อีกอย่างในตอนนั้นหลินเนี่ยนฉือยังได้หมั้นหมายกับเวินจื่อเยวี่ยแล้วด้วยดังนั้นต่อมาทั้งสองจึงไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยแม้แต่จดหมายสักฉบับก็ไม่เคยส่งหากันแต่วนเวียนไปมา หลินเนี่ยนฉือก็กลับมาที่เมืองหลวงอีกครั้ง สิ้นสุดสถานะหมั้นหมายกับเวินจื่อเยวี่ย แต่กลายมาเป็นฮองเฮาของเขาแทนหลินเนี่ยนฉือไม่รู้ว่าฮ่องเต้หมิงฉี่เฉียนผู้นี้กำลังคิดอะไรอยู่ แต่ความรู้สึกของนางค่อนข้างซับซ้อนในตอนแรกต่อมาเมื่อได้พบกับหมิงฉี่เฉียนตอนเข้าวัง ได้เริ่มไปมาหาสู่กับเขาใหม่หลายครั้ง อารมณ์ที่ซับซ้อนของหลินเนี่ยนฉือก็หายไปอย่างรวดเร็วเพราะเดิมทีนางคิดว่าหมิงฉี่เฉียนที่ได้เป็นฮ่องเต้แล้วต้องเปลี่ยนแปลงไปมากแน่นอน และอาจเป็นไปได้ด้วยซ้ำว่าจะกลายเป็นคนแปลกหน้าที่คุ้นเคยสำหรับนางไปแล้วแต่นึกไม่ถึงว่า ความรู้สึกที่หมิงฉี่เฉียนแสดงออกมากลับยังเหมือนตอนที่เขายังเป็นเด็กสามารถรำลึกถึงอดีตกับนางได้ พานางไปขี่ม้าเที่ยวเล่น ไม่บังคับอุปนิสัยของนาง และไม่ให้นางต้องทำแบบนี้ทำแบบนั้น ไม่วางมาดของฮ่องเต้เลยแม้แต่นิดเดียววันนั้นหมิงฉี่เฉียนในฐานะฮ่องเต้ถึงกับกล่าวคำพูดตอนหนึ่งกับหลินเนี่ยนฉือว่า “เรารู้ว่านิสัยเจ้าร
“อู๋โยว”เวินซื่อยังไม่ทันเข้าใกล้ เป่ยเฉินหยวนก็ยกเท้าก้าวไปหานางโดยสัญชาตญาณ สายตาของเขาจับจ้องไปที่จวี้เอ๋า ราวกับคาดเดาอะไรบางอย่างได้แล้ว พลางเลิกคิ้วถามว่า “คนผู้นี้คือหนึ่งในคนที่ท่านเคยได้รับมาตอนที่อยู่ในอำเภอหลินเจียงก่อนหน้านี้ใช่ไหม?”เวินซื่อเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก็ถือว่าใช่ เดิมทีเขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของอ๋องชางแห่งราชสำนักต่างถิ่น มีพละกำลังมหาศาลน่าสะพรึงกลัว แต่นิสัยยังไม่โตเต็มที่ เมื่อก่อนถูกอ๋องชางควบคุมด้วยแมลงกู่มาโดยตลอด หลังจากถูกแม่ชีกำจัดแมลงกู่ทิ้งแล้ว ก็เลยเก็บเขาไว้”“จวี้เอ๋า รีบมาคารวะท่านอ๋อง”จวี้เอ๋าเอียงศีรษะ หัวเราะเจื่อน ๆ พลางเอ่ยด้วยเสียงดังลั่นของเขา “ได้ คำนับท่านอ๋อง คำนับพี่หญิง จวี้เอ๋าสบายดี!”จวี้เอ๋าที่ไม่เข้าใจเรื่องมารยาทใด ๆ พูดได้แต่คำว่าคำนับ เมื่อเวินซื่อเห็นฉากนี้ก็แอบพูดในใจว่า ดูเหมือนว่าประเดี๋ยวจะต้องสั่งสอนจวี้เอ๋าเสียหน่อย เพื่อที่เขาจะได้ไม่เสียมารยาทต่อหน้าฝ่าบาททันทีที่เป่ยเฉินหยวนได้ยินที่เขาพูด ก็รู้ว่าที่เวินซื่อบอกว่า “นิสัยยังไม่โตเต็มที่” หมายความว่าอย่างไรแล้ว“ท่านต้องการเก็บเขาไว้ข้างกายหรือ?”ใช่แล้ว ท่านอ๋อ
เสื้อผ้าบนตัวจวี้เอ๋าเป็นชุดชาวต่างถิ่น ตอนนี้มาถึงเมืองหลวงแล้ว หากไม่เปลี่ยนล่ะก็ จะทำให้เกิดความวุ่นวายแน่นอนโดยเฉพาะวันนี้นางยังต้องการพาจวี้เอ๋าเข้าวัง ให้ทุกเรื่องราวกระจ่างต่อหน้าฮ่องเต้ใช่แล้ว ตั้งแต่เวินซื่อตัดสินใจเก็บจวี้เอ๋าไว้ข้างกาย ก็ได้เริ่มวางแผนเรื่องเหล่านี้แล้วก่อนหน้านี้เนื่องจากสถานะพิเศษของจวี้เอ๋า ยากที่จะปล่อยตัวเขาออกมา แต่บัดนี้ที่เขากลับมายังเมืองหลวงแล้ว เพื่อให้เขาปรากฏตัวได้อย่างเปิดเผยในวันข้างหน้า ก็จำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากบุคคลสูงสุดดังนั้นเวินซื่อจึงเลือกวันนี้ให้เป็นวันที่จวี้เอ๋าปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนเพียงแต่ต่อไปมันค่อนข้างยุ่งยากว่าจวี้เอ๋าจะอาศัยอยู่ที่ไหน เขาไม่สามารถอาศัยอยู่ที่อารามสุ่ยเยว่ได้อย่างแน่นอน และไม่สามารถปล่อยให้เขาอยู่ไกลเกินไปได้อีกด้วยเวินซื่อคิดอะไรได้บางอย่าง จึงออกจากมิติพูดกับเสี่ยวหานว่า “วันนี้เจ้าตามข้าไปเมืองหลวง หลังจากข้าเข้าวังแล้ว เจ้าก็ไปหาพ่อบ้านหลาน ให้เขาหาคนมาสร้างเรือนเล็กที่สูงใหญ่หน่อยที่เชิงภูเขาหนาน ข้าจะจัดการให้คนคนหนึ่งไปพักที่นั่น”เสี่ยวหานถามอย่างรอบคอบ “ต้องการเรือนสูงเท่าไหร่และขนาดให
“ความจริงแล้วเมื่อมองในตอนนี้ โชคดีที่เจ้าเด็ดขาดตั้งแต่แรก ขอออกบวชโดยตรง มิฉะนั้นหากยังอยู่ในจวนเจิ้นกั๋วกงล่ะก็ คงถูกพ่อของเจ้าที่สูญสิ้นมโนธรรมทรมานจนไม่เป็นผู้เป็นคน”ม่อโฉวซือไท่พูดมาเช่นนี้แต่กลับไม่รู้ว่าคำพูดของนางกำลังยืนยันชาติก่อนของเวินซื่อเวินซื่อหลุบตาลงเล็กน้อย ไม่พูดอะไร แต่ยังคงฟังต่อไป นางต้องการได้ยินความจริงเพิ่มเติม“พี่ชายทั้งหลายของเจ้าพวกนั้นก็โง่เขลาอย่างไม่น่าเชื่อ หรือบางทีพ่อของเจ้าอาจจะหน้าเนื้อใจเสือเกินไป เขารู้ว่ามีอาจารย์คอยจับตาดูอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ลงมือกับเจ้าโดยตรง แต่ค่อย ๆ ครอบงำพี่ชายทั้งหลายของเจ้าอย่างแยบยล ให้พวกเขาทรมานเจ้าที่เป็นน้องสาวแท้ ๆ เพื่อน้องสาวนอกสมรสคนนั้น”“และพวกเจ้าทุกคนคือลูกของจื่อจวิน ฝั่งหนึ่งก็คือลูกสาวของจื่อจวิน อีกฝั่งหนึ่งก็คือลูกชายทั้งสี่ของจื่อจวิน เขาคิดว่าแบบนี้ก็จะทำให้ข้าไม่สามารถเลือกได้ระหว่างสองฝั่ง...ฮ่า ๆ แต่เขาประเมินข้าต่ำเกินไป”ทันใดนั้นม่อโฉวซือไท่ก็หัวเราะอย่างเย็นชา ความเคร่งขรึมวาดผ่านแววตานางมองไปทางเวินซื่อ “ในเมื่อเจ้าได้เห็นเด็กคนนั้นแล้ว ก็น่าจะสังเกตเห็นบางอย่างในตัวเขาด้วยใช่ไห
ความเศร้าโศกของม่อโฉวซือไท่ เวินซื่อนั้นไม่รู้เลยนางเพียงแค่บอกเรื่องนี้กับม่อโฉวซือไท่อย่างบริสุทธิ์ใจเท่านั้นไม่ใช่ อาจจะไม่บริสุทธิ์ใจขนาดนั้นก็ได้เพราะนางรู้มาตลอดว่า สาเหตุที่ม่อโฉวซือไท่ดีกับนางก็เพราะแม่ของนาง เพราะนางเป็นลูกของหลานจื่อจวินแต่ลูกของหลานจื่อจวินไม่ได้มีแค่นางเท่านั้น แต่ยังมีพี่ใหญ่ พี่รอง พี่สาม และพี่สี่ในอดีตของนางด้วยและระหว่างนางกับคนทั้งสี่นี้ มีความแค้นฝังลึกอยู่แล้ว มิตรภาพในอดีตก็เลือนหายไปหมด เหลือเพียงหัวใจที่เต็มไปด้วยความบาดหมางและเคียดแค้นดังนั้นนางจึงต้องการให้ม่อโฉวซือไท่ตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้อย่างชัดเจน เพื่อที่อาจารย์ของนางจะไม่กลายเป็นอุปสรรคต่อการแก้แค้นของนางในวันข้างหน้าวิธีการเช่นนี้เฉยชาเกินไปแต่เวินซื่อก็ไม่เสียใจเพราะคนที่นางต้องการฆ่า ไม่ได้มีเวินอวี้จือเพียงคนเดียวหลังจากให้ม่อโฉวซือไท่เตรียมใจแล้ว เวินซื่อก็ไม่พูดถึงเวินอวี้จืออีก แต่ขยายหัวข้อสนทนาไปเรื่องอื่น“อ้อ อาจารย์รู้ไหมว่าคนที่ลงมือแทนข้าในครั้งนี้คือใคร?”เวินซื่ออมยิ้มมุมปาก นั่งตัวตรงบนเก้าอี้เอ่ยถามม่อโฉวซือไท่“ไม่ใช่จู๋เยวี่ยหรือ?”ม่อโฉวซือไท่เ
ผลปรากฏว่ารอยยิ้มของม่อโฉวซือไท่ยิ่งเยือกเย็นลงไปอีก “บางครั้งดูภายนอกก็ไม่มีอันตราย แต่ที่อันตรายที่สุดคือคนกันเอง โดยเฉพาะผู้ชาย!”เวินซื่อ “...”นางยังสามารถพูดอะไรได้อีก?ไม่เป็นไร ยอมโดนดุด่าแต่โดยดีจะดีกว่าขณะที่กำลังคิดเรื่องนี้ วินาทีต่อมาม่อโฉวซือไท่ก็กดนางให้นั่งลง “เอาล่ะ ไม่คุยกับเจ้าแล้ว”ม่อโฉวซือไท่ถอนหายใจ มองเด็กน้อยคล้ายสหายเก่าที่อยู่ตรงหน้า นางเอ่ยด้วยความยินดีเคล้าโศกเศร้า “นังหนูนี่ ตั้งแต่แรกที่ขึ้นภูเขามาข้าก็มองออกแล้วว่าเจ้ามีความคิดบางอย่าง มีหัวใจที่ทุ่มสุดตัว ดังนั้นข้าจึงเป็นห่วงเจ้าอยู่เสมอ”ที่จริงแล้วภัยอันตรายทั่วไปนางเชื่อว่าเวินซื่อสามารถรับมือได้ด้วยตัวเอง แต่หากเผชิญกับสถานการณ์ที่จนตรอกจริง ๆ สิ่งที่ม่อโฉวซือไท่เป็นกังวลก็คือเวินซื่อจะยอมเลือดเข้าตา ให้ตายก็ไม่ยอมก้มหัวให้ใครในสายตาของม่อโฉวซือไท่ มองเห็นเวินซื่อเหมือนเชือกที่ถูกขึงไว้แน่นแต่ไหนแต่ไร นางไม่เคยปล่อยให้ตัวเองผ่อนคลายแม้แต่น้อยแต่เชือกถูกขึงไว้อยู่ตลอดเวลา เมื่อเวลาผ่านไปนาน ภายใต้สายลมและแสงแดด มันจะไม่ขาดไม่แยกกันตลอดไปได้อย่างไร?ดังนั้นม่อโฉวซือไท่จึงรู้สึกกลัวนางกล