ตระกูลโจว
มีบุรุษรูปร่างผ่ายผอมทว่ายังมองเห็นเค้าโครงความหล่อเหลา กำลังนอนลืมตาอยู่บนเตียง ด้านข้างมีคนสนิทอย่างชุยเหลียง คอยรายงานข่าวคราวให้เขาฟัง
“เจ้าบอกว่าตระกูลหลินไม่ยอมรับนางเข้าจวนอย่างนั้นรึ”
“ขอรับคุณชายใหญ่ พวกเขาอ้างว่าดวงชะตาของนางไม่เป็นมงคล มีผลให้ตระกูลหลินตกต่ำหรือล่มจมลงได้ จึงให้นางพักอาศัยอยู่นอกจวน ห่างจากจวนใหญ่ไปหลายตรอกอยู่เหมือนกัน”
“นางคงเหมือนกับข้าสินะ เมื่อไร้ค่าก็หมดประโยชน์”
“ตระกูลหลินทำไม่ถูก เหตุใดถึงได้มอบสตรีปัญญาอ่อนผู้นั้นมาแต่งงานแทน หากท่านไม่ให้ข้าไปตามสืบก็คงไม่รู้ ว่าตอนเด็กนางได้รับอุบัติเหตุจนมีอาการปัญญาอ่อนขึ้น” ชุยเหลียงกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ นี่มันหยามหน้ากันเกินไปแล้ว
“ข้าพิการนางปัญญาอ่อน เหตุใดจะไม่เหมาะสมกันเล่า”
“คุณชายใหญ่ !”
“งานแต่งจะยังเกิดขึ้นหรือไม่ก็ไม่มีผู้ใดบอกได้ ชุยเหลียงเจ้าอย่าได้กังวลไปนักเลย ไม่ใช่ว่าวันนี้ท่านหมอเจินต้องเข้ามาดูอาการของข้าหรือ”
“ขอรับ สักพักคงมาถึงแล้ว คุณชายใหญ่ต้องการย้ายไปอยู่ที่ตั่งนอกเรือนหรือไม่”
“ไม่ต้อง อยู่ในห้องนี่แหละ สะดวกแก่ทุกคนดี”
“ขอรับ”
ชุยเหลียงเดินออกจากห้องนอนของโจวจื่อถงไป เขาก้มหน้าลงดวงตาแดงก่ำ รู้สึกสงสารผู้เป็นนายเหลือเกิน หากไม่ได้รับบาดเจ็บจนต้องป่วยหนักเช่นนี้ มีหรือคุณชายใหญ่ของเขาจะต้องได้รับความอยุติธรรม กระทั่งภรรยายังไม่สามารถหาที่คู่ควรได้
หลังจากท่านหมอเจินได้เข้ามาดูอาการของโจวจื่อถงเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาต้องนำเรื่องเข้าไปรายงานแก่จางฮูหยิน ผู้เป็นมารดาของโจวจื่อถงทุกครั้ง
สตรีในวัยสี่สิบห้าปี ใบหน้าของนางแลดูแก่ชราเกินกว่าวัย นับตั้งแต่ที่บุตรชายของนางต้องนอนเป็นคนป่วย ท่อนล่างไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ สามีของนางโจวหลี่จวินก็หมดหวังในตัวของบุตรชายคนโต หันไปสนับสนุนคนบ้านรองแทน กระทั่งมาหานางที่เรือนยังนับครั้งได้ นานวันเข้าก็แทบจะลืมเลือนกันไป
“อาการของคุณชายใหญ่ยังคงเหมือนเดิมขอรับฮูหยิน ข้านั้นไร้ความสามารถยิ่งนัก รักษามาสองปีกว่าแล้วยังไม่อาจช่วยคุณชายใหญ่ได้” ท่านหมอเจินถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา “ได้โปรดฮูหยินหาหมอท่านอื่นมารักษาคุณชายใหญ่ด้วยเถิด” ท่านหมอเจินไม่อาจเหนี่ยวรั้งการรักษานี้ได้อีกต่อไป
“ท่านจะให้ข้าไปหาหมอที่มากความสามารถมาจากไหนกัน” จางฮูหยินแค่นขำเบา ๆ กระทั่งหมอหลวงที่สามีของนางไปขอร้องฮ่องเต้ให้ช่วยเมตตา พวกเขาก็ไม่อาจรักษาอาการป่วยของโจวจื่อถงได้ อีกทั้งยังบอกว่าเขาไม่อาจมีชีวิตรอดได้เกินสามเดือน มีเพียงท่านหมอเจินผู้นี้ ที่ยังรั้งชีวิตของโจวจื่อถงมาได้ถึงสองปีกว่า
ท่านหมอเจินเองก็จนใจ เขานั้นพยายามเสาะแสวงหาหมอเทวดาในใต้หล้ามารักษา สุดท้ายก็เจอเพียงพวกหลอกลวงไปวัน ๆ หามีความสามารถแท้จริงไม่
“เทียบยาของท่านยังใช้ได้อยู่ ขอเพียงประคองอาการของถงเอ๋อร์ต่อไปได้...” จางฮูหยินลูบถ้วยชาแผ่วเบา
แม่นมอีเห็นนางไม่อยากเอ่ยสิ่งใดอีกต่อไป จึงหันไปทางท่านหมอเจิน “เชิญท่านหมอทางนี้เจ้าค่ะ”
แม่นมอีมอบค่ารักษาให้ พร้อมกับส่งเขาที่ประตูทางเข้าจวน ระหว่างทางก็เห็นฮูหยินรองฮู๋ซื่อเหมี่ยว กำลังเดินหน้าเชิดไปที่เรือนของแม่ทัพโจว มีสาวใช้สี่คนเดินตามหลังไปด้วย หากคนไม่รู้คงคิดว่านางเป็นฮูหยินใหญ่ของจวนไปเสียแล้ว แม่นมอีได้แต่กำหมัดใต้แขนเสื้อจนแน่น หากไม่เกิดเรื่องกับคุณชายใหญ่ของตน มีหรือฮูหยินรองจะได้มีโอกาสเชิดหน้าชูตาเช่นนี้
ถนนหยางฮัวใจกลางเมืองหลวง
หลินซือเยว่แต่งตัวในชุดผ้าป่านสีขาวเรียบง่าย มวยผมเป็นก้อนปล่อยยาวสยายด้านหลัง ปักปิ่นไม้เพียงหนึ่งอัน มีเผิงฉือกับหลินอ้ายเดินตามหลังมาติด ๆ
“ตรงนี้เป็นถนนหยางฮัวขอรับคุณหนูรอง ที่นี่เป็นแหล่งค้าขายอันดับต้น ๆ ของเมืองหลวง มีตรอกแยกย่อยเข้าไป ร้านค้าชื่อดังต่างก็อยู่ภายในตรอกเหล่านั้น ไม่ทราบว่าคุณหนูรองต้องการไปที่ใด ถามข้าได้นะขอรับ” หลินอ้ายแนะนำด้วยความหวังดี
หลินซือเยว่ “เดินดูไปก่อน”
นางสำรวจพื้นที่บริเวณถนนหยางฮัวด้วยความสนใจ หากนางต้องการลงทุนทำการค้าขาย คงต้องเป็นสถานที่แห่งนี้ ผู้คนมากหน้าหลายตา ช่างคึกคักดีเหลือเกิน
“หลินอ้ายเหตุใดตรอกนี้เงียบเหงานัก” เผิงฉือถามยามเดินผ่านตรอกที่มีชื่อลี่เซียน
หลินอ้ายเกาศีรษะเล็กน้อย ตอนตอบก็มีท่าทีเอียงอายราวหนุ่มน้อย “ตรอกนี้เป็นแหล่งรวมของหอนางโลมท่านป้าเผิง ตอนกลางวันก็เงียบเหงาเช่นนี้แหละ”
เผิงฉือกลอกตาใส่เขาหลังได้ยิน
หลินอ้ายรีบเอ่ย “ตรอกข้างหน้านั่นเป็นแหล่งรวมภัตตาคารชื่อดัง ถัดไปอีกตรอกก็เป็นร้านจำหน่ายเสื้อผ้ากับเครื่องประดับ ตรงนั้นเป็นหอโอสถกับโรงหมอขอรับ”
หลินซือเยว่เลือกภัตตาคารชื่อดังแห่งหนึ่ง นางเลือกโต๊ะนั่งติดหน้าต่าง ที่สามารถมองดูผู้คนบนท้องถนนใหญ่ได้อย่างถนัดตา นางนั่งโต๊ะคนเดียวเพราะต้องการใช้ความคิดในบางเรื่อง เผิงฉือจึงชวนหลินอ้ายไปนั่งอีกโต๊ะ
“ท่านป้าเผิงข้าไปรอข้างนอกก็ได้”
“เหลวไหล มาด้วยกันก็ต้องกินด้วยกัน เจ้านั่งลงกับข้านี่แหละ คุณหนูไม่ชอบให้ใครขัดใจนาง” เผิงฉือคุ้นชินกับนิสัยของหลินซือเยว่ดี นางมองมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้เท่าเทียมกัน แต่หากอยู่ต่อหน้าผู้อื่น ก็ต้องทำตามธรรมเนียมปฏิบัติ
ขณะที่ทั้งสามกำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ เสียงพูดคุยของบุรุษกลุ่มหนึ่งก็ดังขึ้น
“ฉีหมิงข้าได้ยินมาว่าคุณหนูหลินหมั้นหมายอยู่กับพี่ชายของเจ้า เหตุใดถึงได้ชวนนางไปเที่ยวงานชมบุปผาที่จะถึงนี้ได้ล่ะ”
“พวกเจ้าตกข่าวแล้วล่ะ สตรีดี ๆ ที่ไหนจะยอมแต่งงานกับคนพิการเช่นนั้นได้” โจวฉีหมิงกอดอกยิ้มเจ้าเล่ห์
“หืม ท่านพ่อของเจ้าจัดการเช่นไร” เสียงกระตือรือร้นของสหายผู้หนึ่งดังขึ้น
“ท่านพ่อข้าไม่ได้จัดการหรอก ตระกูลหลินต่างหากที่เป็นคนเปลี่ยนตัวเจ้าสาว”
“เปลี่ยนตัวเจ้าสาว ?”
โจวฉีหมิงพยักหน้าลง “ใช่”
“แล้วเจ้าสาวคนนั้นเขายอมได้อย่างไร ต้องแต่งกับคนพิการท่อนล่างขยับไม่ได้ ทำเรื่องอย่างว่าก็ไม่ได้ ไอหยา ! ข้าไม่อยากจะคิดเลย นางต้องทนทุกข์ทรมานไปชั่วชีวิตแน่”
“มันก็ไม่แน่หรอก ท่านแม่ของข้าให้คนไปสืบเรื่องของนางแล้ว พวกเจ้ารู้ไหมว่าพบเจอเรื่องอันใดเข้า”
“รีบเล่า ๆ”
“ตอนเด็กนางเกิดอุบัติเหตุทำให้กลายเป็นเด็กปัญญาอ่อน ถูกส่งออกไปอยู่ข้างนอกน่ะสิ”
“ไอหยา ! นี่ไม่เท่ากับว่าคนพิการแต่งงานกับคนปัญญาอ่อนหรอกรึ พวกเขารังแกแม่นางปัญญาอ่อนผู้นั้นเกินไปหรือเปล่า”
“ใครว่ารังแก ตระกูลหลินเสนอมาเองเช่นนี้ ท่านพ่อไม่รู้จึงตอบตกลงไป มารู้ภายหลังแล้วอย่างไร แก้ไขอันใดไม่ได้อีก เพราะตระกูลหลินไม่ยอมให้ยกเลิก บอกว่าเป็นสัญญาหมั้นหมายของสองตระกูล หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ทำผิดต่ออีกฝ่าย เช่นนั้นงานแต่งก็ยกเลิกไม่ได้เด็ดขาด !” แน่นอนว่าย่อมเป็นการย้อนคำของตระกูลโจวกลับคืนมา ทำให้น้ำท่วมปากเอ่ยออกไปก็ไม่ได้
เสียงหยอกล้อของบุรุษโต๊ะด้านหลังยังดังขึ้นไม่ยอมหยุด หลินซือเยว่ฟังจนจบคิ้วนางก็ขมวดเข้าหากันแน่น
แม่นางปัญญาอ่อนผู้นั้น ไม่ใช่หมายถึงข้าหรอกรึ
เรื่องราวเป็นเช่นนี้นี่เอง
ยามลุกออกจากภัตตาคารไป หลินซือเยว่ได้สำรวจใบหน้าของโจวฉีหมิง เป็นดวงเคราะห์ดอกท้อของจริง ชีวิตจะตกต่ำลงด้วยเรื่องของสตรี นางยิ้มเยาะเล็กน้อย สมน้ำหน้า !
หลินซือเยว่กลับมาถึงเรือนเฟยเฟิ่งในยามเย็น นางสามารถเปิดร้านทำนายดวงชะตาให้ผู้คนได้ ส่วนเรื่องรักษานั้นนางคงทำได้เพียงแค่เขียนเทียบยาให้ เพราะไม่ได้มีหอโอสถเป็นของตัวเอง แต่บางอย่างกลับกวนใจนางเหลือเกิน ราวกับว่ากำลังมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับผู้คนรอบตัวของนาง
ตกดึกหิมะตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ นางนั่งอยู่ตรงหน้าต่าง ที่แง้มเอาไว้เพียงเล็กน้อย ไออุ่นภายในห้องปะทะกับความหนาวเย็นที่ผ่านซอกหน้าต่างเข้ามา นางเริ่มทำนายดวงชะตาของตระกูลหลิน
นี่ไม่ใช่เรื่องดี ตระกูลหลินกำลังเจอเคราะห์หนัก
วันรุ่งขึ้นหลินซือเยว่เดินทางไปยังจวนตระกูลหลิน ขอเข้าพบบิดามารดาของนาง แต่คนเฝ้าประตูกลับปฏิเสธบอกว่าเป็นคำสั่งของพ่อบ้านหม่า ห้ามไม่ให้คุณหนูรองเข้าไปในจวน
“คุณหนูมีเรื่องอันใดสำคัญหรือไม่” เผิงฉือยังไม่เข้าใจการกระทำของหลินซือเยว่
“ไม่รู้สิ ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันป้าเผิง หากข้าเข้าไปได้อาจจะมองปัญหาเรื่องนี้ออก แต่ช่างเถิดวาสนาของพวกเขานั้นไม่มี ไม่อาจฝืนลิขิตฟ้าไปได้”
นางเอ่ยเท่านั้นก็หมุนตัวกลับ เผิงฉือเดินตามหลังนางไปติด ๆ หลินอ้ายได้รับคำสั่งให้บังคับรถม้ากลับไปยังเรือนเฟยเฟิ่ง
“คุณหนูเจ้าคะ”
“ชะตาพวกเขากับข้าผูกไว้ด้วยกัน เคราะห์คราวนี้ข้าเองคงหนีไม่พ้น”
“คุณหนู !” เผิงฉือรู้ดีว่าคำทำนายของหลินซือเยว่แม่นยำเพียงใด หากหาหนทางแก้ไขไม่ได้ มีเพียงต้องยอมรับมันเอาไว้
10 : พวกเขาเกิดมาคู่กัน หลินซือเยว่ชวนน้องสาวมาเยือนที่เรือน เพื่อเปิดโอกาสให้ฮู่ตงหยางได้พูดคุยกับนางบ้าง อย่างน้อยได้ทำความรู้จักพูดคุยกันก่อน ยามออกเรือนไปแล้วจะได้ไม่เขินอายกันจนเกินไป แต่นางได้เอ่ยกับบิดามารดาไปแล้ว ว่าให้หมั้นหมายกันไปก่อนหนึ่งปี เพราะยามนี้น้องสาวของนางเพิ่งอายุสิบหกย่างสิบเจ็ดปีเอง แต่มารดาของนางกลับแย้ง ว่าอายุช่วงนี้กำลังเหมาะสม หากรอไปอีกหนึ่งปีฮู่ตงหยางก็สามสิบปีพอดี ในสายตาของผู้อื่นอาจคิดว่าอายุของทั้งคู่ไม่เหมาะสมกัน เพราะห่างกันร่วมสิบสองปี แต่ในสายตาของหลินซือเยว่ ฮู่ตงหยางอยู่ในวัยกำลังสร้างครอบครัวได้ มีแต่น้องสาวของนางนี่แหละที่เด็กน้อยเกินไป “น้องรอง” “เจ้าคะ” “เจ้าไม่คิดว่าองครักษ์ฮู่แก่ไปหรอกหรือ” หลินซูฮวาอมยิ้มเล็กน้อย “ไม่เจ้าค่ะ เขาดูแข็งแรงดี” “อ้อ เป็นข้าที่คิดมากไปเอง เจ้าดูเด็ก ๆ อยู่ตรงนี้ไปก่อนก็แล้วกัน ข้ามีงานไปคุยกับท่านอ๋องก่อน” “ได้เจ้าค่ะ” หลินซูฮวาชอบที่ได้เล่นกับหลานตัวน้อยทั้งสอง พวกเขาเลี้ยงง่าย แค่ได้วิ่งเล่นไปมาก็มีความสุขแล้ว นางเองได้นั่งมองเด
9 : “เป็นเจ้านี่เองที่ว่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล” หลินซูฮวาไม่ได้โง่ นางมองปราดเดียวก็รู้ ว่าคนตรงหน้าได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ แต่ช่วยด้วยวิธีไหนนั้นนางไม่แน่ใจ ภายในรถม้าที่นั่งกลับเรือนด้วยกันสองต่อสอง นางจึงได้ใจกล้าเอ่ยถามเขา “ท่านผายปอดให้ข้ารึ” ฮู่ตงหยางตัวแข็งทื่อหลังได้ยิน “คุณหนูหลินท่านรู้จักการผายปอดด้วยรึ” เขาถามเสียงค่อยคล้ายคนหมดเรี่ยวแรง “รู้จักสิ พระชายามาสอนคนที่จวนอยู่เหมือนกัน ข้าก็ได้เรียนรู้ด้วย” นางเม้มปากแน่น พวงแก้มค่อย ๆ แดงระเรื่อขึ้นมา การที่เขาไม่ปฏิเสธย่อมหมายความว่าเป็นเรื่องจริง “คุณหนูหลินข้าล่วงเกินท่านแล้ว” ฮู่ตงหยางยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี “หมายความว่าอย่างไร พระชายาบอกว่าเป็นการช่วยเหลือชีวิตผู้คน ข้าไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยสิ” หลินซูฮวาบิดปลายนิ้วใต้แขนเสื้อสุดแรง “ตอนข้า เอ่อ ผายปอดท่าน มีชาวบ้านอยู่แถวนั้นกันหลายคน เกรงว่าเรื่องนี้คงทำให้ท่านเสื่อมเสียชื่อเสียงไปแล้ว” “องครักษ์ฮู่ท่านหมายความว่า มีคนเห็นท่าน” หลินซูฮวาหยุดพูด แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ๆ “เป่าลมเข้าปากข้ารึ” ถาม
8 : “เท้า ไม่ใช่มือ !” หลินซือเยว่จัดการเรื่องออกเรือน ให้สาวใช้สินเดิมทั้งสองเรียบร้อยแล้ว นางมอบของขวัญเป็นเรือนให้คนละหลัง พร้อมมอบกิจการร้านค้าให้อีกด้วย กระทั่งหนังสือขายตัวก็ฉีกทิ้งไป ปล่อยให้ทั้งคู่ได้เป็นอิสระในภายภาคหน้า “ข้าไม่เคยรู้ว่าเจ้าใจดีถึงเพียงนี้” เซวียนหมิงยู่โอบกอดนางจากด้านหลัง พร้อมหอมแก้มนุ่ม ๆ ของนางฟอดหนึ่ง “ยามเป็นโหย่วซิงเยียนพวกนางดีกับข้ามาก พอเป็นหลินซือเยว่ก็ตั้งใจเรียนรู้เรื่องยาสมุนไพร ยามนี้เลยได้ใช้ประโยชน์บ้าง ต่อไปภายภาคหน้าหากเกิดการบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนางก็สามารถรักษาตัวเองหรือคนในครอบครัวได้ ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องหาหมออย่างเดียว” หลินซือเยว่ได้วางแผนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้น ให้แก่คนในจวนไว้แล้ว เพียงแต่นางยังไม่มีเวลาได้ลงมือทำ “ข้าถึงได้ว่าเจ้าจิตใจดีอย่างไร” ไม่เพียงแต่กับบ่าวไพร่ในจวน กระทั่งชาวบ้านทั่วไปหลินซือเยว่ก็ใจดีต่อพวกเขา เซวียนหมิงยู่ได้รู้จากท่านหมอหลี่ ว่าพระชายาของตนได้ให้คนจากโรงสมุนไพร ออกไปถ่ายทอดความรู้เรื่องสมุนไพรพื้นฐานให้แก่ชาวบ้าน และสอนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื
7 : วาสนานำพารัก หลินเต๋อให้คนไปเชิญพระชายามายังจวนของตน เพื่อหารือเรื่องสำคัญ ครั้นหลินซือเยว่ไปถึงก็ได้รู้ว่าพี่ชายของตนเอง กำลังจะมีข่าวดีเรื่องมงคล “ซีฮันสวมกวานมาหลายปีแล้ว สมควรคิดเรื่องออกเรือนได้เสียที” เถียนฮูหยินเป็นผู้เอ่ยเรื่องนี้ หลินซือเยว่รีบหันไปทางพี่ชายในทันที เห็นเขาใบหน้าแดงเถือกขึ้นอย่างชัดเจน นี่หมายความว่าไม่ปฏิเสธเป็นแน่แท้ “ท่านแม่หมายปองสตรีนางใดให้พี่ใหญ่หรือเจ้าคะ” “เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหวง ทำการค้าเหมือนกัน” “ท่านพ่อเห็นชอบว่าอย่างไรเจ้าคะ” นางหันไปทางบิดาบ้าง ส่วนตัวไม่ได้รู้จักคุณหนูผู้นี้มาก่อน “อืม คุณหนูใหญ่ผู้นี้ใช้ได้เหมือนกัน” หลินเต๋อย่อมเชื่อใจการมองคนของภรรยา หลินซือเยว่มองน้องสาวของตัวเองบ้าง เห็นนางพยักหน้าลงคล้ายพึงพอใจอยู่เหมือนกัน ทุกคนในบ้านล้วนพึงพอใจสตรีนางนี้ กระทั่งหลินซีฮันยังไม่มีท่าทีจะปฏิเสธ “พี่ใหญ่ ท่านไปแอบดูนางมาแล้วใช่ไหม” ทุกคนต่างอ้าปากค้างหลังได้ยิน โดยเฉพาะเถียนฮูหยิน นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าบุตรชาย ไปแอบดูคุณหนูใหญ่ตระกูลหวงตอนไหน “ซีฮันนี่เจ้า
6 : “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” ยามนี้คุณชายกับคุณหนูทั้งสองอายุครบสองปี ทั้งคู่เริ่มเรียกชื่อบิดามารดาได้แล้ว อีกทั้งยังพูดคุยประโยคสั้น ๆ ได้บ้าง หลินซือเยว่ได้จัดงานแต่งให้สวีวั่งซูอย่างสมเกียรติไปเมื่อปีที่แล้ว ยามนี้ฮู่ตงหยางจึงกลายเป็นคนขี้อิจฉา ยามได้เห็นสหายรัก รีบร้อนกลับเรือนทุกครั้งหลังออกเวร พอหันกลับมาทางท่านอ๋องของตน แทบนึกช่วงเวลาเหลียงอ๋องผู้เกรียงไกรแทบไม่ออก เพราะยามนี้นั้น “บิน ๆ สูง ๆ” เป็นเสียงเล็ก ๆ ของคุณชายตัวน้อย ท่านอ๋องของตนกำลังให้คุณชายขี่คอแล้วพาวิ่งไปรอบ ๆ ลานหญ้า ส่วนพระชายานั้นกำลังนั่งถักเปียให้คุณหนูด้านข้างมีเผิงฉือกับสองสาวใช้คอยปรนนิบัติอยู่ “อี้เอ๋อร์อยากขี่ม้าใช่ไหม ได้ ๆ ตงหยางมานี่เร็ว !” “ท่านอ๋องคุณชายยังไม่ได้เอ่ยสักคำ” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น แต่เข่ากลับคุกคลานลงบนพื้น ไม่ช้าคุณชายตัวน้อย ก็ปีนขึ้นมานั่งอยู่บนหลังของเขา “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” “พ่ะย่ะค่ะ” ฮู่ตงหยางก้มหน้าคลานไป ประคองคุณชายน้อยไปด้วย เขากลับมีความสุขเหลือเกินในยามนี้ คุณชายน้อยส่
5 : แฝดชายหญิง หนึ่งเดือนต่อมา เผิงฉือนั่งมองพระชายาของนาง ที่กำลังจ้องที่ข้อมือของตัวเองอย่างเงียบ ๆ บางครั้งพระนางก็เอานิ้วไปแตะ แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ จากนั้นก็แตะข้อมืออีกครั้ง เป็นอยู่เช่นนี้จนน่าสงสัย “พระชายาเพคะ ท่านอ๋องให้แม่ครัวเคี่ยวน้ำแกงบำรุงร่างกายมาให้เพคะ” ลี่ถิงเดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับถาดน้ำแกง หลินซือเยว่หันไปค้อนนางแรง ๆ อย่างไร้สาเหตุ “พระชายาเป็นอันใดเพคะ” เผิงฉือเห็นแล้วก็ไม่เข้าใจ โบกมือให้ลี่ถิงรีบวางถ้วยน้ำแกงลง แล้วให้รีบออกไปให้เร็วที่สุด “ป้าเผิงข้าไม่สบายใจเล็กน้อย” นางถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา แววตามีความสับสนเล็กน้อย “มีเรื่องอันใดที่ทำให้พระชายาไม่สบายใจหรือเพคะ หากบอกได้ก็เอ่ยออกมาเถอะ” เผิงฉือเข้าไปยืนอยู่ใกล้ ๆ แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองนางเล็กน้อย ดันถ้วยน้ำแกงออกไปให้ไกลตัว “ต่อไปข้าคงกินน้ำแกงบำรุงนี่ไม่ได้อีกแล้ว ฤทธิ์มันแรงเกินไป ไม่ดีต่อเด็กในท้อง” “เช่นนั้นหรือเพคะ” เผิงฉือค้างชะงักไปหลังตัวเองเอ่ยจบ