“มีหลิวฮูหยินคอยดูแล ผู้อื่นย่อมไม่กล้า สร้างความลำบากให้แก่ข้า อีกทั้งยังมีชื่อเสียงท่านใต้เท้าอสุราอยู่ พวกนางย่อมมีแต่จะเข้าหา เพื่อผูกไมตรี” หลี่ชิงเหมียวอยากจะหัวเราะออกมา
ฮูหยินเหล่านั้นน่ะหรือ จะมีความกล้ามาสร้างความลำบากให้แก่นาง แค่ชื่อเสียงของเขา ก็ทำให้พวกนางเกรงใจบ้างแล้ว ทว่านางกลับไม่ได้กล่าวถึง เหล่าคุณหนูในห้องหอ ที่ยังไม่ได้ออกเรือนเหล่านั้น เพราะมีบางคน แอบใช้สายตามองนาง อย่างไม่เป็นมิตรอยู่จริงๆ“เป็นมิตรก็ยังดีกว่าเป็นศัตรู ถึงอย่างไรแล้ว ตัวเจ้าก็เป็นสตรีจากต่างเมือง ข้าอยากให้เจ้าคบหากับพวกนางเอาไว้ มิใช่เพื่อข้า หรือเพื่อผู้ใด แต่เพื่อตัวเจ้าเอง” หลี่ชิงเหมียวได้ฟังก็รู้สึกซาบซึ้งใจ ที่เขากล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่าใส่ใจนาง แม้จะไม่มีความรักมอบให้ แต่เขาก็ไม่นับว่าเย็นชา จนละเลยเรื่องราวเหล่านี้“นี่ท่าน…กำลังเป็นห่วงข้ารึ” นางแกล้งหยอกเย้าเขาออกมา ใบหน้างามเผยรอยยิ้มชวนให้หวั่นใจ“เจ้าเป็นภรรยาของข้า ถึงแม้จะเป็นแค่เพียงในนาม แต่ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เจ้าก็ลำบากเพราะพวกเราสองพ่อลูกมาไม่น้อย หากหลังจากวันที่ได้ประลองฝีมือกับหลี่ชิงเหมียวแล้ว หลัวอี้เฉินก็มักจะเหม่อลอยอยู่บ่อยครั้ง พลันเขานึกไปถึงท่านนักพรต ที่เคยมาร่วมพิธีฝังร่าง ของหลูชิงเหลียนเมื่อสามปีก่อนเขาจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน ภายในสำนักมือปราบพิทักษ์เมฆา ควบอาชาประจำตัว มุ่งหน้าไปยังอารามหลัวเซิง พร้อมกับกู้อี้และกู้จง ลูกน้องคนสนิทสองหนุ่มไม่รู้เลย ว่าเพราะเหตุใดท่านหัวหน้าของพวกตน กำลังจะเดินทางไปที่ใด พวกเขาได้แต่เก็บงำความสงสัยเอาไว้ แล้วติดตามท่านหัวหน้าไปอย่างเร่งรีบอารามหลัวเซิงตั้งอยู่บนเขา ทว่าด้านล่างก็ยังอารามย่อยให้ผู้คนได้มากราบไหว้ท่านปรมาจารย์ หลัวอี้เฉินเข้าไปสอบถามนักพรตน้อยที่อยู่อารามด้านล่างนักพรตน้อยส่งยิ้มให้เขา และแนะนำให้เขาขึ้นไปพบท่านเจ้าอาวาสที่อารามหลัก หลัวอี้เฉินคำนับขอบคุณนักพรตน้อย แล้วจึงเดินขึ้นบันไดไปยังอารามหลักอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย กู้อี้กับกู้จงติดตามท่านหัวหน้าไปอย่างเงียบๆจนระหว่างทางกู้อี้ที่สนิทสนมกับหลัวอี้เฉินมากกว่า จึงได้ตัดสินใจเอ่ยปากถามท่านหัวหน้าออกมา “ท่านหัวหน้าขอรับ…เหตุใดท่านถึงได้อยากพบท่านนัก
ภายในเรือนหนิงอันคืนนี้หลัวอี้เฉิน หอบหมอนกับผ้าห่ม เดินกลับเข้ามาภายในห้องนอน หลี่ชิงเหมียวที่เตรียมตัวจะล้มตัวลงนอน หรี่ตามองเขาด้วยความประหลาดใจ เพราะหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาไม่เคยคิดจะเข้ามานอนบนเตียงเดียวกันกับนางด้วยซ้ำ เหตุใดวันนี้เขาถึงได้กลายมาเป็นเช่นนี้ไปได้เล่า“ข้างนอกมันหนาว เจ้าจะนอนด้านนอก หรือนอนด้านใน”หลัวอี้เฉินเห็นสายตาหวาดระแวงสงสัย ของสตรีที่นั่งอยู่บนเตียง เขาจึงเอ่ยเหตุผลที่เขาหอบหมอนกับผ้าห่ม เดินเข้ามาภายในห้องนอน ที่เขาเคยยกให้เป็นพื้นที่ส่วนตัวของนางหลี่ชิงเหมียวที่ยังคงแสดงสีหน้างุนงง ร้องอ้อ เพียงคำเดียว ก่อนที่นางจะขยับกาย เข้าไปนอนด้านใน เพราะนางรู้ดีว่าเขา ต้องตื่นเช้าไปฝึกวรยุทธ์ทุกวัน หากนอนข้างใน คงจะไม่สะดวกเข้าออกเท่าใดนัก“เหตุใดวันนี้ท่านถึงอยากมานอนบนเตียงเล่าเจ้าคะ คงมิใช่เพียงเพราะอากาศหนาวหรอกกระมัง” หลี่ชิงเหมียวตัดสินใจเอ่ยถามเรื่องที่นางสงสัยออกมา ยามนี้หลัวอี้เฉินยังไม่ได้ดึงม่านมุ้งลง อีกทั้งแสงไฟจากโคม ก็ยังคงส่องสว่างอยู่หลายดวง&ldquo
“ท่านพ่อ….ท่านแม่ ข้าไม่ออกเรือน ไม่ได้หรือเจ้าคะ” หมิงหลันที่ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น หันไปอ้อนวอนขอความเห็นใจจากบิดามารดาทว่าใต้เท้าหมิงกลับแสดงท่าทีเย็นชาออกมา ส่วนซุนซื่อแม้ภายในใจจะรู้สึกสงสารบุตรี ทว่าครานี้นางทำเรื่องร้ายแรงจริงๆ ดีแค่ไหนแล้ว ที่แม่สามีไม่ตัดสินใจให้นาง ไปออกบวชที่อารามชี มิเช่นนั้นอยากจะออกเรือนก็ยากแล้ว“ทำตามคำสั่งของท่านย่าเถิด หากเจ้ายังอยากเป็นลูกสาวของข้าหมิงอี้ฉงอยู่” ท่านใต้เท้าหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง แล้วจึงเดินออกจากเรือนรับรองไปเช่นเดียวกัน“ลูกเอ๋ย…ครานี้ เป็นเจ้าที่เลอะเลือนแล้วจริงๆ เจ้าไม่รู้หรือว่าใต้เท้าอสุราผู้นั้น มีชื่อเสียงเช่นไร ครานี้เจ้าทำร้ายคนของเขา เขาไม่จับกุมตัวเจ้าไปรับโทษในศาลต้าฟง ก็นับว่าเห็นแก่หน้าพ่อของเจ้าแล้ว” ซุนซื่อย่อกายพยุงบุตรสาวขึ้นมาจากพื้น แล้วพาไปนั่งลงบนเตียงอุ่น พลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนหมิงหลันแสดงสีหน้าไม่ยินยอมออกมา นางมองหน้ามารดาด้วยสายตาผิดหวัง นางหลั่งน้ำตาแห่งความน้อยอกน้อยใจออกมา นางเกิดมาเป็นบุตรี เดิมก็ต้องออกเรือน บิด
“ท่านพ่อท่านแม่…พวกท่านทำผิดอันใดกันหรือเจ้าคะ ถึงได้ถูกท่านย่าลงโทษ” เสียงหวานสดใส เอ่ยเย้าแหย่บิดามารดาออกมา พลางถอนหายใจอย่างโล่งอกที่นี่หาได้มีผู้อื่นอยู่ด้วยไม่ ทว่าเพราะเหตุใดกัน ท่านย่าถึงได้ทำโทษท่านพ่อกับท่านแม่ของนางต่อหน้าบ่าวรับใช้เช่นนี้ เพราะปกติแล้วทั้งสองท่าน มิใช่คนที่จะยอมคุกเข่าลงง่าย ๆ เหตุใดมาบัดนี้ พวกเขาถึงได้ยอมคุกเข่า อีกทั้งน้ำตานองหน้าเช่นนั้น หรือว่า…“หลันเอ๋อร์ เจ้าจงคุกเข่าลงประเดี๋ยวนี้!!!”นางหมิงผู้เฒ่าปรายตามองหลานสาว นัยน์ตามีแต่ความเย็นชาไร้ความเอ็นดูเช่นดังแต่ก่อน หมิงหลันได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกสะท้านในอกยามนี้คุณหนูเรือนอื่น ต่างก็ไม่กล้าเดินเข้ามาเฉียดใกล้เรือนรับรอง เพราะจากที่ได้ยินเสียงบ้านใหญ่ ส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญแล้ว คงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนักไม่คิดว่าบ้านใหญ่ที่ได้รับการโปรดปรานจากนางหมิงผู้เฒ่าที่สุด ก็มีวันนี้เช่นกัน พวกนางเดินกลับเรือนไปอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น ก่อนที่จะสั่งให้สาวรับใช้ของพวกตน พากันออกไปสืบความมา ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่“เพรา
ภายในโถงเรือนรับรองของตระกูลหมิงใบหน้าหญิงสูงวัยงอง้ำ จ้องเขม็งไปยังชายแปลกหน้าสองคน ที่ถูกพวกมือปราบ ควบคุมตัวมายังจวนตระกูลหมิง หากเป็นผู้อื่นที่พาชายแปลกหน้าทั้งสองมา บุตรชายของนาง ก็คงจะสามารถเข้าไปไกล่เกลี่ยอย่างลับ ๆ ได้ทว่านี่กลับเป็นถึงคนของสำนักมือปราบพิทักษ์เมฆา พวกมือปราบแห่งเมืองเซิ่ง ที่ไม่รับสินบน และไม่เคยขึ้นตรงกับผู้ใด นอกจากฮ่องเต้ ผู้ที่อยู่สูงกว่าผู้คนท่านนั้น“ท่านใต้เท้าหลัวบอกว่า ชายสองคนนี้ ได้รับการว่าจ้างจากคุณหนูสี่ของพวกเรา ให้ไปลอบทำร้ายฮูหยินน้อยตระกูลหลัวของท่านเช่นนั้นรึ แล้วท่านมีหลักฐานหรือไม่” หมิงเหล่าฮูหยินเอ่ยถามย้ำ หัวหน้ามือปราบหนุ่ม ที่พาคนบุกมาถึงจวนด้วยตนเอง“ใช่แล้วขอรับ หมิงเหล่าฮูหยิน ชายสองคนนี้รับสารภาพ พร้อมกับมอบหลักฐาน เป็นตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึง ซึ่งระบุไว้อย่างชัดเจน ว่ามาจากกิจการอิ๋นโหรวของตระกูลซุน ซึ่งเป็นตระกูลทางฝั่งมารดาของหมิงฮูหยิน”หลัวอี้เฉินส่งสายตาให้กู้จง ลูกน้องคนสนิทนำตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึง ไปมอบให้แก่สาวรับใช้ของหมิงเหล่าฮูหยิน หญิงชราร่างสั่นเทิ้มทันที ที่ได้เห็นต
“ข้าพูด…ข้าพูด” หนึ่งในชายร่างโตรีบกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก“ว่ามา”หลัวอี้เฉินดึงเอามีดพกข้างเอวขึ้นมา พลางเช็ดด้วยผ้าผืนบาง คมมีดที่สะท้อนกับแสงจากคบไฟ ทำให้ผู้กระทำผิดทั้งสอง ต่างลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น“พะ…พวกข้า ดะ…ได้รับค่าจ้างหนึ่งร้อยตำลึง เพื่อจัดการกับฮูหยิน ที่นั่งมากับรถม้าคันนี้ขอรับ”หนึ่งในนั้นรีบตอบท่านใต้เท้าอสุราออกมา ด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ส่วนผู้ที่ถูกธนูยิงขา ยามนี้สีหน้าซีดเซียว นั่งตัวสั่นอยู่ข้างสหายของตน“จัดการ…จัดการเช่นไร" หลัวอี้เฉินถามออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น“ทะ…ทำให้นางเสียโฉม”ชายคนเดิมตอบ ก่อนจะรีบก้มหนัาลงมองพื้นดินเพื่อหลบนัยน์ตาคม ที่จ้องมองมายังพวกเขา ราวกับสามารถค้นหาความลับที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจ ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว ชื่อเสียงใต้เท้าอสุรา หาได้เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าลืออย่างที่บรรดาสหายนักเลงกล่าวถึงกันไม่"แล้วเจ้าไม่รู้หรือไร ว่านี่คือรถม้าจวนตระกูลหลัว สงสัยว่าชื่อเสียงของข้า มันน่ากลัวน้อยกว่าเงินหน
กระบวนท่าที่หญิงสาวใช้จัดการชายร่างโตทั้งสองนั้น เขาเห็นเต็มตา เขามาถึงก่อนลูกน้อง เพราะรู้สึกว่านี่เป็นหลุมพราง ทางนั้นหาได้มีนักเลงก่อกวนอยู่ตามที่ลูกน้องได้รายงานมาไม่ ทว่ากลับเป็นรถม้าของจวนตระกูลหมิง ที่ประสบอุบัติเหตุ ล้อเหยียบหินจนทำให้เพลาหลุด ไม่สามารถแล่นต่อไปข้างหน้าได้เขาจึงรีบย้อนกลับมาหาภรรยา ทิ้งลูกน้องบางส่วนเอาไว้ คอยให้ความช่วยเหลือ ทว่าก่อนออกมา คุณหนูสี่ตระกูลหมิงนางนั้น กลับร้องเรียกเขาเอาไว้ แล้วพยายามชวนเขาพูดคุยเรื่องไร้สาระแต่หัวหน้ามือปราบเช่นเขา ที่พบเจอกับกลอุบายมามากมายแล้วน่ะหรือจะหลงกล แค่มองดูด้วยตา ก็รู้ว่ามีแผนการ เขาจึงไม่สนใจนาง แล้วรีบห้ออาชากลับมาหาภรรยาทันที“ท่านพี่… ทางโน้นเป็นเช่นไรบ้างหรือเจ้าคะ จัดการพวกนักเลงเรียบร้อยดีหรือไม่”หลี่ชิงเหมียวเอ่ยถามหลัวอี้เฉินออกมา ด้วยท่าทีที่ไม่สะทกสะท้าน เพราะนางไม่รู้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น เขาเห็นไปมากน้อยเพียงใดหัวหน้ามือปราบหนุ่มยืนมองสตรี ที่มีรูปร่างอรชร ด้วยแววตาที่ต่างไปจากเดิม เพราะกระบวนท่าที่นางใช้จัดการพวกนักเลงทั้งสองคนนั้น เขาเคยเ
สตรีร่างเพรียวระหงตรงหน้า ไม่แสดงท่าทีว่าจะเกรงกลัว ชายร่างโตทั้งสองแม้เพียงนิด คนพวกนั้นเห็นว่า เรื่องนี้ไม่อาจชักช้าได้ เพราะเกรงว่าทางคุณหนูหลิน จะถ่วงเวลาพวกมือปราบเอาไว้ได้ไม่นาน พวกเขาจึงกรูกันเข้าไป หมายจะผลักสาวรับใช้ตรงหน้าให้พ้นทาง“หากไม่อยากเจ็บตัวก็หลีกไป!!!” หญิงสาวยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ“น้องสาว…หูเจ้าไม่ดีหรือ ข้าบอกให้หลีกไป” เพราะเป้าหมายของพวกเขา คือฮูหยินที่อยู่ภายในรถม้า เพียงทำให้นางเสียโฉมเท่านั้น ก็ถือว่างานที่รับมาย่อมเสร็จสิ้น“พี่ชาย…สงสัยข้าจะหูไม่ดีจริงๆ” หลี่ชิงเหมียวทำท่าแคะหู พลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงยียวน“ฮ่าๆๆ ดี…ดี!!! ช่างไม่เจียมตัว” หนึ่งในนั้นหัวเราะก่อนที่จะก้าวเข้าไปหาหญิงสาว ที่ทำท่าอวดดีตรงหน้า หมายจะดึงร่างบางให้หล่นลงมาจากรถม้าทว่ายังไม่ทันได้ถึงตัว หลี่ชิงเหมียวก็กระโดดถีบผู้รุกราน จนชายร่างโตที่เพิ่งก้าวเข้ามา ล้มตึงลงไปบนพื้นถนนอย่างไม่ทันตั้งตัว ชายอีกคนเห็นสหายถูกล่วงเกิน ก็นึกโมโหขึ้นมา หมายจะเข้าไปคว้าข้อมือเล็ก แล้วตบหน้าหญิงสาวทว่าย
“มีหลิวฮูหยินคอยดูแล ผู้อื่นย่อมไม่กล้า สร้างความลำบากให้แก่ข้า อีกทั้งยังมีชื่อเสียงท่านใต้เท้าอสุราอยู่ พวกนางย่อมมีแต่จะเข้าหา เพื่อผูกไมตรี” หลี่ชิงเหมียวอยากจะหัวเราะออกมาฮูหยินเหล่านั้นน่ะหรือ จะมีความกล้ามาสร้างความลำบากให้แก่นาง แค่ชื่อเสียงของเขา ก็ทำให้พวกนางเกรงใจบ้างแล้ว ทว่านางกลับไม่ได้กล่าวถึง เหล่าคุณหนูในห้องหอ ที่ยังไม่ได้ออกเรือนเหล่านั้น เพราะมีบางคน แอบใช้สายตามองนาง อย่างไม่เป็นมิตรอยู่จริงๆ“เป็นมิตรก็ยังดีกว่าเป็นศัตรู ถึงอย่างไรแล้ว ตัวเจ้าก็เป็นสตรีจากต่างเมือง ข้าอยากให้เจ้าคบหากับพวกนางเอาไว้ มิใช่เพื่อข้า หรือเพื่อผู้ใด แต่เพื่อตัวเจ้าเอง” หลี่ชิงเหมียวได้ฟังก็รู้สึกซาบซึ้งใจ ที่เขากล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่าใส่ใจนาง แม้จะไม่มีความรักมอบให้ แต่เขาก็ไม่นับว่าเย็นชา จนละเลยเรื่องราวเหล่านี้“นี่ท่าน…กำลังเป็นห่วงข้ารึ” นางแกล้งหยอกเย้าเขาออกมา ใบหน้างามเผยรอยยิ้มชวนให้หวั่นใจ“เจ้าเป็นภรรยาของข้า ถึงแม้จะเป็นแค่เพียงในนาม แต่ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เจ้าก็ลำบากเพราะพวกเราสองพ่อลูกมาไม่น้อย หาก