วัดแห่งหนึ่งในเมืองท่องเที่ยว
เช้าวันใหม่เมฆเลื่อนคล้อยกาลเวลา ใบไม้ปลิดปลิวไสวเอนโน้มกิ่งไปมาตามธรรมชาติ ลมอ่อนพัดโชย
ภาพถ่ายสีขาวดำชายผู้ชรา ป้ายบอกชื่อ วันชาตะและมรณะ ควันธูปลอยอบอวนตามลม ดอกไม้ ทั้งของกิน
ตามความเชื่อที่ว่านำมาไหว้แล้วจะส่งถึงผู้ตาย
"ตาจ๋า"เพียงแค่เอ่ยถึงร่มโพธิ์ร่มไทรที่เคยให้ร่มเงาบังแดดลมฝนในยามอ้างว้าง
ความกดทับแน่นจุกในอก หยาดน้ำตาร่วงเผาะราวกับเม็ดไข่มุกล้ำค่า
"หนูอาจจะต้องทำผิดคำสัญญาที่เคยให้ไว้"
"ตาบอกเสมอ ศักดิ์ศรีลูกผู้หญิงเก็บไว้ให้สามีในวันแต่งงาน"
"เพื่อพระจันทร์ หนูจะต้องทำมันเพื่อแลกกับเธอ"
"ยายได้รับการผ่าตัดแล้วนะคะ"
"หนูบอกตาแล้ว ถ้าเกิดวันหนึ่งยายจับได้ว่าหนูไม่เชื่อฟังตาต้องช่วยจันทร์เสี้ยวด้วยนะจ๊ะตา "
"หนูคิดถึงตาเหลือเกิน"
ความขับค่องหมองใจพลุ่งคลื่นออกมาอีกระลอกหนึ่ง
สุสานเงียบงัน มีเพียงเสียงใบไม้ไหวกับกลิ่นควันธูปที่พัดผ่านหัวใจให้ปวดหนึบ นอกจากผู้ปฏิบัติธรรมที่ต้องการหลีกหนีความวุ่นวาย และคนเฒ่าแก่ชราถึงจะมานั่งณ สถานที่แห่งนี้ แต่ฉไหนเลยถึงได้มีเสียงใสของเด็กสาว
อีกมุมหนึ่ง
ทุกวันพระใหญ่หรือวันสำคัญต่าง ๆ คุณยายดวงแก้ว มักจะมาทำบุญให้สามีผู้ล่วงลับเสมอ ทุกครั้งหลังจากทำบุญเสร็จ ก็มักจะมานั่งสมาธิเป็นเพื่อนตา บ่อยครั้งที่ได้ยินเสียงเด็กสาวคุยกับผู้ล่วงลับ
บางครั้งเล่าเรื่องราวดี ๆ บางครั้งปรับทุกข์ แต่ครั้งนี้เธอพูดพลางร้องไห้กับทุกประโยคที่กล่าวออกมา
"โถ แม่หนูช่างน่าสารเสียจริง"
ความสลดสังเวชใจ ยายดวงแก้วไม่อาจครองใจอยู่ในสมาธิได้อีกต่อไป
การมองผู้อื่นมันเป็นเรื่องที่เสียมารยาทมาก ตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณยายไม่เคยคิดจะทำ
แต่ครั้งนี้ไม่อาจทนดูเพื่อนมนุษย์ตกทุกข์ได้ยาก
หากเรื่องราวที่เด็กสาวพูดทั้งหมดเป็นเรื่องจริง เธอเป็นเด็กใช้ได้คนหนึ่ง คุณยายรู้สึกทั้งชื่นชมในความดี ทั้งระคนสงสารที่ชีวิตเด็กคนหนึ่งต้องแปดเปื้อน
เด็กสาวใบหน้าแลดูคุ้นเคย สายตาฝ้าฟางมองไม่ถนัดมือขยับแว่นมองอีกที
เด็กคนนั้น!
คุณยายจำเธอได้
ในวันที่ทุกคนแสนยุ่งคุณยายเดินทางมาทำบุญไร้เงาคนดูแล เธอเด็กสาวผู้น่ารักทั้งที่ไม่รู้จักกันแต่อาสาช่วยขนของเบาแรงคนแก่
วันแรกนาขวัญ
เป็นวันสำคัญคุณยายมาวัดเช่นเคย วันมหามงคลใหญ่ คุณยายนำของมาทำบุญเยอะเสียจนขนเองไม่ไหว ทั้งใส่บาตรและแจกในโรงทาน
"หนูช่วยค่ะคุณยาย"
เสียงใสใบหน้าเบิกบานช่วยขนต้นเทียน สังฆทาน ผลไม้ ขนมไทย นม อาหารคาว
"อันนี้คืออะไรเหรอลูก"
"เป็นชุดธูปเทียนพร้อมแผ่นทองค่ะ"
"หนูทำมาถวายวัด"
"น่ารักจังลูก เดี๋ยวนี้เลยคนหนุ่มสาวสมัยใหม่ไม่ชอบทำบุญ"
"แต่หนูกลับทำสิ่งนี้มาทำบุญ ทั้งสามสิ่งล้วนมีความหมาย"
จันทร์เสี้ยวยิ้มหวานตาหยี เธอก็หวังว่าการบริจาคต้นเทียนจะชีวิตสว่างไสวไร้ความมืดมน
บริจาคธูป ความดีของเธอและเธอจะเป็นผู้มีกลิ่นตัวหอมฟุ้งขจรไปทั่วทุกสารทิศ
บริจาคแผ่นทอง เพื่อแสดงถึงความเคารพบูชา
จันทร์เสี้ยว
ใบหน้าเปียกปอน จากการร้องไห้ เมื่อได้ระบายความในใจจนหมดสิ้น จันทร์เสี้ยวรู้สึกโล่งราวกับปัญหาคลี่คลาย
เธอเตรียมจะหันหลังกลับ
ทันใดนั้นเสียงเรียกดังขึ้นด้านหลัง
"หนู"
เสียงใครคนหนึ่งกำลังเรียก ร่างบางเบิกตาโพลง บ่อยครั้งที่มานั่งไม่เคยกลัวผีเพราะคิดว่าไม่มีจริง
หรือจะเป็นผีจริง ๆ เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอรู้สึกหนาวเสียวสันหลัง ความหนาวเหน็บเย็นเยียบแล่นจากปลายเท้าไต่มาถึงกลางหลัง เธอรู้สึกถึงลมหายใจที่ไม่มีต้นตอ ลมหวิวเย็นวาบที่แทรกผ่านหลังคอ…เหมือนใครบางคนกำลังจ้องมองอยู่ในเงาไม้
ฝีเท้าที่กำลังจะก้าวเดินหนีไม่รู้มันคือสิ่งใดกันแน่
มีบางอย่างคว้าเข้าที่หัวไหล่ จันทร์เสี้ยว เธอสะดุ้งเฮือกหน้าซีดเผือด เหงื่อผุดราวกับอาบน้ำทั้งใจเต้นโครมครามแทบทะลุอกมาเต้นนอกกาย
"อย่าหลอกหนูเลยนะคะ หนูกลัวแล้ว"
มือทั้งสองพนมไหว้เสียยกใหญ่
"หนูจ๊ะ"
"ว้าย พ่อแก้ว แม่แก้วช่วยหนูด้วย"
ขาพยายามวิ่งออกกลับยังยืนอยู่ที่เดิมเพราะมีสิ่งยึดเธอไม่ให้วิ่ง จากหนึ่งเป็นสอง ในเมื่อหนีไม่ได้ หลับตาอุดหูแล้วกัน
"ยายเอง คนจ้ะ"
ร่างสูงโปร่งมาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้เขายืนพิงต้นไม้กอดอกมองจันทรเสี้ยวที่กำลังกลัวผีกลางวันแสก ๆ
"คนเหรอคะ"
"จับมือยายดูถ้ายังไม่เชื่อ"
จันทร์เสี้ยว แตะมือที่บ่าไหล่ด้วยอาการกล้า ๆ กลัว ๆ เพียงนิ้วเรียวสัมผัสโดนเนื้อนิ่มอุ่น เธอใจชื่นในทันที
"คนจริงด้วยค่ะ"
จันทร์เสี้ยวกำลังจะหันไปหาคุณยาย สายตาคมเข้มที่ยืนมองพลางเดินเข้ามาใกล้ อยากแกล้งให้เธอตกใจอีกครั้ง
แฮ่
ว้าย.....
จันทร์เสี้ยวตาค้างในอากาศ ผวาสุดขีด ใจหล่นวูบไปถึงตาตุ่ม ครั้งนี้เธอถึงกลับเป็นลม
ร่างบางทิ้งตัวลง ทิวสนเห็นเข้าพอดีใจหายวาบรีบโผเข้าประคองรับเธอไว้
"คุณครับ คุณ"
"เธอเป็นลมไปเสียแล้วหลานเล่นอะไรไม่รู้เรื่อง"
ทิวสนพยุงร่างของหญิงสาวขึ้นรถด้วยความระมัดระวัง เสียงใจเขายังเต้นแรงไม่หาย จากที่แกล้งกลายเป็นต้องดูแลอย่างจริงจัง
บ้านสวน
บ้านสวนเรือนบุหงาในยามเย็นคลาคล่ำด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้และไอดินชุ่มฝน พายุฝนเพิ่งหยุด ทิวสนอุ้มร่างจันทร์เสี้ยววางบนเตียงในห้องรับรองอย่างเบามือ
ดวงหน้าคมขาวเนียน ปากอิ่ม ขนคิ้ววาดโค้งสวย ขนตาเป็นแพงอนยาว เรือนหน้าครบเครื่อง ดึงดูดให้ เขาลอยมองเธออย่างลืมตัว
"สาวบ้านป่า สวยเหมือนกันนะเนี้ย"
เขาถูกกำชับให้นั่งเฝ้าเธอจนกว่าจะตื่น
จันทร์เสี้ยวรู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมของไข่เจียวลอยมาแตะปลายจมูก
"ที่นี่ คือที่ไหน "เธอกรอกตามองเพดานก่อนจะขยับตัวช้า ๆ
เธอนึกย้อนเหตุการเมื่อตอนเช้า
ทิวสนนั่งบนเก้าอี้ปลายเตียง สายตาคมมองเธอด้วยแววตาอ่านไม่ออก
เสียงของใครคนหนึ่งเห็นเสี้ยวจันทร์ตื่นแล้วจึงถามอาการ
"ตื่นแล้วเหรอ"
เขาคือใคร
คุณคนนั้น เธอเจอที่หน้าห้องน้ำ
"คุณ"เสี้ยวจันทร์เรียกเขาน้ำเสียงตกใจเล็กน้อย
"คุณทิวสนคะ อาหารพร้อมแล้ว คุณท่านให้มาเชิญทั้งคู่ไปทานข้าวค่ะ" คุณป้าวัยกลางคน ท่าทางนอบน้อม หยุดบทสนทนาระหว่างเธอและเขา
ร่างสูงหล่อเหล่าลุกยืนเต็มความสูง กำลังจะกล่าวขาออกไปทานข้าว
เขามองเธอผ่านหางตา แต่ทว่าร่างบางยังคงนั่งเฉยไม่ยอมลูกตาม
"ลุกไปทานข้าว"น้ำเสียงเรียบ
"ค่ะ"จันทร์เสี้ยวตอบพลางลุกตาม
รอยยิ้มบาง ๆ ของเขา ไม่ใช่แค่แกล้ง…แต่มันเหมือนกำลังเปิดประตูบางอย่างในใจ
จันทร์เสี้ยวยังงุนงง ตะกุกตะกักถามอะไรไม่ออก เสียงฝนที่ยังเกาะใบไม้ข้างนอกทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกพาไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง
โต๊ะอาหารกลางเรือนไม้ ระลานตาหลากหลายเมนู อาหารทุกอย่างวิจิตรทั้งงดงามส่งกลิ่นหอมชวนท้องร้อง
"แม่บ้านตักข้าว"เสียงคุณยายดวงแก้วสั่งป้าแม่บ้าน
เธอยืนมองเก้กัง ไม่กล้านั่งร่วมโต๊ะอาหาร
"นั่งเร็วลูก"
คุณยายยกลูกตาลลอยแก้วมาวางตรงด้านหน้าเธอ มืออุ่นดันหลังให้เธอนั่งลงข้างเขา
ชายหนุ่มที่เธอเคยเจอเขาหน้าห้องน้ำ
เธอนั่งลงอย่างว่าง่าย ผู้ใหญ่เชิญขนาดนี้แล้ว เกรงว่าจะเสียมารยาทถ้าหากยังยืนอยู่เช่นเดิม
"แกงส้มดอกชบาจ้ะ หนู"
คนสมัยก่อนทำอาหารใช้สัมผัสทั้งห้า รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส
"ดอกไม้นี้ยายค่อย ๆ แกะสลักจากฟักจนเป็นดอก "
คุณยายดวงแก้วตักแกงส้มดอกชบาใส่กุ้งลงบนถ้วยเล็ก ยื่นให้จันทร์เสี้ยวก่อนยื่นให้ชายหนุ่มนั่งที่นั่งข้างเธอ
"อร่อยจังเลยค่ะ"
"หนูไม่เคยทานที่ไหนอร่อยเท่าฝีมือคุณยายเลยค่ะ" คำแรกเข้าปากกลมกล่อมเหมือนเหาะได้ ความอร่อยของอาหารเธอเอ่ยชมไม่ขาดปาก
"อร่อยก็ทานเยอะ ๆ นะลูก"
"ของกินเข้าปากแล้วเป็นคนละคนเชียวนะ พูดคล่องเป็นน้ำไหลไฟดับเชียว"คนที่นั่งข้างเธอพูดโพล่งออกมา
แค่คำพูดไม่กี่ประโยคไม่สะท้านใจเธอเลยที่ผ่านมาผู้คนภายนอกดูถูกไม่ใช่น้อย ไม่ใช่ว่าเข้มแข็ง แต่มันผ่านความเจ็บปวดจนชินชาจนกลายเป็นเฉย ๆ
"พี่เขาแหย่เล่น นะลูกอย่าถือคนบ้า"
"ไม่เป็นไรเลยนะคะ คุณยายหนูเข้าใจและชินแล้วล่ะค่ะ" เธอพูดพลางยิ้ม
"เห็นไหม ขอโทษน้องเดี๋ยวนี้"
"ยังอีก อยากให้ยายโกรธตายหรืออย่างไร"
เพราะคำว่ารักและกตัญญู ทิวสนกลัวว่าไม่ทำตามใจผู้เป็นยาย อาจทำให้ท่านโมโหจนเข้าโรงพยาบาลจึงรีบขอโทษเด็กสาวอย่างขอไปที
"ขอโทษ"
"ไม่เป็นไรค่ะ"
"กินให้อิ่ม ๆ ซะ เพราะที่บ้านเธอคงไม่ได้ทานดีขนาดนี้หรอก"
"หลานคนนี้ ผีเจาะปากหลานมาหรือไง"
"พูดกับน้องดี ๆ หลานต้องไปส่งเธอกลับบ้านด้วย"
"....."
ทิวสนได้แต่นิ่งไม่กล้าขัด จันทร์เสี้ยวยิ้มหวานที่เขาโดนดุเรื่องเธออีกครั้ง
"หนูชื่ออะไรลูก"
"จันทร์เสี้ยวค่ะคุณยาย"
"คนนี้พี่ทิวสนนะ ส่วนยายชื่อดวงแก้ว "
"ยายจำได้วันนั้นหนูช่วยยายขนของ"
"อ้อจำได้แล้วค่ะ"
เสียงหัวเราะของยายและจันทร์เสี้ยวที่เล่าเรื่องในวัดวันพระครั้งก่อนดังกลบอีกคนที่ทานข้าวอย่างเงียบ ๆ หลังจากโดนดุ
ที่จริงเขาแค่แกล้งเล่นเท่านั้นเอง
ประหลาดเสียจริงการได้พบเจอเธอ
พูดคุยหยอกเย้า หัวใจของเขาที่เคยมีความโกลาหลวุ่นวายยุ่งเหยิงบัดนี้ทว่ากลับอบอวลไปด้วยความสุข
ราวกับยืนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ
สวนดอกไม้
บุหงาอาส่าหรี ยลโฉมฤดีงามหวาน พร่างพราวแต่งแต้ม พิมใจมิรู้ลืมพี่เอย
ดอกไม้หลากหลายสายพรรณ บานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมชวนให้หลงไหล ลมพัดโชยโน้มกลิ่งบุหงาเข้าหาเรือน
มือบางเอื้อมดึงชมดมดอมละมุนเย็นปากอิ่มยิ้มหวานแก่ดอกไม้ ร่ายกลอนแผ่วเบา
"เธอหอมจัง เจ้าบุหงา"
บ้านหลังนี้ราวกับน้ำมนต์เก้าวัด ที่เพียงอาบความเศร้าอ้างว้างเดียวดายพลันหายเป็นปลิดทิ้ง
เสียอย่างเดียวหลานชายคุณยายเหมือนไม่ชอบเธอ
แต่ช่างเขาเถอะ ตอนเด็กคงขาดความอบอุ่น
"กวีเอกจากไหนมาเกิดกลางเรือนดวงแก้ว"
ว้าย
"ตกใจหมดเลย" เธอยกมือทาบอกอย่างเสียขวัญ
"ทำไม มัวแต่ใจลอยคิดว่าจะขโมยอะไรดีใช่ไหม"
"นักต้มตุ๋นใช่ไหม ใช่แน่ ๆ "
"เธอเห็นยายฉันแก่แล้ว จะมาหลอกเงิน"
"'นี่คุณ หัดมองโลกในแง่ดีบ้างนะคะ คุณอาจจะเจอเรื่อง ร้าย ๆ มา"
"แต่ไม่ควรเหมารวมฉัน" เสียงหวานโต้แย้ง ไม่ยอมโดนว่าฝ่ายเดียว
แต่แล้วเสียงของยายดวงแก้วเรียกหาจันทร์เสี้ยว ทั้งคู่จึงหยุดปะทะกัน
"อันนี้ลูกชุบและถุงทองเอาไปฝากจันทร์เสี้ยว นะลูกวันไหนว่าง ๆ มาเที่ยวหายาย "
"คิดเสียว่าที่นี้คือบ้านญาติผู้ใหญ่"
"ค่ะ สวัสดีค่ะ"
เสียงเหยียบคันเร่งเครื่องเตือน จากคนภายในรถ จันทร์เสี้ยวยกมือไหว้ลาคุณยายดวงแก้ว พลางกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปยังรถ
เสียงประตูรถเปิดปิดลง
เขายังไม่ยอมออกรถในทันที
"มานั่งข้างหน้า ฉันไม่ใช่คนขับรถเธอ"
"ค่ะ ที่นั่งหลังเพราะกลัวคุณรังเกียจฉันค่ะ"
"คาดเข็มขัดด้วย"
"ค่ะ"
มือบางที่กำลังคว้าเข็มขัดมาคาด คันเร่งถูกเหยียบพุ่งออกไป แล้วเหยียบเบรกทันที
"โอ๊ย"
หัวเธอโขกกับแผงคอนโซลรถเข้าอย่างจัง
"นี่คุณ "
"หึ เหมาะสมแล้ว พวกผู้หญิงชอบวางแผน หลอกลวง"
"คุณพูดถึงอะไรคะ"
"ฉันไม่เข้าใจ"
ไร้เสียงตอบ มีเพียงเสียงรถที่แล่นฉิวบนท้องถนน
ภายในห้องพักผู้ป่วยพิเศษ จันทร์เสี้ยวกำลังใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดใบหน้าให้พระจันทร์อย่างเบามือ สายตาของเธอจ้องมองร่างน้องสาวราวกับกลัวว่าน้องจะมลายหายไปได้ ส่วนทิวสนโทรสั่งให้กิตติเตรียมแฟ้มเอกสารที่ต้องเซ็นมาให้เขา และตั้งแต่ได้เอกสารกองโตมาเขาก็เปิดโน๊ตบุ๊ค ตั้งหน้าตั้งตาทำงานราวกับว่าตนเองเป็นธาตุอากาศ ไร้เสียงพูดคุยมีเพียงเสียงกระดาษเปิดไปปามาดังเบา ๆ หลังจากจัดการเช็ดตัวน้องเสร็จเธอจึงรีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ใส่ชุดที่เขาสั่งกิตติไปซื้อมาให้ เสื้อยืดตัวหลวมโคร่งกับกางเกงขายาวที่ความยาวของมันมากกว่าความสูงของเธอ จนชายผ้าไปกองอยู่ที่ข้อเท้าร่างบางในชุดยักษ์เดินออกมา จากห้องน้ำ ทำเอาสายตาคมของทิวสนที่ไม่ได้ตั้งใจมองในขณะดื่มน้ำแทบสำลักน้ำในปากใบหน้าหน้าหล่อเหล่าพร้อมสายตาคมจ้องเธออยู่ครู่ใหญ่ รอยยิ้มจึงค่อย ๆ ผุดออกมา เขารู้สึกภูมิใจในตัวกิตติมากที่ทำตามคำสั่งได้เป็นอย่างดี ชุดที่เขาสั่งมาให้เธอ คือมิดชิด "คุณยิ้มอะไรคะ หรือว่าจันทร์หยิบผิด แต่ไม่น่าจะผิดเสื้อผ้าคุณมีแต่สีทะมึน"มือบางเปิดดูถุงอีกสี่ห้าใบ ของเขามีแต่สีทึบ ส่วนของเธอก็สีหวานสดใส แต่ทุกตัวล้วนแต่เป็นชุดโอเวอร์ไซซ์ทั
ทิวสนเข้าไปนั่งในรถมองกระจกหลังที่สะท้อนภาพ จันทร์เสี้ยวถึงแม้เธอนั่งในร่มแต่ลมพัดเอาละอองฝนกระทบร่างบาง จันทร์เสี้ยวสั่นสะท้านไปทั้งตัวเพราะความหนาวเย็นของลมพายุ แล้วยังโดนฝนสาดอีก ดวงตาหวานมองผ่านม่านน้ำฝนออกไปยังคงเห็นรถของเขาจอดอยู่ คนใจร้าย...ทันใดนั้นรถหรูคันสีดำก็ขับเคลื่อนออกไปทันที น้ำที่ตาเอ่อล้นออกมา จันทร์เสี้ยวยิ้มให้กับตัวเองสมเพชที่คิดว่าเขามีใจให้เธอสักนิดทันใดนั้น...รถคันสีดำ มาจอดตรงป้ายรถประจำทาง ประตูฝั่งคนขับถูกเปิดออกพร้อมกับเขาชายถือร่มเดินลงมาท่ามกลางพายุ "หนาวแย่เลย ให้ผมไปส่งบ้านนะครับ" เสียงทุ้มเอ่ยอย่างสุภาพ"ขอบคุณคุณชีวินมากเลยค่ะ แต่จันทร์เสี้ยวเกรงใจค่ะ"เสียงหวานเอ่ยขอบคุณในน้ำใจที่เขามีต่อเธอ แต่คนที่กำลังจะแต่งงานไหนเลยจะกล้าขึ้นรถไปกับชายอื่นเพียงลำพัง"ไม่ต้องเกรงใจหรอกถือซะว่า เพื่อนไปส่ง อีกอย่างคุณตากฝนนานขนาดนี้เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะครับ" "ถ้าอย่างนั้นจันทร์รบกวนด้วยนะคะ" ชีวินเป็นสุภาพบุรุษทั้งคำพูดและการวางตัว เขาเปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับให้จันทร์เสี้ยวนั่งเรียบร้อยพร้อมปิดประตูรถให้อย่างเบามือ ก่อนตนเองเดินอ้อมไปนั่งฝั่งคนขับ ทุกการกระทำขอ
เสียงหวานดังกล้องสะท้อน เงาทั้งคู่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ลมหายใจเหนื่อยหอบราวกับวิ่งระยะไกล เหงื่อผุดบนเรือนร่างเปลือยเปล่าทั้งเธอและเขา บทเพลงท่วงทำนองเคล้าคลอจบลง "คุณไม่ได้ใส่....ทำไมถึงปล่อย...." "อีก 5 วันเธอต้องเป็นเมียฉัน" "ของพันธุ์นั้นยังต้องใช้อีกเหรอ" "ฉันไม่ได้พกยามาด้วย" "ห้ามกินนะ มันอันตราย" เขาห่วงฉันเหรอเนี่ย "ขอบคุณที่ห่วงจันทร์นะคะ" ไร้เสียงตอบกลับจากเขา จันทร์เสี้ยวจึงเลิกสนใจเพราะพูดไปเสียอย่างไรก็ไร้ความหมายกับคนที่พูดน้อยแต่ดื้อเช่นเขา จากเหตุการณ์เมื่อครู่เธอรู้สึกเหนี่ยวเหนอะหนะจึงผละตัวไปอาบน้ำ เสียงเปิดฝักบัวน้ำปล่อยน้ำเย็นไหลผ่านร่างเปลือยเปล่า ดึงดูดให้สายตาคมของเขาเจ้าแห่งป่า มองร่างหญิงตรงหน้าแทบอยากจะกลืนเธอลงท้องไป และยิ่งเธอขยับตัวถูไถตามร่างกายสร้างความเย้ายวนในใจไม่น้อย และมันได้ปลุกสัญชาตญาณดิบเถื่อนที่พึ่งมอดไหม้ไปเพียงไม่กีนาทีให้ลุกโชนอีกครั้ง เขาเดินตรงเข้าหาร่างอรชรทางด้านหลังใช้สายตามองราวกับไม่เคยเห็นใช้นิ้วไล้แตะเคล้าคลึงเนินมนพร้อมกับกดจมูกไซ้คอเรียว จันทร์เสี้ยวสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวที่เป่ารดต้นคอเธอ ทำได้เพียงหลับตาพริ้มเผย
“แต่งสายฟ้าแลบเหรอ? ผู้หญิงอย่างจันทร์เสี้ยวเนี่ยนะ?” เสียงนินทาแว่วมาตามลมปนกลิ่นเหงื่อแดดบ่ายของตลาดบ้านนา เธอไม่ได้ใส่ใจมานานแล้ว แต่คราวนี้มันเกินทน “ยายมันขายหลานให้เศรษฐีไง ถึงได้อยู่รอดมาถึงทุกวันนี้” “นั่นสิ เศรษฐีที่ไหนจะเอาเด็กกระโปโลไปทำเมีย ถ้าไม่ใช่เมียน้อย” “ฉันว่ายายคงปล่อยให้ท้องก่อนนั่นแหละ ถึงได้กล้าประกาศแต่งงาน! “แหม...เชื้อมันแรงนะ ยายดวงแขนั่นก็แย่งผัวเขามาเหมือนกัน” “ใช่ ได้ข่าวว่าเมียเก่าได้ก่อน ยายดวงแขแต่งทีหลังอีก!” เสียงหัวเราะแหลมคมประสานกันราวมีดข่วนกระจก จันทร์เสี้ยวเดินผ่านเงียบ ๆ ไม่เคยโต้ตอบ จนกระทั่ง... ผัวะ! เสียงฝ่ามือปะทะแก้มดังลั่น หัวผู้หญิงคนนั้นหันตามแรงตบก่อนชะงักด้วยความตกใจ “อีจันทร์ มึงกล้าตบกูเหรอ!” “ใช่ ถ้ายังไม่หุบปากเน่า ๆ พวกพี่นั่นแหละ” “อีจันทร! มึง...” เสียงกร้าวหักหาญ กลายเป็นตะปบรวมจากฝูงหญิงที่เคยนินทา จับแขนจันทร์เสี้ยวไว้แน่น ราวฝูงหมาเห็นเหยื่ออ่อนแรง ผัวะ! ตบสวนกลับมา หน้าของเธอสะบัดตามแรง แต่ก่อนอีกฝ่ายจะได้สะใจ ปึก! เธอถีบสวนกลางท้อง ทำให้ร่างนั้นเซล้มไป “ได้ผัวรวยหน่อย กล้าหือเห
รุ่งอรุณแสงแดดลอดผ้าม่าน ทิวสนยงคงหลับสนิทที่ห้องนอนของตนเอง เขาออกจากห้องจันทร์เสี้ยวเกือบเช้าก่อนที่คุณยายจะตื่นมาเตรียมของใส่บาตรเมื่อคืนเด็กของเขาทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี จนเขาไม่อยากจากเธอ"ได้ค่ะ งั้นจันทร์จะทำหน้าที่นี้"จันทร์เสี้ยวขึ้นคร่อมตักเขาอย่างแนบแน่นโดยไม่รีรอเธอก็โน้มตัวลง...ริมฝีปากประกบกับเขาแนบแน่นไม่ทันได้หายใจ จูบนั้นก็ลุกลามราวกับไฟที่ไม่มีใครหยุดได้เขาตอบรับทันที มือทั้งสองเลื่อนขึ้นโอบแผ่นหลังเธอแน่นเสียงลมหายใจกลายเป็นเพียงจังหวะของอารมณ์ที่ระอุอยู่กลางอก"ต่อสิ"เสียงทุ้มเริ่มสั่นไหวจันทร์เสี้ยวใช้ปลายลิ้นไซ้คอ ลมหายใจร้อนผ่าวไล้ตามแนวเส้นเลือดสัมผัสนั้นแผ่ซ่านจนทำให้ทิวสนต้องขบกรามแน่นมือเรียวแตะไหล่เขาแนบ ก่อนจะเลื่อนลงประคองต้นแขนอย่างมั่นคงทุกความเคลื่อนไหวเธอทำด้วยความตั้งใจและแรงปรารถนาแบบไม่ลดละเพื่อให้เขาพึงพอใจมือเรียวไม่รอช้าเลื่อนขึ้นไปจับชายเสื้อเขานิ้วแตะไปที่กระดุมตัวแรกอย่างมั่นใจปลดกระดุมทีละเม็ดอย่างช้าๆ ชวนให้ใจสั่นไหวริมฝีปากยังคงลากไล้ไปตามซอกคออย่างไม่ลดละทิวสนเผลอหลับตาพริ้ม ปล่อยให้ความรู้สึกร้อนผ่าวโอบกอดจนหมดใจทิวสนส่ง
สัมผัสจากปลายนิ้วเย็นเฉียบลูบไล้เบา ๆ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเคล้าคลึงหนักหน่วงเธอเผลอแอ่นกายตอบรับ ไม่ใช่เพราะปรารถนา แต่เพราะลมหายใจของเขาฝังลึกอยู่ในหัวใจ ราวกับมันไม่เคยจากไปเลยสักวินาทีเดียว“เดี๋ยวก่อนค่ะ...ไม่มีถุงยาง”เสียงเธอดังขึ้น...เบาแต่ชัดเจนพอจะหยุดทุกการเคลื่อนไหว เสียงทุ้มต่ำของเขาตอบกลับในทันที ราบเรียบแต่แฝงความขัดใจ“คืนนี้มันไม่จำเป็น...“จำเป็นสิคะ”เธอปรายตามองเขานิ่ง ๆ “คุณไม่กลัวเหรอ? จันทร์เป็นเด็กขายตัวนะคะ ต้องรับแขกมากมาย...”เธอหยุดหายใจนิดหนึ่งก่อนเอ่ยต่อ ทั้งประชด ทั้งเจ็บ“อีกอย่าง...คุณก็นอนกับใครไม่ซ้ำหน้าอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ?”กับคนอื่น เขาไม่เคยต้องอธิบายพวกเธอพร้อมถวายกายถวายใจใต้เนื้อเขาราวกับนางบำเรอศิโรราบผู้จงรักแต่กับเด็กสาวบ้านนอกหน้าตาเรียบง่ายคนนี้...เขากลับต้องตั้งรับ ต้องหาคำพูด ต้องกลัวว่าเธอจะเข้าใจผิดทำไม ทิวสน... แค่เด็กขายตัวคนหนึ่ง ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะเจ็บสมองสั่งให้เย็นชา แต่หัวใจกลับเต้นโครมครามจนไม่ฟังเขาเอ่ยออกไปทันที ปากนำหน้าสมองเสียด้วยซ้ำ“ฉันนอนกับผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าจริง แต่ฉันมั่นใจในตัวเอง...”เขาโน้มตัวลง กระซิบช้า ๆ“ต