เมื่อความคิดที่สองผุดขึ้น คนแรกที่แวบผ่านเข้ามาในหัวของเวินซื่อก็คือเวินเยวี่ยนอกจากนาง เวินซื่อนึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีใครใช้โอกาสนี้เล่นงานนางอีกหนำซ้ำยังหลอกใช้อันหลันซินเวินซื่อหลุบตาลงเล็กน้อย ในแววตามีความหม่นหมองแวบผ่านหลังจากกลับไปถึงอารามสุ่ยเยว่ม่อโฉวซือไท่รีบมาหานาง ใบหน้าที่ยามปกติมีแต่ความเข้มงวดยามนี้เต็มไปด้วยความกังวล“อู๋โยว ทำไมจึงต้องไปจินโจวให้ได้ล่ะ? พิธีขอฝนในครั้งก่อนล้วนจัดขึ้นที่เมืองหลวงไม่ใช่หรือ?”ม่อโฉวซือไท่ก็เอ่ยถามความสงสัยเช่นเดียวกับเป่ยเฉินหยวนเวินซื่อหัวเราะพร้อมจับมือม่อโฉวซือไท่ “ฝ่าบาทแจ้งชัดเจนแล้ว ครั้งนี้ภัยแล้งที่จินโจวหนักหนาสาหัส เดินทางไปจินโจวเพื่อปลอบประโลมราษฎรให้มากขึ้น แต่อาจารย์ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ ฝ่าบาทรับสั่งให้ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนคุ้มกันข้าไปด้วยตัวเอง ตลอดทางน่าจะไม่มีอันตรายใดเจ้าค่ะ”เวินซื่อแค่พูดไปตามสิ่งที่ปรากฏผิวเผินไม่ได้บอกม่อโฉวซือไท่ ว่าความจริงพิธีขอฝนในครั้งนี้อาจเป็นกับดักที่ผู้อื่นวางแผนเอาไว้สำหรับนางนางจำเป็นต้องไปร่วมพิธีขอฝนให้ได้แต่คนที่อยากอาศัยโอกาสนี้ทำร้ายนางก็อย่าคิดจะสมหวังห
ระหว่างทางกลับ เวินซื่อซบลงบนหลังจู๋เยวี่ย โอบกอดนางเบาๆนายบ่าวทั้งสองต่างเข้าใจตรงกันว่าจะไม่พูดถึงความลับเมื่อครู่นี้คนหนึ่งเปิดเผยความลับ ส่วนอีกคนก็เก็บงำความลับให้นางหลังจากที่กลับถึงอารามสุ่ยเยว่ ท้องฟ้าก็สว่างแล้วจริงๆเวินซื่อจึงไม่ได้กลับไปนอนอีกนางดื่มน้ำทิพย์ในมิติเล็กน้อย เพื่อเพิ่มความสดชื่นให้ตนเอง ก่อนที่เป่ยเฉินหยวนจะมาถึง นางก็เรียกจู๋เยวี่ยออกมาอีกครั้งเพราะนางตั้งใจจะมอบหมายงานอย่างหนึ่งให้จู๋เยวี่ย“จู๋เยวี่ย ก่อนหน้านี้เจ้าน่าจะเคยเห็นองครักษ์ลับที่อยู่ข้างกายเจิ้นกั๋วกงแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง รับมือได้หรือไม่?”จู๋เยวี่ยพยักหน้า “ได้เจ้าค่ะ”“ถ้าเช่นนั้น หลังจากที่ข้าออกเดินทางไปพร้อมกับรถม้าของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนหนึ่งวันแล้ว เจ้าช่วยไปลักพาตัวคนคนหนึ่งที่จวนเจิ้นกั๋วกงมาให้ข้าที”“เจ้าค่ะ”จู๋เยวี่ยพยักหน้ารับคำโดยไม่ถามด้วยซ้ำว่าเป็นใครเวินซื่อยิ้ม “คนผู้นั้นเจ้าเคยเห็นมาหลายครั้งแล้ว ก็คือเวินเยวี่ย ตอนนี้เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ นางน่าจะนอนอยู่บนเตียงไม่สามารถขยับได้ เจ้าช่วยพานางมาให้ข้า อย่าให้ผู้ใดพบเห็น”“อู๋โยววางใจเถิด”หลังจากมอบหม
สีหน้ากังวลบนใบหน้าของเวินฉางอวิ้นไม่ได้เสแสร้งเขาเป็นห่วงเวินซื่อที่จะต้องไปที่จินโจวมากจริงๆ แต่เขาก็มักจะประเมินความตั้งใจของเวินซื่อต่ำเกินไปทุกครั้ง“คุณชายใหญ่ไม่ต้องพูดแล้ว การเดินทางไปจินโจวครั้งนี้เป็นความตั้งใจของข้า ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายืนกรานที่จะไป ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนใจข้าได้”“น้องห้า! เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?!”ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือตอนนี้ เวินฉางอวิ้นก็ไม่สามารถเข้าใจนางได้จริงๆ “สถานที่อันตรายเช่นนั้น เหตุใดเจ้าถึงต้องไปด้วย?! เหมือนกับตอนที่พี่ใหญ่เคยเตือนเจ้า เจ้าก็ไม่เคยฟัง ไม่ยอมกลับบ้าน และไม่ยอมหันหลังกลับ!”“แม้ว่าเจ้าจะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ทำได้เพียงใช้ชีวิตอย่างสงบเรียบง่าย ละจากทางโลก จะไปลำบากที่อารามแม่ชีนั่นก็ช่างเถอะ แต่ตอนนี้เป็นเรื่องที่เอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้จินโจววุ่นวายมากแค่ไหน?!”“น้องห้า เลิกเอาแต่ใจตัวเองได้แล้ว ตามพี่ใหญ่กลับไปเถอะ!”เวินฉางอวิ้นไม่อยากเห็นเวินซื่อไปจินโจว เขาพยายามเกลี้ยกล่อมด้วยความหวังดี แต่น่าเสียดายที่เวินซื่อมีเพียงความเฉยเมยต่อคำพูดเหล่านี้ของเขา“ข้าได้พูดไปแล้ว ไม่ต้องเกลี้ยกล่อมอีก และ
เนื่องจากเวินซื่อไม่อยากถูกใครรบกวน หลังจากนั้นหากมีใครคิดจะมาหาเวินซื่ออีก ก็ถูกเป่ยเฉินหยวนสั่งให้คนขวางไว้ ไม่อนุญาตให้เข้าใกล้เวินซื่อนั่งอยู่ในรถม้า บางครั้งก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดูเหมือนว่าฉีเซิ่งจากจวนเสนาบดีนั่นจะมาและก็มีชุยเส้าเจ๋อที่ปรากฏตัวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยแต่สิ่งที่เวินซื่อไม่รู้ก็คือ ในบรรดาคนที่มาร่วมส่งนาง ยังมีอันหลันซินอีกคนมองรถม้าและกองทัพที่เคลื่อนตัวออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ อันหลันซินที่ยืนอยู่หลังต้นไม้กับสาวใช้คนสนิท ก็มองตามด้วยสายตาเหม่อลอย“อาซื่อ เจ้าคงลืมข้าไปนานแล้วสินะ? แต่เจ้าลืมข้าได้อย่างไรกัน?”อันหลันซินหัวเราะเยาะตัวเอง“นางเคยบอกว่าต่อไปพวกเราจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด แต่น่าเสียดาย ในใจของเจ้าข้าไม่มีวันเทียบกับหลินเมี่ยวฉือได้”อันหลันซินพึมพำกับตัวเอง แม้แต่เลือดที่ไหลออกมาจากมือที่จิกเปลือกไม้อย่างแรง นางก็ไม่ได้สนใจนางเพียงแต่มองไปยังทิศทางที่เวินซื่อจากไป “ไปเถอะ ไปเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าที่จินโจวให้ดี รอวันที่เจ้ากลับมา เจ้าจะนึกถึงข้าขึ้นมาอีกครั้ง”หลังจากพูดจบ อันหลันซินก็หันหลังออกไปจากที่นี่……รถม้าเคลื่อนตัวออกห่า
เวินซื่อพยักหน้าอย่างว่าง่ายรอจนกระทั่งเขาออกจากห้องไปเลี้ยวขวาและเข้าไปในห้องของตัวเองแล้ว เวินซื่อจึงปิดประตูแล้วเริ่มเก็บของไม่นานนัก ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนก็มาเคาะประตู“อู๋โยว เก็บของเรียบร้อยแล้วหรือยัง?”เห็นได้ชัดว่ากำลังเร่งให้นางลงไปกินข้าวได้แล้วเวินซื่อที่เพิ่งปูเตียงเสร็จ “...”ก็ได้ เมื่อเทียบกับท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่มักจะออกไปรบข้างนอก ความเร็วของนางช้ากว่าเล็กน้อยจริงๆ ช่างเถอะ เดี๋ยวค่อยเก็บก็ได้“มาแล้วๆ ”เวินซื่อเปิดประตูเดินออกมา “ไปกันเถอะ ข้างบนนี้ยังได้กลิ่นอาหารมาจากข้างล่างเลย ดูเหมือนว่าจะทำเสร็จแล้ว”ตอนนี้นางก็รู้สึกหิวขึ้นมาพอดีจริงๆ เป่ยเฉินหยวนยิ้ม “ลืมบอกท่านไปเลย ในกล่องไม้บนรถม้ามีขนมอยู่เล็กน้อย ถ้าท่านหิวก็หยิบออกมากินได้”เวินซื่อนั่งรถม้ามาทั้งวัน กลับไม่พบเรื่องนี้จริงๆ ที่สำคัญรถม้าคันนั้นก็ไม่ใช่ของนาง คงไม่ดีที่จะไปค้นหาของในรถม้าของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตเมื่อลงมาถึงชั้นล่าง เวินซื่อก็พบว่าบรรยากาศรอบตัวของเป่ยเฉินหยวนที่อยู่ข้างๆ เปลี่ยนเป็นน่าเกรงขามขึ้นนางเงยหน้าขึ้นมอง จึงพบว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร มีแขก
“เหตุใดจึงไม่กินเนื้อเลยสักนิด? กินแต่ผัก?”เป่ยเฉินหยวนทานข้าวอย่างรวดเร็วมาก หลังจากที่ทานเสร็จแล้ว ก็จ้องมองเวินซื่อกินข้าวตลอดพอจ้องมองอยู่แบบนี้ก็พบความผิดปกติ นังหนูคนนี้คีบแต่ผัก ทั้งซ้ายทีขวาที ไม่คีบเนื้อเลยไม่กินเนื้อแม้แต่ชิ้นเดียวทันใดนั้น เป่ยเฉินหยวนก็ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถาม “ท่านไม่ชอบกินเนื้อที่นี่หรือ?”เวินซื่อส่ายหน้า ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “ท่านอ๋องลืมไปแล้วหรือ ตอนนี้ข้าเป็นนักบวชนะ นักบวชกินเนื้อไม่ได้”เนื่องจากตอนนี้เวินซื่อไม่ได้สวมชุดสีฟ้าทะเล แต่เป็นชุดธรรมดา ดังนั้นเป่ยเฉินหยวนจึงไม่ได้นึกขึ้นได้ในทันทีหลังจากได้ยินคำพูดของนาง จึงตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้นกว่าเดิมเดิมทีนังหนูก็ตัวผอมอยู่แล้ว ทั้งผอมทั้งเล็ก ยังไม่กินเนื้ออีก ร่างกายจะเติบโตเต็มที่ได้อย่างไร?“กินไม่ได้สักนิดเลยหรือ?”เวินซื่อส่ายหน้า “กินไม่ได้”เป่ยเฉินหยวนพูดจาหว่านล้อม “ที่นี่ไม่ใช่อารามสุ่ยเยว่ ท่านแอบกินนิดหน่อยก็ได้”เวินซื่อยังคงส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก ข้ารู้ว่าที่นี่ไม่ใช่อารามสุ่ยเยว่ แต่ข้าตั้งใจบำเพ็ญตบะ หากผิดศีลก็เท่ากับทำลายการบำเพ็ญตบะ”เมื่อได้ยินเช่นนี้
“พ่ะย่ะค่ะ”หลังจากสั่งการเสร็จ เป่ยเฉินหยวนก็หันหลังกลับขึ้นไปชั้นบน ระหว่างที่เดินผ่านปากทางบันไดก็เรียกเสี่ยวเอ้อร์ “ยกน้ำขึ้นมาสองถัง”“ดะ...ได้เลยขอรับ ข้าน้อยจะรีบไปเดี๋ยวนี้! เดี๋ยวนี้เลย!”เสี่ยวเอ้อร์ที่ตกใจกลัวจนวิญญาณแทบหลุดจากร่างรีบวิ่งกลับไปที่ห้องครัวเป่ยเฉินหยวนก้าวเท้ากลับขึ้นไปชั้นบน เดิมทีตั้งใจจะกลับไปที่ห้องของตัวเองก่อน เพื่อรออาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วค่อยมาหาเวินซื่อ เพื่อไม่ให้นังหนูตกใจแต่คาดไม่ถึงว่า เขาเพิ่งขึ้นมาถึงชั้นสามก็เห็นเวินซื่อนั่งอยู่หน้าประตูเป่ยเฉินหยวนประหลาดใจทันที “เหตุใดถึงมานั่งอยู่หน้าประตู? บอกให้ท่านกลับไปที่ห้องก่อนมิใช่หรือ?”“ก็รอท่านอยู่น่ะสิ เหตุใดตัวท่านถึงมีเลือดเยอะขนาดนี้ บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่?”เมื่อเวินซื่อเงยหน้าขึ้น เห็นสภาพเช่นนี้ของเขา ก็รีบลุกขึ้นเดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง“ไม่เป็นไร ไม่ใช่เลือดของข้าหรอก”เป่ยเฉินหยวนยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย เมื่อเห็นว่านางเป็นห่วงเขา จึงรู้สึกอยากจะโอ้อวดสักหน่อย “พวกหัวมังกุท้ายมังกรพวกนั้น ต่อให้มาอีกสามสิบคน ก็อย่าหวังว่าจะทำร้ายข้าได้แม้แต่น้อย”เขาเ
เวินซื่อรู้มานานแล้วว่า ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนท่านนี้หล่อเหลาเพียงใด แต่นางไม่คิดว่าท่านอ๋องจะงดงามจนถึงขั้นมีเสน่ห์เย้ายวนใจเช่นนี้เวินซื่อรู้สึกว่าถ้าตนเองยังคงมองต่อไป คงจะเสียสมาธิแน่ๆนางรีบละสายตา แล้วเอ่ยขึ้นอย่างประหม่าเล็กน้อย “ทะ...ท่านอ๋อง ผมของท่านดูเหมือนจะยุ่งเหยิงเล็กน้อย หรือว่าจะมัดขึ้นดี? จะได้ไม่เกะกะตอนทายาบริเวณแผล”เดิมทีเป่ยเฉินหยวนก็จงใจทำเช่นนี้ดังนั้นเขาจึงไม่พลาดที่จะเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจของเวินซื่อในชั่วขณะนั้นคนที่ไม่เคยสนใจรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเองในอดีต เวลานี้กลับเหมือนนกยูงรำแพนหาง อวดโฉมของตนเองอย่างต่อเนื่อง“หืม? อย่างนั้นหรือ? ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกะกะหรือไม่ ท่านช่วยดูให้ข้าหน่อยเถอะ?”เป่ยเฉินหยวนพูดพลางเดินไปยืนหันหลังให้เวินซื่อ เสื้อคลุมเลื่อนหลุดลงมาครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นแขนที่แข็งแรงกำยำ และกล้ามเนื้อหลังที่นูนขึ้นมาเป็นมัดๆเวินซื่อคาดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่ปกติแล้วดูผอมบางเวลาที่สวมเสื้อผ้า ภายในเสื้อผ้ากลับซ่อนรูปร่างที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังเช่นนี้ไว้เวินซื่อมองจนรู้สึกว่าทุกส่วนในร่
“ฉางอวิ้น เจ้าต้องเข้าใจถึงความขมขื่นใจของพ่อ”เวินเฉวียนเซิ่งนั่งลงข้างกายเวินฉางอวิ้น พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“ตอนแรกพ่อแค่อยากให้เด็กคนนั้นมีบ้าน อยากจะชดใช้หนี้ทั้งหมดที่มีต่อสองแม่ลูกเท่านั้นเอง”“แต่ไม่เคยคิดเลยว่า เยวี่ยเอ๋อร์จะบาดหมางกับเจ้าห้ามาจนถึงขั้นนี้ ตอนนี้สุขภาพของพ่อก็ไม่ค่อยดีแล้ว บอกไม่ได้ว่าวันไหนจะลงไปพบกับแม่ของพวกเจ้า ถ้าไม่มีใครมาค้ำจุนครอบครัวนี้ จวนเจิ้นกั๋วกงของเราทั้งหมดช้าเร็วก็ต้องแยกทาง ถึงตอนนั้น เจ้าคิดว่าน้อง ๆ ของเจ้าจะยังมีโอกาสกลับมาหรือไม่?”เดิมทีเวินฉางอวิ้นไม่ต้องการโต้ตอบคำพูดของเวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาค่อนข้างน่าขบขันแต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย หัวใจของเวินฉางอวิ้นก็เต้นแรงขึ้นมาทันทีหากวันหนึ่งจวนเจิ้นกั๋วกงสลายไป น้องรอง น้องห้า...จะกลับมาได้อีกหรือไม่?ร่างกายของเวินฉางอวิ้นสั่นสะท้านครู่หนึ่งคำตอบที่ชัดเจนผุดขึ้นในหัวใจไม่ได้พวกเขาจะกลับมาไม่ได้อีกแล้วไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกง แต่เป็นเพราะไม่มีจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ดังนั้นสายสัมพันธ์สุดท้ายที่เหลืออยู่ระหว่างพี่น้องของพวกเขาก็จะไม่มีอะไรเลยน
เวินฉางอวิ้นที่รู้แล้วว่าเวินเยวี่ยเป็นใคร ความจริงก็ไม่รู้สึกแปลกใจกับเวินเยวี่ยในมุมนี้เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้นางเผยให้เห็นด้านที่ดูน่าสงสารและอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น ด่าทอคนอื่นโดยไม่ยั้งคิดแบบนี้ไม่ได้เห็นบ่อยนักสายตาของเวินฉางอวิ้นเผยความเยาะหยันออกมาดูเหมือนว่านางจะไม่ได้มีความจริงใจต่อเจ้าสามเช่นกันเสียแรงที่เจ้าสามถอนหมั้นกับนังหนูเนี่ยนฉือเพื่อนาง จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตกลับกลอกปลิ้นปล้อนจริง ๆคิด ๆ ดูแล้วก็น่าจะไม่ใช่แค่เจ้าสามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าสี่ด้วยเพราะถึงอย่างไรพวกเขาเหล่านี้ก็ขวางทางนางอยู่เวินฉางอวิ้นไตร่ตรองสักครู่ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้องในเวลานี้เวินฉางอวิ้นยังนึกว่าเป็นเวินเยวี่ยที่กลับมาเล่นละครอีกครั้ง แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเวินเฉวียนเซิ่งผู้เป็นพ่อของเขา“ฉางอวิ้น พ่อมาเยี่ยมเจ้า”หลายวันมานี้ ที่แวะเวียนมาที่นี่อยู่เป็นครั้งคราวเช่นกันก็มีเวินเฉวียนเซิ่งด้วยเขาแวะมาเยี่ยมลูกชายคนโต และเพื่อเป็นการชดเชยเวินฉางอวิ้นรู้ว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร และไม่ค่อยอยากพบเขาเช่นกันดังนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงของเวินเฉวียนเซิ่ง เขาก็หลับตาลงแกล้งทำเป็น
“หออายุวัฒนะ? นั่นคือที่ใดกัน?”เวินเยวี่ยถามด้วยความงุนงงเวินจื่อเยวี่ยส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด แต่เพื่อนร่วมสำนักบอกข้าว่า ที่นั่นมียาชนิดหนึ่งที่เรียกว่ายาอายุวัฒนะ สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืน เปลี่ยนเถ้ากระดูกให้กลายเป็นเลือดเนื้อ วิเศษมาก แต่ก็แพงมากเช่นกัน อยากซื้อก็ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”“พวกเราไปซื้อก็อาจจะซื้อไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”เวินเยวี่ยไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”เพราะถึงอย่างไรนางก็คือคุณหนูหกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง และเวินจื่อเยวี่ยก็เป็นคุณชายสามแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงด้วยตัวตนของพวกเขา ในเมืองหลวงแห่งนี้ยังมีอะไรที่พวกเขาหาซื้อไม่ได้อีก?“เห็นว่าเป็นเพราะมียาน้อยมาก และไม่สามารถปล่อยออกมาได้ ดังนั้นไม่ว่าใครที่ไปซื้อก็ต้องรอ ข้าคิดว่าถ้าวิเศษขนาดนั้นจริง ๆ ก็ซื้อสักเม็ดหนึ่งกลับมาให้พี่ใหญ่ลองกิน หากได้ผลจริง ๆ ล้างพิษในร่างกายของพี่ใหญ่ได้ ท่านพ่อก็จะไม่โกรธอีกต่อไปแน่นอน”อันที่จริงพวกเขาสองคนก็ไม่มีทางอื่นแล้วในตอนนี้หายาถอนพิษไม่ได้ดอกไม้พิษก็หาไม่ได้เช่นกันทำได้เพียงรักษาตามมีตามเกิด ซื้อยาอายุวัฒนะนั่นมาให้พี่ใหญ่ลองกินดูเมื่อเวิน
แต่ความตื่นเต้นดีใจนี้ดำเนินไปได้ไม่นานครึ่งชั่วยามต่อมา ฤทธิ์ของยาอายุวัฒนะก็สิ้นสุดลงความบ้าคลั่งในดวงตาของอันปี่เค่อหายไปอย่างรวดเร็วเขาเงยหน้าสูดหายใจเข้าลึก ๆ แต่วินาทีต่อมาปิดปากและจมูกด้วยความรังเกียจ“เก็บกวาดทำความสะอาดให้ข้าด้วย!”อันปี่เค่อออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อออกไปทันทีเมื่อเขาออกจากหออายุวัฒนะที่อยู่ชั้นใต้ดิน กลับไปที่ห้องหนังสือสกุลอันอีกครั้งหนึ่ง เขาก็กลับไปนั่งที่ด้านหลังโต๊ะหนังสือทันทีก่อนจะคว้ากระดาษที่เขียนชื่อไว้หลายชื่อแผ่นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาเขากวาดสายตาผ่านรายชื่อเหล่านั้นอย่างไม่วางตา สุดท้ายก็จับจ้องไปที่ชื่อนั้นที่อยู่ด้านล่างสุด…“เวินซื่อ”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์...จะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวจริง หรือว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวปลอม ก็ให้ข้าได้เห็นชัด ๆ สักหน่อยแล้วกัน……จวนเจิ้นกั๋วกงภายในเรือนของเวินฉางอวิ้นหลังจากกินยาต้มบัวหิมะที่เวินซื่อให้มาแล้ว เวินฉางอวิ้นก็ฟื้นขึ้นมาภายในไม่กี่วันจริง ๆเพียงแต่ร่างกายยังอ่อนแอมาก นอกจากลืมตามองไปรอบ ๆ ได้แล้ว เรื่องอื่นเขาก็ยังทำไม่ได้แม้แต่พูดยังพูดไม่ได้เลยทำได้เพียงนอนอย
หลังจากคนรับใช้ผู้นั้นจากไป อันปี่เค่อก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้โบราณของเขาทันที หลับตาลง มือข้างหนึ่งงอนิ้วชี้แล้วคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะซ้ำๆ ดัง “ต๊อกๆ ”ท่าทางเช่นนั้นดูเหมือนกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่างอยู่ไม่นานนัก หญิงงามนางหนึ่งที่สวมใส่อาภรณ์น้อยชิ้นก็ถือขวดหยกเขียวเดินเข้ามา ร่างกายอ่อนระทวย นั่งลงบนตักของอันปี่เค่อ แล้วเปิดขวดหยกเขียวนั้นให้เขาและเทยาเม็ดสีดำสนิทสามเม็ดออกมาจากข้างในพอยาเม็ดนั้นออกมา กลิ่นหอมประหลาดก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องหินนี้ คล้ายคลึงกับกลิ่นหอมรัญจวนใจที่อบอวลอยู่ทั่วทั้งหอใต้ดินที่อยู่ด้านนอกอย่างยิ่งแต่หากนำยาเม็ดนั้นมาใกล้จมูกและปาก ก็ยังสามารถค้นพบได้อีกว่า บนยาเม็ดเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ายังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ติดอยู่ด้วยหากเป็นคนปกติท เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดบนยาเม็ดเหล่านี้ เกรงว่าจะรีบถอยห่างทันทีแต่เวลานี้ ภายในหออายุวัฒนะใต้ดินของสกุลอัน มีคนอยู่ทุกประเภท เว้นแต่เพียงคนปกติธรรมดาเท่านั้นอย่างเช่นอันปี่เค่อในยามนี้เขาปรือตาขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองหญิงงามที่นั่งอยู่บนตัก แววตานั้นราวกับกำลังพิจารณาว่าอาหารที่จะกินในวันนี้คืออะไรหลังจากมองจ
ทางด้านอารามสุ่ยเยว่เงียบสงบสุขยิ่งนักแต่ทางด้านเมืองหลวงกลับมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวอย่างรุนแรงห้องหนังสือสกุลอันอันปี่เค่อหยิบพู่กันขึ้น ตวัดพู่กันขีดเส้นหนักๆ ลงบนรายงานข่าวกรองฉบับหนึ่งที่ลูกน้องนำมาส่งให้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จากนั้นก็พลันลุกขึ้นเดินไปยังเชิงเทียนไปพลาง ฉีกรายงานข่าวกรองฉบับนั้นเป็นชิ้นๆ ไปพลางสุดท้ายก็อาศัยเปลวไฟจากเชิงเทียนจุดมัน เปลวไฟก็ลุกลามเผากระดาษแผ่นนั้นอย่างรวดเร็ว และลามขึ้นไปด้านบน ลวกนิ้วมือของอันปี่เค่อที่จับมุมกระดาษอยู่เข้าอย่างจังแต่อันปี่เค่อราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ผ่านไปสองวินาที ถึงค่อยโยนกระดาษที่กำลังลุกไหม้ในมือทิ้งลงไปในอ่างถ่านที่มอดดับไปแล้ว“ใครก็ได้”เงาดำร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นด้านหลังของอันปี่เค่อ คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม“ลูกสาวผู้แสนดีคนนั้นของข้าตายแล้วหรือยัง?”เงาดำกล่าวอย่างระมัดระวัง “เรียนใต้เท้า คุณหนูรอง...ยังไม่ตายขอรับ”คำว่า “ยังไม่ตาย” ก็หมายความว่าการลงมือของคนเหล่านั้นล้มเหลวแล้วบนใบหน้าที่แก่ชราของอันปี่เค่อ พลันปรากฏรอยยิ้มเสแสร้งออกมา “ไอ้พวกไร้ประโยชน์ และหมากตัวหนึ่งที่ยังพอจะใช้งานได้อยู
เป่ยเฉินหยวนเห็นสีหน้าของนาง ก็รู้ว่านางเพิ่งจะรู้ตัว ชั่วขณะหนึ่งก็อดขำไม่ได้“หลังจากนี้ไม่ต้องมาที่ภูเขาด้านหลังแล้วก็ได้ อากาศหนาวลมแรง เดี๋ยวจะป่วยเอาได้ง่ายๆ ”เวินซื่อพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน “ได้”นางก็ลืมเรื่องนี้ไปเหมือนกันนางเงยหน้ามองเป่ยเฉินหยวนด้วยความอึดอัดใจ เอ่ยถามอย่างหยั่งเชิง “หรือว่า ตอนนี้พวกเรากลับไปอีกดี?”เป่ยเฉินหยวนยิ้มพลางเอ่ยขึ้นทันที “ไหนๆ ก็มาแล้ว อีกอย่างวันนี้ข้าก็อยากจะฟังที่นี่จริงๆ ”เหตุผลหลักคือในเรือนยังมีคนอื่นอยู่ เวลานี้ เขาไม่อยากให้คนอื่นมารบกวนเขาและอู๋โยวเป่ยเฉินหยวนหยิบของที่ตนนำมาด้วยออกมา ค้นเอาห่อขนมพุทราอุ่นๆ ออกมาจากข้างในห่อหนึ่ง และเสื้อคลุมลายดอกเหมยตัวใหม่อีกหนึ่งตัวเป่ยเฉินหยวนระงับความคิดที่อยากจะลงมือสวมให้ด้วยตนเอง แล้วยื่นเสื้อคลุมให้เวินซื่อก่อน“สวมเสื้อคลุมเสียเถอะ ตอนนี้ยังพอไหว ไม่ค่อยมีลม แต่ก็ต้องระวังไว้บ้าง”เวินซื่อเหลือบมองเสื้อคลุมตัวหนาที่ยังคงความอบอุ่นนั้น แล้วมองไปที่เป่ยเฉินหยวน สุดท้ายก็รับของขวัญอันใส่ใจชิ้นนี้มาอย่างเงียบๆ“นี่ ขนมพุทราที่ท่านชอบ”เป่ยเฉินหยวนรอจนนางสวมเสื้อคลุมเสร็จ ก็เปิ
“แล้วแมงมุมพิษนั้นจะส่งผลกระทบต่อท่านหรือไม่?”เป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สิ่งแรกที่เขาเป็นห่วงคือความปลอดภัยของเวินซื่อเวินซื่อพลันยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร ไม่ส่งผลกระทบต่อข้า”“แล้วอาซื่อเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าแมงมุมพิษของเจ้าอยู่บนตัวของหัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น? หากไม่ใช่หัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น แต่เป็นคนต่างเผ่าคนอื่นเล่า?”หลินเนี่ยนฉือถามเช่นนี้ ไม่ใช่การขัดคำพูดของเวินซื่อเพียงแต่นางกำลังกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างเวินซื่อกับแมงมุมพิษ ตัวอย่างเช่น หากแมงมุมพิษตัวนั้นบาดเจ็บ มันจะส่งผลกระทบต่ออาซื่อหรือไม่ หรือแม้กระทั่งถ้าแมงมุมพิษตัวนั้นตายไป มันจะส่งผลสะท้อนกลับมายังอาซื่อหรือไม่?ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าแมงมุมพิษของอาซื่อเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่พอฟังดูแล้วกลับคล้ายคลึงกับวิชาแมลงกู่ของคนต่างเผ่าเหล่านั้นมากดังนั้น หลังจากที่เป่ยเฉินหยวนและหลินเนี่ยนฉือฟังคำพูดของเวินซื่อจบแล้ว สิ่งแรกที่ทั้งสองกังวลก็คือตัวเวินซื่อเวินซื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองคนก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมาในใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “พวกท่านวางใจเถิด ข้าไม่เป็นอ
หลินเนี่ยนฉือที่นั่งมองทั้งสองคนอยู่ในเรือนเล็กๆ ตั้งแต่เมื่อครู่ มุมปากกระตุกเล็กน้อย“พอแล้วอาซื่อ อย่างไรเสียเขาก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน เจ้าช่างใจกล้าเกินไปแล้ว”ถึงกับกล้าตำหนิท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้มีอำนาจสูงสุดในราชสำนักรองจากฮ่องเต้ แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นเทพสงครามต่อหน้าเช่นนี้ จนเขาแทบเงยหน้าไม่ขึ้นหลินเนี่ยนฉือกลัวว่าเวินซื่อจะยั่วโมโหอีกฝ่ายเข้าจริงๆ นางจึงรีบยื่นมือออกไป ดึงตัวคนกลับมาแต่ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของนางหรือไม่ ในขณะที่นางจับมือเล็กๆ ของอาซื่อไว้ สายตาของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่อยู่ตรงข้ามกลับดูน่ากลัวขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งยังทิ่มแทงอีกทำเอาหลินเนี่ยนฉือไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก“ไม่เป็นไรๆ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น”เวินซื่อยังไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินเนี่ยนฉือ ก็ยกมือขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆเป่ยเฉินหยวนเอ่ยขึ้นในตอนนี้ “อู๋โยวพูดถูก ข้าไม่ใช่คนใจแคบจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น อู๋โยวก็ยังเป็นสหายของข้า สหายของนาง ย่อมเป็นสหายของข้าเช่นกัน”มุมปากของหลินเนี่ยนฉือกระตุกอีกครั้งหากไม่ใช่เพราะได้ยินสรรพนาม