ที่เหนือความคาดหมายก็คือ แม่เฒ่าเสื้อป่านสีดำพยักหน้าทันที“มีอยู่จริงแน่นอน นั่นคือสถานที่ที่เหล่าทวยเทพอาศัยอยู่”ทวยเทพหรือ?สีหน้าของหลานซื่อและเวินเฉวียนเซิ่งกับพวกเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยเพราะความจริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหลานซื่อหรือเวินเฉวียนเซิ่ง ก่อนมาพวกเขาต่างรู้สึกว่า “หมู่บ้านเซียนเมาแห่งลำธารซีถง” ที่ว่านั้นน่าจะเป็นเรื่องหลอกลวงเซียนเอยเทพเอยอะไรกัน โลกนี้จะมีสิ่งเหล่านี้อยู่จริงได้อย่างไร?เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเท่านั้นเองดังนั้นตั้งแต่แรกเริ่ม ทั้งสองต่างคิดไว้แล้วว่าไม่น่ามีความเป็นไปได้ที่จะหาเจอเพียงคิดว่าจะลองหาดูไปเรื่อย ๆ หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีจริง ก็จะได้เริ่มสะสางเรื่องราวระหว่างพวกเขาเสียทีแต่ใครจะคิดว่า ที่แห่งนี้กลับมีอยู่จริง?ดังนั้นแผนที่สมบัติของสกุลหลานก็เป็นของจริงด้วยสินะ?หลังจากหลานซื่อได้รับคำตอบของคำถามแรกและนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก็เตรียมถามคำถามที่สองอีกแต่ครั้งนี้นางยังไม่ทันเอ่ยออกไป ก็มีคนชิงถามขึ้นก่อนว่า“เหล่าทวยเทพที่ท่านพูดถึงเมื่อครู่ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่? ยังอยู่ที่นั่นใช่ไหม?”เสียงพูดดังมาจากหน้าป
“ที่ไหนกันเล่า ท่านยายก็ไม่ได้ล่วงเกินพวกเราเลย ข้าจะไม่สนใจความยินยอมของท่านยายได้อย่างไรกัน?”หลานซื่อยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิมแม่เฒ่าเสื้อป่านสีดำอดไม่ได้ที่จะกลอกตาใส่ “เช่นนั้นก็เข้ามาสิ แต่พวกเจ้าคนเยอะเกินไป อนุญาตให้เข้ามาได้แค่สามคนเท่านั้น”หลานซื่อพาผู้สื่อสารหลี่มาด้วย ส่วนเสี่ยวหานนั้นให้อยู่เฝ้าข้างนอกเวินเฉวียนเซิ่งย่อมตามเข้าไปอยู่แล้ว อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนที่ออกค่าใช้จ่ายล่วงหน้า แม้จะไม่ใช่เลือดของเขาก็ตามหลังจากเข้าไปในเรือนแล้ว หลานซื่อกำลังคิดจะก้าวเท้าเข้าไปในห้อง แม่เฒ่าเสื้อป่านสีดำในห้องก็พูดขึ้นว่า “เอาเจ้าตัวน้อยที่เจ้าวางไว้ข้างนอกนั่นออกไป มันเหยียบดอกไม้ของยายพังหมดแล้ว เดี๋ยวถ้าเจ้าไม่ให้ของอะไรไว้เป็นค่าชดเชย ยายจะถลกหนังของเจ้าเอาไปทำปุ๋ยใส่ดอกไม้”เมื่อได้ยินคำพูดที่น่าสะพรึงกลัวนี้ นอกจากหลานซื่อจะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยแล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเลยนางรู้ว่าอีกฝ่ายสังเกตเห็นงูเขียวน้อยตัวนั้นแล้ว จึงโบกมือเรียกงูเขียวน้อยให้ออกมาจากพุ่มดอกไม้ทันทีที่เห็นงูตัวนั้น สีหน้าของผู้สื่อสารหลี่ก็ซีดเผือดเล็กน้อย “นี่…นี่มันงูพิษ!”ส่วนเวินเฉวียนเซิ
เวินเฉวี่ยนเซิ่งที่ได้ยินเสียงของเวินเยวี่ยได้หันกลับไปหานาง “เป็นอะไรไป?”เวินเยวี่ยขมวดคิ้วกล่าวว่า “ท่านพ่อ เมื่อครู่ข้ารู้สึกว่าเหมือนมีคนกำลังจ้องมองข้าอยู่เจ้าค่ะ”“จ้องมองเจ้าหรือ? ตอนนี้ก็ยังอยู่อีกหรือ?”เวินเฉวี่ยนเซิ่งหรี่ตาทั้งสองลง กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ลานกลางเผ่าเวินเยวี่ยส่ายหน้า “ตอนนี้ไม่อยู่แล้วเจ้าค่ะ”เวินเฉวี่ยนเซิ่งได้ยินดังนั้นก็ถอนสายตากลับ “ไปเถิด ประเดี๋ยวหากสังเกตเห็นอะไรอีก เจ้าก็รีบบอกพ่อก่อน”สองพ่อลูกจึงเดินตามหลานซื่อกับพวกที่อยู่ด้านหน้าอีกครั้งความเคลื่อนไหวของพวกเขาทั้งสอง หลานซื่อย่อมสังเกตเห็นอยู่แล้วแต่นางก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งเพราะคนที่อยู่ในความมืดนั้นชัดเจนว่าพุ่งเป้าไปที่เวินเยวี่ย เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดแน่หลานซื่อรีบเดินตามแม่เฒ่าเสื้อป่านสีดำไป ครั้นไล่ตามไปถึงระยะห่างสี่ห้าเมตรนางก็ไม่ได้ตามติดอีก แต่ชะลอฝีเท้าลง ค่อย ๆ ตามหลังอีกฝ่ายแม่เฒ่าเสื้อป่านสีดำได้ยินเสียงฝีเท้าที่อยู่ข้างหลัง แต่นางไม่ได้หันกลับไปมอง และไม่ได้เอ่ยปากห้ามไม่ให้หลานซื่อกับพวกตามไปเดินกันไปเช่นนี้เรื่อย ๆ จนผ่านไปหนึ่งเค่อ พวกเขาก็มาถึงหน้าเรือนเล็กห
หลานซื่อเหลือบมองผู้สื่อสารหลี่คราหนึ่งผู้สื่อสารหลี่มองไปยังอีกฝ่ายอย่างเข้าใจความหมายทันที “คนที่พวกเราตามหาคือคนที่รู้จักนายน้อยของเรา”“อะไรนะ?”เด็กชายหมาป่าแขนเดียวอึ้งไปชั่วขณะ “คนที่รู้จักนายน้อยของพวกท่านหรือ?”ผู้สื่อสารหลี่ผายมือไปทางหลานซื่อ แนะนำให้เด็กชายหมาป่าแขนเดียวรู้จักด้วยท่าทีสุขุม “นี่คือนายน้อยของเรา”เด็กชายหมาป่าแขนเดียวมองไปยังหลานซื่อด้วยความสงสัยทันที “ท่านคือนายน้อยเผ่าโยวหลานหรือ? แต่ข้าเคยเจอนายน้อยเผ่าโยวหลานมาก่อน ท่านหน้าตาไม่เหมือนเขาเลยนี่”หลานซื่อยิ้มกริ่มอย่างไม่ตื่นตระหนกพลางเอ่ยปากว่า “ก็เพราะเขาตายแล้วน่ะสิ”เด็กชายหมาป่าแขนเดียวสะดุ้งตกใจทันทีแต่แล้วก็เหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง พินิจมองหลานซื่อตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วพยักหน้า “สงสัยท่านจะฆ่าพี่ชายของท่านสำเร็จ แล้วขึ้นเป็นนายน้อยคนใหม่ของเผ่าโยวหลาน ไม่น่าแปลกใจที่เมื่อก่อนข้าไม่เคยพบพวกท่าน”หลานซื่อเห็นว่าตบตาสำเร็จแล้ว ก็แสร้งพยักหน้าอย่างจริงจัง “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็พาพวกเราไปตามหาคนได้หรือยัง?”เด็กชายหมาป่าแขนเดียวเกาศีรษะ “แต่คำพูดของพวกท่านมันแปลกเกินไป ก่อนห
เวินเฉวียนเซิ่งชำเลืองมองหลานซื่อ จากนั้นถอยไปหนึ่งก้าว มอบอำนาจตัดสินใจให้นางหลานซื่อกล่าวด้วยสีหน้าคงเดิม คำพูดที่ออกมานั้นกลับเป็นภาษาต่างเผ่า “เผ่าโยวหลาน”ผู้เฒ่าฝ่ายตรงข้ามได้ยินว่าเป็นคนจากเผ่าโยวหลาน จึงถามว่า “มาด้วยเหตุอันใด?”หลานซื่อตอบว่า “มาหาคน”เป็นภาษาต่างเผ่าอีกครั้งเวินเฉวียนเซิ่งมองนางอีกครั้งด้วยสายตาแฝงนัยอันลึกซึ้งเขาไม่รู้เลยว่า บุตรสาวของตนผู้นี้ไปเรียนภาษาต่างเผ่ามาตั้งแต่เมื่อใด?ก่อนมา หรือหลังจากมาแล้ว?ต้องเรียนรู้หลังจากมาแล้วเป็นแน่หลานซื่อในอดีตไม่เข้าใจภาษาต่างเผ่านี้เลย แต่ระหว่างทางมา นางใช้เวลาเรียนรู้ภาษาต่างเผ่าแบบเร่งด่วนจากอวิ่นซิงเพียงไม่กี่คำแม้ว่าอวิ่นซิงจะช่วยให้นางฟังเข้าใจได้ แต่ถ้อยคำที่ออกมาก็ยังต้องให้นางพูดเองแต่แค่ฟังเข้าใจ แล้วพูดซ้ำตามคำพูดของอวิ่นซิง ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรและนางก็ไม่จำเป็นต้องพูดมากเกินไปเสี่ยวหานที่อยู่ข้างหลังนางได้คว้าตัวผู้สื่อสารหลี่ซึ่งเป็นคนในคณะที่สามารถพูดภาษาต่างเผ่าได้มาอยู่ข้างกายแล้วหลานซื่อแค่ต้องพูดประโยคสำคัญไม่กี่คำ เพื่อยืนยันตัวตน แล้วการสื่อสารที่เหลือก็โยนให้ผู้สื่อสารหลี่
ชางชิงหลานแสดงสีหน้าไม่อยากเชื่อ “เหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้?”เยี่ยนจือเอ่ยอย่างหมดคำพูด “เพราะตอนนั้นท่านกำลังยุ่งอยู่กับการเพาะเลี้ยงราชากู่ของท่าน คำพูดของราชาใหญ่ท่านยังไม่ทันได้ฟังให้ชัดเจน ก็โบกมือบอกว่าให้พวกเขาตัดสินใจกันตามสบาย จากนั้นก็วิ่งออกไป”มุมปากของชางชิงหลานกระตุกในทันใดเยี่ยนจือยังตอกย้ำอีกว่า “อ้อ ใช่แล้ว ก็คือราชากู่ของท่านที่หายไปแล้วนั่นอย่างไร"ชางชิงหลาน “...””เยี่ยนจือ”“ขอรับ”ชางชิงหลานจับราวจับเกี้ยว มองเขาอย่างเยือกเย็นจากที่สูง “แค่ชาคำเดียวเอง ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้กระมัง?”เยี่ยนจือเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ยังมีน้ำลายของท่านด้วยขอรับ”วินาทีต่อมา...“พลั่ก!”เยี่ยนจือก็ถูกถีบกระเด็นออกไปใครคนนั้นทิ้งท้ายไว้ว่า “เก็บกวาดสิ่งไร้ประโยชน์พวกนี้ให้หมดจด เก็บกวาดเสร็จเมื่อไหร่ค่อยกลับมาเมื่อนั้น”แล้วเขาก็สั่งให้คนรีบไปโดยไม่เหลียวหลังทิ้งให้เยี่ยนจือยืนอยู่ที่เดิมอย่างหมดคำพูด รอจนเกี้ยวของชางชิงหลานหายไปจากสายตา เขาจึงถอนสายตาหันไปมองผู้คนเหล่านั้นที่คุกเข่าอยู่บนถนนหมูดูเหมือนจะรับรู้ได้ว่าภยันตรายกำลังจะมาถึง ใบหน้าของคนเหล่านั้นเผ