เมื่อได้ยินว่าเวินซื่อต้องการเก็บแมลงชีวิตของตัวเองเอาไว้ จินซือถูจึงฉีกยิ้มมุมปากด้วยท่าทีฝืนใจ “เจ้า...เจ้าใช้งานพั่วจวินไม่ได้เสียหน่อย ทำไมต้องเก็บมันไว้ด้วย?”“ใครว่าข้าใช้งานไม่ได้?”เวินซื่อยิ้มเล็กน้อย “ข้าอยากศึกษาค้นคว้าพิษของแมลงตัวน้อยของเจ้าตัวนี้พอดี”“ก็ได้”จินซือถูเอ่ยอย่างจนปัญญาคนเราอยู่ใต้ชายคา ไม่ก้มหัวก็ไม่ได้จริง ๆ“เช่นนั้นเจ้าก็ปล่อยข้าไปได้แล้วใช่หรือไม่?”เวินซื่อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นางหมุนตัวหันหลังให้จินซือถู เอื้อมมือเข้าไปในถังไม้ หลังจากเอาตะขาบพิษเก็บไว้ในมิติ ก็พยักหน้าให้จู๋เยวี่ยจู๋เยวี่ยก้าวไปข้างหน้า กวัดแกว่งกระบี่ยาว ตัดเชือกทั้งหมดบนร่างกายของจินซือถูออกทันทีจินซือถูที่ได้รับการปลดปล่อยในที่สุดโยนเชือกที่ขาดออกจากร่างกายทิ้งไป ขยับเขยื้อนมือและเท้าสักพักแล้วถือโอกาสถามเวินซื่อว่า “เจ้าต้องการแมลงพิษชนิดใด ที่ข้าพอมีอยู่บ้าง อย่างเช่นแมงมุมเอย แมงป่องเอย มดคันไฟเอย หากเจ้าต้องการก็สามารถให้เจ้าได้จำนวนหนึ่ง แต่ต้องเอามาให้เจ้าในคราวหน้า”“เอาทุกอย่าง”เวินซื่อกล่าวอย่างไม่เกรงใจจินซือถูเบิกตาโพลงทันที “เจ้านี่ไม่เกรงใจเลยสักนิด
มีตำรับยาแต่กลับไม่มียา ต่อให้นางคิดที่จะทำก็ทำไม่ได้แต่เวินซื่อนั้นไม่เหมือนกันหลังจากอ่านจบแล้วก็พบว่าสูตรยาถอนพิษนี้มีจุดที่สามารถเป็นไปได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือหญ้าฝรั่นซึ่งนางก็มีหากพวกจินซือถูเอาแต่รอให้เวินเยวี่ยศึกษาค้นคว้ายาถอนพิษให้พวกเขาต่อไป เกรงว่ารอจนตายก็เป็นไปไม่ได้ถึงแม้ว่านางสามารถทำได้ แต่ก็จะไม่มีทางทำออกมาให้พวกจินซือถูได้ง่าย ๆเพราะถึงอย่างไรคนที่ต้องการยานี้ก็ไม่ได้มีแต่พวกเขาเท่านั้นเวินซื่อถอนหายใจ เห็นทีจะต้องหาวิธีย้ายที่ปลูกให้สมุนไพรในมิติโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะหญ้าฝรั่นนี้หลังจากที่เวินซื่อมีแนวคิดคร่าว ๆ เกี่ยวกับสูตรลับของยาถอนพิษแล้ว ก็เก็บสูตรลับเอาไว้วันรุ่งขึ้น นางเตรียมตัวเดินทางลงจากภูเขาขณะที่เก็บข้าวของเสร็จและปิดประตูห้องออกมา เวินซื่อก็พบว่าต้นสือหูผิวเหล็กที่ย้ายมาปลูกใหม่เมื่อวานตอนบ่ายดูเหมือนจะเจริญเติบโตได้ดีนางเดินเข้าไปดู จู่ ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้สวนสมุนไพรผืนนี้ถูกนางรดด้วยน้ำทิพย์ที่ผ่านการเจือจาง ดังนั้นในดินต้องมีพลังวิญญาณอยู่ไม่น้อยแน่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าพลังวิญญาณเหล่านี้เพียงพอที่จะค้ำชูให้ต้นสือหูผิวเหล
เวินซื่อ เจ้ายังมีมโนธรรมอยู่หรือไม่!”เวินจื่อเยวี่ยกระโดดพุ่งปราดลงจากรถม้า หลังจากลงมาแล้วก็วิ่งไปหาเวินซื่อ เมื่อเผชิญหน้ากับนางก็พ่นคำด่าทอชุดใหญ่“เจ้าฆ่าองครักษ์ลับไปมากมายเช่นนั้นได้อย่างไร? พวกเขาล้วนเป็นคนของจวนเจิ้นกั๋วกงของเรา! เจ้ารู้ไหมว่าตอนนี้เจ้าพ่อโกรธเจ้าจนล้มป่วยแล้ว?!”“ไม่รู้ และไม่อยากรู้”สีหน้าของเวินซื่อสงบนิ่ง ไม่อยากสนใจเขาเลยแม้เพียงคำพูดเดียว“เจ้าช่างจิตใจโหดเหี้ยมจริง ๆ!”“ข้าจิตใจโหดเหี้ยมอย่างนั้นหรือ?”เวินซื่อส่งเสียงยิ้มเยาะ “หากข้าจิตใจโหดเหี้ยมล่ะก็ แล้วน้องหกของท่านเรียกว่าอะไร? แม้แต่พี่ชายอย่างท่านก็จงใจวางยาพิษได้ ต้องการฆ่าสัตว์เดรัจฉานอย่างท่านให้ตาย?”“ข้าพอใจ!”เวินจื่อเยวี่ยจ้องเขม็งใส่นางอย่างดุดัน “แล้วถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า น้องหกคงไม่ทำกับข้าแบบนี้!”“อ้อ เบาปัญญา”เวินซื่อจะชื่นชมเขาสามคำยังรู้สึกว่ามากเกินไปนางสาวเท้ากำลังจะไป แต่กลับถูกเวินจื่อเยวี่ยพยายามขวางไว้ “เจ้าจะไปไหน? รีบบอกมา เจ้าซ่อนน้องหกเอาไว้หรือไม่? เจ้าเอานางไปซ่อนไว้ที่ไหน รีบปล่อยนางมาให้ข้านะ!”“ก็บอกไปแล้วว่าข้าไม่รู้ ไม่รู้”เวินซื่อเริ่มหงุดหงิดเล็ก
“ระหว่างเราดูเหมือนไม่จำเป็นต้องพบกันอีกกระมัง”เวินซื่อเอ่ยอย่างเย็นชาอันหลันซินทอดถอนใจ “เจ้าช่างไร้เยื่อใยเสียจริง อาซื่อ นึกถึงเมื่อก่อนนี้ข้าเห็นเจ้าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด”เวินซื่อขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “อย่าเรียกชื่อนี้อีก แม่ชีก็ไม่ใช่เพื่อนของเจ้าเช่นกัน”“แม่ชี?”นี่เป็นครั้งแรกที่อันหลันซินได้ยินคำแทนตัวเช่นนี้ หลังจากอึ้งอยู่สักพัก ก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่ทันทีพลางเอ่ยว่า “ไม่นึกว่าเจ้าจะออกบวชจริง ๆ แม้แต่คำแทนตัวก็เปลี่ยน ข้านึกว่าเจ้าทำแบบนี้เพื่อประชันกับเวินเยวี่ยเสียอีก”เวินซื่อไม่อยากฟังคำพูดไร้สาระจากนางอีก จึงหันหลังกำลังจะเดินจากไปไม่นึกว่าอันหลันซินจะดื้อดึงตามมา “รอข้าด้วย ทำไมเพื่อนเก่าพบกันยังไม่ทันพูดอะไรกันสักคำ ก็จะรีบไปเช่นนี้เล่า?”อันหลันซินเดินจ้ำ ๆ ไปหาเวินซื่อ จ้องมองนางจากหัวจรดเท้าอย่างไม่กะพริบตา “อืม น่าเสียดายที่ผมของเจ้ายังไม่ถูกโกน ไม่เช่นนั้นข้ายังอยากเห็นเจ้ากลายเป็นแม่ชีตัวน้อยจริง ๆ”เวินซื่อยังคงไม่สนใจเช่นเคยอันหลันซินเอาแต่พูดต่อไป “แต่ตอนนี้สภาพของเจ้าก็ดูดีทีเดียว แม้ว่าชุดสีฟ้าทะเลนี้จะดูเรียบง่ายไปหน่อย แต่ก็มีเสน่ห์เฉพาะตัวเ
หลังจากทิ้งคำพูดประโยคนี้ไว้ เวินซื่อเดินไปจวนอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนทันที“คารวะธิดาศักดิ์สิทธิ์”องครักษ์เฝ้าประตูไม่แม้แต่จะขัดขวาง หลังทำความเคารพก็ปล่อยให้เวินซื่อเดินเข้าไปการปฏิบัติเช่นนี้อันหลันซินไม่คิดว่าตัวเองจะได้รับนางเพียงยืนอยู่หน้าประตูใหญ่จวนอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน มองดูร่างของเวินซื่อหายวับไปด้านในอย่างรวดเร็ว“คุณหนูรอง คราวนี้จะทำอย่างไรดี เห็นได้ชัดว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์กับท่านอ๋องสนิทสนมกันมาก หากท่านคิดจะเล่นงานธิดาศักดิ์สิทธิ์ คาดว่าคงไม่ง่ายขนาดนั้นนะเจ้าคะ”สาวใช้คนสนิทของอันหลันซินอดกล่าวอย่างกังวลไม่ได้“ไม่เป็นไร ข้ามีวิธีของข้า”อันหลันซินแค่นหัวเราะเสียงค่อย จากนั้นหันหลังจากไป เมื่อกลับไปถึงรถม้าได้สั่งให้กลับจวนทันทีเพียงไม่นาน นอกห้องหนังสือของราชเลขาฝ่ายขวาที่กำลังสะสางงานราชการอยู่“บุตรสาวหลันซินคารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ”“เข้ามา”อันปี่เค่อกล่าวเพียงสั้นๆพลันได้ยินตรงประตูมีเสียงของคนเดินเข้ามาดังขึ้น ทว่าต่อให้เป็นเช่นนั้น อันปี่เค่อก็ยังสะสางงานของเขาโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง“มีธุระอะไรก็รีบว่ามา พูดจบก็รีบออกไป อย่าทำให้ข้าเสียเวลา”นี่ก็คือ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้นั้นเกลียดหญิงสาวที่เข้าใกล้? เจ้าอยากเป็นคนของเขา? เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร? เจ้านึกว่าที่เจ้าอยากเข้าใกล้จะไม่ทำให้เขาฆ่าเจ้าหรือ?”อันปี่เค่อเหน็บแนมนางอย่างเจ็บแสบ “เป็นแค่ลูกอนุภรรยาคนหนึ่งควรกลับไปเย็บผ้าก็กลับไปเย็บผ้า อย่ามัวแต่คิดเรื่องชั่วช้าสามานย์ ข้าเองก็ไม่มีเวลาฟังคำพูดไร้สาระพวกนี้ของเจ้า”“ออกไป!”“ข้ารู้ความลับหนึ่งของอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน ข้าทำให้เขายอมรับข้าได้”อันหลันซินกล่าวกะทันหัน“เจ้ารู้ความลับของอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนหรือ?”อันปี่เค่อแค่นหัวเราะ “เจ้าจะไปรู้อะไรได้?”“ความลับนี้ข้าถามมาจากเวินซื่อ”อันหลันซินสีหน้าคงเดิม เอ่ยอย่างสงบนิ่ง“เวินซื่อ?”อันปี่เค่อขมวดคิ้วทันที “เจ้ากับธิดาศักดิ์สิทธิ์แตกหักกันเพราะเรื่องในตอนนั้นนานแล้วไม่ใช่หรือ? ธิดาศักดิ์สิทธิ์จะไปบอกความลับอะไรเจ้า?”อันหลันซินทำท่าใจเย็น “ถูกต้องว่าพวกเราแตกคอกันแล้ว แต่น่าเสียดายที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์ใจอ่อนเกินไป ข้าแค่ร้องไห้ต่อหน้านาง นางก็ให้อภัยข้าอีกครั้งแล้วเจ้าค่ะ”“เจ้าพูดจริงหรือ?”อันปี่เค่อหรี่ตาลงเล็กน้อยเขารู้ดีว่าเวินซื่อ
“อืม!”เวินซื่อพยักหน้าหนักๆ หนึ่งที แล้วกินต่อไป“วันนี้ท่านมาหาข้าเพื่อเรื่องนี้หรือ?”“ใช่ เพื่อเรื่องนี้แหละ”คนใจร้าย ยังนึกว่าคิดถึงเขาเลยมาเยี่ยมเขาซะอีกเป่ยเฉินหยวนเองก็ไม่ได้คาดหวังว่านางจะเข้าใจในตอนนี้ถึงอย่างไรหนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล ค่อยเป็นค่อยไปก็แล้วกัน“ใช่สิ จะว่าไปที่ข้ามีข่าวหนึ่งที่ต้องแจ้งให้ท่านทราบ”“อะไร?”เวินซื่อหยุดการกระทำในมือ แล้วมองเขาอย่างใคร่รู้เป่ยเฉินหยวนยื่นนิ้วมือไปเช็ดเศษขนมที่มุมปากของนางอย่างเป็นธรรมชาติเวินซื่อเพิ่งรู้สึกว่าไม่เหมาะสม เตรียมจะหดหัวกลับมา พลันได้ยินเป่ยเฉินหยวนกล่าวขึ้น“ช่วงก่อนผู้ใต้บัญชาข้าหาตัวคนสกุลหลานที่ตอนนั้นอยู่ในเมืองหลวงพบ”เวินซื่อลืมการกระทำของตัวเองทันที พร้อมมองเขาอย่างตะลึง “จริง...จริงหรือ?”“เป็นจริงแน่นอน”เป่ยเฉินหยวนเก็บมือกลับมา ใช้ผ้าเช็ดหน้าตัวเองเช็ดอย่างเบามือ จากนั้นกล่าวเสียงเรียบ “ข้าจะโกหกท่านหรือ?”“ไม่ใช่ ข้าเพียงแต่รู้สึกประหลาดใจเท่านั้น”เวินซื่อรีบส่ายหน้า แน่นอนว่านางไม่สงสัยเป่ยเฉินหยวน ทว่า...คนสกุลหลานนอกจากผู้ที่ไม่ใช่ญาติสายตรงซึ่งแยกบ้านออกจากเมืองหลวงนานแล้ว พวก
ตาเฒ่าหลานรีบวิ่งโงนเงนออกมา เปิดประตูแล้วพุ่งไปตรงหน้าเวินซื่อใบหน้าที่แก่ชราไม่รู้ว่ามีน้ำตาไหลรินตั้งแต่เมื่อใด เขามองเวินซื่อตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ ในดวงตาเต็มไปด้วยความอาวรณ์และโศกเศร้าผ่านไปสักครู่ เขาถึงได้ส่ายหน้าเชื่องช้า แล้วตื่นขึ้นจากความเพ้อฝันชั่ววูบ “เจ้าไม่ใช่คุณหนูใหญ่ เจ้าไม่ใช่นาง...”คุณหนูใหญ่สกุลหลานของพวกเขาได้ตายไปแล้วไม่อาจกลับมาได้อีกแล้วตาเฒ่าหลานพึมพำ “คิดว่า เจ้าน่าจะเป็นลูกสาวของคุณหนูใหญ่ คงเป็นคุณหนูเวินซื่อสินะ?”เวินซื่อพยักหน้า “ข้าเอง ไม่ทราบว่าท่านคือ...?”นางยังไม่รู้จักสถานะของตาเฒ่าหลาน และไม่รู้ว่าควรเรียกขานเขาว่าอย่างไรตาเฒ่าหลานยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา ต่อมาทันใดนั้นเขาคุกเข่าลงตรงหน้าเวินซื่อ “หลานถงเซิงคารวะคุณหนูเวินซื่อ ตอนนั้นได้รับความเมตตาจากนายท่าน จึงเป็นพ่อบ้านอยู่ในสกุลหลานหลายสิบปี”เขาเป็นบ่าวในเรือนเบี้ยของสกุลหลาน ทว่าโชคดีที่เกิดวันเดือนปีเดียวกันกับนายท่าน ดังนั้นนายท่านผู้เฒ่าจึงประทานชื่อถงเซิงให้ กระทั่งประทานชื่อแซ่หลานให้เขาดังนั้นหลังจากสกุลหลานสิ้นไปแล้ว เขายังคงใช้แซ่ว่าหลาน ไม่อยากจะลืมผู้เป็นนายในอดีตแ
“ฉางอวิ้น เจ้าต้องเข้าใจถึงความขมขื่นใจของพ่อ”เวินเฉวียนเซิ่งนั่งลงข้างกายเวินฉางอวิ้น พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“ตอนแรกพ่อแค่อยากให้เด็กคนนั้นมีบ้าน อยากจะชดใช้หนี้ทั้งหมดที่มีต่อสองแม่ลูกเท่านั้นเอง”“แต่ไม่เคยคิดเลยว่า เยวี่ยเอ๋อร์จะบาดหมางกับเจ้าห้ามาจนถึงขั้นนี้ ตอนนี้สุขภาพของพ่อก็ไม่ค่อยดีแล้ว บอกไม่ได้ว่าวันไหนจะลงไปพบกับแม่ของพวกเจ้า ถ้าไม่มีใครมาค้ำจุนครอบครัวนี้ จวนเจิ้นกั๋วกงของเราทั้งหมดช้าเร็วก็ต้องแยกทาง ถึงตอนนั้น เจ้าคิดว่าน้อง ๆ ของเจ้าจะยังมีโอกาสกลับมาหรือไม่?”เดิมทีเวินฉางอวิ้นไม่ต้องการโต้ตอบคำพูดของเวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาค่อนข้างน่าขบขันแต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย หัวใจของเวินฉางอวิ้นก็เต้นแรงขึ้นมาทันทีหากวันหนึ่งจวนเจิ้นกั๋วกงสลายไป น้องรอง น้องห้า...จะกลับมาได้อีกหรือไม่?ร่างกายของเวินฉางอวิ้นสั่นสะท้านครู่หนึ่งคำตอบที่ชัดเจนผุดขึ้นในหัวใจไม่ได้พวกเขาจะกลับมาไม่ได้อีกแล้วไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกง แต่เป็นเพราะไม่มีจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ดังนั้นสายสัมพันธ์สุดท้ายที่เหลืออยู่ระหว่างพี่น้องของพวกเขาก็จะไม่มีอะไรเลยน
เวินฉางอวิ้นที่รู้แล้วว่าเวินเยวี่ยเป็นใคร ความจริงก็ไม่รู้สึกแปลกใจกับเวินเยวี่ยในมุมนี้เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้นางเผยให้เห็นด้านที่ดูน่าสงสารและอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น ด่าทอคนอื่นโดยไม่ยั้งคิดแบบนี้ไม่ได้เห็นบ่อยนักสายตาของเวินฉางอวิ้นเผยความเยาะหยันออกมาดูเหมือนว่านางจะไม่ได้มีความจริงใจต่อเจ้าสามเช่นกันเสียแรงที่เจ้าสามถอนหมั้นกับนังหนูเนี่ยนฉือเพื่อนาง จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตกลับกลอกปลิ้นปล้อนจริง ๆคิด ๆ ดูแล้วก็น่าจะไม่ใช่แค่เจ้าสามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าสี่ด้วยเพราะถึงอย่างไรพวกเขาเหล่านี้ก็ขวางทางนางอยู่เวินฉางอวิ้นไตร่ตรองสักครู่ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้องในเวลานี้เวินฉางอวิ้นยังนึกว่าเป็นเวินเยวี่ยที่กลับมาเล่นละครอีกครั้ง แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเวินเฉวียนเซิ่งผู้เป็นพ่อของเขา“ฉางอวิ้น พ่อมาเยี่ยมเจ้า”หลายวันมานี้ ที่แวะเวียนมาที่นี่อยู่เป็นครั้งคราวเช่นกันก็มีเวินเฉวียนเซิ่งด้วยเขาแวะมาเยี่ยมลูกชายคนโต และเพื่อเป็นการชดเชยเวินฉางอวิ้นรู้ว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร และไม่ค่อยอยากพบเขาเช่นกันดังนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงของเวินเฉวียนเซิ่ง เขาก็หลับตาลงแกล้งทำเป็น
“หออายุวัฒนะ? นั่นคือที่ใดกัน?”เวินเยวี่ยถามด้วยความงุนงงเวินจื่อเยวี่ยส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด แต่เพื่อนร่วมสำนักบอกข้าว่า ที่นั่นมียาชนิดหนึ่งที่เรียกว่ายาอายุวัฒนะ สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืน เปลี่ยนเถ้ากระดูกให้กลายเป็นเลือดเนื้อ วิเศษมาก แต่ก็แพงมากเช่นกัน อยากซื้อก็ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”“พวกเราไปซื้อก็อาจจะซื้อไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”เวินเยวี่ยไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”เพราะถึงอย่างไรนางก็คือคุณหนูหกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง และเวินจื่อเยวี่ยก็เป็นคุณชายสามแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงด้วยตัวตนของพวกเขา ในเมืองหลวงแห่งนี้ยังมีอะไรที่พวกเขาหาซื้อไม่ได้อีก?“เห็นว่าเป็นเพราะมียาน้อยมาก และไม่สามารถปล่อยออกมาได้ ดังนั้นไม่ว่าใครที่ไปซื้อก็ต้องรอ ข้าคิดว่าถ้าวิเศษขนาดนั้นจริง ๆ ก็ซื้อสักเม็ดหนึ่งกลับมาให้พี่ใหญ่ลองกิน หากได้ผลจริง ๆ ล้างพิษในร่างกายของพี่ใหญ่ได้ ท่านพ่อก็จะไม่โกรธอีกต่อไปแน่นอน”อันที่จริงพวกเขาสองคนก็ไม่มีทางอื่นแล้วในตอนนี้หายาถอนพิษไม่ได้ดอกไม้พิษก็หาไม่ได้เช่นกันทำได้เพียงรักษาตามมีตามเกิด ซื้อยาอายุวัฒนะนั่นมาให้พี่ใหญ่ลองกินดูเมื่อเวิน
แต่ความตื่นเต้นดีใจนี้ดำเนินไปได้ไม่นานครึ่งชั่วยามต่อมา ฤทธิ์ของยาอายุวัฒนะก็สิ้นสุดลงความบ้าคลั่งในดวงตาของอันปี่เค่อหายไปอย่างรวดเร็วเขาเงยหน้าสูดหายใจเข้าลึก ๆ แต่วินาทีต่อมาปิดปากและจมูกด้วยความรังเกียจ“เก็บกวาดทำความสะอาดให้ข้าด้วย!”อันปี่เค่อออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อออกไปทันทีเมื่อเขาออกจากหออายุวัฒนะที่อยู่ชั้นใต้ดิน กลับไปที่ห้องหนังสือสกุลอันอีกครั้งหนึ่ง เขาก็กลับไปนั่งที่ด้านหลังโต๊ะหนังสือทันทีก่อนจะคว้ากระดาษที่เขียนชื่อไว้หลายชื่อแผ่นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาเขากวาดสายตาผ่านรายชื่อเหล่านั้นอย่างไม่วางตา สุดท้ายก็จับจ้องไปที่ชื่อนั้นที่อยู่ด้านล่างสุด…“เวินซื่อ”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์...จะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวจริง หรือว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวปลอม ก็ให้ข้าได้เห็นชัด ๆ สักหน่อยแล้วกัน……จวนเจิ้นกั๋วกงภายในเรือนของเวินฉางอวิ้นหลังจากกินยาต้มบัวหิมะที่เวินซื่อให้มาแล้ว เวินฉางอวิ้นก็ฟื้นขึ้นมาภายในไม่กี่วันจริง ๆเพียงแต่ร่างกายยังอ่อนแอมาก นอกจากลืมตามองไปรอบ ๆ ได้แล้ว เรื่องอื่นเขาก็ยังทำไม่ได้แม้แต่พูดยังพูดไม่ได้เลยทำได้เพียงนอนอย
หลังจากคนรับใช้ผู้นั้นจากไป อันปี่เค่อก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้โบราณของเขาทันที หลับตาลง มือข้างหนึ่งงอนิ้วชี้แล้วคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะซ้ำๆ ดัง “ต๊อกๆ ”ท่าทางเช่นนั้นดูเหมือนกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่างอยู่ไม่นานนัก หญิงงามนางหนึ่งที่สวมใส่อาภรณ์น้อยชิ้นก็ถือขวดหยกเขียวเดินเข้ามา ร่างกายอ่อนระทวย นั่งลงบนตักของอันปี่เค่อ แล้วเปิดขวดหยกเขียวนั้นให้เขาและเทยาเม็ดสีดำสนิทสามเม็ดออกมาจากข้างในพอยาเม็ดนั้นออกมา กลิ่นหอมประหลาดก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องหินนี้ คล้ายคลึงกับกลิ่นหอมรัญจวนใจที่อบอวลอยู่ทั่วทั้งหอใต้ดินที่อยู่ด้านนอกอย่างยิ่งแต่หากนำยาเม็ดนั้นมาใกล้จมูกและปาก ก็ยังสามารถค้นพบได้อีกว่า บนยาเม็ดเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ายังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ติดอยู่ด้วยหากเป็นคนปกติท เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดบนยาเม็ดเหล่านี้ เกรงว่าจะรีบถอยห่างทันทีแต่เวลานี้ ภายในหออายุวัฒนะใต้ดินของสกุลอัน มีคนอยู่ทุกประเภท เว้นแต่เพียงคนปกติธรรมดาเท่านั้นอย่างเช่นอันปี่เค่อในยามนี้เขาปรือตาขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองหญิงงามที่นั่งอยู่บนตัก แววตานั้นราวกับกำลังพิจารณาว่าอาหารที่จะกินในวันนี้คืออะไรหลังจากมองจ
ทางด้านอารามสุ่ยเยว่เงียบสงบสุขยิ่งนักแต่ทางด้านเมืองหลวงกลับมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวอย่างรุนแรงห้องหนังสือสกุลอันอันปี่เค่อหยิบพู่กันขึ้น ตวัดพู่กันขีดเส้นหนักๆ ลงบนรายงานข่าวกรองฉบับหนึ่งที่ลูกน้องนำมาส่งให้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จากนั้นก็พลันลุกขึ้นเดินไปยังเชิงเทียนไปพลาง ฉีกรายงานข่าวกรองฉบับนั้นเป็นชิ้นๆ ไปพลางสุดท้ายก็อาศัยเปลวไฟจากเชิงเทียนจุดมัน เปลวไฟก็ลุกลามเผากระดาษแผ่นนั้นอย่างรวดเร็ว และลามขึ้นไปด้านบน ลวกนิ้วมือของอันปี่เค่อที่จับมุมกระดาษอยู่เข้าอย่างจังแต่อันปี่เค่อราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ผ่านไปสองวินาที ถึงค่อยโยนกระดาษที่กำลังลุกไหม้ในมือทิ้งลงไปในอ่างถ่านที่มอดดับไปแล้ว“ใครก็ได้”เงาดำร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นด้านหลังของอันปี่เค่อ คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม“ลูกสาวผู้แสนดีคนนั้นของข้าตายแล้วหรือยัง?”เงาดำกล่าวอย่างระมัดระวัง “เรียนใต้เท้า คุณหนูรอง...ยังไม่ตายขอรับ”คำว่า “ยังไม่ตาย” ก็หมายความว่าการลงมือของคนเหล่านั้นล้มเหลวแล้วบนใบหน้าที่แก่ชราของอันปี่เค่อ พลันปรากฏรอยยิ้มเสแสร้งออกมา “ไอ้พวกไร้ประโยชน์ และหมากตัวหนึ่งที่ยังพอจะใช้งานได้อยู
เป่ยเฉินหยวนเห็นสีหน้าของนาง ก็รู้ว่านางเพิ่งจะรู้ตัว ชั่วขณะหนึ่งก็อดขำไม่ได้“หลังจากนี้ไม่ต้องมาที่ภูเขาด้านหลังแล้วก็ได้ อากาศหนาวลมแรง เดี๋ยวจะป่วยเอาได้ง่ายๆ ”เวินซื่อพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน “ได้”นางก็ลืมเรื่องนี้ไปเหมือนกันนางเงยหน้ามองเป่ยเฉินหยวนด้วยความอึดอัดใจ เอ่ยถามอย่างหยั่งเชิง “หรือว่า ตอนนี้พวกเรากลับไปอีกดี?”เป่ยเฉินหยวนยิ้มพลางเอ่ยขึ้นทันที “ไหนๆ ก็มาแล้ว อีกอย่างวันนี้ข้าก็อยากจะฟังที่นี่จริงๆ ”เหตุผลหลักคือในเรือนยังมีคนอื่นอยู่ เวลานี้ เขาไม่อยากให้คนอื่นมารบกวนเขาและอู๋โยวเป่ยเฉินหยวนหยิบของที่ตนนำมาด้วยออกมา ค้นเอาห่อขนมพุทราอุ่นๆ ออกมาจากข้างในห่อหนึ่ง และเสื้อคลุมลายดอกเหมยตัวใหม่อีกหนึ่งตัวเป่ยเฉินหยวนระงับความคิดที่อยากจะลงมือสวมให้ด้วยตนเอง แล้วยื่นเสื้อคลุมให้เวินซื่อก่อน“สวมเสื้อคลุมเสียเถอะ ตอนนี้ยังพอไหว ไม่ค่อยมีลม แต่ก็ต้องระวังไว้บ้าง”เวินซื่อเหลือบมองเสื้อคลุมตัวหนาที่ยังคงความอบอุ่นนั้น แล้วมองไปที่เป่ยเฉินหยวน สุดท้ายก็รับของขวัญอันใส่ใจชิ้นนี้มาอย่างเงียบๆ“นี่ ขนมพุทราที่ท่านชอบ”เป่ยเฉินหยวนรอจนนางสวมเสื้อคลุมเสร็จ ก็เปิ
“แล้วแมงมุมพิษนั้นจะส่งผลกระทบต่อท่านหรือไม่?”เป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สิ่งแรกที่เขาเป็นห่วงคือความปลอดภัยของเวินซื่อเวินซื่อพลันยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร ไม่ส่งผลกระทบต่อข้า”“แล้วอาซื่อเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าแมงมุมพิษของเจ้าอยู่บนตัวของหัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น? หากไม่ใช่หัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น แต่เป็นคนต่างเผ่าคนอื่นเล่า?”หลินเนี่ยนฉือถามเช่นนี้ ไม่ใช่การขัดคำพูดของเวินซื่อเพียงแต่นางกำลังกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างเวินซื่อกับแมงมุมพิษ ตัวอย่างเช่น หากแมงมุมพิษตัวนั้นบาดเจ็บ มันจะส่งผลกระทบต่ออาซื่อหรือไม่ หรือแม้กระทั่งถ้าแมงมุมพิษตัวนั้นตายไป มันจะส่งผลสะท้อนกลับมายังอาซื่อหรือไม่?ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าแมงมุมพิษของอาซื่อเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่พอฟังดูแล้วกลับคล้ายคลึงกับวิชาแมลงกู่ของคนต่างเผ่าเหล่านั้นมากดังนั้น หลังจากที่เป่ยเฉินหยวนและหลินเนี่ยนฉือฟังคำพูดของเวินซื่อจบแล้ว สิ่งแรกที่ทั้งสองกังวลก็คือตัวเวินซื่อเวินซื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองคนก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมาในใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “พวกท่านวางใจเถิด ข้าไม่เป็นอ
หลินเนี่ยนฉือที่นั่งมองทั้งสองคนอยู่ในเรือนเล็กๆ ตั้งแต่เมื่อครู่ มุมปากกระตุกเล็กน้อย“พอแล้วอาซื่อ อย่างไรเสียเขาก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน เจ้าช่างใจกล้าเกินไปแล้ว”ถึงกับกล้าตำหนิท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้มีอำนาจสูงสุดในราชสำนักรองจากฮ่องเต้ แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นเทพสงครามต่อหน้าเช่นนี้ จนเขาแทบเงยหน้าไม่ขึ้นหลินเนี่ยนฉือกลัวว่าเวินซื่อจะยั่วโมโหอีกฝ่ายเข้าจริงๆ นางจึงรีบยื่นมือออกไป ดึงตัวคนกลับมาแต่ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของนางหรือไม่ ในขณะที่นางจับมือเล็กๆ ของอาซื่อไว้ สายตาของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่อยู่ตรงข้ามกลับดูน่ากลัวขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งยังทิ่มแทงอีกทำเอาหลินเนี่ยนฉือไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก“ไม่เป็นไรๆ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น”เวินซื่อยังไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินเนี่ยนฉือ ก็ยกมือขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆเป่ยเฉินหยวนเอ่ยขึ้นในตอนนี้ “อู๋โยวพูดถูก ข้าไม่ใช่คนใจแคบจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น อู๋โยวก็ยังเป็นสหายของข้า สหายของนาง ย่อมเป็นสหายของข้าเช่นกัน”มุมปากของหลินเนี่ยนฉือกระตุกอีกครั้งหากไม่ใช่เพราะได้ยินสรรพนาม