เวินจื่อเยวี่ยเดาได้ไม่ผิดจริง ๆในตอนที่พวกเขากำลังรีบร้อนตามหาม้า รีบลากรถม้าไล่ตามไปถึงอารามสุ่ยเยว่ ก็เห็นเวินจื่อเฉินกำลังถูกบรรดาซือไท่ที่ถือไม้พลองกลุ่มหนึ่งล้อมเอาไว้ จ้องมองเขาด้วยสีหน้าโกรธแค้น“น้องห้า! น้องห้าเจ้าออกมาสิ!”“ข้าคือพี่รองของเจ้า ข้ามาขอโทษเจ้าแล้ว!”“น้องห้า ขอร้องเจ้าออกมาเจอหน้าข้าสักครั้ง ได้หรือไม่?”เวินจื่อเฉินยืนอยู่ที่ด้านนอกอารามสุ่ยเยว่ กำลังตะโกนเรียกเวินซื่อม่อโฉวซือไท่ที่ยืนอยู่บริเวณประตูอารามสุ่ยเยว่เอ่ยปากเย็นชา “หากประสกอยากจะขอโทษละก็ เช่นนั้นก็พูดมาตรงนี้เถอะ ข้าจะไปแจ้งอู๋โยวแทนท่าน”“ไม่ได้!”เวินจื่อเฉินส่ายหน้ากล่าว “ข้าต้องการให้น้องห้าออกมาพบข้า ในเมื่อเป็นการขอโทษนาง เช่นนั้นข้าก็ควรกล่าวขอโทษต่อหน้านาง”“ไม่ต้องหรอก”ม่อโฉวซือไท่ปฏิเสธเขาโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย“อารมณ์ของประสกฉุนเฉียวไม่ปกติ เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องราวแบบคราวก่อน ประสกไม่จำเป็นต้องพบอู๋โยวอีกแล้ว”เวินจื่อเฉินได้ยินคำพูดประโยคนี้ ก็ยืนอึ้งอยู่ที่เดิม “หมายความว่าอย่างไรที่ไม่จำเป็นต้องพบนางอีกแล้ว?”“ความหมายของข้าก็หมายความตามนั้น อู๋โย
“ขอโทษนะน้องห้า ขอโทษจริงๆ ข้ามันสมควรตายจริงๆ! ฮือๆ ๆ...”เวินจื่อเฉินกล่าวขอโทษไม่หยุด จนในที่สุดเขาก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้อีกต่อไป สติแตกปล่อยโฮออกมาเสียงดังเหล่าซือไท่ที่ล้อมเขาไว้ต่างสบตากันพวกนางไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะร้องไห้อย่างกะทันหันเช่นนี้คราวนี้จะทำอย่างไรดี?เหล่าซือไท่ต่างพากันหันกลับไปมองม่อโฉวซือไท่ที่อยู่ตรงประตูม่อโฉวซือไท่ส่งสายตาราบเรียบไป พวกนางจึงเก็บไม้พลองในมือ แล้วกลับไปอยู่ด้านหลังม่อโฉวซือไท่“ข้าได้ยินคำขอโทษของเจ้าแล้ว จะแจ้งให้อู๋โยวทราบ”แม้ว่าท่าทางของเวินจื่อเฉินจะดูน่าสงสารขนาดนั้น ร้องไห้เสียใจอย่างมากเช่นนั้น ม่อโฉวซือไท่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะใจอ่อนเลยหลังจากที่นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาจบ ก็สั่งให้คนปิดประตู ทิ้งเวินจื่อเฉินให้ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ด้านนอกต่อไปเพียงลำพังเวินจื่อเยวี่ยรู้สึกว่าท่าทางแบบนี้ของพี่รองดูน่าอับอายขายหน้าเล็กน้อย เขาจึงก้าวไปข้างหน้าแล้วเตะเวินจื่อเฉินหนึ่งที“พี่รอง ข้าว่าท่านไม่เห็นต้องร้องไห้ขนาดนี้เลยนี่?”เขาเกาหัวอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย “ท่านอยากง้อเวินซื่อขนาดนั้นเชียวหรือ?”เวินจื่อเฉินยังคงร้องไห้
“เอาละ ในเมื่อเจ้าไม่ชอบ เช่นนั้นข้าก็จะไม่พูดแล้ว”ม่อโฉวซือไท่ลูบหัวของนาง พลางตรวจการบ้านไปด้วย กล่าวกับนางไปด้วย “จริงสิ อีกสักพักเจ้าลงเขาไปกับข้าสักรอบ”“หือ? ข้าลงเขาไปกับท่านอาจารย์ได้หรือ?”เดิมทีเวินซื่อไม่ได้ตื่นเต้นมากนัก แต่พอได้ยินเรื่องนี้ ดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที“ได้แน่นอน”ม่อโฉวซือไท่ยิ้ม “ข้ามีคนไข้อยู่ที่เชิงเขา ต้องลงไปดูอาการให้นาง...”กล่าวได้เพียงครึ่ง นางก็ลังเลครู่หนึ่ง “แต่ฐานะของอีกฝ่ายอาจจะทำให้เจ้ารู้สึกอึดอัดใจอยู่บ้าง”“ฐานะอะไรหรือ?”เวินซื่อเอ่ยถามด้วยความสงสัย“คนผู้นั้นคือฮูหยินผู้เฒ่าจวนจงหย่งโหว”เมื่อม่อโฉวซือไท่เอ่ยประโยคนี้ เวินซื่อก็เข้าใจในทันทีว่านางกำลังกังวลเรื่องอะไรฮูหยินผู้เฒ่าจวนจงหย่งโหว ก็คือท่านย่าของชุยเส้าเจ๋อ อดีตคู่หมั้นของนางเวินซื่อยิ้ม “ที่แท้ก็เป็นฮูหยินผู้เฒ่าท่านนั้นนี่เอง ไม่เป็นไรหรอกท่านอาจารย์ ข้ากับจวนจงหย่งโหวของพวกเขาได้ถอนหมั้นกันไปแล้ว ในเมื่อไม่ได้ไปหาชุยเส้าเจ๋อโดยเฉพาะ เช่นนั้นจะมีอะไรที่ต้องหลบเลี่ยงอีกเล่า?”“เด็กดี เจ้าคิดได้ก็ดีแล้ว”เดิมทีม่อโฉวซือไท่ก็เป็นห่วงนางในเรื่องนี้มากเหมือนกัน
เวินซื่อไม่ได้สนใจเวินหย่าลี่สำหรับนางแล้ว ท่านอาคนนี้ไม่เคยชอบนางตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วก่อนหน้านี้ นางยังคิดว่าท่านอาเป็นคนนิสัยแบบนี้เอง กระทั่งเวินเยวี่ยมาที่บ้านสกุลเวิน เวินหย่าลี่กลับแสดงท่าทางรักใคร่เอ็นดูซึ่งแตกต่างกันอย่างมากจนทำให้นางเข้าใจ ที่แท้ท่านอาก็แค่ไม่ชอบนางเท่านั้นเองดังนั้น แม้ว่าเวินหย่าลี่จะเรียกนาง นางก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ราวกับว่าคนที่ถูกนางเรียกมิใช่ตัวเองเวินหย่าลี่เห็นนางนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน ก็เดินเข้าไปด้วยความไม่พอใจทันที“นังเด็กแสบเจ้ามาทำอะไรกัน? ไม่เห็นท่านอาอย่างข้าหรือไร ไม่รู้จักทักทายผู้ใหญ่ ไม่มีมารยาทสักนิด”พูดไปพลางเอื้อมมือไปกระชากเสื้อผ้าของเวินซื่อ “รีบลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ ไม่รู้จักลุกให้ผู้ใหญ่นั่งหรือ?”“สีกาท่านนี้”ม่อโฉวซือไท่เอื้อมมือออกไปปัดมือนางออก แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “รบกวนอย่าแตะต้องหรือพูดจาหยาบคายกับศิษย์ของข้า”เวินหย่าลี่มองดู ก็แค่แม่ชีแก่ๆ คนหนึ่ง“โอ้โฮ เวินซื่อ พอออกบวชแล้วในที่สุดก็หาคนหนุนหลังได้แล้วหรือ? ยังพาแม่ชีแก่ๆ มาอวดเบ่งที่จวนจงหย่งโหว เจ้าคงไม่ได้คิดว่าตัวเองกลายเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ
ครั้งล่าสุดที่พบกันคือช่วงเทศกาลตรุษจีน บัดนี้เวลาผ่านไปหลายเดือนแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าคงไม่คาดคิดว่า เมื่อได้พบกับเด็กคนนี้ซึ่งเดิมทีควรจะเป็นหลานสะใภ้ของนางอีกครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างกลับเปลี่ยนแปลงไปเมื่อถูกมองนานๆ เข้า เวินซื่อก็รู้สึกทนไม่ไหวแล้วนางจึงจำใจบอกกับอาจารย์ว่าขอออกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่ม่อโฉวซือไท่รู้ว่านางกำลังหลบอะไรจึงพยักหน้า พร้อมกับกำชับหนึ่งประโยค “หากมีเรื่องอะไรก็กลับมาหาข้าทันที”คำพูดนี้ราวกับกลัวว่านางจะต้องได้รับความอยุติธรรมในจวนจงหย่งโหวอย่างไรอย่างนั้นหลังจากที่เวินซื่อเหลือบมองสีหน้าที่ดูอึดอัดใจของฮูหยินผู้เฒ่า นางก็พยักหน้ารับคำแล้วเดินออกไปนางเองก็รู้ว่าสถานะของตนเองค่อนข้างอึดอัดใจ ดังนั้นจึงไม่ได้เดินไปไหนมาไหนบอกว่าจะไปสูดอากาศที่หน้าประตู นางก็ยืนอยู่แค่หน้าประตูจริงๆ มองออกไปไกลๆ จ้องมองทิวทัศน์ในลานบ้านอย่างเหม่อลอยในขณะที่นางกำลังรู้สึกเบื่ออยู่นั้น นางยังไม่รู้ว่ามีคนกำลังหาเรื่องนางหลังจากที่เวินหย่าลี่ออกจากห้องของฮูหยินผู้เฒ่า ก็ยังคงโกรธไม่หายจึงส่งคนไปแจ้งบุตรชายของตัวเองเดิมทีนางตั้งใจจะบอกบุตรชายว่า วันนี้ก่อนฟ้ามืดอย่าเ
ชุยเส้าเจ๋อหน้าบึ้งในทันที“เวินซื่อ เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”“ข้าหมายความว่าอย่างไร เจ้าฟังไม่เข้าใจหรือ?”เวินซื่อกล่าวอย่างรำคาญใจ “ก็คือให้เจ้าไปไกลได้เท่าไรก็ยิ่งดี ต่อไปอย่ามายุ่งกับข้าอีกได้หรือไม่?”ชุยเส้าเจ๋อโกรธจนกัดฟันแน่น “เจ้าไล่ข้าหรือ? ดีมากเวินซื่อ ตอนนี้เจ้ากำลังแกล้งทำเป็นไม่สนใจข้าเพื่อจะให้ข้าสนใจเจ้าใช่หรือไม่?”เวินซื่อ “?”“ใครจะไปใช้ลูกไม้นี้กับเจ้ากัน?”นางพูดไม่ออกจริงๆชุยเส้าเจ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “หรือไม่ใช่? ก่อนหน้านี้เจ้าตามตื๊อข้าไม่เลิก รักอย่างมั่นคง ตอนนี้กลับมาบอกให้ข้าไสหัวไป? นี่มิใช่การเล่นลูกไม้หรือ?”เขาหัวเราะเยาะอย่างเหยียดหยาม แสดงสีหน้าอย่าง ‘ข้ารู้ทันเจ้า’ แล้วเอ่ยกับเวินซื่ออย่างหยิ่งผยอง “ข้าจะบอกอะไรให้นะเวินซื่อ วิธีนี้อาจจะใช้ได้ผลกับบุรุษคนอื่น แต่ใช้ไม่ได้ผลกับข้าชุยเส้าเจ๋อ ตำแหน่งภรรยาเอกของข้าจะมอบให้น้องเยวี่ยเอ๋อร์เท่านั้น ส่วนเจ้าต่อไปอย่าใช้วิธีสกปรกพวกนี้อีก ไม่เช่นนั้นต่อให้เป็นตำแหน่งภรรยารองข้าก็จะไม่เก็บไว้ให้เจ้า”“ข้าว่าเจ้าต่างหากที่น่ารังเกียจที่สุด”เวินซื่อนับว่ามองออกแล้วชุยเส้าเจ๋อผู้นี้ฟังภาษา
“พลั่ก!”คราวนี้เวินซื่อไม่ได้ตบหน้าเขา แต่ประเคนหมัดให้เขาโดยตรงนางคว้าคอเสื้อของชุยเส้าเจ๋อ แล้วกัดฟันขู่ว่า “หากเจ้ายังกล้าพูดประโยคที่ว่า ‘ภรรยาเอก’ ‘ภรรยารอง’ อะไรนั่นอีก ข้าจะให้คนข้างหลังเจ้าตัดส่วนนั้นของเจ้าเสีย!”ชุยเส้าเจ๋อรู้สึกเสียวที่หว่างขาในทันทีเขามองเวินซื่อด้วยสีหน้าตกตะลึงอย่างไม่อยากจะเชื่อหลังจากที่เวินซื่อขู่เสร็จ ก็ออกคำสั่งอย่างไร้ความปรานี “จู๋เยวี่ย ลากเขาไปซ้อมให้หนัก จำไว้ว่าต้องซ้อมให้น้ำในสมองของเขาไหลออกมาให้หมด!”นางอยากจะดูว่า ชุยเส้าเจ๋อเจ้าคนหลงตัวเองนี่จะทนรับการซ้อมได้สักกี่ครั้ง!ความจริงพิสูจน์แล้วว่า ชุยเส้าเจ๋อเป็นคนดื้อรั้นจริงๆ!จู๋เยวี่ยอุดปากชุยเส้าเจ๋อ แล้วลากเขาไปยังมุมอับตาด้วยซ้อมเขาอย่างหนักหากคนผู้นี้ยังคงสันดานไม่เปลี่ยน!“เวินซื่อ! เจ้าอย่าให้มันมากนักนะ!”ชุยเส้าเจ๋อที่เพิ่งถูกปล่อยให้อ้าปากหลังจากโดนซ้อมอย่างหนัก ก็ตะโกนด้วยความเกรี้ยวกราด “อาศัยความอดทนของข้าที่มีต่อเจ้า ตอนนี้เจ้าถึงกับกล้าทำกับข้าแบบนี้ ภรรยารองอะไรก็อย่าหวังเลย! สตรีที่ชั่วร้ายและหยาบคายอย่างเจ้า ให้เป็นอนุก็ล้วน...”“เพียะ!”เวินซื่อยัดผ้าขี
เวินซื่อยกเท้าขึ้นเปลี่ยนทิศทางโดยไม่หยุดชะงัก จูงมือม่อโฉวซือไท่ไปทางประตูหลังแต่เมื่อเวินจื่อเฉินเห็นว่านางกำลังจะไป รถม้ายังไม่ทันจอดสนิท ก็กระโดดลงมาจากด้านบน“คุณชายรอง ระวังแผลของท่านด้วยขอรับ!”เวินจื่อเฉินไม่สนใจสิ่งใด สาวเท้าไล่ตามเวินซื่อด้วยความรีบร้อน แล้วคว้าตัวนางไว้“น้องห้า! อย่าไป!”“ปล่อยข้า!”เวินซื่อหันกลับมาจ้องเขาด้วยความโกรธ“ได้ๆ ข้าปล่อย ขอแค่เจ้าไม่ไป พี่รองจะไม่แตะต้องเจ้า”เมื่อเห็นสายตาที่โกรธเกรี้ยวเช่นนั้นของเวินซื่อ เวินจื่อเฉินก็รีบชักมือกลับด้วยความตกใจ“อย่าเรียกข้า...อย่าเรียกแม่ชีว่าน้องห้า”เวินซื่อเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “ข้าเป็นเพียงแม่ชีน้อยของอารามสุ่ยเยว่ มิใช่น้องห้าที่คุณชายรองเวินกล่าว”เวินจื่อเฉินรู้สึกคอแห้ง แน่นหน้าอกจนรู้สึกอึดอัดอย่างมาก “น้องห้า ขอร้องอย่าพูดเช่นนี้...”“พี่รอง!”เวินจื่อเฉินยังพูดไม่จบ ก็มีเงาอีกสองสายปรากฏขึ้นข้างหลังเขาคือเวินเยวี่ยและเวินจื่อเยวี่ย“พี่รอง ท่านอย่าลืมคำพูดที่ท่านพ่อเคยบอกกับท่านสิ”ทันทีที่เวินจื่อเยวี่ยเดินเข้ามา ก็กวาดตามองเวินซื่อด้วยสายตาเย็นชาสีหน้าของเวินจื่อเฉินแข็งค้าง เขา
“ฉางอวิ้น เจ้าต้องเข้าใจถึงความขมขื่นใจของพ่อ”เวินเฉวียนเซิ่งนั่งลงข้างกายเวินฉางอวิ้น พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“ตอนแรกพ่อแค่อยากให้เด็กคนนั้นมีบ้าน อยากจะชดใช้หนี้ทั้งหมดที่มีต่อสองแม่ลูกเท่านั้นเอง”“แต่ไม่เคยคิดเลยว่า เยวี่ยเอ๋อร์จะบาดหมางกับเจ้าห้ามาจนถึงขั้นนี้ ตอนนี้สุขภาพของพ่อก็ไม่ค่อยดีแล้ว บอกไม่ได้ว่าวันไหนจะลงไปพบกับแม่ของพวกเจ้า ถ้าไม่มีใครมาค้ำจุนครอบครัวนี้ จวนเจิ้นกั๋วกงของเราทั้งหมดช้าเร็วก็ต้องแยกทาง ถึงตอนนั้น เจ้าคิดว่าน้อง ๆ ของเจ้าจะยังมีโอกาสกลับมาหรือไม่?”เดิมทีเวินฉางอวิ้นไม่ต้องการโต้ตอบคำพูดของเวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาค่อนข้างน่าขบขันแต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย หัวใจของเวินฉางอวิ้นก็เต้นแรงขึ้นมาทันทีหากวันหนึ่งจวนเจิ้นกั๋วกงสลายไป น้องรอง น้องห้า...จะกลับมาได้อีกหรือไม่?ร่างกายของเวินฉางอวิ้นสั่นสะท้านครู่หนึ่งคำตอบที่ชัดเจนผุดขึ้นในหัวใจไม่ได้พวกเขาจะกลับมาไม่ได้อีกแล้วไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกง แต่เป็นเพราะไม่มีจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ดังนั้นสายสัมพันธ์สุดท้ายที่เหลืออยู่ระหว่างพี่น้องของพวกเขาก็จะไม่มีอะไรเลยน
เวินฉางอวิ้นที่รู้แล้วว่าเวินเยวี่ยเป็นใคร ความจริงก็ไม่รู้สึกแปลกใจกับเวินเยวี่ยในมุมนี้เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้นางเผยให้เห็นด้านที่ดูน่าสงสารและอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น ด่าทอคนอื่นโดยไม่ยั้งคิดแบบนี้ไม่ได้เห็นบ่อยนักสายตาของเวินฉางอวิ้นเผยความเยาะหยันออกมาดูเหมือนว่านางจะไม่ได้มีความจริงใจต่อเจ้าสามเช่นกันเสียแรงที่เจ้าสามถอนหมั้นกับนังหนูเนี่ยนฉือเพื่อนาง จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตกลับกลอกปลิ้นปล้อนจริง ๆคิด ๆ ดูแล้วก็น่าจะไม่ใช่แค่เจ้าสามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าสี่ด้วยเพราะถึงอย่างไรพวกเขาเหล่านี้ก็ขวางทางนางอยู่เวินฉางอวิ้นไตร่ตรองสักครู่ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้องในเวลานี้เวินฉางอวิ้นยังนึกว่าเป็นเวินเยวี่ยที่กลับมาเล่นละครอีกครั้ง แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเวินเฉวียนเซิ่งผู้เป็นพ่อของเขา“ฉางอวิ้น พ่อมาเยี่ยมเจ้า”หลายวันมานี้ ที่แวะเวียนมาที่นี่อยู่เป็นครั้งคราวเช่นกันก็มีเวินเฉวียนเซิ่งด้วยเขาแวะมาเยี่ยมลูกชายคนโต และเพื่อเป็นการชดเชยเวินฉางอวิ้นรู้ว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร และไม่ค่อยอยากพบเขาเช่นกันดังนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงของเวินเฉวียนเซิ่ง เขาก็หลับตาลงแกล้งทำเป็น
“หออายุวัฒนะ? นั่นคือที่ใดกัน?”เวินเยวี่ยถามด้วยความงุนงงเวินจื่อเยวี่ยส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด แต่เพื่อนร่วมสำนักบอกข้าว่า ที่นั่นมียาชนิดหนึ่งที่เรียกว่ายาอายุวัฒนะ สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืน เปลี่ยนเถ้ากระดูกให้กลายเป็นเลือดเนื้อ วิเศษมาก แต่ก็แพงมากเช่นกัน อยากซื้อก็ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”“พวกเราไปซื้อก็อาจจะซื้อไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”เวินเยวี่ยไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”เพราะถึงอย่างไรนางก็คือคุณหนูหกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง และเวินจื่อเยวี่ยก็เป็นคุณชายสามแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงด้วยตัวตนของพวกเขา ในเมืองหลวงแห่งนี้ยังมีอะไรที่พวกเขาหาซื้อไม่ได้อีก?“เห็นว่าเป็นเพราะมียาน้อยมาก และไม่สามารถปล่อยออกมาได้ ดังนั้นไม่ว่าใครที่ไปซื้อก็ต้องรอ ข้าคิดว่าถ้าวิเศษขนาดนั้นจริง ๆ ก็ซื้อสักเม็ดหนึ่งกลับมาให้พี่ใหญ่ลองกิน หากได้ผลจริง ๆ ล้างพิษในร่างกายของพี่ใหญ่ได้ ท่านพ่อก็จะไม่โกรธอีกต่อไปแน่นอน”อันที่จริงพวกเขาสองคนก็ไม่มีทางอื่นแล้วในตอนนี้หายาถอนพิษไม่ได้ดอกไม้พิษก็หาไม่ได้เช่นกันทำได้เพียงรักษาตามมีตามเกิด ซื้อยาอายุวัฒนะนั่นมาให้พี่ใหญ่ลองกินดูเมื่อเวิน
แต่ความตื่นเต้นดีใจนี้ดำเนินไปได้ไม่นานครึ่งชั่วยามต่อมา ฤทธิ์ของยาอายุวัฒนะก็สิ้นสุดลงความบ้าคลั่งในดวงตาของอันปี่เค่อหายไปอย่างรวดเร็วเขาเงยหน้าสูดหายใจเข้าลึก ๆ แต่วินาทีต่อมาปิดปากและจมูกด้วยความรังเกียจ“เก็บกวาดทำความสะอาดให้ข้าด้วย!”อันปี่เค่อออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อออกไปทันทีเมื่อเขาออกจากหออายุวัฒนะที่อยู่ชั้นใต้ดิน กลับไปที่ห้องหนังสือสกุลอันอีกครั้งหนึ่ง เขาก็กลับไปนั่งที่ด้านหลังโต๊ะหนังสือทันทีก่อนจะคว้ากระดาษที่เขียนชื่อไว้หลายชื่อแผ่นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาเขากวาดสายตาผ่านรายชื่อเหล่านั้นอย่างไม่วางตา สุดท้ายก็จับจ้องไปที่ชื่อนั้นที่อยู่ด้านล่างสุด…“เวินซื่อ”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์...จะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวจริง หรือว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวปลอม ก็ให้ข้าได้เห็นชัด ๆ สักหน่อยแล้วกัน……จวนเจิ้นกั๋วกงภายในเรือนของเวินฉางอวิ้นหลังจากกินยาต้มบัวหิมะที่เวินซื่อให้มาแล้ว เวินฉางอวิ้นก็ฟื้นขึ้นมาภายในไม่กี่วันจริง ๆเพียงแต่ร่างกายยังอ่อนแอมาก นอกจากลืมตามองไปรอบ ๆ ได้แล้ว เรื่องอื่นเขาก็ยังทำไม่ได้แม้แต่พูดยังพูดไม่ได้เลยทำได้เพียงนอนอย
หลังจากคนรับใช้ผู้นั้นจากไป อันปี่เค่อก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้โบราณของเขาทันที หลับตาลง มือข้างหนึ่งงอนิ้วชี้แล้วคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะซ้ำๆ ดัง “ต๊อกๆ ”ท่าทางเช่นนั้นดูเหมือนกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่างอยู่ไม่นานนัก หญิงงามนางหนึ่งที่สวมใส่อาภรณ์น้อยชิ้นก็ถือขวดหยกเขียวเดินเข้ามา ร่างกายอ่อนระทวย นั่งลงบนตักของอันปี่เค่อ แล้วเปิดขวดหยกเขียวนั้นให้เขาและเทยาเม็ดสีดำสนิทสามเม็ดออกมาจากข้างในพอยาเม็ดนั้นออกมา กลิ่นหอมประหลาดก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องหินนี้ คล้ายคลึงกับกลิ่นหอมรัญจวนใจที่อบอวลอยู่ทั่วทั้งหอใต้ดินที่อยู่ด้านนอกอย่างยิ่งแต่หากนำยาเม็ดนั้นมาใกล้จมูกและปาก ก็ยังสามารถค้นพบได้อีกว่า บนยาเม็ดเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ายังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ติดอยู่ด้วยหากเป็นคนปกติท เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดบนยาเม็ดเหล่านี้ เกรงว่าจะรีบถอยห่างทันทีแต่เวลานี้ ภายในหออายุวัฒนะใต้ดินของสกุลอัน มีคนอยู่ทุกประเภท เว้นแต่เพียงคนปกติธรรมดาเท่านั้นอย่างเช่นอันปี่เค่อในยามนี้เขาปรือตาขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองหญิงงามที่นั่งอยู่บนตัก แววตานั้นราวกับกำลังพิจารณาว่าอาหารที่จะกินในวันนี้คืออะไรหลังจากมองจ
ทางด้านอารามสุ่ยเยว่เงียบสงบสุขยิ่งนักแต่ทางด้านเมืองหลวงกลับมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวอย่างรุนแรงห้องหนังสือสกุลอันอันปี่เค่อหยิบพู่กันขึ้น ตวัดพู่กันขีดเส้นหนักๆ ลงบนรายงานข่าวกรองฉบับหนึ่งที่ลูกน้องนำมาส่งให้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จากนั้นก็พลันลุกขึ้นเดินไปยังเชิงเทียนไปพลาง ฉีกรายงานข่าวกรองฉบับนั้นเป็นชิ้นๆ ไปพลางสุดท้ายก็อาศัยเปลวไฟจากเชิงเทียนจุดมัน เปลวไฟก็ลุกลามเผากระดาษแผ่นนั้นอย่างรวดเร็ว และลามขึ้นไปด้านบน ลวกนิ้วมือของอันปี่เค่อที่จับมุมกระดาษอยู่เข้าอย่างจังแต่อันปี่เค่อราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ผ่านไปสองวินาที ถึงค่อยโยนกระดาษที่กำลังลุกไหม้ในมือทิ้งลงไปในอ่างถ่านที่มอดดับไปแล้ว“ใครก็ได้”เงาดำร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นด้านหลังของอันปี่เค่อ คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม“ลูกสาวผู้แสนดีคนนั้นของข้าตายแล้วหรือยัง?”เงาดำกล่าวอย่างระมัดระวัง “เรียนใต้เท้า คุณหนูรอง...ยังไม่ตายขอรับ”คำว่า “ยังไม่ตาย” ก็หมายความว่าการลงมือของคนเหล่านั้นล้มเหลวแล้วบนใบหน้าที่แก่ชราของอันปี่เค่อ พลันปรากฏรอยยิ้มเสแสร้งออกมา “ไอ้พวกไร้ประโยชน์ และหมากตัวหนึ่งที่ยังพอจะใช้งานได้อยู
เป่ยเฉินหยวนเห็นสีหน้าของนาง ก็รู้ว่านางเพิ่งจะรู้ตัว ชั่วขณะหนึ่งก็อดขำไม่ได้“หลังจากนี้ไม่ต้องมาที่ภูเขาด้านหลังแล้วก็ได้ อากาศหนาวลมแรง เดี๋ยวจะป่วยเอาได้ง่ายๆ ”เวินซื่อพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน “ได้”นางก็ลืมเรื่องนี้ไปเหมือนกันนางเงยหน้ามองเป่ยเฉินหยวนด้วยความอึดอัดใจ เอ่ยถามอย่างหยั่งเชิง “หรือว่า ตอนนี้พวกเรากลับไปอีกดี?”เป่ยเฉินหยวนยิ้มพลางเอ่ยขึ้นทันที “ไหนๆ ก็มาแล้ว อีกอย่างวันนี้ข้าก็อยากจะฟังที่นี่จริงๆ ”เหตุผลหลักคือในเรือนยังมีคนอื่นอยู่ เวลานี้ เขาไม่อยากให้คนอื่นมารบกวนเขาและอู๋โยวเป่ยเฉินหยวนหยิบของที่ตนนำมาด้วยออกมา ค้นเอาห่อขนมพุทราอุ่นๆ ออกมาจากข้างในห่อหนึ่ง และเสื้อคลุมลายดอกเหมยตัวใหม่อีกหนึ่งตัวเป่ยเฉินหยวนระงับความคิดที่อยากจะลงมือสวมให้ด้วยตนเอง แล้วยื่นเสื้อคลุมให้เวินซื่อก่อน“สวมเสื้อคลุมเสียเถอะ ตอนนี้ยังพอไหว ไม่ค่อยมีลม แต่ก็ต้องระวังไว้บ้าง”เวินซื่อเหลือบมองเสื้อคลุมตัวหนาที่ยังคงความอบอุ่นนั้น แล้วมองไปที่เป่ยเฉินหยวน สุดท้ายก็รับของขวัญอันใส่ใจชิ้นนี้มาอย่างเงียบๆ“นี่ ขนมพุทราที่ท่านชอบ”เป่ยเฉินหยวนรอจนนางสวมเสื้อคลุมเสร็จ ก็เปิ
“แล้วแมงมุมพิษนั้นจะส่งผลกระทบต่อท่านหรือไม่?”เป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สิ่งแรกที่เขาเป็นห่วงคือความปลอดภัยของเวินซื่อเวินซื่อพลันยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร ไม่ส่งผลกระทบต่อข้า”“แล้วอาซื่อเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าแมงมุมพิษของเจ้าอยู่บนตัวของหัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น? หากไม่ใช่หัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น แต่เป็นคนต่างเผ่าคนอื่นเล่า?”หลินเนี่ยนฉือถามเช่นนี้ ไม่ใช่การขัดคำพูดของเวินซื่อเพียงแต่นางกำลังกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างเวินซื่อกับแมงมุมพิษ ตัวอย่างเช่น หากแมงมุมพิษตัวนั้นบาดเจ็บ มันจะส่งผลกระทบต่ออาซื่อหรือไม่ หรือแม้กระทั่งถ้าแมงมุมพิษตัวนั้นตายไป มันจะส่งผลสะท้อนกลับมายังอาซื่อหรือไม่?ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าแมงมุมพิษของอาซื่อเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่พอฟังดูแล้วกลับคล้ายคลึงกับวิชาแมลงกู่ของคนต่างเผ่าเหล่านั้นมากดังนั้น หลังจากที่เป่ยเฉินหยวนและหลินเนี่ยนฉือฟังคำพูดของเวินซื่อจบแล้ว สิ่งแรกที่ทั้งสองกังวลก็คือตัวเวินซื่อเวินซื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองคนก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมาในใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “พวกท่านวางใจเถิด ข้าไม่เป็นอ
หลินเนี่ยนฉือที่นั่งมองทั้งสองคนอยู่ในเรือนเล็กๆ ตั้งแต่เมื่อครู่ มุมปากกระตุกเล็กน้อย“พอแล้วอาซื่อ อย่างไรเสียเขาก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน เจ้าช่างใจกล้าเกินไปแล้ว”ถึงกับกล้าตำหนิท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้มีอำนาจสูงสุดในราชสำนักรองจากฮ่องเต้ แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นเทพสงครามต่อหน้าเช่นนี้ จนเขาแทบเงยหน้าไม่ขึ้นหลินเนี่ยนฉือกลัวว่าเวินซื่อจะยั่วโมโหอีกฝ่ายเข้าจริงๆ นางจึงรีบยื่นมือออกไป ดึงตัวคนกลับมาแต่ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของนางหรือไม่ ในขณะที่นางจับมือเล็กๆ ของอาซื่อไว้ สายตาของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่อยู่ตรงข้ามกลับดูน่ากลัวขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งยังทิ่มแทงอีกทำเอาหลินเนี่ยนฉือไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก“ไม่เป็นไรๆ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น”เวินซื่อยังไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินเนี่ยนฉือ ก็ยกมือขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆเป่ยเฉินหยวนเอ่ยขึ้นในตอนนี้ “อู๋โยวพูดถูก ข้าไม่ใช่คนใจแคบจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น อู๋โยวก็ยังเป็นสหายของข้า สหายของนาง ย่อมเป็นสหายของข้าเช่นกัน”มุมปากของหลินเนี่ยนฉือกระตุกอีกครั้งหากไม่ใช่เพราะได้ยินสรรพนาม