“เราทนใช้ชีวิตที่ไม่มีเธอไม่ได้ว่ะ” ผมกัดฟันแน่น เขย่าไหล่เธอเบาๆ อย่างออมแรง “ทั้งชูใจ ทั้งลูก เราต้องมีมันจริงๆ”
“...”
“ถ้าไปไม่ไหว ก็ขอให้คิดใหม่” ชูใจที่สบตาผมในระยะใกล้ ดวงตากลมโตของเธอเต็มไปด้วยน้ำตา เธอมองหน้าผม ก่อนที่จะเม้มริมฝีปากแน่น
และก่อนที่เธอจะได้อ้าปากตอบอะไรกลับมา ความใจร้อนของผมที่อยากได้เธอกลับมาก็ทำให้ผมเลื่อนหน้าเข้าไปจูบเธอหนักๆ ปากที่นุ่มละมุนของชูใจทำให้ผมกุมใบหน้าเธอไว้ ก้มหน้าลงอีกเมื่อรู้ตัวว่าตอนนี้ความสูงเรามันต่างกันเกินไป
ชูใจพยายามดันอกผมออก ทึ้งเสื้อผมจนมันยับ เธอพยายามดิ้นรนทุกทางที่จะทำให้เธอไม่ทรยศต่อความรักของไอ้ลูกโชน แต่ผมรู้ดี ความรักของแม่งมันเป็นของปลอมทั้งเพ
ถ้าเธอยังเชื่อไอ้เหี้ยนั่นที่มันตอแหลสร้างภาพมาว่ารักหลงเธอนักหนาแบบนั้นลง ผมก็ขอยอมเป็นคนเลวซะดีกว่า ที่จะต้องพยายามทำให้เธอท้องอีกทีในคืนนี้
สติผมเลือนราง พอๆ กับแรงผลักไสของชูใจที่เริ่มอ่อนลง ผมไล้ปากของผมไปตามปากเล็กๆ ของเธอ กัดปากล่างของร่างเล็กแล้วช้อนตัวเธอขึ้นอุ้ม
ตัวชูใจเล็กแถมเบาหวิว จนสงสัยว่าหลังจากเลิกกันเธอได้กินอะไรลงบ้างมั้ย ผมลืมตามองเธอระหว่างที่กำลังจูบซับน้ำตาให้เธอตอนที่อุ้มเธออยู่ทั้งตัว เห็นว่าชูใจหลับตาลง เธอซุกหน้าลงกับอกผมอย่างน่ารัก
แก้มขาวๆ ตอนนี้แดงก่ำ แดงจนกระทั่งผมวางเธอลงบนเตียง
“... โหน” เธอเรียกชื่อผมตอนที่ผมเคลื่อนกายมาคร่อมเธอเอาไว้ ชูใจสั่นหน้าเบาๆ เหมือนพยายามจะห้ามผม แต่เพราะความผูกพันที่เรามีให้กันมันมากเกินไป มือเธอถึงได้สั่นขนาดนั้น
“อย่าดื้อดิ” ผมกระซิบเสียงหนัก แล้วเธอก็เม้มปากอีก
“...”
“ขอร้อง อย่าดื้อกับสถานการณ์นี้เลย” ผมซบหน้าลงกับซอกคอของเธออย่างอ้อนวอน ชูใจนิ่งไป เธอไม่ขยับตัวใดๆ เธอเงียบไปนานมาก ก่อนที่ร่างเล็กจะตอบกลับมา
“ทำไม่ได้หรอกโหน” ผมชะงักไปเมื่อเห็นว่าเธอปฏิเสธ เหมือนจะเสียใจ แต่ก็ต้องเบิกตากว้างให้กับประโยคถัดไป
“...”
“ถ้าทำ... ลูกในท้องเราคงตกใจแย่”
ว่าไงนะ
ผมผละออกจากตัวเธอทันทีหลังจากได้ยินคำนั้น ชูใจขยับตัวนิดหน่อย เธอมีสีหน้ายุ่งยากนิดๆ ตอนที่พยายามจะยันตัวลุกขึ้น ผมที่ยังไม่หายช็อก แต่ก็ช่วยพยุงเธอขึ้นมา
“... ขอบคุณนะ” ร่างเล็กพูดเสียงอ่อน เธอเปลี่ยนท่ามานั่งพับเพียบ ในขณะที่ผมสบตาเธอ แต่เธอกลับไม่กล้าสบตาผมกลับ
“เธอ...” ผมพูดไม่ออก ได้แต่ลูบหน้าตัวเองแรงๆ “เธอหมายความว่าไง”
“นั่นสิเนอะ” เธอคลี่ยิ้มออกมา ตอบไม่ตรงคำถาม ก่อนที่จะลูบท้องตัวเอง ผมที่มองภาพนั้นได้แต่อึ้ง พูดเหี้ยไรไม่ออกไปเลยว่ะ
“ชูใจ” ผมคว้าไหล่เธอไว้แล้วบีบแน่น “เราสร่างเมาแล้วว่ะ”
“...”
“เธอหมายความว่าเธอยังมีลูก... ของเรา” ท้ายประโยคผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “อยู่ในท้อง?”
ชูใจมองหน้าผมกลับ ท่ามกลางความเงียบ เธอพยักหน้ารับเบาๆ
ผมอึ้ง มือที่กำไหล่เธอแน่นคลายลง พร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาแบบไม่รู้สึกตัว
ชูใจมีสีหน้าเศร้าเมื่อเห็นว่าผมร้องไห้ ผมสะอึกออกมา มองเธอที่เอื้อมมือเล็กๆ ที่ข้อมือเล็กเหมือนข้อมือเด็กมาปาดน้ำตาออกให้ผมอย่างเบามือ ผมมองหน้าเธอ เธอสบตาผม เรามองหน้ากันและกันโดยที่ไม่พูดอะไรออกมานานมาก
หัวใจผมเต้นแรงมากเลยว่ะ
“ทำไม” ผมถาม เสียงขาดไป “ทำไมเพิ่งมาบอก”
“...”
“ทำไมเพิ่งมาบอกตอนนี้?”
“ถ้าวันนั้นโหนแสดงออกว่าต้องการเรากับลูกมากกว่านี้ เราก็ว่าจะบอกอยู่นะ” เธอพูดออกมาตามตรง พูดออกมาแบบนั้น “วันนี้เราแค่เผลอพูดออกไปอ่ะ”
“...”
“แค่เผลอบอกไป... โดยที่ไม่หวังอะไรอีกแล้ว ว่าเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมรึเปล่า”
“...”
“เราไม่อยากโกหกใครอีก ไม่อยากทำตัวเหมือนพ่อกับแม่” เธอก้มหน้าลง “พี่ลูกโชนเองก็แค่คนที่ถูกพ่อแม่เราหลอกคนหนึ่ง”
“...”
“จริงๆ แล้วเราไม่บริสุทธิ์เลยล่ะ”
“พูดแบบนี้ทำไม” ผมแย้งทันที ผมไม่เห็นด้วยกับชูใจนะ “เธอคือผู้หญิงที่บริสุทธิ์มากสำหรับเรา”
“...”
“เธอไม่ได้ทำเพราะเต็มใจ เธอโดนพ่อแม่บังคับมาตลอด”
“...”
“เรารู้ดี... ว่าเราแม่งไม่เหมาะกับเธอ ตั้งแต่แรก” ผมใช้นิ้วโป้งปาดน้ำตาตัวเองที่ค้างอยู่ คว้ามือที่นุ่มละมุนของชูใจมาบีบไว้ “เรามันเห็นแก่ตัว ขี้ขลาด”
“...”
“แต่...” ผมฉีกยิ้มให้เธอ “เราโกหกตัวเองไม่ได้ ว่าชีวิตเราอยู่โดยไม่มีชูใจได้”
“...”
“เราก็แค่คนเห็นแก่ตัวคนนึง ที่อยากจะบอกว่า” ผมรั้งแขนเธอเข้ามากอดไว้แน่น และมันจะไม่มีวันสลัดออกได้หลังจากนี้ไป “ตั้งแต่นี้ เราจะสู้เพื่อเธอกับลูกในท้อง”
ถามว่าผมเห็นอะไร ตอนที่อยู่ที่ร้านเหล้าที่ไอ้ธามพามาฉลอง
ผมเห็นคนที่ชูใจไม่ควรเข้าไปเกลือกกลั้วที่สุดคนนึง มันกำลังนัวเนียอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง ผมแอบฟัง พอรู้ได้ว่าสองคนนี้เป็นแฟนกันมาก่อน และมาเที่ยวที่นี่เกือบทุกวัน
ที่มาเอาชูใจ ก็แค่เพราะตามหน้าตาทางสังคม แล้วก็ความพิศวาสหน้าตาชูใจเป็นการส่วนตัว
กลางวันมันเอาใจชูใจซะมากมาย แต่กลางคืนกลับไปชูคอกับแฟนตัวจริง
ผมในตอนแรกที่ไม่มีหวังอะไร ตอนนี้รู้สึกอยากสู้แม้จะไม่คาดหวังในความสัมพันธ์ของเราสองคนมาก ทั้งผมทั้งชูใจ ไม่มีอะไรผูกมัดกันไว้แล้วว่ะ จะกลับมายังไง ในสถานการณ์แบบนี้ ยังไงผมก็คือฝ่ายแพ้
แต่หัวใจผมกลับมาเต้นอีกครั้ง เมื่อเธอบอกผมวันนั้น
“ถ้าทำ... ลูกในท้องเราคงตกใจแย่”
คงไม่หูดับไป เพราะเธอยืนยันกับผมแล้ว ว่าเธอท้องได้เดือนกว่าๆ ระยะเวลาที่เธอท้อง นั่นพอจะบอกได้ว่าพ่อของเด็กในท้องเธอคือผม
ลูกยังอยู่กับเราสองคน
เชื่อปะ ผมไม่เคยรู้สึกฮึกเหิมเท่านี้มาก่อน
ฉันกลับมาแล้วล่ะจริงๆ ก็เพิ่งบินลงมาที่กรุงเทพเมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี่เอง ฉันกลับมาพร้อมกับลูก อุ้มลูกบินข้ามน้ำข้ามทะเลจากญี่ปุ่นมาที่ไทย เพื่อกลับมาสู่ชีวิตเดิมๆ ที่เคยเป็นอยู่พ่อแม่ดูดีใจที่เห็นหลาน แม้ว่าเวลาเกือบปีจะทำให้พวกเขาแทบไม่ค่อยเปลี่ยนไปก็ตาม แต่ไม่ได้บังคับอะไรฉันมากมายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว อีกอย่างตอนที่ฉันตัดสินใจบินไปที่ญี่ปุ่นกับพี่ชาย ฉันเข้าร่วมงานการ์ตูน ออกบู้ทมากมายเพื่อปรับปรุงฝีมือตัวเองที่ทิ้งหายไปนาน โดยมีพี่ชุนคอยดูแลบำรุงฉันที่ท้องโตขึ้นเรื่อยๆ อยู่เสมอฉันไม่ใช่นักวาดการ์ตูนที่ดังที่สุดในญี่ปุ่น แต่ก็พอมีคนรู้จักทั้งต่างประเทศ ญี่ปุ่น และประเทศไทย นามแฝงของฉันคือ ‘Peach’ฉันเริ่มทำงานด้วยการวาดสีน้ำขาย ก่อนที่จะปรับปรุงมาซื้ออุปกรณ์สำหรับวาดภาพในคอมพิวเตอร์ เม้าท์ปากกา โปรแกรมวาดรูปอะไรต่างๆ ที่ต้องซื้อมาอ้อ ฉันสักแบบมินิมอลเล็กๆ ตามจุดต่างๆ ของร่างกายด้วยนะ ขออนุญาตพี่ชายแล้วล่ะ มันก็ดูน่ารักดีเหมือนกัน มุมมองของฉันที่เคยมีต่อคนสักเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเลย ตั้งแต่มาคบกับโหน ฉันก็สนใจอะไรที่ตัวเองไม่ค่อยจะได้สัมผัสมากขึ้นอีกอย่างได้เรียนรู้แฟชั่นของญี่ปุ่
[พาร์ท : โหน]เป็นเกือบปีที่โคตรทรมานใช้ได้ถามว่าทำไมก็ตั้งแต่ที่ไปเคลียร์กับไอ้ลูกโชนวันนั้น มันก็ถอนหมั้นชูใจทันที แต่สาเหตุก็คงเพราะชูใจยังตั้งท้องกับผม ผมไม่รู้ว่ามันได้สารภาพเรื่องที่มันคบซ้อนหรือไม่ แต่ผมไม่สนเท่าไหร่ ขอแค่มันถอนหมั้นก็เป็นพอจะบอกว่าลูกทำให้ผมมีแรงผลักดันโง่ๆ ในเฮือกสุดท้ายก็ได้ และแม่งก็คงโง่จริงๆ เพราะหลังจากที่พ่อแม่เรียกชูใจมาคุยเรื่องที่ไอ้ลูกโชนถอนหมั้น ชูใจก็ตัดสินใจกลับต่างประเทศไปกับพี่ชายเธอ เห็นสายเพื่อนผมมันบอกมาว่าเธอจะอยู่ที่นั่นเป็นปีๆ จนกว่าจะคลอดลูก... ไม่รู้เธอจะกลับมาอีกมั้ยผมกระดกเหล้าลงคอ หลังจากวันนั้นก็ขอมาทำงานในร้านเหล้ากับพ่อ ทำมาได้เกินเกือบปีแล้วว่ะ แต่เป็นเกือบปีที่ผ่านไปได้อย่างยากลำบากผมไม่ได้เหนื่อยกับการรอคนที่ผมรัก เพราะตอนที่แอบรักเธอตอนสมัยเรียน ผมก็ทนมันได้เป็นปีๆแต่ความคิดถึงนี่ดิ มันผ่านยากมากว่ะผมนั่งคิดถึงเธอทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นเวลาทำงาน เวลานอน ทุกวินาทีลมหายใจผมมีแต่ชูใจคนเดียวเท่านั้น ผมตัดสินใจเลิกยุ่งกับใครๆ เพราะผมจะกลับมาหาเธออย่างเด็ดขาดแต่เธอหายไปในที่ที่ไกลเกินเอื้อมถึง เอาตรงๆ ก็ไม่มีเงินตามเธอไปด้วย ไม
ผมมาดักรอไอ้ลูกโชนที่ร้านเหล้าเดิมๆ มาเพื่อจะคุยกับมัน เพราะถ้ามันยังคิดจะยื้อชูใจไว้ต่อไป ผมก็ไม่ไว้หน้าเหมือนกันผมเห็นว่ามันโอบเอวแฟนตัวจริงมาด้วยกัน ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนที่ผมค่อนข้างไม่คุ้นตา เธอสวย แต่คงไม่เท่าชูใจของกูผมยืนดูดบุหรี่รอ พวกมันเดินไปเต้นที่โต๊ะด้วยกัน ท่าทางกระหนุงกระหนิงทำให้ผมรู้สึกเดือดดาล เป็นครั้งแรกที่รู้สึกอยากต่อยหน้ามันให้เละ แม้ว่าจากที่เคยสืบมา ตัวผมเองคงสู้กำลังมันไม่ได้ก็ตามจนมันย้ายมานัวเนียกันตรงจุดเดิม ผมเลยถือวิสาสะเดินไปขัด“ไอ้ลูกโชน” มันผละปากจากซอกคอของผู้หญิง ก่อนที่จะเลิกคิ้วมองผม ดูเหมือนไอ้ลูกโชนจะเมา“เหี้ยไร? มึงเป็นใคร” ผู้หญิงมองผมอย่างหวาดกลัว ผมแค่นหัวเราะที่มันเมามายจนจำหน้าผมไม่ได้ ก่อนที่จะผลักตัวหนาๆ ของมันจนเซไปทีนึง เพราะไอ้เวรนี่เมามากจนไม่มีสมรรถภาพจะพยุงร่างตัวเองได้เลย“กูมีเรื่องจะคุยกับมึง”“...”“ตัวต่อตัว”“มึงมีไรจะคุยกับกูวะไอ้ขี้ก้าง” ไอ้ลูกโชนพูดอย่างเหยียดหยาม มันมองหน้าผมที่จ้องหน้ามันกลับไปอย่างแน่วแน่ ผมเองก็พร้อมเหมือนกัน ถึงจะรู้ว่าสุดท้ายผมอาจจะสู้มันไม่ได้ก็ตาม“เรื่องชูใจ” ผมตอบไปสั้นๆ มันแค่นหัวเราะทันที“
“เราทนใช้ชีวิตที่ไม่มีเธอไม่ได้ว่ะ” ผมกัดฟันแน่น เขย่าไหล่เธอเบาๆ อย่างออมแรง “ทั้งชูใจ ทั้งลูก เราต้องมีมันจริงๆ”“...”“ถ้าไปไม่ไหว ก็ขอให้คิดใหม่” ชูใจที่สบตาผมในระยะใกล้ ดวงตากลมโตของเธอเต็มไปด้วยน้ำตา เธอมองหน้าผม ก่อนที่จะเม้มริมฝีปากแน่นและก่อนที่เธอจะได้อ้าปากตอบอะไรกลับมา ความใจร้อนของผมที่อยากได้เธอกลับมาก็ทำให้ผมเลื่อนหน้าเข้าไปจูบเธอหนักๆ ปากที่นุ่มละมุนของชูใจทำให้ผมกุมใบหน้าเธอไว้ ก้มหน้าลงอีกเมื่อรู้ตัวว่าตอนนี้ความสูงเรามันต่างกันเกินไปชูใจพยายามดันอกผมออก ทึ้งเสื้อผมจนมันยับ เธอพยายามดิ้นรนทุกทางที่จะทำให้เธอไม่ทรยศต่อความรักของไอ้ลูกโชน แต่ผมรู้ดี ความรักของแม่งมันเป็นของปลอมทั้งเพถ้าเธอยังเชื่อไอ้เหี้ยนั่นที่มันตอแหลสร้างภาพมาว่ารักหลงเธอนักหนาแบบนั้นลง ผมก็ขอยอมเป็นคนเลวซะดีกว่า ที่จะต้องพยายามทำให้เธอท้องอีกทีในคืนนี้สติผมเลือนราง พอๆ กับแรงผลักไสของชูใจที่เริ่มอ่อนลง ผมไล้ปากของผมไปตามปากเล็กๆ ของเธอ กัดปากล่างของร่างเล็กแล้วช้อนตัวเธอขึ้นอุ้มตัวชูใจเล็กแถมเบาหวิว จนสงสัยว่าหลังจากเลิกกันเธอได้กินอะไรลงบ้างมั้ย ผมลืมตามองเธอระหว่างที่กำลังจูบซับน้ำตาให้เธอตอ
แกรกฉันรีบเปิดประตูออกไปอย่างลืมตัว ด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี ฉันเห็นว่าเป็นโหนในลุคที่ดูต่างไปจากเคย เกือบเดือนที่ไม่ได้เจอกัน เขาเปลี่ยนแปลงทั้งสีผม รอยสักที่เพิ่มมากขึ้น และการแต่งตัวโหนที่ยืนจ้องหน้าฉันอยู่ที่หน้าประตู ฉันจ้องตาเขากลับไปเช่นกันแต่สิ่งที่ปรากฏในแววตาของเขา ฉันเห็นว่ามันเต็มไปด้วยความ... โหยหา?“... มาทำไมเหรอ” ฉันถามยิ้มๆ พยายามทำตัวเป็นปกติที่สุดกับเขา ยังไงก็ยังอยากเป็นเพื่อนเขาอยู่นะ ถึงเขาจะเริ่มต้นใหม่ไปแล้วก็ตามฉันคงเหมือนผู้หญิงโง่ๆ คนหนึ่ง ที่ผลักเขาออกไป ทำเหมือนโกรธเขาซะมากมาย แต่สุดท้ายก็โกรธไม่ลง แถมยังขาดเขาไม่ได้อยู่แบบนี้อีกโหนมองหน้าฉัน เขาฉีกยิ้มบางๆ กลับมา“คิดถึงเฉยๆ”“...!”“ผิดมั้ย ถ้ายังคิดถึงเธอ”ฉันนิ่งค้างไป นึกคำพูดออกมาไม่ได้เลย กลิ่นแอลกอฮอล์จากตัวเขาบ่งบอกว่าโหนคงจะเมา เพราะเขาเมาใช่มั้ย... เขาถึงมาที่นี่แต่ก็เพราะเมาอีกนั่นล่ะ ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นเลย“ผิดสิ” ฉันตอบกลับไป ทั้งๆ ที่ในใจสั่นไหวจนแทบบ้า นี่มันผ่านไปกี่วันแล้วนะ ที่ฉันไม่ได้ยินคำนี้จากเขา “เรามีแฟนแล้วนะ โหนก็มีแฟนแล้วเหมือนกัน”“...”“ถ้าแฟนโหนรู้ว่าโหนมาหาเรา...
จินมาหาผม นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกันเธอใส่ชุดสายเดี่ยว กางเกงขาสั้น ไม่ได้ดูเป็นสก๊อย แต่เธอโตแล้ว จินเป็นพนักงานบริษัท อายุมากกว่าผมแต่เธออยากให้ผมเรียกเธอว่าจินเหมือนเป็นรุ่นเดียวกัน เธอเดินมาหาผม ท่าทางเจิดจ้ากับใบหน้าสวยๆ ทำให้เพื่อนผมตะลึงไป“ฮาย โหน” เธอโบกมือแล้วเดินมาทักทายเพื่อนๆ ผม “สวัสดีค่ะ นี่เพื่อนโหนเหรอ พี่นั่งด้วยนะ”ผมนึกแปลกใจที่เธอพูดกับคนอื่นว่าพี่ แต่แทนตัวกับผมว่าเราแต่ผมไม่ได้คิดอะไรเลย กับเธอ“ครับ นี่พี่สาวโหนเหรอครับ” ไอ้รักที่เป็นตัวม่อหญิงถามท่าทางดี๊ด๊า ผมแค่นหัวเราะ“เปล่า”“...”“แฟนโหนอ่ะ”แต่ประโยคต่อไปของเธอกลับทำให้ทั้งผมและเพื่อนอึ้งบรรยากาศเริ่มกระอั่กกระอ่วนขึ้นมาทันที ผมที่ยกแก้วเหล้าจะกระดกชะงักไป หันไปมองจินที่ฉีกยิ้มแล้วอยู่ดีๆ ผมก็โกรธโกรธที่เธอทำแบบนี้ ทั้งที่ผมบอกเธอว่าผมยังลืมชูใจไม่ได้“จิน” ผมเรียกชื่อเธอสั้นๆ ร่างบางหันมามอง ผมผุดลุกขึ้นทันที ท่ามกลางสายตาเพื่อนๆ ทุกคนที่ไม่กล้าพูดห่าไร เพราะรู้ดีว่าผมกับชูใจเป็นอะไรกันอยู่ “เรามีเรื่องจะคุยด้วย”เคยเป็นดิ เพราะตั้งแต่วันนั้น ผมก็ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง นอกจากไอ้พัน“อะไรของ