจัดงานไว้เลี้ยงลูกดีกว่า”“ไปถามพ่อแม่ก่อนไหม พี่อยากให้เกียรติเราเต็มที่ เพราะชาตินี้พี่จะแต่งงานแค่ครั้งเดียว”“อิงเคยถามแล้ว พ่อกับแม่บอกว่าให้พี่ไปผูกข้อมือที่บ้านก็พอ ไม่ต้องใ
คนป่วยรู้สึกตัวตื่นตอนเช้ามืดวันถัดมา ความรู้สึกแรกคือคันปากยิบ ๆ และหายใจไม่สะดวกเท่าไรนัก แต่ก็ยังดีกว่าตอนก่อนจะหมดสติไปภูดิศกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เห็นเสาน้ำเกลือก็แน่ใจแล้วว่าตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาล ดังนั้นเงาตะคุ่ม ๆ ที่ฟุบอยู่ข้างเตียงก็ต้องเป็นสุดที่รักของเขาแน่นอนไม่รู้ว่าพริมาได้หลับไปตอนกี่โมง ภูดิศจึงปล่อยให้เธอนอนพักผ่อนไปดวงตาคมจ้องมองคนหลับสนิทไม่วางตา เจ้าของดวงหน้าหวานที่เขาแอบชอบมาตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อหนุ่ม ต่อให้ย้ายไปอยู่ต่างประเทศมาหลายปีก็ยังไม่ลืม เพราะไม่มีใครทำให้ใจเขาเต้นแรงได้เท่าเด็กแว่นข้างบ้านคนนี้อีกแล้วนึกไปก็น่าขำ ที่เขาฝึกเล่นกีต้าร์ก็เพื่อเรียกร้องความสนใจจากน้องน้อย แต่ดันได้ความรำคาญมาเสียอย่างนั้นยังดีที่อย่างน้อยมันก็ทำให้เธอจดจำเขาได้เช่นกันตอนนั้นเองอีกคนก็รู้สึกตัวตื่น พอเห็นว่าเขานอนลืมตาอยู่ก็รีบควานหาแว่นมาสวมก่อนลุกขึ้นยื่นหน้าเข้าไปดูใกล้ ๆ“พี่ภูฟื้นแล้ว ดีจังค่ะ”“เด็กขี้แย พี่ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” ภูดิศยกมือจะช่วยเช็ดน้ำตาให้คนรัก แต่เธอกลับจับมือเขาไปกุมไว้“พี่ทำให้พราวตกใจมากเลย ทำไมถึงดื่มแอลกอฮอล์ล่ะคะ”“มีคนสลับแก้วของพี่น่ะ ไ
“แกทำอะไรผัวฉัน”พอได้ยินแบบนั้นอธิปถึงเข้าไปดูสภาพเพื่อนให้ดี ๆ ก่อนจะรีบโทรตามรถพยาบาลโดยด่วนให้ตายสิ ลืมเช็กเรื่องนี้ไปได้อย่างไร นี่ถ้าไอ้ภูเป็นอะไรขึ้นมาชาตินี้เขาคงไม่มีทางให้อภัยตัวเองเป็นแน่ส่วนปภาดาที่ถูกตบถึงกับนิ่งอึ้งไปนาน เพราะคราวก่อนไม่เห็นว่ายายเด็กนี่จะทำอะไรเลย ขนาดนั่นเป็นผู้ชายที่คบกันมาตั้งหลายปี เธอจึงคิดว่ากับคนที่เพิ่งคบกันไม่กี่เดือนคงไม่หวงถึงขั้นลงไม้ลงมืออย่างนี้อัคคีเองก็ตกใจไม่แพ้กัน พอเห็นสายตาของเพื่อนร่วมงานก็ยิ่งหงุดหงิด ทำไมต้องมองเหมือนเขาเป็นคนถูกทิ้งด้วยระหว่างที่ยังไม่มีใครตั้งสติได้ พริมาก็ตบคู่กรณีเข้าอีกฉาด คราวนี้ปภาดารู้สึกตัวแล้ว“นังนี่ ผัวแกเมาแล้วข่มขืนฉันนะ”“ยังจะพูดพล่อย ๆ เอาอีกสักฉาดไหม”พริมาง้างมือจะตบอีกรอบจริง ๆ แต่อธิปเข้ามาห้ามไว้“พอแล้วพราว มาดูไอ้ภูก่อนดีกว่า”“รถฉุกเฉินยังมาไม่ถึงอีกเหรอคะ”พอเธอถามแบบนั้นอธิปจึงแยกไปดูให้ ส่วนร่างบางย่อตัวลงข้างชายหนุ่มที่นอนหมดสติอยู่บนโซฟา มือก็ช่วยจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยขึ้นหน่อย“เดี๋ยวสิยะ แกต้องเคลียร์กับฉันก่อน จะเอาตัวคุณภูไปทั้งแบบนี้ไม่ได้”ปภาดากระชากไหล่คนตัวเล็กอย่างแรงให
เวลาที่ปิดโปรเจคอะไรได้ ทีมงานมักรวมตัวไปสังสรรค์กันที่ร้านอาหารกึ่งผับแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริษัทมากนักภูดิศในฐานะคนคุมโปรเจคย่อมปฏิเสธไม่ได้ อีกอย่างอธิปก็บอกว่าอยากให้มารู้จักกับเจ้าของร้านเอาไว้ด้วย เผื่อพาลูกค้ามาคุยงานที่นี่จะได้สะดวกหน่อย“นี่คุณวีรกร ส่วนนี้ไอ้ภูดิศ เพื่อนสนิทผมเองครับ”“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมได้ยินคุณเอสพูดถึงคุณอยู่บ่อย ๆ”วีรกรจับมือกับชายหนุ่ม อีกฝ่ายก็ส่งยิ้มกลับไป“ยินดีเช่นกันครับ”“เชิญตามสบายนะครับ อยากได้อะไรก็บอกเด็ก ๆ ได้เลย”“ขอเป็นม็อกเทลให้เพื่อนผมนะครับ”อธิปกำชับเจ้าของร้าน ก่อนที่จะเดินไปร่วมวงกับคนอื่น ๆ ที่เปิดโต๊ะรออยู่ก่อนแล้ว เขาไม่ใช่คนเรื่องมากอะไร ยิ่งงานเลี้ยงอย่างนี้ก็ยิ่งปล่อยตามสบายภูดิศนั่งลงบนเก้าอี้ถัดจากเพื่อนสนิทได้ไม่นาน ก็มีคนมานั่งตรงเก้าอี้ข้าง ๆ“คุณภูอยากดื่มอะไรไหมคะ เดี๋ยวดาชงให้”ปภาดาขยับเก้าอี้เข้าใกล้ร่างสูงมากขึ้น เอียงหน้าเข้าไปพูดคุยราวกับกลัวอีกฝ่ายไม่ได้ยิน ทั้งที่ดนตรีเพิ่งเริ่มเล่นคลอเบา ๆ เท่านั้น ท่าทางไม่ได้เกรงใจอัคคีที่นั่งอยู่ไม่ไกลเลย“ผมไม่ดื่ม”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบพร้อมขยับเก้าอี้ออกห่าง