“คุณหนูเหตุใดไม่ยอมบอกชื่อแซ่แก่พวกเขาล่ะเจ้าคะ ข้าดูแล้วพวกเขาคงมีฐานะใหญ่โตอยู่ไม่น้อย วันข้างหน้าอาจได้พึ่งพากันก็เป็นได้” เผิงฉือรินน้ำชาใส่ถ้วยเลื่อนให้ผู้เป็นนาย
“เหตุใดป้าเผิงถึงอยากพึ่งพาคนแปลกหน้าล่ะ”
เผิงฉือพูดไม่ออก นั่นสินะ แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยอันใด หลินซือเยว่กลับเอ่ยขึ้นเสียก่อน “หากมีวาสนาต่อกันจริง วันข้างหน้าก็ต้องได้เจอกันอีก แต่หากไร้วาสนารู้จักชื่อแซ่ไปก็เปล่าประโยชน์”
“จริงของคุณหนูเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าคุณหนูไปถึงตระกูลหลินแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง”
หลินซือเยว่ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ นางไม่อาจล่วงรู้ชะตาของตนเองได้ นี่คือสิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยน ยามได้ล่วงรู้ความลับของสวรรค์ “ดีหรือไม่ดีแล้วอย่างไรเล่า” นางเอ่ยคล้ายไม่แยแสในชีวิตวันข้างหน้าของตนเอง
เผิงฉือได้แต่ลอบพรูลมหายใจออกมาเบา ๆ คุณหนูของนางช่างเย็นชาเสียจริง
เมืองหลวง
จวนตระกูลหลิน
หิมะยังคงโปรยปรายลงมาดั่งสายฝน รถม้าของหลินอ้ายถูกขวางไว้ตรงหน้าประตูด้านข้าง เสียงคนคุยกันด้านนอกรถม้า ทำให้หลินซือเยว่คลึงขมับเบา ๆ ตั้งแต่เข้าเมืองหลวงมา นางไม่ค่อยคุ้นชินกับสภาพผู้คนพลุกพล่านเท่าใดนัก อาจเป็นเพราะอยู่ในอารามมาเป็นเวลานาน ส่วนเผิงฉือยิ่งเก็บอาการตื่นเต้นไม่อยู่ มองซ้ายขวาท่าทางตื่นตาตื่นใจไปหมด
“ไม่ใช่ว่าเคยอยู่เมืองใหญ่มาก่อนรึป้าเผิง” จากดวงชะตาของเผิงฉือ หลินซือเยว่ย่อมรู้ว่านาง ไม่ได้มาจากถิ่นกันดารอย่างแน่นอน
“เจ้าค่ะคุณหนู แต่ข้าไม่ได้เข้าเมืองหลวงมานานมากแล้ว เลยอดตื่นเต้นไม่ได้เจ้าค่ะ”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ ไม่ให้เข้าไปในจวนรึ เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น !” เสียงของหลินอ้ายดังขึ้นคล้ายไม่พอใจ
“เจ้าเบา ๆ หน่อยได้ไหม เป็นคำสั่งของพ่อบ้านหม่า ให้พาคุณหนูรองไปพักอาศัยอยู่นอกจวน แล้วให้เจ้าอยู่ที่นั่นคอยดูแลนางด้วย” คนเฝ้าประตูกระซิบเบา ๆ เพราะเกรงว่าคนในรถม้าจะได้ยิน
“หมายความว่าอย่างไร นี่ข้าถูกไล่ออกจากจวนใหญ่แล้วรึ” หลินอ้ายรู้สึกงุนงงเป็นอย่างมาก เหตุใดเขาถึงต้องไปอยู่นอกจวนกับคุณหนูรองด้วย
“เจ้าไปได้แล้วไป นี่เป็นคำสั่งพ่อบ้านหม่า” เอ่ยจบก็ปิดประตูไล่เสียอย่างนั้น
หลินอ้ายเดินคอตกกลับมารายงานหลินซือเยว่ด้วยความคับข้องใจ “คุณหนูรองขอรับ คือว่า พ่อบ้านหม่าให้คุณหนูรองไปอยู่อีกเรือนขอรับ”
“อะไรนะ ! ไม่ให้คุณหนูของข้าเข้าจวน คุณหนูของข้าไม่ใช่คนตระกูลหลินหรอกรึ ถึงกับต้องไล่ให้ไปอยู่ที่อื่น”
“ท่านป้าเผิง ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เป็นคำสั่งของพ่อบ้านหม่าขอรับ”
“คุณหนูทำอย่างไรดีเจ้าคะ” เผิงฉือเปิดม่านเข้าไปถามคนที่นั่งทำหน้าไม่ทุกข์ร้อนอยู่ด้านใน
“อยู่ที่ไหนก็เหมือนกันนั่นแหละป้าเผิง พวกเราไปกันเถอะ” น้ำเสียงเนือย ๆ เช่นนี้ เผิงฉือเข้าใจได้ในทันที ว่าคุณหนูของนางกำลังอารมณ์ไม่ดี เพราะง่วงนอนเป็นแน่
“หลินอ้ายเจ้ารีบพาคุณหนูไปเรือนพักเดี๋ยวนี้เลย”
“ขอรับ ๆ”
รถม้าวิ่งมาจอดอยู่หน้าเรือนสภาพเก่าโทรมแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากจวนตระกูลหลินนับได้หลายตรอก เผิงฉือประคองหลินซือเยว่ลงมาจากรถม้า ทั้งคู่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับสภาพทรุดโทรมของเรือนตรงหน้า เรือนเฟยเฟิ่ง
“นี่มันเกินไปแล้วนะคุณหนู”
“ไม่เป็นไร เข้าไปเถอะ”
สองนายบ่าวถือห่อผ้าก้าวข้ามธรณีเข้าไปด้านในเรือนเฟยเฟิ่ง บรรยากาศวิเวกวังเวงจนน่าใจหาย มีเพื่อนบ้านหลายคนออกมามองดูพวกนาง แล้วกระซิบกระซาบกันด้วยสายตาแปลก ๆ จากนั้นก็รีบปิดประตูราวกับกลัวจะถูกถามไถ่เข้า
“พิลึกจริง ๆ” เผิงฉือไม่เข้าใจ “หลินอ้ายเจ้าบอกข้ามาตามตรง เหตุใดเรือนนี้ถึงร้าง แล้วชาวบ้านละแวกนี้ ยังทำสายตาพิลึกพิลั่นเช่นนั้นอีก”
“ข้าไม่รู้เหมือนกันท่านป้าเผิง” หลินอ้ายเพิ่งเข้ามาทำงานที่ตระกูลหลินได้ไม่นาน เขาไม่รู้เรื่องนี้จริง ๆ
หลินซือเยว่มองเห็นไอเย็นที่มาจากสิ่งเร้นลับ จึงร่ายคาถาเปิดเนตรทิพย์เพื่อสำรวจถึงความผิดปกติ นางเห็นดวงวิญญาณหญิงชราผมหงอกผู้หนึ่ง กับวิญญาณเด็กสาวอายุราวห้าขวบอีกดวง ครั้นเห็นนางกับเผิงฉือและหลินอ้ายเดินเข้ามาภายในบ้าน ดวงตาของหญิงชราก็แข็งกร้าวขึ้นในทันที
“เหตุใดอากาศถึงหนาวเย็นขึ้นแบบนี้ได้” เผิงฉือคิดว่าตนเองสวมใส่เสื้อผ้าหน้าหนาวหลายชิ้นแล้ว ไอเย็นไม่น่าจะผ่านเข้ามาได้อีก
หลินซือเยว่เห็นว่าวิญญาณเด็กสาวผู้นั้น เดินมาวนเวียนอยู่รอบ ๆ ตัวของพวกนาง คล้ายมีความอยากรู้อยากเห็นเต็มไปหมด แต่พอยื่นมือออกไปแตะเผิงฉือ เด็กสาวก็กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด รีบวิ่งไปฟ้องวิญญาณหญิงชรา
“ท่านยาย ๆ พวกเขาร้อนมาก ข้าปวดแสบปวดร้อนไปหมดแล้ว”
“อย่าไปใกล้พวกเขา !”
หลินซือเยว่ไม่สนใจ ตราบใดที่ทั้งสองไม่เข้ามาทำร้ายตน นางเคยมอบจี้หยกที่ลงคาถาไล่สิ่งชั่วร้ายแก่เผิงฉือมาก่อน ดังนั้นวิญญาณทั่วไปไม่อาจแตะต้องนางได้ แต่พอหันไปมองหลินอ้ายที่กอดอกหนาวสั่นอยู่ ทำให้นึกสงสารขึ้นมา หยิบยันต์ป้องกันสิ่งอัปมงคล ที่ถูกพับเป็นรูปสามเหลี่ยมออกมายื่นให้แก่เขา
“พกติดตัวไว้ตลอดเวลา” นางเอ่ยสั้น ๆ
“ขอบคุณขอรับคุณหนูรอง” แม้ไม่เข้าใจว่าหลินซือเยว่ให้ยันต์ตนเองด้วยเหตุใด แต่หลินอ้ายก็ทำตามอย่างว่าง่าย รับยันต์มารีบยัดใส่อกเสื้อของตนเอง เขารู้สึกไปเองหรือไม่ ไม่ค่อยหนาวสั่นเหมือนก่อนหน้าแล้ว
“ป้าเผิงเข้าไปดูในเรือนเถิดว่าพออยู่ได้หรือไม่ เจ้าก็ไปกับนางด้วย” หลินซือเยว่หันไปมองหลินอ้ายในตอนท้าย
ทั้งคู่รีบเข้าไปตรวจดูสภาพห้องที่อยู่ด้านใน ขณะที่หลินซือเยว่เดินไปนั่งลง บนม้านั่งตรงลานหน้าบ้าน ด้านข้างกับวิญญาณหญิงชรา
“ต่างคนต่างอยู่อย่าได้รบกวนกัน”
วิญญาณหญิงชรากับเด็กสาวหันมามองนางอย่างตกใจ “เจ้ามองเห็นข้ารึ”
“ใช่”
“ข้าไม่ยินยอมให้พวกเจ้าเข้ามาอยู่ที่นี่ จงออกไปเสีย !” หญิงชราดวงตาปูดโปนออกมา อีกนิดคงได้กระเด็นออกจากเบ้า
หลินซือเยว่กลอกตาใส่อย่างเบื่อหน่าย “เก็บดวงตาของเจ้าไปเสีย ข้าไม่อยากมอง”
วิญญาณหญิงชรา “...?”
“ท่านมองเห็นข้าจริง ๆ รึ” วิญญาณเด็กสาวตื่นเต้นเป็นอย่างมาก นางลุกขึ้นเดินไปรอบ ๆ หลินซือเยว่ แต่ไม่กล้าเข้าใกล้มากนัก เมื่อครู่นางยังเจ็บตัวไม่หายอยู่เลย “ไม่เคยมีมนุษย์คนไหนมองเห็นข้ากับท่านยายเลย เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่”
หลินซือเยว่หันไปมองวิญญาณเด็กสาว แล้วขึงสายตาดุ ๆ ใส่นาง “ข้าเพียงแค่เปิดเนตรทิพย์ถึงมองเห็น ข้าอยากทำการตกลงกับพวกเจ้าเสียก่อน ข้าเป็นคนตระกูลหลิน ที่นี่คงเป็นทรัพย์สินของตระกูลหลิน ข้ามีสิทธิ์อยู่ที่นี่อย่างถูกต้อง พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์มารบกวน”
วิญญาณหญิงชรามองเห็นไอร้อน ที่แผ่ออกมาจากตัวของหลินซือเยว่ ก็เข้าใจได้ในทันทีว่านางไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
หลินซือเยว่ “ต่างคนต่างอยู่ห้ามรบกวนซึ่งกันและกัน ห้ามเข้าไปใกล้คนของข้าด้วย”
วิญญาณหญิงชรา “หากข้าไม่ตกลงเล่า”
หลินซือเยว่ยิ้มเยาะเบา ๆ “ข้าจะส่งเจ้ากับหลานสาวของเจ้าไปปรโลกในทันที”
วิญญาณหญิงชรา “...!” สตรีนางนี้ต่อกรด้วยไม่ได้จริง ๆ
“วิญญาณอย่างพวกเจ้าสมควรไปผุดไปเกิดได้แล้ว เหตุใดถึงยังวนเวียนอยู่ที่นี่ ดูนางเถิดยังเป็นเด็กน้อยอยู่เลย สมควรได้ไปเกิดในภพภูมิหน้ากับบิดามารดาที่ดี”
“ข้าไม่ไป !” วิญญาณเด็กสาวตะโกนขึ้นอย่างไม่พอใจ
“ยังยึดติดกับสิ่งใดอยู่หรือ”
“เสี่ยวอิงอย่าเสียมารยาท” วิญญาณหญิงชรากวักมือเรียกหลานสาวให้มานั่งอยู่ด้านข้าง “แม่นางอย่าได้โกรธเคืองเสี่ยวอิงเลย เมื่อห้าปีก่อนข้าพานางมาตามหาแม่ ลูกสาวของข้าเอง แต่ปีนั้นเกิดภัยหนาวรุนแรง ทำให้มานอนหนาวตายอยู่หน้าเรือนหลังนี้ จากนั้นวิญญาณของเราสองยายหลาน ก็ติดอยู่ที่นี่ไปไหนไม่ได้อีกเลย”
“เพราะมีสิ่งยิดติดปล่อยวางไม่ได้ พวกเจ้าจึงไม่อาจไปผุดไปเกิดได้ อยากให้ข้าส่งวิญญาณไปปรโลกหรือไม่”
“แม่นางข้าขอร้องท่านช่วยตามหาลูกสาวของข้า แม่ของเสี่ยวอิงให้ได้หรือไม่ หากนางยังมีชีวิตอยู่แล้วไม่ลำบากอันใด ข้ากับเสี่ยวอิงคงจากไปอย่างสงบสุขได้ แต่เพราะเป็นห่วงที่นางหายตัวไป พวกเราจึงไม่อาจปล่อยวางได้จริง ๆ”
“ข้าไม่รับปากเรื่องนี้ ตอนนี้ข้าจะปิดเนตรทิพย์ไม่อาจมองเห็นพวกเจ้าได้อีก เอาไว้ยามข้าว่างข้าจะมารับฟังเรื่องของพวกเจ้าก็แล้วกัน”
ตอนนี้ข้าง่วงนอนเหลือเกิน หลินซือเยว่มองเห็นเผิงฉือเดินยิ้มออกมา นั่นย่อมเป็นเรื่องดี นางปิดเนตรทิพย์แล้วหันไปทางเผิงฉือที่เดินเข้ามาใกล้
“พวกเขาให้คนมาทำความสะอาดไว้แล้ว คุณหนูเข้าไปพักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้ากับหลินอ้ายจะเข้าตลาดไปหาซื้อของมาไว้ทำอาหาร มีครัวอยู่แต่ไม่มีของกินเลย ช่างใจจืดใจดำกันนัก”
“ไปเถอะ” หลินซือเยว่ยิ้มบาง ๆ
ห้องที่ใหญ่ที่สุดย่อมเป็นของนาง เรือนหลังนี้มีขนาดค่อนข้างเล็ก เครื่องเรือนเก่าชำรุดอยู่หลายชิ้น แต่ก็ยังพออยู่อาศัยได้ หากเทียบกับอารามไท่ผิงกวนแล้ว สภาพไม่ได้แตกต่างกันเท่าใดนัก นางตรวจดูทุกจุดภายในเรือนไม่พบสิ่งผิดปกติใดอีก จึงล้มตัวนอนบนเตียงแล้วหลับตาลง
ครั้งหนึ่งนางเคยถาม
“อาจารย์ดวงชะตาข้าจะทำให้ตระกูลหลินตกต่ำจริงหรือไม่” นางเคยถามเจ้าอาวาสชุน ในวันที่ท่านได้เรียนรู้จากนางไปพอสมควร
“เจ้านักพรตนั่นมันโกหกแน่นอน” เจ้าอาวาสชุนตอบกลับมาอย่างมั่นใจ
“เช่นนั้นก็ช่างเถิด” เหตุที่ถามเพราะต้องให้ผู้อื่นดูดวงชะตาให้ เมื่อรู้แล้วกลับไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด นางคงชินชากับความรู้สึกถูกทอดทิ้งแล้วกระมัง
10 : พวกเขาเกิดมาคู่กัน หลินซือเยว่ชวนน้องสาวมาเยือนที่เรือน เพื่อเปิดโอกาสให้ฮู่ตงหยางได้พูดคุยกับนางบ้าง อย่างน้อยได้ทำความรู้จักพูดคุยกันก่อน ยามออกเรือนไปแล้วจะได้ไม่เขินอายกันจนเกินไป แต่นางได้เอ่ยกับบิดามารดาไปแล้ว ว่าให้หมั้นหมายกันไปก่อนหนึ่งปี เพราะยามนี้น้องสาวของนางเพิ่งอายุสิบหกย่างสิบเจ็ดปีเอง แต่มารดาของนางกลับแย้ง ว่าอายุช่วงนี้กำลังเหมาะสม หากรอไปอีกหนึ่งปีฮู่ตงหยางก็สามสิบปีพอดี ในสายตาของผู้อื่นอาจคิดว่าอายุของทั้งคู่ไม่เหมาะสมกัน เพราะห่างกันร่วมสิบสองปี แต่ในสายตาของหลินซือเยว่ ฮู่ตงหยางอยู่ในวัยกำลังสร้างครอบครัวได้ มีแต่น้องสาวของนางนี่แหละที่เด็กน้อยเกินไป “น้องรอง” “เจ้าคะ” “เจ้าไม่คิดว่าองครักษ์ฮู่แก่ไปหรอกหรือ” หลินซูฮวาอมยิ้มเล็กน้อย “ไม่เจ้าค่ะ เขาดูแข็งแรงดี” “อ้อ เป็นข้าที่คิดมากไปเอง เจ้าดูเด็ก ๆ อยู่ตรงนี้ไปก่อนก็แล้วกัน ข้ามีงานไปคุยกับท่านอ๋องก่อน” “ได้เจ้าค่ะ” หลินซูฮวาชอบที่ได้เล่นกับหลานตัวน้อยทั้งสอง พวกเขาเลี้ยงง่าย แค่ได้วิ่งเล่นไปมาก็มีความสุขแล้ว นางเองได้นั่งมองเด
9 : “เป็นเจ้านี่เองที่ว่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล” หลินซูฮวาไม่ได้โง่ นางมองปราดเดียวก็รู้ ว่าคนตรงหน้าได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ แต่ช่วยด้วยวิธีไหนนั้นนางไม่แน่ใจ ภายในรถม้าที่นั่งกลับเรือนด้วยกันสองต่อสอง นางจึงได้ใจกล้าเอ่ยถามเขา “ท่านผายปอดให้ข้ารึ” ฮู่ตงหยางตัวแข็งทื่อหลังได้ยิน “คุณหนูหลินท่านรู้จักการผายปอดด้วยรึ” เขาถามเสียงค่อยคล้ายคนหมดเรี่ยวแรง “รู้จักสิ พระชายามาสอนคนที่จวนอยู่เหมือนกัน ข้าก็ได้เรียนรู้ด้วย” นางเม้มปากแน่น พวงแก้มค่อย ๆ แดงระเรื่อขึ้นมา การที่เขาไม่ปฏิเสธย่อมหมายความว่าเป็นเรื่องจริง “คุณหนูหลินข้าล่วงเกินท่านแล้ว” ฮู่ตงหยางยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี “หมายความว่าอย่างไร พระชายาบอกว่าเป็นการช่วยเหลือชีวิตผู้คน ข้าไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยสิ” หลินซูฮวาบิดปลายนิ้วใต้แขนเสื้อสุดแรง “ตอนข้า เอ่อ ผายปอดท่าน มีชาวบ้านอยู่แถวนั้นกันหลายคน เกรงว่าเรื่องนี้คงทำให้ท่านเสื่อมเสียชื่อเสียงไปแล้ว” “องครักษ์ฮู่ท่านหมายความว่า มีคนเห็นท่าน” หลินซูฮวาหยุดพูด แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ๆ “เป่าลมเข้าปากข้ารึ” ถาม
8 : “เท้า ไม่ใช่มือ !” หลินซือเยว่จัดการเรื่องออกเรือน ให้สาวใช้สินเดิมทั้งสองเรียบร้อยแล้ว นางมอบของขวัญเป็นเรือนให้คนละหลัง พร้อมมอบกิจการร้านค้าให้อีกด้วย กระทั่งหนังสือขายตัวก็ฉีกทิ้งไป ปล่อยให้ทั้งคู่ได้เป็นอิสระในภายภาคหน้า “ข้าไม่เคยรู้ว่าเจ้าใจดีถึงเพียงนี้” เซวียนหมิงยู่โอบกอดนางจากด้านหลัง พร้อมหอมแก้มนุ่ม ๆ ของนางฟอดหนึ่ง “ยามเป็นโหย่วซิงเยียนพวกนางดีกับข้ามาก พอเป็นหลินซือเยว่ก็ตั้งใจเรียนรู้เรื่องยาสมุนไพร ยามนี้เลยได้ใช้ประโยชน์บ้าง ต่อไปภายภาคหน้าหากเกิดการบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนางก็สามารถรักษาตัวเองหรือคนในครอบครัวได้ ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องหาหมออย่างเดียว” หลินซือเยว่ได้วางแผนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้น ให้แก่คนในจวนไว้แล้ว เพียงแต่นางยังไม่มีเวลาได้ลงมือทำ “ข้าถึงได้ว่าเจ้าจิตใจดีอย่างไร” ไม่เพียงแต่กับบ่าวไพร่ในจวน กระทั่งชาวบ้านทั่วไปหลินซือเยว่ก็ใจดีต่อพวกเขา เซวียนหมิงยู่ได้รู้จากท่านหมอหลี่ ว่าพระชายาของตนได้ให้คนจากโรงสมุนไพร ออกไปถ่ายทอดความรู้เรื่องสมุนไพรพื้นฐานให้แก่ชาวบ้าน และสอนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื
7 : วาสนานำพารัก หลินเต๋อให้คนไปเชิญพระชายามายังจวนของตน เพื่อหารือเรื่องสำคัญ ครั้นหลินซือเยว่ไปถึงก็ได้รู้ว่าพี่ชายของตนเอง กำลังจะมีข่าวดีเรื่องมงคล “ซีฮันสวมกวานมาหลายปีแล้ว สมควรคิดเรื่องออกเรือนได้เสียที” เถียนฮูหยินเป็นผู้เอ่ยเรื่องนี้ หลินซือเยว่รีบหันไปทางพี่ชายในทันที เห็นเขาใบหน้าแดงเถือกขึ้นอย่างชัดเจน นี่หมายความว่าไม่ปฏิเสธเป็นแน่แท้ “ท่านแม่หมายปองสตรีนางใดให้พี่ใหญ่หรือเจ้าคะ” “เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหวง ทำการค้าเหมือนกัน” “ท่านพ่อเห็นชอบว่าอย่างไรเจ้าคะ” นางหันไปทางบิดาบ้าง ส่วนตัวไม่ได้รู้จักคุณหนูผู้นี้มาก่อน “อืม คุณหนูใหญ่ผู้นี้ใช้ได้เหมือนกัน” หลินเต๋อย่อมเชื่อใจการมองคนของภรรยา หลินซือเยว่มองน้องสาวของตัวเองบ้าง เห็นนางพยักหน้าลงคล้ายพึงพอใจอยู่เหมือนกัน ทุกคนในบ้านล้วนพึงพอใจสตรีนางนี้ กระทั่งหลินซีฮันยังไม่มีท่าทีจะปฏิเสธ “พี่ใหญ่ ท่านไปแอบดูนางมาแล้วใช่ไหม” ทุกคนต่างอ้าปากค้างหลังได้ยิน โดยเฉพาะเถียนฮูหยิน นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าบุตรชาย ไปแอบดูคุณหนูใหญ่ตระกูลหวงตอนไหน “ซีฮันนี่เจ้า
6 : “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” ยามนี้คุณชายกับคุณหนูทั้งสองอายุครบสองปี ทั้งคู่เริ่มเรียกชื่อบิดามารดาได้แล้ว อีกทั้งยังพูดคุยประโยคสั้น ๆ ได้บ้าง หลินซือเยว่ได้จัดงานแต่งให้สวีวั่งซูอย่างสมเกียรติไปเมื่อปีที่แล้ว ยามนี้ฮู่ตงหยางจึงกลายเป็นคนขี้อิจฉา ยามได้เห็นสหายรัก รีบร้อนกลับเรือนทุกครั้งหลังออกเวร พอหันกลับมาทางท่านอ๋องของตน แทบนึกช่วงเวลาเหลียงอ๋องผู้เกรียงไกรแทบไม่ออก เพราะยามนี้นั้น “บิน ๆ สูง ๆ” เป็นเสียงเล็ก ๆ ของคุณชายตัวน้อย ท่านอ๋องของตนกำลังให้คุณชายขี่คอแล้วพาวิ่งไปรอบ ๆ ลานหญ้า ส่วนพระชายานั้นกำลังนั่งถักเปียให้คุณหนูด้านข้างมีเผิงฉือกับสองสาวใช้คอยปรนนิบัติอยู่ “อี้เอ๋อร์อยากขี่ม้าใช่ไหม ได้ ๆ ตงหยางมานี่เร็ว !” “ท่านอ๋องคุณชายยังไม่ได้เอ่ยสักคำ” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น แต่เข่ากลับคุกคลานลงบนพื้น ไม่ช้าคุณชายตัวน้อย ก็ปีนขึ้นมานั่งอยู่บนหลังของเขา “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” “พ่ะย่ะค่ะ” ฮู่ตงหยางก้มหน้าคลานไป ประคองคุณชายน้อยไปด้วย เขากลับมีความสุขเหลือเกินในยามนี้ คุณชายน้อยส่
5 : แฝดชายหญิง หนึ่งเดือนต่อมา เผิงฉือนั่งมองพระชายาของนาง ที่กำลังจ้องที่ข้อมือของตัวเองอย่างเงียบ ๆ บางครั้งพระนางก็เอานิ้วไปแตะ แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ จากนั้นก็แตะข้อมืออีกครั้ง เป็นอยู่เช่นนี้จนน่าสงสัย “พระชายาเพคะ ท่านอ๋องให้แม่ครัวเคี่ยวน้ำแกงบำรุงร่างกายมาให้เพคะ” ลี่ถิงเดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับถาดน้ำแกง หลินซือเยว่หันไปค้อนนางแรง ๆ อย่างไร้สาเหตุ “พระชายาเป็นอันใดเพคะ” เผิงฉือเห็นแล้วก็ไม่เข้าใจ โบกมือให้ลี่ถิงรีบวางถ้วยน้ำแกงลง แล้วให้รีบออกไปให้เร็วที่สุด “ป้าเผิงข้าไม่สบายใจเล็กน้อย” นางถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา แววตามีความสับสนเล็กน้อย “มีเรื่องอันใดที่ทำให้พระชายาไม่สบายใจหรือเพคะ หากบอกได้ก็เอ่ยออกมาเถอะ” เผิงฉือเข้าไปยืนอยู่ใกล้ ๆ แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองนางเล็กน้อย ดันถ้วยน้ำแกงออกไปให้ไกลตัว “ต่อไปข้าคงกินน้ำแกงบำรุงนี่ไม่ได้อีกแล้ว ฤทธิ์มันแรงเกินไป ไม่ดีต่อเด็กในท้อง” “เช่นนั้นหรือเพคะ” เผิงฉือค้างชะงักไปหลังตัวเองเอ่ยจบ