ห้องโถงใหญ่จวนตระกูลหลิน
หญิงชราในวัยเจ็ดสิบห้าปี มวยผมต่ำไว้ด้านหลัง ปักด้วยปิ่นทองรูปหงส์หนึ่งอัน นางคือฮูหยินเฒ่า เจียงลี่เฟย นางได้เรียกลูกชายทั้งสองกับเหล่าลูกสะใภ้เข้ามาหารือเรื่องสำคัญ นายท่านใหญ่หลินเฉินนั่งอยู่ฝั่งขวา พร้อมด้วยหวางฮูหยิน หวางหลี่จิ้ง ฝั่งซ้ายเป็นนายท่านรองหลินเต๋อและเถียนฮูหยิน เถียนจินเยว่
“ข้าให้นางไปอยู่เรือนเฟยเฟิ่ง พวกเจ้าเห็นชอบว่าอย่างไร” ฮูหยินเฒ่านั่งอยู่ตรงกลางห้องโถง หันไปมองหน้าลูกชายทั้งสองด้วยความลำบากใจ
หลินเฉินผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ เขาหันไปมองน้องชายราวกับประเมินความรู้สึกของอีกฝ่ายไปด้วย “น้องรองเจ้าว่าอย่างไร”
หลินเต๋อเป็นน้องชายที่เชื่อฟังพี่ชายมาโดยตลอด เขาไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยแย้งอันใดออกมา เป็นเถียนฮูหยินที่เอ่ยขึ้น “ท่านพี่นางเป็นลูกสาวของเรานะ” เอ่ยแล้วกลั้นน้ำตาที่เอ่ยคลอเบ้าไม่อยู่
“นางมีดวงชะตาไม่ดี ทำให้ตระกูลหลินต้องตกต่ำ ไม่อาจให้นางเข้ามาอยู่ในจวนตระกูลหลินได้” ฮูหยินเฒ่าปรามลูกสะใภ้รองด้วยสายตาดุดัน
“ท่านแม่ไม่ใช่ว่าข้าไม่เข้าใจ แต่ที่ท่านให้คนไปรับนางกลับมา ก็เพื่อแต่งงานไม่ใช่หรือเจ้าคะ หากคนตระกูลโจวรู้ว่าพวกเราไม่ยอมรับนางเข้าจวน พวกเขาจะไม่พอใจเอาหรือเจ้าคะ”
“น้องสะใภ้ใช่ว่าข้าไม่อยากรับนางกลับเข้าจวนหรอกนะ แต่คนตระกูลหลินไม่อาจเสี่ยงเพราะนางคนเดียวได้ ท่านพี่กับลูกชายของข้ามีตำแหน่งขุนนางค้ำคอ หากมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นเพียงนิดเดียว คนทั้งตระกูลมิต้องลำบากไปด้วยรึ” หวางฮูหยินเอ่ยเสียงเนิบ ๆ คล้ายไม่เห็นความสำคัญของคนบ้านรองแม้แต่น้อย
“เอาล่ะ ๆ คนก็เข้าอยู่ที่เรือนเฟยเฟิ่งแล้ว หากสะใภ้รองอยากเจอหน้าลูกสาวก็ไปหานางได้ ข้าไม่เคยห้าม ขออย่างเดียวอย่ารับนางเข้าจวนเด็ดขาด” ฮูหยินเต่ารีบตัดบท
หลินเต๋อตบหลังมือภรรยาเบา ๆ หากมารดาของเขาตัดสินใจไปแล้ว ยากยิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงได้ “ฮูหยินไม่ต้องห่วง ข้าจะพาเจ้าไปหาลูกสาวของเราเอง”
เถียนฮูหยินยิ้มเจื่อน ๆ ให้สามี นางรู้ว่าเขาไม่มีอำนาจพอจะเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ได้ ทำอย่างไรได้ล่ะ ในเมื่อเขาไม่ได้มีตำแหน่งขุนนางเหมือนคนบ้านใหญ่ ทำได้เพียงแค่มองสีหน้าผู้อื่นก่อนทุกครั้ง นางได้แต่เก็บความไม่ยินยอมนี้ไว้ในใจ
“เอาตามนี้เถอะน้องสะใภ้ ให้นางอยู่ที่เรือนเฟยเฟิ่งไปก่อน จนกว่าจะได้ฤกษ์งานแต่งนั่นแหละ” หลินเฉินเอ่ยออกมาด้วยความกระอักกระอ่วนใจ
เดิมทีการหมั้นหมายเป็นเขาเอ่ยกับตระกูลโจวเอง โดยหมั้นหมายหลินจื่อรั่วบุตรสาวของเขา กับโจวจื่อถงบุตรชายคนโตของแม่ทัพโจว โจวหลี่จวิน แต่เพราะเกิดเหตุร้ายขึ้นกับโจวจื่อถงในตอนนำทัพออกรบ ได้รับบาดเจ็บหนักทำให้ท่อนล่างไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ ต้องนอนติดเตียงมาเป็นเวลาสองปีกว่าแล้ว
หลินจื่อรั่วขู่จะฆ่าตัวตายหากต้องแต่งงานกับคนพิการเช่นเขา บิดาอย่างหลินเฉินเลยต้องแบกหน้าเข้าไปขอยกเลิกการหมั้นหมาย คนตระกูลโจวรู้สึกเจ็บแค้นน้ำใจเป็นอย่างมาก ที่ถูกหยามเกียรติกันเช่นนี้ พวกเขายื่นคำขาดอย่างไรก็ห้ามยกเลิกการหมั้นหมายนี้เด็ดขาด
คนบ้านใหญ่หารือกันอย่างเคร่งเครียด สุดท้ายจึงได้ตัดสินใจเปลี่ยนตัวเจ้าสาว จากหลินจื่อรั่วไปเป็นหลินซือเยว่แทน โดยให้เหตุผลว่านางเป็นคุณหนูใหญ่ของบ้านรองเช่นเดียวกัน ฐานะไม่ได้ด้อยไปกว่าหลินจื่อรั่วแม้แต่น้อย ตระกูลโจวเห็นว่าคำพูดนี้มีเหตุผล จึงตอบตกลงไป
เรือนบ้านรอง
เถียนฮูหยินเดินตามหลังสามีเข้าไปในเรือน แววตาหาได้มีความสุขไม่ แม่นมฉวีรีบเดินเข้ามาประคองเถียนฮูหยินด้วยความเป็นห่วง
แม่นมฉวี “เกิดอันใดขึ้นเจ้าคะฮูหยิน”
เถียนฮูหยิน “ท่านแม่ไม่ให้นางเข้าจวน ให้ไปอยู่ที่เรือนเฟยเฟิ่งแทน”
แม่นมฉวีชะงักมือที่กำลังจะรินชาใส่ถ้วยให้ผู้เป็นนาย “เรือนเฟยเฟิ่งนั่น” ไม่ใช่เป็นเรือนผีสิงที่ผู้คนต่างหวาดกลัวหรอกรึ แม่นมฉวีไม่อาจเอ่ยถ้วยคำที่ทำร้ายจิตใจของเถียนฮูหยินได้
“ท่านพี่เราไม่มีวิธีช่วยนางให้เข้ามาอยู่ในจวนจริง ๆ หรือเจ้าคะ”
หลินเต๋อนวดขมับเบา ๆ “ดวงชะตานางไม่เป็นมงคล เราไม่อาจรับนางเข้ามาได้ ฮูหยินเจ้าก็อย่าเสียใจไปเลย”
“ท่านพี่ห้ามข้าเสียใจไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ใจข้าแหลกสลายไม่มีชิ้นดีแล้ว เดิมทีนางก็อยู่ของนางดี ๆ จู่ ๆ ก็ถูกพาตัวกลับมา เพื่อแต่งงานกับคนป่วยติดเตียง นี่ไม่เท่ากับรังแกนางหรอกหรือ ข้าจะเอาหน้าที่ไหนไปสู้นางได้”
“ฮูหยินเจ้าก็มองโลกในแง่ร้ายเกินไป แม้ว่าคุณชายใหญ่โจวจะเดินเหินไม่ได้ แต่เขาก็ยังเป็นบุตรชายคนโตของแม่ทัพโจวอยู่ดี มีหรือจะลำบากเมื่อแต่งงานไปแล้ว” หลินเต๋อเอ่ยได้ไม่เต็มน้ำเสียง
“ข้าไม่เห็นด้วยตอนพี่ชายของท่านมาขอเปลี่ยนตัวคู่หมั้นหมาย เหตุใดท่านพี่ถึงไม่ฟังความเห็นของข้าเลย ท่านทำเช่นนี้กับลูกสาวของตัวเองได้อย่างไร” เถียนฮูหยินตัดพ้อด้วยความเสียใจ
“เราคุยเรื่องนี้กันจบแล้ว ฮูหยินเจ้าก็อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เลย อีกทั้งลูกชายของเขาก็ยังอยู่ในกองทัพของตระกูลโจว การแต่งงานของนางย่อมมีผลดีต่อพี่ชายด้วย” หลินเต๋อเอ่ยจบก็ลุกเดินจากไปในทันที
เมื่อเอ่ยถึงบุตรชายคนโตเช่นนี้ เถียนฮูหยินเกิดพูดไม่ออกเหมือนกัน ผ้าเช็ดหน้าผืนสะอาดถูกยื่นมาซับน้ำตาให้แก่นาง
แม่นมฉวี “นายท่านรองไม่อาจขัดคำสั่งของฮูหยินเฒ่ากับนายท่านใหญ่ได้เจ้าค่ะ”
“ข้ารู้ดีถึงได้ไม่กล้าพูดอันใดออกไปมากนัก แต่ข้าสงสารลูกสาวของข้า เอาเถอะท่านช่วยนำเงินกับเครื่องประดับ ไปมอบให้นางแทนข้าได้หรือไม่”
แม่นมฉวีนิ่วหน้า “ฮูหยินไม่ไปด้วยตัวเองหรือเจ้าคะ”
“ข้าจะมีหน้าไปเจอนางได้อย่างไร ข้ายังทำใจไม่ได้” เถียนฮูหยินลุกขึ้นเดินเข้าห้องนอนไป
นางหยิบตั๋วเงินสองร้อยตำลึงออกมา พร้อมกับปิ่นหยกรูปแมลงปอหนึ่งอัน ส่งมอบให้แก่แม่นมฉวี เพื่อนำไปมอบต่อให้หลินซือเยว่
“บอกนางไปว่าหากขาดเหลือสิ่งใด ให้รีบส่งคนมาบอกข้า” เถียนฮูหยินกำชับแม่นมฉวี
“เจ้าค่ะฮูหยิน ข้าจะนำคำของท่านไปบอกนางเอง ท่านอย่าได้กังวลไปเลยนะเจ้าคะ”
“รบกวนท่านแล้ว” เถียนฮูหยินเอ่ยแล้วโบกมือให้อีกฝ่ายจากไปได้
เรือนเฟยเฟิ่ง
แม่น้ำฉวีในชุดสีน้ำเงินนั่งรถม้าคันเล็กมาจอดอยู่หน้าประตู พอเคาะเรียกหลินอ้ายก็เดินมาเปิดประตูให้ “แม่นมฉวีท่านมาได้อย่างไร”
“ฮูหยินให้ข้านำของมามอบให้คุณหนูรอง”
“เช่นนั้นเชิญด้านในก่อนขอรับ คุณหนูรองนอนอยู่ยังไม่ตื่น เดี๋ยวข้าไปตามท่านป้าเผิงมาให้” หลินอ้ายเดินนำหน้าไปยังห้องรับแขก จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปด้านใน ไม่นานนักสตรีวัยราวสี่สิบกว่าปีก็เดินออกมา ทั้งคู่โค้งคำนับให้กันเล็กน้อย
“ท่านคือแม่นมฉวี คนสนิทท่านแม่ของคุณหนูหรือเจ้าคะ” เผิงฉือกล่าววาจาตรงไปตรงมา ผายมือเชิญให้แม่นมฉวีนั่งลงที่เดิม
“ถูกต้องข้าคือแม่นมฉวี ส่วนท่าน”
“ข้าชื่อเผิงฉือ เป็นคนดูแลคุณหนูเจ้าค่ะ”
“คนดูแล ?”
“เจ้าค่ะ ข้าถูกท่านเจ้าอาวาสชุนขอร้องให้ช่วยดูแลคุณหนู พวกเราอยู่ด้วยกันมาหลายปีแล้ว ว่าแต่แม่นมฉวีมาที่นี่มีธุระอันใดรึ” เผิงฉือยังรู้สึกไม่พอใจเรื่องที่ตระกูลหลิน ไม่ยอมให้คุณหนูเข้าไปในจวน สีหน้าจึงบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด
แม่นมฉวีเริ่มทำตัวไม่ถูก เพราะอีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่เป็นมิตรเท่าใดนัก แน่ล่ะ ใครจะยินดีได้ “ท่านช่วยไปตามคุณหนูมาพบข้าได้หรือไม่ ฮูหยินฝากของมาให้นาง”
“คุณหนูของข้านอนหลับอยู่ ห้ามรบกวนเด็ดขาด ร่างกายของนางต้องได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ ไม่เช่นนั้นนางจะอารมณ์ไม่ดี หากมีอันใดก็ฝากไว้กับข้าเถิด เมื่อคุณหนูตื่นขึ้นมาข้าจะบอกกล่าวนางเอง”
แม่นมฉวีอึกอักคล้ายไม่มั่นใจ
“ไม่ไว้ใจข้ารึ ข้าคือคนที่อยู่กับคุณหนูมาร่วมสิบปีเชียวนะแม่นมฉวี” เผิงฉือแค่นเสียงหยันเล็กน้อย
แม่นมฉวีถอนหายใจเบา ๆ “ไม่ใช่ว่าไม่ไว้ใจ นี่คือสิ่งที่ฮูหยินฝากมาให้” ตั๋วเงินสองร้อยตำลึงพร้อมปิ่นหยกถูกวางลงบนโต๊ะข้างกาน้ำชา
เผิงฉือปรายตามองเล็กน้อย ไม่ได้แตะต้องในทันที ทำให้แม่นมฉวีนึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
แม่นมฉวี “ฮูหยินฝากคำมาบอกคุณหนูรองด้วย ว่าหากขาดเหลือสิ่งใด ให้ส่งคนไปบอกที่จวนได้”
เผิงฉือ “ข้าเข้าใจแล้ว”
แม่นมฉวีไม่อาจรั้งอยู่นานได้ เพราะอีกฝ่ายดูเหมือนไม่ต้อนรับตนเองจริง ๆ ตั้งแต่วางตั๋วเงินพร้อมปิ่นหยกไว้บนโต๊ะ กระทั่งเดินออกจากห้องโถงไปแล้ว เผิงฉือไม่แม้แต่จะสนใจสิ่งของที่อยู่บนโต๊ะ
แม่นมฉวีรีบนำเรื่องนี้ไปบอกกล่าวแก่เถียนฮูหยิน
เถียนฮูหยิน “นางโกรธข้า”
แม่นมฉวี “ไม่ใช่เจ้าค่ะ เผิงฉือบอกว่าคุณหนูรองหลับอยู่ ถ้าไปปลุกนางจะอารมณ์ไม่ดี ข้าจึงไม่ได้พบหน้าคุณหนูรอง ได้แต่ฝากตั๋วเงินกับปิ่นเอาไว้ให้ แต่เผิงฉือผู้นี้นับว่าประหลาดนัก ไม่แม้แต่จะชายตามองตั๋วเงินกับปิ่นบนโต๊ะเลย”
“เช่นนั้นไม่ดีหรอกรึ คนที่เลี้ยงดูนางมาไม่ได้มีความละโมบโลภมากในทรัพย์สินของผู้อื่น นับว่าไม่เลวจริง ๆ”
“แต่นางดูไม่ต้อนรับข้าเลยเจ้าค่ะ”
“ถ้าต้อนรับสิน่าแปลก” เถียนฮูหยินยิ้มเยาะให้แก่โชคชะตาของตนเอง หากหลินซือเยว่โกรธเกลียดมารดาเช่นตน นางคงไม่มีสิทธิ์ไปโทษผู้ใดได้ “เพราะข้าเป็นมารดาที่ทอดทิ้งลูกสาวอย่างไรเล่า...”
ยามอู่ (11.00-12.59)
หลินซือเยว่นั่งมองของบนโต๊ะในห้องอย่างเงียบ ๆ
“ท่านแม่ของคุณหนูคงติดธุระ ถึงไม่ได้มาเยี่ยมเยียนที่เรือน” เผิงฉือเดาไปเองว่าหลินซือเยว่คงเสียใจ ที่มารดาไม่ได้มาพบนางที่นี่ หลังจากกันไปไกลนับสิบปี แต่กลับส่งตั๋วเงินจำนวนน้อยนิด กับปิ่นหยกหนึ่งอันมาทางแม่นมเท่านั้น
หลินซือเยว่ไม่ตอบ นางใช้นิ้วลูบปิ่นหยกรูปแมลงปอ ปีกของมันมีร่องรอยชำรุด คล้ายถูกส่งต่อกันมาอยู่หลายรุ่น
เผิงฉือ “จริงด้วยเจ้าค่ะ แม่นมฉวีนำคำของท่านแม่คุณหนูมาบอกด้วย บอกว่าหากเดือดร้อนอันใด ให้รีบส่งคนไปแจ้ง ข้ามัวแต่โมโหคนตระกูลหลิน จนลืมถามถึงเรื่องแต่งงานของคุณหนูไปเลย ใช้ไม่ได้จริง ๆ” เผิงฉือส่ายหัวให้ตัวเอง
หลินซือเยว่หยิบปิ่นปักผมพร้อมตั๋วเงิน ใส่กล่องไม้เลื่อนไว้ใต้เตียงนอน “ป้าเผิงวันนี้เราออกไปกินข้าวนอกบ้านกันเถอะ”
เผิงฉือ “?”
คุณหนูท่านฟังข้าอยู่หรือไม่
10 : พวกเขาเกิดมาคู่กัน หลินซือเยว่ชวนน้องสาวมาเยือนที่เรือน เพื่อเปิดโอกาสให้ฮู่ตงหยางได้พูดคุยกับนางบ้าง อย่างน้อยได้ทำความรู้จักพูดคุยกันก่อน ยามออกเรือนไปแล้วจะได้ไม่เขินอายกันจนเกินไป แต่นางได้เอ่ยกับบิดามารดาไปแล้ว ว่าให้หมั้นหมายกันไปก่อนหนึ่งปี เพราะยามนี้น้องสาวของนางเพิ่งอายุสิบหกย่างสิบเจ็ดปีเอง แต่มารดาของนางกลับแย้ง ว่าอายุช่วงนี้กำลังเหมาะสม หากรอไปอีกหนึ่งปีฮู่ตงหยางก็สามสิบปีพอดี ในสายตาของผู้อื่นอาจคิดว่าอายุของทั้งคู่ไม่เหมาะสมกัน เพราะห่างกันร่วมสิบสองปี แต่ในสายตาของหลินซือเยว่ ฮู่ตงหยางอยู่ในวัยกำลังสร้างครอบครัวได้ มีแต่น้องสาวของนางนี่แหละที่เด็กน้อยเกินไป “น้องรอง” “เจ้าคะ” “เจ้าไม่คิดว่าองครักษ์ฮู่แก่ไปหรอกหรือ” หลินซูฮวาอมยิ้มเล็กน้อย “ไม่เจ้าค่ะ เขาดูแข็งแรงดี” “อ้อ เป็นข้าที่คิดมากไปเอง เจ้าดูเด็ก ๆ อยู่ตรงนี้ไปก่อนก็แล้วกัน ข้ามีงานไปคุยกับท่านอ๋องก่อน” “ได้เจ้าค่ะ” หลินซูฮวาชอบที่ได้เล่นกับหลานตัวน้อยทั้งสอง พวกเขาเลี้ยงง่าย แค่ได้วิ่งเล่นไปมาก็มีความสุขแล้ว นางเองได้นั่งมองเด
9 : “เป็นเจ้านี่เองที่ว่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล” หลินซูฮวาไม่ได้โง่ นางมองปราดเดียวก็รู้ ว่าคนตรงหน้าได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ แต่ช่วยด้วยวิธีไหนนั้นนางไม่แน่ใจ ภายในรถม้าที่นั่งกลับเรือนด้วยกันสองต่อสอง นางจึงได้ใจกล้าเอ่ยถามเขา “ท่านผายปอดให้ข้ารึ” ฮู่ตงหยางตัวแข็งทื่อหลังได้ยิน “คุณหนูหลินท่านรู้จักการผายปอดด้วยรึ” เขาถามเสียงค่อยคล้ายคนหมดเรี่ยวแรง “รู้จักสิ พระชายามาสอนคนที่จวนอยู่เหมือนกัน ข้าก็ได้เรียนรู้ด้วย” นางเม้มปากแน่น พวงแก้มค่อย ๆ แดงระเรื่อขึ้นมา การที่เขาไม่ปฏิเสธย่อมหมายความว่าเป็นเรื่องจริง “คุณหนูหลินข้าล่วงเกินท่านแล้ว” ฮู่ตงหยางยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี “หมายความว่าอย่างไร พระชายาบอกว่าเป็นการช่วยเหลือชีวิตผู้คน ข้าไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยสิ” หลินซูฮวาบิดปลายนิ้วใต้แขนเสื้อสุดแรง “ตอนข้า เอ่อ ผายปอดท่าน มีชาวบ้านอยู่แถวนั้นกันหลายคน เกรงว่าเรื่องนี้คงทำให้ท่านเสื่อมเสียชื่อเสียงไปแล้ว” “องครักษ์ฮู่ท่านหมายความว่า มีคนเห็นท่าน” หลินซูฮวาหยุดพูด แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ๆ “เป่าลมเข้าปากข้ารึ” ถาม
8 : “เท้า ไม่ใช่มือ !” หลินซือเยว่จัดการเรื่องออกเรือน ให้สาวใช้สินเดิมทั้งสองเรียบร้อยแล้ว นางมอบของขวัญเป็นเรือนให้คนละหลัง พร้อมมอบกิจการร้านค้าให้อีกด้วย กระทั่งหนังสือขายตัวก็ฉีกทิ้งไป ปล่อยให้ทั้งคู่ได้เป็นอิสระในภายภาคหน้า “ข้าไม่เคยรู้ว่าเจ้าใจดีถึงเพียงนี้” เซวียนหมิงยู่โอบกอดนางจากด้านหลัง พร้อมหอมแก้มนุ่ม ๆ ของนางฟอดหนึ่ง “ยามเป็นโหย่วซิงเยียนพวกนางดีกับข้ามาก พอเป็นหลินซือเยว่ก็ตั้งใจเรียนรู้เรื่องยาสมุนไพร ยามนี้เลยได้ใช้ประโยชน์บ้าง ต่อไปภายภาคหน้าหากเกิดการบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนางก็สามารถรักษาตัวเองหรือคนในครอบครัวได้ ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องหาหมออย่างเดียว” หลินซือเยว่ได้วางแผนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้น ให้แก่คนในจวนไว้แล้ว เพียงแต่นางยังไม่มีเวลาได้ลงมือทำ “ข้าถึงได้ว่าเจ้าจิตใจดีอย่างไร” ไม่เพียงแต่กับบ่าวไพร่ในจวน กระทั่งชาวบ้านทั่วไปหลินซือเยว่ก็ใจดีต่อพวกเขา เซวียนหมิงยู่ได้รู้จากท่านหมอหลี่ ว่าพระชายาของตนได้ให้คนจากโรงสมุนไพร ออกไปถ่ายทอดความรู้เรื่องสมุนไพรพื้นฐานให้แก่ชาวบ้าน และสอนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื
7 : วาสนานำพารัก หลินเต๋อให้คนไปเชิญพระชายามายังจวนของตน เพื่อหารือเรื่องสำคัญ ครั้นหลินซือเยว่ไปถึงก็ได้รู้ว่าพี่ชายของตนเอง กำลังจะมีข่าวดีเรื่องมงคล “ซีฮันสวมกวานมาหลายปีแล้ว สมควรคิดเรื่องออกเรือนได้เสียที” เถียนฮูหยินเป็นผู้เอ่ยเรื่องนี้ หลินซือเยว่รีบหันไปทางพี่ชายในทันที เห็นเขาใบหน้าแดงเถือกขึ้นอย่างชัดเจน นี่หมายความว่าไม่ปฏิเสธเป็นแน่แท้ “ท่านแม่หมายปองสตรีนางใดให้พี่ใหญ่หรือเจ้าคะ” “เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหวง ทำการค้าเหมือนกัน” “ท่านพ่อเห็นชอบว่าอย่างไรเจ้าคะ” นางหันไปทางบิดาบ้าง ส่วนตัวไม่ได้รู้จักคุณหนูผู้นี้มาก่อน “อืม คุณหนูใหญ่ผู้นี้ใช้ได้เหมือนกัน” หลินเต๋อย่อมเชื่อใจการมองคนของภรรยา หลินซือเยว่มองน้องสาวของตัวเองบ้าง เห็นนางพยักหน้าลงคล้ายพึงพอใจอยู่เหมือนกัน ทุกคนในบ้านล้วนพึงพอใจสตรีนางนี้ กระทั่งหลินซีฮันยังไม่มีท่าทีจะปฏิเสธ “พี่ใหญ่ ท่านไปแอบดูนางมาแล้วใช่ไหม” ทุกคนต่างอ้าปากค้างหลังได้ยิน โดยเฉพาะเถียนฮูหยิน นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าบุตรชาย ไปแอบดูคุณหนูใหญ่ตระกูลหวงตอนไหน “ซีฮันนี่เจ้า
6 : “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” ยามนี้คุณชายกับคุณหนูทั้งสองอายุครบสองปี ทั้งคู่เริ่มเรียกชื่อบิดามารดาได้แล้ว อีกทั้งยังพูดคุยประโยคสั้น ๆ ได้บ้าง หลินซือเยว่ได้จัดงานแต่งให้สวีวั่งซูอย่างสมเกียรติไปเมื่อปีที่แล้ว ยามนี้ฮู่ตงหยางจึงกลายเป็นคนขี้อิจฉา ยามได้เห็นสหายรัก รีบร้อนกลับเรือนทุกครั้งหลังออกเวร พอหันกลับมาทางท่านอ๋องของตน แทบนึกช่วงเวลาเหลียงอ๋องผู้เกรียงไกรแทบไม่ออก เพราะยามนี้นั้น “บิน ๆ สูง ๆ” เป็นเสียงเล็ก ๆ ของคุณชายตัวน้อย ท่านอ๋องของตนกำลังให้คุณชายขี่คอแล้วพาวิ่งไปรอบ ๆ ลานหญ้า ส่วนพระชายานั้นกำลังนั่งถักเปียให้คุณหนูด้านข้างมีเผิงฉือกับสองสาวใช้คอยปรนนิบัติอยู่ “อี้เอ๋อร์อยากขี่ม้าใช่ไหม ได้ ๆ ตงหยางมานี่เร็ว !” “ท่านอ๋องคุณชายยังไม่ได้เอ่ยสักคำ” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น แต่เข่ากลับคุกคลานลงบนพื้น ไม่ช้าคุณชายตัวน้อย ก็ปีนขึ้นมานั่งอยู่บนหลังของเขา “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” “พ่ะย่ะค่ะ” ฮู่ตงหยางก้มหน้าคลานไป ประคองคุณชายน้อยไปด้วย เขากลับมีความสุขเหลือเกินในยามนี้ คุณชายน้อยส่
5 : แฝดชายหญิง หนึ่งเดือนต่อมา เผิงฉือนั่งมองพระชายาของนาง ที่กำลังจ้องที่ข้อมือของตัวเองอย่างเงียบ ๆ บางครั้งพระนางก็เอานิ้วไปแตะ แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ จากนั้นก็แตะข้อมืออีกครั้ง เป็นอยู่เช่นนี้จนน่าสงสัย “พระชายาเพคะ ท่านอ๋องให้แม่ครัวเคี่ยวน้ำแกงบำรุงร่างกายมาให้เพคะ” ลี่ถิงเดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับถาดน้ำแกง หลินซือเยว่หันไปค้อนนางแรง ๆ อย่างไร้สาเหตุ “พระชายาเป็นอันใดเพคะ” เผิงฉือเห็นแล้วก็ไม่เข้าใจ โบกมือให้ลี่ถิงรีบวางถ้วยน้ำแกงลง แล้วให้รีบออกไปให้เร็วที่สุด “ป้าเผิงข้าไม่สบายใจเล็กน้อย” นางถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา แววตามีความสับสนเล็กน้อย “มีเรื่องอันใดที่ทำให้พระชายาไม่สบายใจหรือเพคะ หากบอกได้ก็เอ่ยออกมาเถอะ” เผิงฉือเข้าไปยืนอยู่ใกล้ ๆ แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองนางเล็กน้อย ดันถ้วยน้ำแกงออกไปให้ไกลตัว “ต่อไปข้าคงกินน้ำแกงบำรุงนี่ไม่ได้อีกแล้ว ฤทธิ์มันแรงเกินไป ไม่ดีต่อเด็กในท้อง” “เช่นนั้นหรือเพคะ” เผิงฉือค้างชะงักไปหลังตัวเองเอ่ยจบ