“คุณพราวทำสรุปค่าใช้จ่ายทริปนี้ด้วยนะครับ”
“ได้ค่ะหัวหน้า”
พริมารับกองใบเสร็จมาจากนิธินันท์ จัดแบ่งให้เป็นระเบียบว่าใบไหนเป็นค่าใช้จ่ายประเภทอะไร สามารถบันทึกลงบัญชีบริษัทได้โดยตรงหรือต้องรวมไว้เป็นค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
แต่แบ่งไปครึ่งกองก็รู้สึกได้ว่าหัวหน้ายังยืนอยู่ที่เดิม
“มีอะไรอีกหรือเปล่าคะ”
“หือ อ๋อ ผมจะบอกว่าบิลยังมาไม่ครบนะ”
“ค่ะ”
พริมาตอบกลับงง ๆ เพราะนั่นมันเรื่องปกติที่ไม่จำเป็นต้องบอกก็ได้ แต่เธอก็ไม่ได้เอะใจอะไร ก้มหน้าทำงานไปตามเดิม
ต่างจากอีกคนที่แอบมองค้อนส่งให้ร่างสูง ทำมือทำไม้ไล่ให้เขาเข้าห้องทำงานส่วนตัวไปได้แล้ว
นิธินันท์เดินแยกไปพลางยกยิ้มมุมปาก ชอบใจที่ได้แกล้งแฟนสาว แต่ยังไม่ทันถึงหน้าประตูห้องก็ถูกลูกน้องอีกคนดักไว้
“คุณนันท์หายไปไหนมาคะ วันนั้นชมรออยู่ที่ใต้ต้นมะพร้าวตั้งนาน มีฝรั่งตัวโตมาชวนชมคุยตั้งหลายรอบ น่ากลัวมากเลย ทำไมคุณไม่ไปตามนัดล่ะคะ”
ชมพูนุชรองหัวหน้าแผนกบัญชีเอ่ยอย่างออดอ้อน พยายามจะเข้าไปคล้องแขนอีกฝ่ายให้ได้ แต่เขาก็หลบหลีกเก่งเหลือเกิน
“ผมไม่เคยบอกสักหน่อยว่าจะไป”
“แต่คุณนันท์...”
“ปล่อยมือครับ ผมไม่ชอบให้ใครถูกตัว”
ชมพูนุชเห็นสายตาชายหนุ่มแล้วก็ต้องรีบปล่อย รอจนเขาเข้าห้องทำงานแล้วค่อยหันไประบายอารมณ์กับสองสาว
“มองอะไรกันยะ ไม่เคยเห็นผัวเมียทะเลาะกันหรือไง”
อิงฤดีหลุดขำพรืด ส่วนพริมากระพริบตาปริบ ๆ เพราะดูอย่างไรนิธินันท์ก็ไม่น่าจะยอมเป็นสามีของชมพูนุช แต่ถ้าพูดไปก็มีแต่เรื่อง เลยเลือกที่จะเงียบไว้ดีกว่า
“ขำอะไรยะยายอิง แก่นกะโหลกอย่างเธอน่ะใครจะไปเอา ส่วนพราวก็หัวอ่อนเหลือเกิน โดนแฟนสวมเขามาตั้งนานแล้วยังไม่รู้ตัวอีก”
ชมพูนุชทิ้งตัวลงนั่งประจำที่อย่างหงุดหงิด พอเห็นความสงบสุขของคนอื่นก็ยิ่งพาลพาโล
“แต่นั่งยิ้มหน้าระรื่นแบบนั้นคงยอมกลับไปคบกันอีกล่ะสิ เปลวมันลีลาดีจนตัดใจไม่ลงหรือไง ทำไมต้องทำตัวไร้ค่าให้ผู้ชายดูถูกด้วย”
“เอ้ะพี่ชม พอหัวหน้าไม่สนใจก็พูดจาไม่น่าฟังเลยนะ แค่นี้ยายพราวก็เสียใจมากพออยู่แล้ว”
อิงฤดีแหวใส่เข้าให้ พริมารีบดึงแขนเพื่อนเอาไว้
“ไม่เอาน่าอิง เดี๋ยวถูกหัวหน้าดุเอานะ”
“ก็...เชอะ” อิงฤดีสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง เพราะคนที่ว่าโผล่หัวออกมาดูจริง ๆ
นิธินันท์ส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะปิดประตูไป
“เดี๋ยวนี้ปากดีเหลือเกินนะ สักวันฉันจะสั่งสอนให้งาม ๆ เลย”
ชมพูนุชคาดโทษรุ่นน้องอีกประโยค แล้วหยิบเครื่องสำอางขึ้นมาเติมหน้าต่อ
เย็นนั้นสองสาวแวะกินชาบูร้านดังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแยกย้ายกันกลับไป เพราะนิธินันท์โทรตามยิก ๆ จนอิงฤดีหงุดหงิด ดูท่าต้องคุยกันยาว ๆ สักหน่อยแล้ว
ฝ่ายพริมาลงจากรถประจำทางแล้วเดินเข้าซอยสิบสี่ตามปกติ สีหน้าท่าทางอารมณ์ดีไม่น้อย ดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งเลิกกับแฟนสักนิด
ตอนแรกก็ว่าจะเจ็บอยู่หรอก แต่พอได้คนมาดามใจแบบมาราธอนติดกันสองคืนรวด เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นก็กลายเป็นแค่อดีตที่ผ่านไปแล้วอย่างรวดเร็ว
นี่เธอต้องขอบคุณเขาสินะ
“พี่ภู”
เสียงหวานเอ่ยเรียกคนในความทรงจำ สองแก้มพลันร้อนผ่าวขึ้นมาทันใด
ไม่ได้มีแค่ความเจ็บปวดที่หายไป แต่ดูเหมือนเธอจะจำได้เพียงบทรักของคนชั่วคราวแล้วด้วย
ถ้าได้เข้าเรียนอีกสักคาบ...
ร่างบางรีบสั่นศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่าน
ช่วงเวลาระหว่างเขากับเธอมันจบลงแล้ว คนหล่อเหลาอย่างนั้นย่อมมีสาว ๆ ผ่านเข้ามาให้เลือกมากมาย ไม่มีทางมาหยุดที่ยายจืดเป็นแน่ เต็มที่ก็คงจำได้เธอได้อยู่บ้าง
แต่นั่นมันรถใครกัน ทำไมถึงมาจอดอยู่หน้ารั้วบ้านเรา
พริมาเดินวนสำรวจไปรอบ ๆ รถเอสยูวีสีดำ
อย่างน้อยก็แน่ใจได้ว่าไม่ใช่รถของแฟนเก่าแน่ เพราะอัคคีชอบขับแต่รถสปอร์ทคันหรู เน้นโก้แต่ไม่เน้นใช้งานเช่นนี้
พอได้ยินเสียงพูดคุยดังมาจากบ้านข้าง ๆ เธอก็เลิกสนใจ คิดว่าคงเป็นรถของลูกหลานที่มาเยี่ยมคุณยายเหมือนทุกครั้ง
พริมาเดินกลับมาไขกุญแจประตูรั้วบานเล็กเตรียมเข้าบ้าน ในใจวางแผนว่าจะอ่านหนังสือพร้อมกับแช่เท้าในน้ำอุ่นสักหน่อย คืนนี้จะได้นอนหลับสบาย
“สวัสดีครับคนข้างบ้าน”
เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นจากทางด้านหลัง ร่างบางรีบหันกลับไปมอง ดวงตากลมโตหลังยิ่งแว่นเบิกกว้างกว่าเดิม
“คุณ! คุณ ๆ”
“หืม” ร่างสูงหรี่ตามองนิ้วเล็กที่ชี้หน้าอยู่ “ใครคุณ”
“เอ่อ พี่ภูมาได้ยังไงคะ”
“สะกดรอยตามเรามามั้ง” ภูดิศดันคนตัวเล็กให้เข้าไปในรั้วบ้าน ก่อนที่เธอจะตั้งสติได้แล้วไม่ยอมให้เขาเข้ามา
“เดี๋ยวค่ะ ๆ พี่ภูมาทำอะไรที่นี่คะ”
“ค้างกับเมียไงครับ”
“งั้นก็เอารถเข้าบ้านก่อน”
คนตัวโตเลิกคิ้วสูง พริมารีบหาข้อแก้ตัวแทบไม่ทัน
“คือซอยหน้าบ้านมันค่อนข้างแคบไงคะ ถ้ามีรถคันอื่นมาเฉี่ยวเข้าคงไม่ดี”
“อย่างนี้นี่เอง”
ภูดิศยกยิ้มชอบใจพลางเดินไปเปิดประตูรั้วบานใหญ่เพื่อเอารถเข้า ปล่อยให้คนขี้อายยืนเขินไป
พริมาเห็นชายหนุ่มถอยรถเข้ามาในรั้วอย่างชำนาญก็อดหมันไส้ไม่ได้ นี่คงเคยถอยเข้าบ้านสาวบ่อยแล้วสินะ
พอคนตัวโตปิดประตูรั้วเรียบร้อยก็ไม่เห็นเจ้าของบ้านแล้ว เขาจึงรีบเดินตามเข้าไปด้านใน อย่างไรคืนนี้ก็ไม่ยอมนอนในรถแน่
ภายในห้องนั่งเล่นแสนอบอุ่นอัดแน่นไปด้วยความทรงจำของครอบครัวเล็ก ๆ มองเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าหญิงสาวคงเติบโตมาท่ามกลางความรักจากพ่อแม่
แต่ที่น่าเศร้าคือทั้งคู่ด่วนจากไปหมดแล้ว
“น้ำค่ะพี่ภู”
พริมาวางถาดเล็กลงบนโต๊ะหน้าโซฟา พอเห็นเขายืนมองรูปครอบครัวเธออยู่ก็เข้าไปแนะนำให้รู้จัก
“นี่พ่อกับแม่ของพราวค่ะ ส่วนเด็กผู้หญิงน่ารัก ๆ แก้มยุ้ย ๆ นั่นพราวเอง”
เธอพูดไปขำไป อีกคนก็หันมาส่งยิ้มให้
“ไม่บอกไม่รู้เลยนะเนี่ย”
“ว่านั่นพราวเหรอคะ”
“ว่าเราน่ารักด้วย นึกว่าสวยอย่างเดียวซะอีก”
คนถูกชมอายม้วนจนหนีเข้าห้องครัวไปอีกรอบ ตอนแรกว่าจะวางท่าสักหน่อย แต่เจอแค่ประโยคนั้นก็เสียอาการแล้ว
ภูดิศเดินตามเข้าไปจ้องมองไม่เลิก ดวงตาคมวาววับราวกับหมาป่าจ้องจะงับเหยื่อ
“เอ่อ...พี่ภูกินอะไรมาหรือยังคะ”
“เรียบร้อยแล้วครับ พี่เห็นว่าเราไปกินชาบูแล้วก็เลยแวะหาอะไรกินมาบ้าง”
“พี่รู้ได้ยังไงคะว่าพราวไปไหนมา”
พริมากอดอกจ้องคนตัวโตกลับ เริ่มเชื่อจริง ๆ แล้วว่าเขาต้องสะกดรอยตามเธอแน่ ๆ
สมองน้อย ๆ หมุนติ้วคิดไปไกลมาก อีกคนก็เอาแต่ยืนยิ้มท่าเดียว ไม่ยอมอธิบายอะไรเพิ่มเลย
เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ว่าแต่เขาไปทำอะไรที่บ้านข้าง ๆ
“เมื่อกี้พี่ภูเข้าไปคุยกับคุณยายจันทร์มาเหรอคะ”
“ใช่ครับ พอดีพี่มีธุระอยากคุยกับเจ้าของบ้านหลังนั้นสักหน่อย แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว”
ภูดิศเอ่ยพลางตีเนียนเดินเข้าไปกอดคนตัวเล็ก “ทำหน้าบึ้งเชียว ไหนโกรธอะไรครับ ขอทีละเรื่องนะ”
“ใครโกรธกันคะ”
“อ้าว ไม่มีเหรอ งั้นก็ข้ามช่วงปรับความเข้าใจไปเข้าอย่างอื่นได้เลยสิ”
“ใครจะให้เข้ากัน ถอยออกไปเลยค่ะ”
พริมาขืนตัวเองออกจากอ้อมแขนกว้าง แต่ก็ถูกอีกคนช้อนตัวขึ้นอุ้มอย่างง่ายดาย
“เนี่ยนะไม่งอน หลับตาดูยังรู้เลย”
“พี่ภูจะรู้ได้ยังกันคะ ขนาดพี่เปลวยังดูไม่ออก ว้าย โอ้ย! เจ็บนะคะ โยนลงมาได้”
หญิงสาวเอามือลูบบั้นท้ายตัวเองป้อย ๆ เพราะถูกเขาโยนลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่น
ประเด็นคือมันเก่ามากแล้วไง ความนุ่มนิ่มที่เคยมีก็ชักเหลือน้อยเต็มที พอเธอถูกทุ่มเข้าใส่แบบนี้ก็เจ็บสิ
“เจ็บบ้างก็ดี จะได้จำขึ้นใจว่าพี่ไม่ชอบให้เราพูดชื่อแฟนเก่า”
“พราวแค่...ขอโทษค่ะ”
เธอพูดไปแบบไม่ได้คิดอะไรเลย แค่สงสัยว่าผู้ชายจะดูออกจริงหรือ ขนาดคนที่คบกันมานานยังต้องรอให้หายงอนเองเลย
“ออกสิ ถ้าใส่ใจก็สังเกตเห็นหมดแหละ”
“นี่พราวเผลอพูดออกไปเหรอคะ”
พริมาทำหน้าเหวอ อีกคนเห็นแล้วนึกเอ็นดูขึ้นมาเลยยกมือลูบแก้มนวลเบา ๆ
“เปล่าครับ แต่พี่รู้ว่าเราอยากพูดอะไร”
สายตาคมดูนุ่มนวลมากจนคนถูกมองใจสั่นไปหมด ต้องรีบเบี่ยงประเด็นโดยไว
“ตกลงว่าพี่ภูสะกดรอยตามพราวจริง ๆ เหรอคะ”
“เปล่า”
“แล้วรู้ได้ยังไงว่าพราวไปกินชาบูมา”
ภูดิศได้ยินก็หัวเราะร่วน เพราะคิดว่าเธอจะถามเรื่องบ้านเสียอีก “เรื่องนั้นนิธินันท์เป็นคนบอก”
“เกี่ยวอะไรกับหัวหน้าด้วยล่ะคะ”
“ก็...” ชายหนุ่มมองดวงหน้าไร้เดียงสาแล้วคลี่ยิ้มกว้าง “พี่เลยมารอเราที่นี่”
คนรอฟังขมวดคิ้วใส่ ทำไมเขาถึงเล่าข้ามไปข้ามมาแบบนี้ล่ะ
แต่นั่นก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องพูดคุยกันจริง ๆ
“แล้วพี่รู้ได้ยังไงคะว่าบ้านพราวอยู่ที่ไหน”
“อืม พูดให้ถูกคือพี่มาดูบ้านเก่าของพี่ต่างหาก”
ชายหนุ่มจับมือเล็กมากุมไว้ ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยหลังมือนุ่มเล่น ๆ แอบนึกถึงยามที่มือคู่นี้กอบกุมรอบตัวตนใหญ่โตแล้วชักรูดเบา ๆ ประโยคถัดมาเสียงทุ้มจึงแหบพร่า
“พี่ตั้งใจย้ายกลับมาอยู่ไทยก็เลยมาดูบ้านที่เคยอาศัยอยู่ แต่พอเข้าไปคุยแล้วเจ้าของปัจจุบันเขาไม่ยอมขายให้ ระหว่างที่พี่คิดว่าจะเอายังไงต่อพราวก็กลับมาพอดี”
ภูดิศนั่งนิ่งมองใบหน้าหวานที่เหวอหนักขึ้นเรื่อย ๆ ชวนให้คาดหวังคนตัวเล็กจะประติดประต่อเรื่องราวต่าง ๆ ได้
“นี่พี่...ใช่จริง ๆ ด้วย พราวนึกแล้วว่าหน้าตาคุ้น ๆ แต่ก็ไม่คิดว่าโลกมันจะกลมขนาดนั้น”
คราวนี้คนที่ประหลาดใจกลายเป็นภูดิศแทน “พราวจำพี่ได้ด้วยเหรอ ตั้งแต่แรกเลยอ่ะนะ”
“จำได้สิคะ พี่ภูดิศลูกป้ากัญญาบ้านข้าง ๆ พอคุณป้าเสียไปได้สองปีลุงภาศก็พาพี่ย้ายไปอยู่ต่างประเทศนานแล้ว”
“พี่กลับมาแล้วครับ” ชายหนุ่มดึงน้องน้อยมากอดไว้แน่น ดีใจมากที่เธอจำเขาได้ “นึกว่าตอนนั้นพราวไม่สนใจพี่ซะอีก”
“ตอนแรกก็ไม่สนหรอกค่ะ ออกจะรำคาญด้วยซ้ำ คนอะไรชอบมานั่งเล่นกีต้าร์เสียงดังตอนที่เรากำลังอ่านหนังสือตลอด”
เธอรอมาตั้งสิบกว่าปี ในที่สุดก็ได้โอกาสบ่นสักที
“แต่พอพี่ย้ายไปแล้วพราวก็อดคิดถึงไม่ได้ มองไปเห็นหน้าต่างปิดสนิทก็...อื้อ”
อะไรเนี่ย นึกอยากจะจูบก็จูบ คนยังพูดไม่จบเลยนะ
ภูดิศใจร้อนมาก พอเข้าเช้าวันจันทร์ก็พาแฟนสาวไปจดทะเบียนสมรส เปลี่ยนสถานะเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายให้เรียบร้อยแต่คาดไม่ถึงว่าจะได้เจอนิธินันท์กับอิงฤดีที่นั่นด้วย ในมือถือเอกสารไว้ไม่ต่างกันเลย“อ้าว”“อุ้ย คือ...คุณภูขอให้เรามาเป็นพยาน...”“ไม่ต้องหาเรื่องแก้ตัวเลยย่ะ เปิดตัวได้สักทีนะเรา”พริมากอดแขนเพื่อนสนิทพากันเดินเข้าไปในสำนักงานเขต ทิ้งให้สองหนุ่มยืนมองคุมเชิงกันไปมาแม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่ทั้งคู่รับรู้ตรงกันว่าการแข่งขันได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้วเย็นนี้ต้องรีบกลับไปผลิตทายาททันทีต่างคนต่างเซ็นเป็นพยานให้อีกคู่หนึ่ง เพียงไม่นานธุระก็เสร็จเรียบร้อย พอดีกับที่อธิปโทรตามให้รีบเข้าบริษัท“ไปไหนกันมา ทำไมที่แผนกบัญชีมีใครสักคน”บอสหนุ่มยืนกอดอกจ้องมองคนทั้งสี่ที่ดูมีพิรุธชอบกล“กูพาเมียไปจดทะเบียนสมรสมา”ภูดิศกอดคอพริมา ทำท่าทางอวดว่านี่คือภรรยาของตน อธิปเบะปากใส่เพื่อนก่อนหันไปหาหัวหน้าแผนกบัญชี“คู่นี้ก็เลยไปจดบ้างว่างั้น”“เปล่านะคะ ๆ” อิงฤดีรีบปฏิเสธพัลวัน“เราตั้งใจไปจดของเรากันเองครับ ไม่ได้แข่งกับใครจริง ๆ”นิธินันท์เอ่ยตอบแทน แต่นั่นกลับทำให้สีหน้าบอสหนุ่มยิ่งเคร่งข
พอปรับความเข้าใจกับแฟนสาวเรียบร้อย ภูดิศก็ขึ้นไปคุยกับน้องสาวบ้าง แต่กลับเจออธิปอยู่ในห้องทำงานเพียงลำพัง“อ้าว เดมี่ล่ะ”“กูสั่งให้ลงไปช่วยเก็บกวาดที่ห้องบัญชี”“เออ ให้แก้ไขปัญหาด้วยตัวเองก็ดี จะได้รู้ว่าไม่ควรทำ”“มึงไม่กลัวเธอลงไปทะเลาะกับพราวเหรอ”“ไม่หรอก กูคุยกับพราวเข้าใจแล้ว” ภูดิศทิ้งตัวลงนั่งไขว่ห้างที่โซฟา “กูห่วงเดมี่มากกว่า สงสัยจะทะเลาะกับแม่มาอีกแล้ว คงต้องให้หลบอยู่ที่ไทยสักระยะ”อธิปพับกระดาษใบหนึ่งเก็บใส่ลิ้นชักชั้นบนสุด ตาแอบมองเพื่อนสนิทที่นั่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวด“กูจะให้น้องมึงมาเป็นผู้ช่วย”“จริงเหรอ ถ้าได้อย่างนั้นก็ดีสิ”“มึงจะไม่ถามเหรอว่ากูทำไปทำไม”“ไม่ล่ะ ถ้ามึงยอมช่วยเดมี่กูก็พอใจแล้ว”“แต่งานผู้ช่วยของกูมันหนักนะเว้ย เลิกงานก็ไม่เป็นเวลา ต้องตามกูไปทุกที่ ขนาดผู้ชายยังลาออกกันไปหมด”“ก็ลองให้เธอทำดูก่อน ถ้าไม่ไหวค่อยเลิก มึงโอเคไหมล่ะ”“ถ้างั้นก็ตกลงตามนี้”“เออ ขอบใจมึงมาก”สีหน้าภูดิศสบายใจขึ้นเยอะ เพราะตอนอยู่ต่างประเทศก็มีอธิปนี่แหละที่เดมี่ดูจะเกรงใจบ้าง คงพอช่วยอบรมสั่งสอนได้อยู่“ถ้าเดมี่ทำตัวงอแงมึงก็ลงโทษได้เลยนะ”“มึงพูดเองนะ”อธิปถามย้ำ ภูดิศจึ
“ว่าไงนะ”“คุณภูพูดขอยายพราวแต่งงานแล้ว อิงก็เลยคิดว่าในเมื่อคู่ที่เพิ่งคบกันแค่เดือนกว่ายังคิดไปถึงขั้นนั้นได้ แล้วทำไมพวกเราถึงจะก้าวไปอีกขั้นไม่ได้”นิธินันท์รีบตบไฟเลี้ยวเข้าจอดข้างทาง ปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วเอี้ยวตัวไปกอดแฟนสาวไว้แน่น“ขอบคุณครับที่คิดฝากชีวิตไว้กับพี่ พี่สัญญาว่าจะดูแลเราให้ดีที่สุด”“อิงต่างหากที่ต้องขอบคุณ นอกจากพี่นันท์แล้วคงไม่มีใครทนกินไข่เจียวกรอบในไหม้นอกของอิงหรอกค่ะ”“พูดถึงเรื่องนี้...พราวยังเปิดคอร์สสอนเราทำกับข้าวอยู่ไหม”“พี่นันท์!”“ตัวพี่น่ะไม่เท่าไหร่หรอก สงสารก็แต่ลูก”“นี่คิดไปถึงไหนแล้วคะ”“ถึงตอนทำลูกไงครับ”“คนหื่น!”ร่างบางเอ็ดเข้าให้อีกรอบ แต่คนตัวโตก็หาได้เกรงกลัว กดจูบกดหอมจนน้ำลายเปียกหน้าแฟนสาวไปหมด“ถ้าอิงอยากจัดงานแต่งแบบไหนก็บอกได้เลยนะ พี่อาจทำได้ไม่หรูหราอะไรนัก แต่พี่ก็ตั้งใจว่าจะไม่ทำให้เราต้องอายใคร”“ไม่ต้องหรอกค่ะ เราจดทะเบียนกันเฉย ๆ ก็ได้ เก็บเงินค่าจัดงานไว้เลี้ยงลูกดีกว่า”“ไปถามพ่อแม่ก่อนไหม พี่อยากให้เกียรติเราเต็มที่ เพราะชาตินี้พี่จะแต่งงานแค่ครั้งเดียว”“อิงเคยถามแล้ว พ่อกับแม่บอกว่าให้พี่ไปผูกข้อมือที่บ้านก็พอ ไม่ต้องใ
คนป่วยรู้สึกตัวตื่นตอนเช้ามืดวันถัดมา ความรู้สึกแรกคือคันปากยิบ ๆ และหายใจไม่สะดวกเท่าไรนัก แต่ก็ยังดีกว่าตอนก่อนจะหมดสติไปภูดิศกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เห็นเสาน้ำเกลือก็แน่ใจแล้วว่าตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาล ดังนั้นเงาตะคุ่ม ๆ ที่ฟุบอยู่ข้างเตียงก็ต้องเป็นสุดที่รักของเขาแน่นอนไม่รู้ว่าพริมาได้หลับไปตอนกี่โมง ภูดิศจึงปล่อยให้เธอนอนพักผ่อนไปดวงตาคมจ้องมองคนหลับสนิทไม่วางตา เจ้าของดวงหน้าหวานที่เขาแอบชอบมาตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อหนุ่ม ต่อให้ย้ายไปอยู่ต่างประเทศมาหลายปีก็ยังไม่ลืม เพราะไม่มีใครทำให้ใจเขาเต้นแรงได้เท่าเด็กแว่นข้างบ้านคนนี้อีกแล้วนึกไปก็น่าขำ ที่เขาฝึกเล่นกีต้าร์ก็เพื่อเรียกร้องความสนใจจากน้องน้อย แต่ดันได้ความรำคาญมาเสียอย่างนั้นยังดีที่อย่างน้อยมันก็ทำให้เธอจดจำเขาได้เช่นกันตอนนั้นเองอีกคนก็รู้สึกตัวตื่น พอเห็นว่าเขานอนลืมตาอยู่ก็รีบควานหาแว่นมาสวมก่อนลุกขึ้นยื่นหน้าเข้าไปดูใกล้ ๆ“พี่ภูฟื้นแล้ว ดีจังค่ะ”“เด็กขี้แย พี่ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” ภูดิศยกมือจะช่วยเช็ดน้ำตาให้คนรัก แต่เธอกลับจับมือเขาไปกุมไว้“พี่ทำให้พราวตกใจมากเลย ทำไมถึงดื่มแอลกอฮอล์ล่ะคะ”“มีคนสลับแก้วของพี่น่ะ ไ
“แกทำอะไรผัวฉัน”พอได้ยินแบบนั้นอธิปถึงเข้าไปดูสภาพเพื่อนให้ดี ๆ ก่อนจะรีบโทรตามรถพยาบาลโดยด่วนให้ตายสิ ลืมเช็กเรื่องนี้ไปได้อย่างไร นี่ถ้าไอ้ภูเป็นอะไรขึ้นมาชาตินี้เขาคงไม่มีทางให้อภัยตัวเองเป็นแน่ส่วนปภาดาที่ถูกตบถึงกับนิ่งอึ้งไปนาน เพราะคราวก่อนไม่เห็นว่ายายเด็กนี่จะทำอะไรเลย ขนาดนั่นเป็นผู้ชายที่คบกันมาตั้งหลายปี เธอจึงคิดว่ากับคนที่เพิ่งคบกันไม่กี่เดือนคงไม่หวงถึงขั้นลงไม้ลงมืออย่างนี้อัคคีเองก็ตกใจไม่แพ้กัน พอเห็นสายตาของเพื่อนร่วมงานก็ยิ่งหงุดหงิด ทำไมต้องมองเหมือนเขาเป็นคนถูกทิ้งด้วยระหว่างที่ยังไม่มีใครตั้งสติได้ พริมาก็ตบคู่กรณีเข้าอีกฉาด คราวนี้ปภาดารู้สึกตัวแล้ว“นังนี่ ผัวแกเมาแล้วข่มขืนฉันนะ”“ยังจะพูดพล่อย ๆ เอาอีกสักฉาดไหม”พริมาง้างมือจะตบอีกรอบจริง ๆ แต่อธิปเข้ามาห้ามไว้“พอแล้วพราว มาดูไอ้ภูก่อนดีกว่า”“รถฉุกเฉินยังมาไม่ถึงอีกเหรอคะ”พอเธอถามแบบนั้นอธิปจึงแยกไปดูให้ ส่วนร่างบางย่อตัวลงข้างชายหนุ่มที่นอนหมดสติอยู่บนโซฟา มือก็ช่วยจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยขึ้นหน่อย“เดี๋ยวสิยะ แกต้องเคลียร์กับฉันก่อน จะเอาตัวคุณภูไปทั้งแบบนี้ไม่ได้”ปภาดากระชากไหล่คนตัวเล็กอย่างแรงให
เวลาที่ปิดโปรเจคอะไรได้ ทีมงานมักรวมตัวไปสังสรรค์กันที่ร้านอาหารกึ่งผับแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริษัทมากนักภูดิศในฐานะคนคุมโปรเจคย่อมปฏิเสธไม่ได้ อีกอย่างอธิปก็บอกว่าอยากให้มารู้จักกับเจ้าของร้านเอาไว้ด้วย เผื่อพาลูกค้ามาคุยงานที่นี่จะได้สะดวกหน่อย“นี่คุณวีรกร ส่วนนี้ไอ้ภูดิศ เพื่อนสนิทผมเองครับ”“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมได้ยินคุณเอสพูดถึงคุณอยู่บ่อย ๆ”วีรกรจับมือกับชายหนุ่ม อีกฝ่ายก็ส่งยิ้มกลับไป“ยินดีเช่นกันครับ”“เชิญตามสบายนะครับ อยากได้อะไรก็บอกเด็ก ๆ ได้เลย”“ขอเป็นม็อกเทลให้เพื่อนผมนะครับ”อธิปกำชับเจ้าของร้าน ก่อนที่จะเดินไปร่วมวงกับคนอื่น ๆ ที่เปิดโต๊ะรออยู่ก่อนแล้ว เขาไม่ใช่คนเรื่องมากอะไร ยิ่งงานเลี้ยงอย่างนี้ก็ยิ่งปล่อยตามสบายภูดิศนั่งลงบนเก้าอี้ถัดจากเพื่อนสนิทได้ไม่นาน ก็มีคนมานั่งตรงเก้าอี้ข้าง ๆ“คุณภูอยากดื่มอะไรไหมคะ เดี๋ยวดาชงให้”ปภาดาขยับเก้าอี้เข้าใกล้ร่างสูงมากขึ้น เอียงหน้าเข้าไปพูดคุยราวกับกลัวอีกฝ่ายไม่ได้ยิน ทั้งที่ดนตรีเพิ่งเริ่มเล่นคลอเบา ๆ เท่านั้น ท่าทางไม่ได้เกรงใจอัคคีที่นั่งอยู่ไม่ไกลเลย“ผมไม่ดื่ม”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบพร้อมขยับเก้าอี้ออกห่าง