ตอนที่ 6
ภายในห้องรับแขกตกอยู่ในภาวะเงียบงันอีกครั้งหลังจากบุตรสาวคนโตเดินออกไปพร้อมเงินนับแสนที่คนเป็นแม่ทนลูกตื๊อของบุตรสาวคนโตไม่ได้จึงได้ควักเงินหลายหมื่นให้บุตรสาวไปอีกครั้งจนถูกผู้เป็นสามีต่อว่าเข้าให้
“คุณกิต นี่คุณไม่คิดจะทำอะไรเลยหรือไง จะนั่งรอ นอนรอให้ธนาคารมายึดบ้าน หรือรอให้เจ้าหนี้มาฆ่ายกครัวก่อนหรือไง คุณถึงจะคิดได้ว่าควรทำยังไงต่อไปกับหนี้สินหลายสิบล้านของคุณ” คุณปภาดาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ หลังลอบมองสีหน้าของผู้เป็นสามีแล้วช่างขัดหูขัดตาเหลือทนกับท่าทีไม่ทุกข์ร้อนเหมือนเช่นหลายวันก่อน
“ผมจะขายบ้านหลังนี้ มันคงพอให้เราเอาไปใช้หนี้ได้บ้าง แล้วผมจะขอร้องเจ้าหนี้ให้เขาให้โอกาสเราได้ผ่อนผันบ้าง ส่วนเรื่องโรงแรม เมื่อสองวันก่อนมีตัวแทนของมหาเศรษฐีจากฮ่องกงมาขอซื้อกิจการและผมก็ตัดสินใจขายโรงแรมให้เขาไปแล้ว รอเพียงฝ่ายนั้นมาตกลงทำสัญญาซื้อขายกันเท่านั้น เราก็จะมีเงินไปใช้หนี้ แต่คงไม่พอ”
คุณกิตติตอบคำถามของภรรยาด้วยเสียงราบเรียบเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรกับสิ่งที่กำลังตกไปอยู่ในมือของคนอื่น ทว่าในใจของท่านนั้นสุดแสนเสียดายสิ่งที่ได้ก่อสร้างมากับมือ แต่จะให้ทำอย่างไรได้เพราะหากไม่ขายก็มีแต่ล้มละลาย และอาจถูกฆ่ายกครัวจริงตามที่ภรรยาพูดก็เป็นได้ หากไม่มีเงินไปใช้หนี้
“ไม่! ฉันไม่ยอมให้คุณขายบ้านนะคุณกิต” คุณปภาดาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว
“แต่ผมต้องการขาย เพราะเงินเราไม่พอใช้หนี้” คุณกิตติค้านด้วยน้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจ
“ก็แล้วทำไมคุณไม่ขายโรงแรมให้มันพอกับหนี้สินที่เรามีกันล่ะ ไม่ได้! ยังไงฉันก็ไม่ยอมให้คุณขายบ้านหลังนี้เด็ดขาด”
คนเป็นภรรยาค้านเสียงดังลั่นห้องนั่งเล่น เหล่าคนรับใช้ คนสวน ป้าช้อยต่างก็ชินชาไปเสียแล้วกับการโต้เถียงของคุณกิตติและคุณปภาดา ทว่าสำหรับปิ่นมุก...เธอตกใจกับเสียงเอะอะไม่น้อย ก่อนที่เสียงจะเงียบหายไปเมื่อเธอเดินออกมาชะโงกหน้ามองจากชั้นบน
โดยที่คุณกิตติเรียกให้คู่ชีวิตเข้าไปพูดคุยในห้องหนังสือเพราะไม่ต้องการให้ปิ่นมุกมารับรู้เรื่องหนี้สินของครอบครัว เพราะอีกไม่กี่สัปดาห์ ปิ่นมุกต้องแต่งงานกับอธิป ส่วนปฐวีและปิ่นสุดา ท่านจะมอบเงินให้คนละก้อนเพื่อให้สองพี่น้องไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศและไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก เพราะรู้ดีว่าตนไม่มีปัญญาหาเงินแปดสิบล้านได้แน่
“คุณจะเอายังไง แต่ฉันไม่ให้คุณขายบ้านหลังนี้เด็ดขาด” เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องสมุดได้คุณปภาดาก็เปิดฉากขึ้นทันทีด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว
“ผมต้องขาย เพราะเงินมันไม่พอ ธุรกิจโรงแรมของเราขายได้ไม่ กี่สิบล้าน แล้วผมก็เอาเงินจากตรงนั้นไปจ่ายดอกเบี้ยให้ธนาคารบางส่วนและจ่ายหนี้ที่กาสิโน เพราะฉะนั้นผมจำเป็นต้องขาย แล้วผมจะมอบเงินก้อนใหญ่ให้เจ้าปัดกับยัยเปรมไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ แล้วไม่ต้องกลับมาอีกยัยปิ่นผมจะให้แกแต่งงานกับอธิป ส่วนคุณกับผม เราจะไปหาบ้านเช่าอยู่กันตามลำพัง” คุณกิตติบอกเสียงเรียบๆ ด้วยหวังว่าคู่ชีวิตจะอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน เมื่อส่งลูกทั้งสามไปอยู่ในที่ปลอดภัย
“ฉันไม่ยอมไปอยู่ห้องเช่ากับคุณแน่คุณกิต เพราะถ้าคุณจะส่งตาปัดยัยเปรมไปอยู่ต่างประเทศจริง ฉันก็จะไปอยู่ด้วย แล้วก็เชิญคุณกับ ยัยปิ่นหาเงินใช้หนี้กันเองเถอะ แล้วคุณก็รีบๆ ขายไปซะเลยไอ้คฤหาสน์หลังนี้น่ะ ฉันกับตาปัด ยัยเปรมจะได้รีบไปอยู่ต่างประเทศเสียที” คุณปภาดารีบเสนอเพราะไม่อยากอยู่ให้อับอายผู้คน
“คุณภา” คนเป็นสามีครางออกมาแทบไม่เชื่อหู ก่อนเฝ้ามองคู่ชีวิตด้วยสายตาตัดพ้อ
“อย่ามามองฉันแบบนี้คุณกิต เพราะฉันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหนี้สินของคุณเลยสักนิด แต่เป็นคุณเองต่างหากที่บอกว่าจะเดินทางไปติดต่องานต่างประเทศอยู่บ่อยครั้ง แต่ที่แท้คุณก็เอาเงินไปถลุงเล่นที่กาสิโนจนหมดตัว เพราะฉะนั้นฉันจะหย่ากับคุณ! แล้วก็เชิญคุณหาทางแก้ไขปัญหานี้เองเถอะ”
น้ำเสียงของผู้เป็นภรรยาพูดออกมาแต่ละคำช่างบาดลึกทำร้ายใจคนฟังยิ่งนัก คุณกิตติเลยได้แต่เฝ้ามองภรรยาด้วยความเสียใจ ทว่าคุณปภาดาไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้านกับสายตาตัดพ้อต่อว่าของสามีแต่กลับเร่งเร้าเอาคำตอบเรื่องหย่าแทน
นาทีถัดมาคุณกิตติจึงพยักหน้ายอมตกลงโดยไม่โต้แย้งแม้แต่คำเดียว แล้วก็ได้แต่มองตามคู่ชีวิตเดินออกไปจากห้องนั่งเล่นด้วยความปวดร้าวใจ แม้ว่าไม่ได้ตั้งใจครองคู่เป็นสามีภรรยากับปภาดามาแต่แรกก็ตามที แต่เป็นเพราะความผิดพลาดในอดีต ทำให้ต้องรับผิดชอบและแต่งงานกับปภาดาแทนตวงรัตน์ หญิงสาวอันที่เป็นรักและกำลังจะสร้างครอบครัวด้วยกันแต่ก็ไปไม่ถึงฝั่งฝัน
เสียงถอนใจหนักหน่วงถูกผ่อนออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ใจหนึ่งก็ภาวนาให้ภรรยาหวนกลับเข้ามาในห้องนั่งเล่นและบอกว่าจะอยู่เคียงข้าง เพื่อร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน แต่ทุกอย่างก็เป็นเพียงแค่ความหวังลมๆ แล้งๆของคุณกิตติเท่านั้น เมื่อภรรยาไม่ได้หวนกลับคืนมาแต่อย่างใด ขณะที่คุณปภาดาก็เรียกหาสาวใช้ให้มาช่วยจัดกระเป๋าและติดต่อลูกทั้งสองคนทว่าคนเป็นแม่กลับติดต่อไม่ได้แม้แต่คนเดียว
ตอนอวสาน“จินหลง เป็นอะไรไปคะ โอ๋ๆ เงียบนะคะ” ปิ่นมุกหันมาโอ๋ลูกน้อยด้วยสีหน้ากังวล ห่วงพ่อของลูกก็ห่วง ห่วงลูกก็ห่วง ส่วนจินหลงก็ไม่ยอมเงียบ ป้าช้อยอาสาอุ้มจินหลงแล้วสั่งให้ปิ่นมุกลงไปดูคนนั่งตากฝนอยู่หน้าบ้านพัก เธอลังเลเล็กน้อยแล้ววิ่งไปคว้าร่มอันใหญ่ออกไปหาคนหน้าบ้านพักที่นั่งตัวสั่นปากสั่นไปหมด“คุณถัง! ทำไมคุณถึงได้ดื้อแบบนี้ล่ะคะ ถ้าคุณเป็นอะไรไป ฉันกับลูกจะอยู่ยังไงล่ะคะ” ปิ่นมุกลืมเลือนทุกสิ่งไปหมดแล้วเพราะเป็นห่วงเขาจนเผลอพูดความในใจออกไป เธอกางร่มคันใหญ่เข้าบังเม็ดฝน ใช้ผ้าที่ถือติดมือมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้คนดื้อรั้นที่ดื้อยิ่งกว่าเด็กสามขวบ“ฉันยอมตายปิ่นมุก หากเธอไม่ยอมอภัยให้ ฉันรักเธอ ปิ่นมุก ฉันทำใจไม่ได้ถ้าไม่มีเธออยู่กับฉัน เธอรู้บ้างไหมว่าฉันทรมานแค่ไหนตลอดสองปีที่ผ่านมา ฉันคิดถึงเธอมาก แต่ฉันไม่กล้ากลับมาหาเธอ เพราะฉันคิดว่าสักวัน ฉันจะลืมเธอให้ได้ เหมือนที่เธอลืมฉัน แต่ฉันก็ทำไม่ได้ แล้ววันนี้ก่อนที่ฉันจะตายฉันอยากมาพบเธอ อยากกอดเธอสักครั้ง แล้วฉันจะยอมตาย...ตายอยู
ก่อนอวสานหนึ่งชั่วโมงถัดเสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังรบกวน คุณแม่ลูกหนึ่งจึงชะเง้อคอมองผ่านหน้าต่างแต่เพราะเวลานี้มืดค่ำแล้วจึงมองเห็นไม่ถนัดนัก ปิ่นมุกหันมามองลูกชายที่ตอนหลับปุ๋ยไปแล้ว แล้วเดินลงไปดูคนมาที่กดกริ่งหน้าบ้านพักหลังจากคว้าเอาเสื้อคลุมมาสวมทับชุดนอน เจ้าของบ้านหยุดปลายเท้าทันทีเมื่อเห็นใครบางคนนั่งอยู่บนรถเข็น หน้าตาเขาซูบผอมจนน่าใจหาย ตอนรู้ว่าคุณถังประสบอุบัติเหตุ เธอไม่ได้คิดว่าเขาจะมีร่างกายผ่ายผอมมากถึงเพียงนี้ ใบหน้าหล่อเหลาบัดนี้ก็ซีดเซียวเหมือนคน ไร้ชีวิตชีวา ปิ่นมุกยืนอยู่ลานหน้าบ้านเพราะสับสน เธอสับสนจริงๆ มันอธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกแบบไหน“ปิ่นมุก” ถังเฟ่ยหลงใช้มือดันล้อรถให้เข้ามาชิดรั้วบ้านมากขึ้น แววตาเศร้าหมองทอดมองร่างเล็กนิ่ง“คุณ...มาทำอะไรคะ” ไม่ได้อยากถามคำถามนี้เลยจริงๆ แต่เพราะไม่รู้จะถามอะไรทำให้ปิ่นมุกเอ่ยคำถามนี้ออกไปแล้วก็ได้แต่รอฟังอย่างใจจดใจจ่อ“ฉันมาหาเธอ ฉันอยากเห็นหน้าเธอ อยากคุยกับเธอ อยากกอดเธอ ก่อนที่ฉัน...” เจ้าของคำพูดรู้สึก
ตอนที่ 115แต่ใครเลยจะรู้ว่าปิ่นมุกที่ทำทีไม่สนใจพ่อของจินหลงอยู่ทุกวันนั่น เธอคิดถึงพ่อของจินหลงอยู่ทุกวัน แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเรื่องระหว่างเธอและคุณถัง มันเหมือนมีเส้นใยบางเบามาขวางกั้นเอาไว้ มันบางเบาแต่ก็จริงแต่เธอยังทำลายมันจากใจไม่ได้หมดเสียที เธอจำได้ไม่เคยลืมถึงสิ่งที่ คุณถังฝากความเจ็บช้ำไว้ให้เธอ แม้ความเจ็บช้ำมันจะน้อยลงทุกวันแต่เธอไม่เคยลืมเลือนได้“แล้วตกลงวันนี้ เราจะทำอะไรกันบ้างคะพี่มะลิ” ปิ่นมุกเปลี่ยนเรื่องก่อนฉวยเอาตะกร้าผักไปล้าง“คุณปิ่นคะ ผักนั่นน่ะพี่ล้างหมดแล้วละค่ะ” มะลิบอกอย่างเอ็นดูรู้สึกใจชื้นขึ้นมาเพราะอย่างน้อยคุณปิ่นมุกก็ยังคงอาลัยอาวรณ์คนที่หายหน้าหายตาไปอยู่เหมือนกัน แล้วยิ่งคุณหนูจินหลงหน้าตาเหมือนพ่อขนาดนั้น สักวันเถอะกำแพงในใจของคุณปิ่นมุกต้องพังทลายลงสักวัน“ล้างแล้วก็ล้างอีกได้นี่คะพี่มะลิ” บอกเสียงอ้อมแอ้ม แล้วก็ลงมือล้างผักอย่างตั้งใจ แต่จิตใจกระหวัดถึงใบหน้าหล่อเหลาของคนบางคนที่เหมือนลูกชายของเธอ“ก็ได้ค่า ล้างให
ตอนที่ 114 ตอนที่ 1142 ปีต่อมา... นับจากวันที่ได้จากกันในวันนั้น ปิ่นมุกไม่เคยได้ข่าวคราวของคนป่าเถื่อนอีกเลย เขาทำตัวหายไปจริงๆ พร้อมกับเรื่องราวในอดีตก็ค่อยๆ ลบเลือนไปจากใจของเธอเช่นกัน บิดามักพูดเสมอว่าให้ลืมไปเสียแม้จะยากแต่ก็ต้องลืมเพื่อให้มีแรงเดินต่อไป หลังจากเธอบอกกับบิดาว่าเธอท้อง เมื่อรู้ว่าท้อง เธออยากบอกเขาเหลือเกิน แต่เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นจึงไม่คิดหวนกลับไปและบอกตัวเองว่าให้ลืมคนป่าเถื่อนคนนั้นซะ แต่ยิ่งพยายามลืมเขา ใจกลับก็ยิ่งจดจำและโหยหาเขา โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าคนที่จำใจจากหญิงที่รักไปนั้น ได้ประสบอุบัติเหตุจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดและตอนนี้อาการของถังเฟ่ยหลงก็น่าเป็นห่วงมากเพราะเจ้าตัวไม่ยอมรับการทำกายภาพบำบัดเพื่อให้กลับมาเดินได้เป็นคนปกติอีกครั้ง ถังเฟ่ยหลงท้อแท้หมดกำลังใจ หมดพลังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ ทั้งที่พยายามตัดใจแต่เขาไม่เคยลืมปิ่นมุก อยากกลับไปหาเธอแทบขาดใจ แต่ไม่กล้าไปส
ตอนที่ 113“ไม่ไป ฉันไม่ยอมห่างจากเธออีกแล้วนะปิ่นมุก เพราะอะไรปิ่นมุก ตั้งแต่เธอได้กลับไปอยู่บ้าน เธอก็เอาแต่หลบหน้าหลบตาฉัน เธอคิดจะทรมานฉันหรือไง ฉันรู้ว่าฉันผิด...ผิดมาก ผิดจนเธอคงไม่ให้อภัยฉัน แต่ฉันอยากขอโทษ ขอให้คนเลวๆ อย่างฉันได้แก้ตัวบ้างไม่ได้เชียวเหรอ เธอจะทำอะไรกับฉันก็ได้ แต่ขออย่าผลักไสฉันไปไหน ได้ไหมปิ่นมุก ฉันรักเธอ ได้ยินไหมว่าฉันรักเธอ” น้ำเสียงของถังเฟ่ยหลงดูเศร้าหมอง แววตาคม แดงก่ำเพราะหวาดกลัวว่าจะต้องสูญเสียเธอไป ใบหน้าหล่อเหลาเบียดเข้าใกล้อีกครั้ง“ฉันเหม็นคุณ” ปิ่นมุกยกมือดันใบหน้าหล่อเหลาออกห่าง แล้วเอ่ยเสียงสั่นเครือยามได้เห็นแววตาคมแดงก่ำ“นะปิ่นมุก ให้ฉันได้มีโอกาสชดเชยสิ่งที่เคยทำร้ายเธอ เธอคือดวงใจของฉันนะปิ่นมุก ฉันมันเลว ใจร้าย ป่าเถื่อน อย่างที่เธอประณามฉัน แต่ฉันอยากขอโอกาสบ้างสักครั้ง นะปิ่นมุกขอโอกาสให้ฉันบ้างได้ไหม” ฝ่ามืออุ่นกุมสองมือเล็กขึ้นจุมพิตซ้ำๆ กันอยู่อย่างนั้น นาทีนี้ถังเฟ่ยหลงไม่คิดอายใครอีกแล้วที่จะต้องหลั่งน้ำตาเพื่อวอนขอโอกาสจากหญิ
ตอนที่ 112ดวงตาคู่สวยเริ่มรื้นด้วยหยาดน้ำตาเมื่อหวนนึกถึงเรื่องในอดีต เพราะหากเธอยอมอยู่เป็นครอบครัวกับคุณถังก็เหมือนคนอกตัญญูที่ไปรักกับคนที่ทำให้คนในครอบครัวของเธอเสียชีวิต แต่หากเธอเลือกที่จะเดินคนละเส้นทางกับคุณถังหัวใจของเธอก็เจ็บปวดมากเช่นกัน แต่สักวันเธอก็หวังว่าความเจ็บปวดจะจางหายไปในที่สุด เมื่อไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกัน ไม่ต้องมาเห็นหน้ากัน เวลา...เวลาอาจช่วยเยียวยารักษาหัวใจบอบช้ำของเธอ ‘เพราะเราสองคนรักกันไม่ได้’“ลูกปิ่น” คุณกิตติขานเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“เราสองคนรักกันไม่ได้ค่ะ” ปิ่นมุกเงยหน้าตอบบิดาเสียงแผ่วๆ ยกนิ้วปาดน้ำตาที่ไหลนองสองแก้ม คุณกิตติจึงรั้งบุตรสาวคนเล็กเข้ามาปลอบประโลมขณะที่ด้านหน้าของศาลาริมน้ำ ถังเฟ่ยหลงและลูกน้องรวมถึงคุณตวงรัตน์และบุตรชายก็จับกลุ่มยืนพูดคุยกันและมองมายังสองพ่อลูกด้วยความเป็นห่วง ส่วนปิ่นมุกหลังได้รับอ้อมกอดอบอุ่นจากบิดานานหลายนาที เธอจึงเอ่ยชวนให้บิดากลับบ้านพักเพื่อจบปัญหาเรื่องระหว่างเธอและคุณถัง คุณกิตติก็ไม่คิดซ