หลี่ชิงเหมียวกลายเป็นเด็กที่ดีวันดีคืน กลางวันนางศึกษาร่ำเรียนวิชาดนตรี และศิลปะสี่แขนง จากบรรดาอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งบิดาเป็นผู้เชิญให้มาสอนนางโดยเฉพาะ ส่วนกลางคืนที่เงียบงัน นางก็แอบฝึกวรยุทธ์ตามลำพัง
ดีที่เรือนของนาง อยู่ห่างไกลจากผู้อื่น ทำให้นางสามารถฝึกวรยุทธ์ โดยไม่มีผู้ใดพบเห็น แม้แต่อี้เหลียน สาวรับใช้คนสนิทของหลี่ชิงเหมียว ก็ไม่เคยรู้เลยว่า คุณหนูของนาง มีความสามารถนี้อยู่
“วันนี้ท่านอาจารย์ชิว จะมาสอนการดีดฉินให้แก่คุณหนูนะเจ้าคะ”
อี้เหลียนรายงาน ขณะที่มือกำลังพับผ้าห่ม และจัดเตียงนอนให้คุณหนู หลี่ชิงเหมียวเดินไปล้างหน้า กลั้วปาก และเปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดฮั่นฝูสีฟ้าเข้ม ซึ่งอี้เหลียนเตรียมเอาไว้ให้ ก่อนที่นางจะเดินไปนั่งลงบนตั่งตัวยาว รินน้ำชาให้แก่ตนเองหนึ่งถ้วย
“เขาคิดจะให้ข้าร่ำเรียนไปหมดเสียทุกอย่างเลยหรือไร”
หลี่ชิงเหมียวบ่นออกมาอย่างไม่จริงจังนัก หากรู้ว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้ มิสู้นางยอมแสร้งเป็นคนโง่ เช่นเดียวกับเด็กสาวเจ้าของร่างนี้เสียยังดีกว่า
แต่เพราะคิดไตร่ตรองดูให้ดีแล้วว่า ถ้าหากนางต้องการสืบเรื่องราว ของตระกูลหลัวและตระกูลหลู นางกลับมิอาจทำเช่นนั้นได้ เพราะนางต้องได้รับการยอมรับ และสนับสนุนจากผู้เป็นบิดา ถึงจะทำการสิ่งใดได้สะดวก
“นั่นก็เป็นเพราะนายท่านหวังดีต่อคุณหนูอย่างไรเล่าเจ้าคะ ก็คุณหนูเพิ่งจะ เอ่อ….”
จะบอกว่าคุณหนูสามรู้ความช้ากว่าผู้อื่น อี้เหลียนที่เป็นเพียงสาวรับใช้ ก็ไม่กล้ากล่าวความจริงออกมา ตั้งแต่คุณหนูฟื้นขึ้นมา จากอาการป่วยหลังจมน้ำ ก็ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ราวกับว่าคุณหนูได้เกิดใหม่อย่างไรอย่างนั้น
“เพราะข้ารู้ความช้ากว่าพวกพี่ๆ ใช่หรือไม่”
หลี่ชิงเหมียวรู้ดี ว่าสาวรับใช้คิดสิ่งใด ทว่านางหาได้โกรธเคืองอี้เหลียนไม่ เพราะนางรู้ดี ว่าสาวรับใช้นางนี้ เป็นเพียงคนเดียวที่ซื่อสัตย์ และอยู่เคียงข้างหลี่ชิงเหมียว มาตั้งแต่เจ้าของร่างเดิมยังอยู่
“ถึงอย่างไร ข้าก็ชอบที่เขาไม่มาสนใจข้า อย่างเช่นแต่ก่อนอยู่ดี”
ตั้งแต่ที่นางกลายมาเป็นเด็กรู้ความ หัวหน้าสำนักบัณฑิตหลี่ ก็มักจะเรียกหานางอยู่บ่อยครั้ง จากบุตรสาวที่ไม่เคยอยู่ในสายตา จึงดูมีคุณค่า และได้รับการยอมรับขึ้นมาบ้าง
บรรดาสาวรับใช้ที่แต่ก่อนหมางเมินต่อนาง ก็หันมาคำนับทักทายนาง ยามที่ได้พบเจอ นางจึงตระหนักได้ว่า ชีวิตของเด็กคนนี้ ก่อนหน้าที่นางจะมาสวมร่างนี้ ช่างเป็นเด็กที่น่าสงสารเสียจริง
“เหมียวเอ๋อร์…เจ้าตื่นแล้วหรือยังลูก” เสียงหวานของมารดา ดังขึ้นมาจากทางด้านหน้าประตูห้อง อี้เหลียนจึงรีบเดินไปเปิดประตูให้ฮูหยินรองเข้ามาข้างใน
“ท่านแม่…” หลี่ชิงเหมียวยืนขึ้นคำนับมารดา จ้าวซื่อมองบุตรสาวด้วยแววตาอบอุ่นอ่อนโยน
“วันนี้ยามเซิน เจ้าออกไปงานเลี้ยงกับแม่ พร้อมกับหลี่ชิงหรง ที่จวนสกุลโหรวนะ แม่จะพาพี่หญิงรองของเจ้าออกไปให้บรรดาฮูหยินจวนอื่นได้ดูตัวเสียหน่อย”
จ้าวซื่อกล่าวออกมา หลังจากที่นั่งลงบนตั่งตัวยาว ภายในห้องนอนของบุตรสาว ท่านเจ้าสำนักหลี่กล่าวว่า อีกไม่ถึงปี หลี่ชิงเหมียวก็จะเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว เขาจึงอยากให้นางพาบุตรสาว ออกไปพบปะผู้คนให้มากหน่อย จะได้ง่ายต่อการดูตัวในวันหน้า
“สกุลโหรวจัดงานเลี้ยงอันใดขึ้นหรือเจ้าคะ”
หลี่ชิงเหมียวไม่ได้นึกสนใจเรื่องการดูตัวของพี่สาวต่างมารดา ทว่านางสนใจว่า หากนางไปที่นั่นแล้ว จะได้พบกับผู้คนที่นางอยากพบเจอหรือไม่ มือเล็กยกกาน้ำชาขึ้นมา แล้วรินใส่ถ้วยชาส่งให้แก่มารดา
“เห็นว่าเป็นงานกินเลี้ยงที่คุณชายสี่สกุลโหรวได้ย้ายมาประจำการที่เมืองถงน่ะ หลายตระกูลที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเขา ต่างก็ได้รับเทียบเชิญกันทั้งนั้น” จ้าวซื่อรับน้ำชามาจากมือเล็กของบุตรสาว ก่อนที่จะตอบคำถามของนาง
คุณชายสี่สกุลโหรวผู้นั้น ปีนี้อายุยี่สิบ ได้ย้ายมารับตำแหน่งรองนายอำเภออยู่ที่เมืองถง ซึ่งก่อนหน้านี้ คุณชายสี่และซูซื่อ ฮูหยินของเขา ได้อาศัยอยู่ในเมืองเซิ่ง เมืองที่ห่างจากเมืองถงไปสองร้อยลี้
“เขาย้ายมาจากที่ใดหรือเจ้าคะ” หลี่ชิงเหมียวถามอย่างไม่ใส่ใจ รินน้ำชาขึ้นมาดื่มบ้าง
“เห็นว่าย้ายมาจากเมืองเซิ่งน่ะ ก่อนหน้านี้รับหน้าที่เป็นผู้ช่วยนายอำเภอเมืองเซิ่งอยู่”
หลี่ชิงเหมียวแทบสำลักน้ำชา ที่เพิ่งจะดื่มเข้าไปในทันที เพราะนางรู้สึกเหมือนว่า นางจะเคยได้ยินชื่อเสียงของคุณชายสี่สกุลโหรวมาก่อน
ก็ในยามที่นางยังมีชีวิตเป็นฮูหยินน้อยตระกูลหลัวอยู่นั้น หลัวอี้เฉิน สามีของนาง ก็มีสหายแซ่โหรวเช่นกัน ทว่านางกลับไม่ค่อยได้สนใจ หรือใส่ใจสหายของสามีมากนัก นี่คงมิใช่เรื่องบังเอิญหรอกกระมัง
“แค่กๆๆ มะ…เมืองเซิ่ง ใช่เมืองเซิ่งที่มีสำนักคุ้มภัยต้าฟงอยู่ใช่หรือไม่เจ้าคะ”จ้าวซื่อยกชาขึ้นจิบ หรี่ตามองบุตรสาวด้วยความประหลาดใจ หลี่ชิงเหมียวที่เพิ่งจะหายเป็นปกติได้ไม่ถึงสองเดือนด้วยซ้ำ ยามนี้กลับรู้ถึงเรื่องราวภายนอกมากมาย“ใช่แล้ว…เหตุใดเจ้าถึงได้รู้ ว่าเมืองเซิ่งมีสำนักคุ้มภัยต้าฟงอยู่ แล้วเจ้ารู้หรือไม่ ว่ายามนี้สำนักคุ้มภัยต้าฟงได้ปิดตัวลงแล้ว"“ปิดตัวลง ปิดตัวลงเพราะเหตุใดกันเล่าเจ้าคะ” หลี่ชิงเหมียวตกใจ พลางเอ่ยถามมารดาออกมา"แม่ได้ยินมาว่า ทั้งท่านเจ้าสำนักและฮูหยิน ต่างก็รู้สึกเสียใจต่อการจากไปของบุตรสาวเพียงคนเดียว พวกเขาจึงได้พากันปิดสำนักคุ้มภัยชั่วคราว เพื่อจะออกเดินทางไปแสวงบุญตามอาราม และถิ่นทุรกันดารต่างๆ จนบัดนี้ก็นับได้เกือบเดือนแล้วกระมัง”หลี่ชิงเหมียวไม่รู้ข่าวนี้เลย เพราะข่าวที่นางให้อี้เหลียนช่วยไปสืบมาก่อนหน้านั้น เป็นเพียงข่าวของทางฝั่งสกุลหลัวเท่านั้น นางไม่คิดเลยว่าบิดามารดา จะทำใจไม่ได้ ถึงกับต้องปิดสำนักคุ้มภัยที่สร้างมากับมือลง“ว่าแต่…เหมียวเอ๋อร์ เจ้าไปได้ยินชื่อเสียงของสำนักคุ้มภัยต้าฟงมาจากที่ใดกันรึ”จ้าวซื่อถามบุตรสาวออกมาด้วยความประหลาดใจ เพร
หลี่ชิงเหมียวสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอึดอัด อาจจะเป็นเพราะความหวาดกลัวจากเจ้าของร่างเดิม ที่มีต่ออีกฝ่าย จึงได้มีปฏิกิริยาเช่นนี้ ทว่ากับนางนั้นไม่ใช่ นางไม่เคยกลัวผู้ใดคติประจำใจของนาง คือตาต่อตาฟันต่อฟัน หากสตรีผู้นี้ คือคนที่คิดร้าย และลงมือทำร้ายหลี่ชิงเหมียวจริง นางก็พร้อมที่จะทวงความยุติธรรม ให้แก่เด็กสาว เพื่อตอบแทนอีกฝ่าย ที่สละร่างกายนี้ให้แก่นางได้มาเกิดใหม่“ท่านอาจารย์ชิวมาแล้วเจ้าค่ะ”เสียงของสาวรับใช้ดังขึ้นมาจากด้านหน้าเรือนบุปผา ก่อนที่สตรีรูปร่างสูงโปร่ง วัยเพียงสามสิบต้นๆ จะเยื้องย่างเข้ามา พร้อมกับสาวรับใช้คนสนิท ที่ในมือถือฉินตัวโปรดของเจ้านายเข้ามาด้วย“คารวะท่านอาจารย์ชิวเจ้าค่ะ” ทั้งหลี่ชิงหรง และหลี่ชิงเหมียว ย่อกายประสานมือ คำนับทักทายผู้มาใหม่อย่างพร้อมเพรียงกันชิวซิงอีก้าวเข้ามารับการคำนับจากลูกศิษย์ทั้งสอง ก่อนที่นางจะใช้สายตาลอบสำรวจ คุณหนูที่นางได้ยินมาจากผู้คนภายนอก ร่ำลือกันว่า แต่ก่อนคุณหนูผู้นี้ เป็นเพียงเด็กสาวที่มีเพียงแค่รูปโฉมงดงามเท่านั้น แต่สติปัญญาเปรียบได้กับเด็กเพียงแค่สามขวบทว่าเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าของนางในยามนี้ กลับดูแตกต่างไปจากที่ผู้คนไ
หลังเลิกเรียนดีดฉิน หลี่ชิงเหมียวก็กลับเรือนนอน ไปพร้อมกับอี้เหลียน สาวรับใช้คนสนิท นางกลับมานั่งเล่นอยู่ภายในสวนดอกไม้ข้างเรือน ที่ตนเพิ่งจะลงมือปลูกเมื่อไม่นานมานี้ระหว่างที่กำลังเพลิดเพลิน อยู่กับการกินของว่างและน้ำชาอยู่นั้น นางก็มีเวลากลับมาคิดทบทวน ว่าการไปเยือนสกุลโหรวในวันนี้ นางอาจจะไม่ได้พบกับหลัวอี้เฉิน ถึงแม้ว่าคุณชายสี่สกุลโหรวผู้นั้น จะคือสหายของเขาก็ตามนั่นก็เป็นเพราะว่า ยามนี้เขายังอยู่ในช่วง ไว้อาลัยให้แก่หลูชิงเหลียน ภรรยาผู้ล่วงลับ สองปีสำหรับบุรุษที่ยังคงหนุ่มแน่นเช่นเขา ถือว่ายาวนานไม่น้อยแต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับนาง ที่ยามนี้อยู่ในร่างของหลี่ชิงเหมียว ที่มีอายุแค่เพียงสิบสี่ปี สองปีหากเขาแต่งงานใหม่ นางก็ผ่านพิธีปักปิ่นไปแล้ว“คุณหนู…บ่าวขอตัวเข้าไปเตรียมน้ำให้ท่านอาบ กับเตรียมอาภรณ์ชุดใหม่ ให้ท่านสวมใส่ไปงานเลี้ยงในวันนี้ ก่อนนะเจ้าคะ” อี้เหลียนนึกขึ้นได้ว่าในยามเซิน คุณหนูสามต้องออกไปงานเลี้ยงพร้อมกับฮูหยินรองและคุณหนูรอง“อืม…ไปเถิด ข้าอยู่ตามลำพังได้” หลี่ชิงเหมียวกล่าวพลางยกถ้วยชาขึ้นมาจิบอี้เหลียนคำนับ แล้วถอยหลังเดินกลับไปยังเรือนนอนทันที ตั้งแต
ครั้นสตรีทั้งสามมาถึงเรือนบุปผา เสียงหัวเราะพูดคุยกันดังจนออกมานอกเรือน โหรวหลิงหลิงยังคงกุมมือคุณหนูสามสกุลหลี่ให้เดินเข้าไปภายในเรือนด้วยกัน ก่อนที่จะแนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก หลี่ชิงเหมียว คุณหนูสามบุตรีคนรองของท่านเจ้าสำนักบัณฑิตหลี่ และไม่ลืมแนะนำหลี่ชิงหรง คุณหนูรอง พี่สาวต่างมารดาของหลี่ชิงเหมียวให้ทุกคนได้รู้จักเช่นกันแน่นอนว่าบุตรีที่เกิดจากอนุภรรยานั้น ย่อมไม่ได้รับความสำคัญ หลี่ชิงเหมียวดีกว่าหน่อย แม้นางจะเป็นบุตรีที่เกิดจากภรรยารอง แต่ภรรยารองของท่านเจ้าสำนักบัณฑิตหลี่ ผู้ใดก็รู้ความเป็นมาของนาง ดังนั้นหลี่ชิงเหมียวจึงมีสถานะที่น่าคบหามากกว่าหลี่ชิงหรง“จินเอ๋อร์…เจ้าก็มางานวันนี้ด้วยหรือ”หลี่ชิงหรงหาได้สนใจสายตาคุณหนูผู้สูงส่งที่กำลังรุมล้อมน้องสาวต่างมารดาอยู่ไม่ นางเดินเข้าไปทักทายสหายของตน อีกฝ่ายเป็นบุตรีที่เกิดจากอนุเช่นกัน ทว่าได้รับความรักจากผู้เป็นบิดามากกว่าบุตรีที่เกิดจากภรรยาเอก“ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่มาเสียแล้ว ว่าแต่…นั่นน้องหญิงสามที่เจ้าเคยบอกว่าเป็นจุดด่างพร้อยของตระกูลหลี่น่ะหรือ” หรวนลี่จินทักทายอีกฝ่ายกลับ ก่อนที่จะบุ้ยปากไปทางกลุ่มสตรี ซึ่งกำลังรุมล้อมเด็ก
การแสดงอุปรากรบนเวที กลายเป็นจุดสนใจ ของบรรดาแขกที่มาแสดงความยินดี กับท่านรองนายอำเภอคนใหม่ของเมืองถิง ลักษณะของสถานที่จัดงานเลี้ยงในจวนตระกูลโหรววันนี้ แบ่งออกเป็นสองฝั่ง แยกชายหญิงตามธรรมเนียมปฏิบัติ หลี่ชิงเหมียวนั่งอยู่บริเวณเดียวกัน กับบรรดาคุณหนูจากจวนอื่น ซึ่งมารดานั่งอยู่โต๊ะด้านใน ที่มีแต่บรรดาฮูหยินของขุนนาง“นี่น้องหญิง เจ้าไม่นึกเป็นห่วงพี่หญิงรองของเจ้าบ้างรึ นางหายออกไปจากงาน ได้สักพักแล้วนะ” หรวนลี่จินร้องถามออกมาจากฝั่งตรงข้าม เรียกสายตาของบรรดาคุณหนู ที่อยู่บริเวณนั้นให้มองไปยังหลี่ชิงเหมียว“แล้วนางไปที่ใดเสียเล่า พี่หญิงน้องหญิงก็นั่งอยู่นี่กันหมด” ซ่งอวี้หรูตะโกนถามกลับไป หลี่ชิงเหมียวได้ยินดังนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จะกล่าวออกมา ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลทว่าเหน็บแนม“พี่หญิงหรวนกล่าววาจาได้น่าขันแล้ว ยังจะต้องให้ข้า เป็นห่วงนางไปเพื่อเหตุใดกัน ที่นี่คือจวนสกุลโหรวย่อมมิใช่สถานที่อันตราย และนางก็อายุมากกว่าข้าถึงสองปี จะดูแลตนเองไม่ได้เชียวหรือ" หลี่ชิงเหมียวหยิบถั่วคั่วตรงหน้าขึ้นมาเคี้ยวก่อนที่จะกล่าวต่อ "แล้วก็…ท่านแม่รองของข้าสอนพวกเราพี่น้องอยู่เสมอว
“คุณชายใหญ่ซ่ง" หลี่ชิงหรงคำนับทักทายอีกฝ่ายก่อนตอบคำถาม"เจ้าค่ะ…ข้าเพียงแค่ไม่ค่อยชื่นชอบชมการแสดงอุปรากรสักเท่าใดนัก”หลังจากตอบคำถามของคุณชายหนุ่มเสร็จ นางก็แสร้งทำเป็นย่อกายลงไป นั่งยองๆ ชื่นชมบุปผางามตรงหน้า ที่กำลังเบ่งบานชูช่อ นัยน์ตาคมของซ่งเว่ยถิง มองไปยังบุปผางามช่อนั้นเช่นกัน ช่างเป็นบุปผาที่งดงามยิ่งนัก ทว่ากลับมีหนามแหลมคม จนคนไม่กล้าสัมผัส“ซ่งเว่ยถิง เหตุใดเจ้าถึงออกมาอยู่ที่นี่ เอ๊ะ!! นั่น…”คุณชายรองสกุลหวงที่เพิ่งจะเดินเข้ามา เอ่ยทักทายสหายที่ยืนอยู่ตรงหน้า ทว่าหลังจากที่อีกฝ่ายหันกลับมามองเขา ด้านหลังของชายหนุ่ม กลับมีสตรีนางหนึ่ง กำลังนั่งชื่นชมบุปผางามอยู่ นางลุกขึ้นคำนับทักทายเขา หลี่ชิงหรงนางย่อมจดจำชายหนุ่มที่มาใหม่ได้เป็นอย่างดี ว่าเขาคือผู้ใด“เว่ยถิง…เจ้าแอบนัดสตรีผู้นี้ ให้ออกมาพูดคุยกันตามลำพังรึ”หวงกวงหมิงรับการคำนับทักทายจากสตรีตรงหน้า ก่อนที่จะรีบดึงแขนของคุณชายใหญ่ซ่ง ไปกระซิบกระซาบ เอ่ยถามออกมา ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เป็นน้ำเสียงที่ให้ได้ยินกันเพียงแค่สองคนสายตาของคุณชายหนุ่มก็มองไปยังสตรี ที่กำลังยืนส่งยิ้มอ่อนหวานมาให้พวกตน หากเขาไม่เคยได้ยิน น้องสา
หลี่ชิงหรงเดินกลับเข้าไป ในเรือนบุปผาที่บรรดาคุณหนูนั่งอยู่ หลี่ชิงเหมียวมองไปเห็นพี่สาวต่างมารดา เดินเข้ามามุมปากก็ยกขึ้นเพียงเล็กน้อย คิดอยากวางแผนกับนาง นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หลังจากนี้ก็เตรียมรับผล ของการกระทำให้ดีก็แล้วกัน เพราะถึงเวลาแล้ว ที่นางจะต้องทวงคืนความเป็นธรรม ให้แก่ผู้ที่จากไปแล้วอย่างหลี่ชิงเหมียวตัวจริง“โอ๊ะ!!! พี่หญิงรอง ท่านออกไปที่ใดมาหรือเจ้าคะ พี่หญิงหรวนเป็นห่วงท่านแทบแย่ แต่ก็ไม่คิดจะออกไปตามท่านด้วยตนเอง”หลี่ชิงเหมียวแสร้งร้องถามคนที่กำลังจะนั่งลง ข้างคุณหนูสกุลหรวนขึ้นมาเสียงดัง ทำให้คุณหนูทั้งหลาย ต่างก็มองไปยังหลี่ชิงหรง ด้วยสายตาสนใจใคร่รู้ หลี่ชิงหรงมองสหายที่มีสีหน้ากระอักกระอ่วนก็พอจะคาดเดาได้ ว่าน้องสาวของนางผู้นี้ เกิดแผลงฤทธิ์ออกมาแน่แล้วนางคิดผิดที่อยากจะมากำจัดอีกฝ่ายเอาในยามนี้ เพราะถ้าหากอีกฝ่ายยังเป็นหลี่ชิงเหมียว ที่มีสติปัญญาราวกับเด็กห้าขวบเช่นแต่ก่อน นางคงจะจัดการได้อย่างง่ายดาย ทว่ายามนี้หลี่ชิงเหมียวกลายมาเป็นคนที่จัดการได้ไม่ง่ายเสียแล้ว หลี่ชิงหรงจ้องหน้าน้องสาวต่างมารดาด้วยแววตาชิงชัง แต่ทว่าก็เกิดขึ้นเพียงแค่แวบเดียว“เจ้านี่…ก็ช่าง
หลังจากกลับมาถึงจวน สตรีทั้งสามก็แยกย้ายกันกลับเรือนนอนของตน ระหว่างทางเดิน จ้าวฉิงหันไปถามบุตรสาวของตน ว่านางอยากจะย้ายเรือนนอนหรือไม่ เพราะเรือนที่หลี่ชิงเหมียวอาศัยอยู่ในยามนี้นั้น อยู่ในส่วนลึกที่สุดของจวน แทบจะเรียกว่าท้ายจวนเลยก็ว่าได้ นับว่าไม่ปลอดภัย สำหรับเด็กสาวที่กำลังจะก้าวสู่วัยสาวเต็มตัวอย่างหลี่ชิงเหมยแต่ก่อนท่านพ่อของนางไม่อนุญาต เพราะเกรงว่าบุตรสาวที่เป็นเด็กไม่รู้ความ จะก่อเรื่องน่าอับอาย ยามที่มีแขกมาเยือน ทว่ายามนี้บุตรสาวหายจากอาการป่วยเช่นนั้นแล้ว เขาจึงได้อนุญาตให้หลี่ชิงเหมียวย้ายเรือนนอนได้“ข้าไม่อยากย้ายเจ้าค่ะ ข้ารู้สึกผูกพันกับเรือนหลังนั้น อีกทั้งเรือนนั้นก็ยังอยู่ใกล้กับสวนดอกไม้ ยามที่ข้าฟื้นขึ้นมา ข้าก็ลงมือปรับปรุงสวนนั้นเสียแรงและทรัพย์ไปไม่น้อย” หลี่ชิงเหมียวกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังสำหรับนางแล้ว หาได้มีความผูกพันกับสตรีตรงหน้านี้ไม่ แม้อีกฝ่ายจะเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของหลี่ชิงเหมียวตัวจริง ทว่าอีกฝ่ายกลับมิอาจปกป้องบุตรสาวได้อย่างเต็มที่ ยามที่หลี่ชิงเหมียวยังคงมีชีวิตอยู่ ไม่รู้ว่าฮูหยินรองผู้นี้ จะมาใส่ใจบุตรสาวเช่นนี้หรือไม่มารดาเช่นนี้นาง
“นางไม่มีวันยึดอำนาจไปจากฮูหยินใหญ่ได้หรอกเจ้าค่ะ ถึงแม้ว่านางจะเป็นฮูหยินที่นายท่านได้รับพระราชทานสมรสมา แต่ถึงอย่างไรฮูหยินใหญ่ ก็ยังเป็นภรรยาผูกเงื่อนผมกับนายท่านอยู่ดี นายท่านจะต้องไม่ทำสิ่งใดข้ามหน้าข้ามตานายหญิงอย่างแน่นอน” โจวมาม่ากล่าวออกมาด้วยความมั่นใจถึงอย่างไรนายท่านก็เคยเป็นถึงบัณฑิตทั่นฮวา เคยทำงานรับใช้ราชสำนัก ก่อนที่จะลาออกมาเปิดสำนักศึกษาที่เมืองถง นายท่านย่อมรักในหน้าตา และชื่อเสียงของตน ต้องไม่ทำเรื่องอันใดให้ภรรยาเอก ต้องคับข้องหมองใจอย่างแน่นอน“ข้าก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” เหนียนซื่อเอ่ยออกมาอย่างทอดถอนใจใช่ว่านางจะไม่รู้จักสามี หลี่ต้าถงเป็นบุรุษผู้หนึ่งที่รักในหน้าตา และชื่อเสียงของตน ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นบัณฑิตทั่นฮวา ที่ได้รับตำแหน่งเป็นถึงท่านราชครูของเหล่าองค์ชาย ถ้าหากว่าเขาไม่เบื่อหน่าย กับการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง มีหรือที่เขาจะลาออก และพานางย้ายออกจากเมืองหลวง มาพำนักอยู่ที่เมืองถงแห่งนี้สาเหตุที่นางเกลียดชังฮูหยินรอง ก็เป็นเพราะอีกฝ่ายแสนดีจนเกินไป แสนดีจนนางมองว่า อีกฝ่ายนั้นเสแสร้งแกล้งทำ นางไม่เชื่อว่
และหลังจากวันที่หลี่ชิงเหมียว ได้รับสาวรับใช้จากฮูหยินใหญ่มาสองคน นางก็ไม่เคยเปิดเผยตัวตนใดออกมา ให้สาวรับใช้ทั้งสองจับผิดได้เลย ในสายตาของพวกนาง หลี่ชิงเหมียวก็เป็นเพียงคุณหนูในห้องหอผู้หนึ่ง ที่มีความอยากรู้อยากเห็น อยากเล่นสนุกไปตามวัยก็เท่านั้นหลี่ชิงเหมียวรู้ดี ว่าสาวรับใช้ทั้งสอง เป็นคนที่ฮูหยินใหญ่ส่งมาจับตาดูนาง แต่มีหรือที่นางจะปล่อยให้สาวรับใช้ทั้งสอง ได้เห็นนางในด้านที่นางไม่อยากให้ผู้อื่นได้เห็น ในเมื่อพวกนางอยากรู้ ว่านางเป็นคนเช่นไร นางก็ทำแค่เพียงแสดงออกมาให้พวกนางวางใจณ เรือนต้าชางเจ้าของเรือนร่างอวบอิ่มกำลังนั่งเย็บปักอยู่บนตั่งตัวยาว นัยน์ตาเรียวดุจหงส์ยกขึ้น ยามที่ได้ยินสาวรับใช้รายงานเรื่องราวที่ตนให้ไปสืบความมา“นอกจากมีเรียนกับบรรดาท่านอาจารย์ที่นายท่านเชิญมาแล้ว ยามว่างๆ หากไม่นั่งอ่านตำรา ก็กิน ไม่กินก็นอน ไม่นอนก็เดินเล่นอยู่ในสวนบุปผาเจ้าค่ะ” อี้หงรายงานออกมา นางคือหนึ่งในสาวรับใช้ที่ฮูหยินใหญ่ ส่งตัวไปคอยจับตาดูเรือนเล็กหลังจวน“ทั้งๆ ที่นางสามารถเรียกร้องนายท่าน ให้ย้ายนางมาอยู่เรือนที่ใหญ่โตกว้างขวางกว่าได้ น
หลังจากวันที่หลี่ชิงเหมียว ออกไปชมอุปรากร ที่โรงน้ำชาจวี่ซุนกับหลี่ต้าหลุน พี่ชายรองของนาง และขากลับจวนก็ได้บังเอิญพบกับสามีในชีวิตก่อน นางก็เริ่มได้ยินถึงข่าวคราว ของกลุ่มโจรป่าที่บุกไปปล้นฆ่า พวกชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของเมืองซีซวนว่าโจรร้ายเหล่านั้น ได้ถูกพวกมือปราบแห่งสำนักพิทักษ์เมฆา บุกเข้าไปจับกลุ่ม และสังหารผู้ที่ยกอาวุธต่อสู้ จนเหลือพวกโจรที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่ถึงสิบคน“ใต้เท้าอสุรา หัวหน้ามือปราบหนุ่มผู้นั้น จัดการพวกโจรได้โหดเหี้ยม สมคำร่ำลือจริงๆ” บ่าวแรงงานที่กำลังขุดดินอยู่ภายในสวนบุปผาเอ่ยกับบ่าวแรงงานอีกคน“นั่นน่ะสิ…แต่พวกโจรเหล่านั้น ก็ช่างสมควรตายจริงๆ อาจหาญบุกหมู่บ้าน ฆ่าคนราวกับเป็นผักปลา แล้วเป็นอย่างไร ได้ลิ้มรสเองเสียบ้าง ข้าล่ะนับถือใต้เท้าอสุราผู้นั้นจากใจจริง ต้องจัดการให้เด็ดขาดเช่นนี้ พวกมันจะได้ไม่กล้ากลับมาเหิมเกริมอีก” บ่าวอีกคนแสดงความเห็นออกมาอย่างออกรสออกชาติ น้ำเสียงและแววตาบ่งบอกถึงความสาแก่ใจหลี่ชิงเหมียวเดินหลบเลี่ยงออกไปจากบริเวณนั้น มุมปากงามยกขึ้นเพียงเล็กน้อย นางรู้อยู่แล้ว ว่าเขาผู้นั้
หลี่ชิงเหมียวนั่งชมอุปรากร เกี่ยวกับเรื่องราวความรักของหลัวอี้เฉิน และตัวนางใช้ชีวิตก่อน อยู่กับพี่ชายรองที่โรงน้ำชาจวี่ซุนจนจบการแสดง จากนั้นจึงพากันออกจากโรงน้ำชา แต่ก่อนที่จะพวกนางจะเดินทางกลับจวน หลี่ต้าหลุนเห็นว่ายังมีเวลา ก็เลยพานางไปแวะชมเครื่องประดับที่ร้านอวี้หรูเขาเลือกซื้อกำไลหยกขาวมันแพะ และต่างหูไข่มุกเม็ดเล็กๆ คู่หนึ่งมอบให้แก่นาง โดยบอกว่าเป็นของกำนัล ในวัยปักปิ่นของนางที่จะมาถึงอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ หลี่ชิงเหมียวจึงรับน้ำใจของพี่ชายรองเอาไว้ด้วยความยินดี หลังจากออกจากร้านอวี้หรู สองพี่น้องก็เดินกลับไปยังรถม้าที่จอดเอาไว้ข้างโรงเตี๊ยมอวี๋ชุนรถม้าจวนตระกูลหลี่ เคลื่อนผ่านออกจากตลาดไป ระหว่างทางได้สวนทางกับกลุ่มบุรุษในชุดมือปราบกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังควบขี่อาชา มุ่งหน้าไปยังเส้นทาง ที่รถม้าตระกูลหลี่จากมาหลี่ชิงเหมียวเปิดม่านมองไปยังกลุ่มคน ครั้นเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย ก็ทำให้หัวใจของนางเต้นแรง นัยน์ตาคมของหัวหน้ามือปราบหนุ่ม สบเข้ากับนัยน์ตากลมของเด็กสาวในรถม้าเข้าพอดี หลัวอี้เฉินกลับรู้สึกคุ้นเคย กับแววตาของเด็กสาวผู้นั้นอย่างบอกไม่ถูก
หลังจากที่สองพี่น้อง ลงมาจากรถม้า ก็ได้พากันเดินเข้าไปภายในตลาด หลี่ชิงเหมียวมองไปรอบๆ เห็นพวกคนเร่ร่อน ที่นั่งขอทานอยู่ข้างทาง ก็รู้สึกหดหู่ใจยิ่ง พลันนึกไปถึงสามีในชีวิตก่อน หลังที่นางจากไปแล้ว ดูเหมือนว่า เขาจะแบกรับภาระหน้าที่ รักษาความสงบของบ้านเมือง หนักขึ้นไปทุกวันเช่นนี้แล้ว…เขาจะมีเวลาไปมอบความรัก ความอบอุ่นให้แก่บุตรชายได้อย่างไรกัน ภายในใจของหลี่ชิงเหมียวยามนี้รู้สึกขมปร่ายิ่งนัก นางเกรงว่า…กว่านางจะหาโอกาส แต่งเข้าไปในจวนตระกูลหลัวได้สำเร็จ บุตรชายก็คงจะกลายเป็นเด็ก ที่ขาดความรักความอบอุ่นจากบิดาไปเสียแล้วโรงน้ำชาจวี่ซุน เป็นโรงน้ำชาที่มีคณะอุปรากรเลื่องชื่อ มาทำการแสดงอยู่บ่อยครั้ง หลี่ต้าหลุนพาน้องสาวของตนเข้าไปข้างใน เสี่ยวเอ้อรีบมาต้อนรับ กุลีกุจอเชิญพวกเขาไปนั่งยังโต๊ะ ที่ตำแหน่งหน้าเวที แขกของโรงเตี๊ยมต่างพากันมองมายังทั้งสองคน ด้วยแววตาสนใจใคร่รู้“นั่นมิใช่คุณชายรองสกุลหลี่หรอกรึ” แขกของโรงเตี๊ยม ที่นั่งอยู่ข้างในก่อนแล้ว เอ่ยถามสหายร่วมโต๊ะออกมา“ใช่ๆ …และนั่นก็คงจะเป็นคู่หมายของเขาใช่หรือไม่ เอ๋&helli
ภายในจวนตระกูลหลี่ ยามนี้สงบเงียบราวกับว่า ไม่เคยเกิดเรื่องราวร้ายแรงอันใดขึ้นมา แม้การสูญเสียสมาชิกในครอบครัวไป จะถือเป็นเรื่องเศร้า ทว่าเมื่อเวลาผ่านพ้นไปเพียงไม่นาน เหตุการณ์ต่าง ๆ ก็กลับมาเป็นปกติ ทุกคนต่างก็เข้าใจ ไปในทิศทางเดียวกันว่า เพราะหลี่ชิงหรงเกิดจิตวิปลาส จึงได้ตัดสินใจจบชีวิตตนเองทว่าหลี่ชิงเหมียวกลับรู้สึกว่า เรื่องราวมันมิได้เป็นเช่นนั้น นางคงจะต้องสืบเรื่องนี้ให้กระจ่าง เพื่อความปลอดภัยของพี่ชายและมารดา เพราะว่านางเหลือเวลาอยู่ในจวนตระกูลหลี่ที่แสนวุ่นวายนี้อีกไม่มากแล้ว และผู้ต้องสงสัยในจวนตระกูลหลี่ ยามนี้ก็เหลือเพียงแค่ไม่กี่คนถ้าหากฟังจากที่เด็กคนนั้นกล่าว ก่อนนางจะสลายหายไป ว่าขอให้ช่วยปกป้องมารดา กับพี่ชายของนางด้วย นั่นหมายความว่า จ้าวซื่อกับหลี่ต้าหลุน ก็คงไม่ใช่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังความเลวร้าย ที่เกิดขึ้นในตระกูลหลี่อย่างแน่นอน“เหมียวเอ๋อร์…วันนี้เจ้าอยากออกไปฟังอุปรากร ที่โรงน้ำชาจวี่ซุนกับพี่รองหรือไม่”เสียงของหลี่ต้าหลุนดังขึ้นจากทางด้านหลัง หลี่ชิงเหมียวที่กำลังยืนครุ่นคิด อยู่ภายในสวนดอกไม้ข้างเรือนนอน ของตน จ
หลี่ชิงเหมียวเองก็ไม่คิดว่าเรื่องราวของหลี่ชิงหรงจะจบลงง่ายดายถึงเพียงนี้ นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลี่ชิงหรงถึงได้นึกชิงชังหลี่ชิงเหมียวที่เป็นน้องสาวต่างมารดานัก ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นเด็กไม่รู้ความ ไม่แม้แต่จะแย่งความโปรดปรานจากบิดาได้ด้วยซ้ำเรื่องนี้ย่อมต้องมีเบื้องหลังอย่างแน่นอน แต่ทว่าเบื้องหลังของนางจะเป็นผู้ใดกัน เรื่องนี้นางยังไม่แน่ใจ แต่นางเชื่อว่าอีกไม่นาน ผู้บงการก็จะต้องเผยโฉมหน้าออกมา ยิ่งนางโดดเด่นและเรียกความสนใจจากบิดาได้มากเท่าไหร่ คนผู้นั้นก็ย่อมจะอยู่ไม่เป็นสุข“ข้าให้อภัยนาง ขอให้นางได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี” หลี่ชิงเหมียวกล่าวจากใจ เหลียวซื่อยิ้มจางๆ ออกมาก่อนที่จะกล่าวลา“ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยไม่รบกวนคุณหนูสามแล้ว โปรดรักษาตัวด้วย” เหลียวซื่อกล่าวจบก็คำนับลาเด็กสาว แล้วเดินจากไปทันทีหลี่ชิงเหมียวมองตามเรือนร่างอรชร ที่ยังคงความงดงามของเหลียวซื่อ พลางคิดใคร่ครวญในใจ ไม่ว่าสตรีจะงดงามปานใด หากไม่ได้รับความโปรดปรานจากบุรุษแล้ว ก็ต้องอยู่ในจวน จนสุดท้าย ก็ต้องกลายเป็นเพียงแค่บุปผาที่โรยราอยู่ดีมิสู้ออกไปใช้ชีวิตเป็นของตนเองเสีย
ทางด้านนายท่านตระกูลจง ได้ยินท่านเจ้าสำนักศึกษาตระกูลหลี่กล่าวเช่นนี้ เขาก็พอจะรู้ได้ว่า อีกฝ่ายหวงแหนบุตรีนางนี้ มากกว่าบุตรีคนรอง ถึงมิได้ยินดีที่จะให้อีกฝ่ายออกเรือน มาอยู่ตระกูลที่ไม่นับว่ามีอนาคตก้าวหน้าเช่นพวกเขา แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อคนในตระกูลเขา ไม่มีลูกหลานที่ใช้การได้ดีเลยสักคนหลังจากที่หารือเรื่องการถอนหมั้นเสร็จเรียบร้อย หลี่ต้าถงก็รีบนั่งรถม้ากลับจวนตระกูลหลี่ ด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง พลางครุ่นคิดอย่างโกรธเคืองอยู่ภายในใจ ว่าอีกฝ่ายกล้าดีอย่างไร ถึงอยากได้หลี่ชิงเหมียวไปเป็นสะใภ้ เด็กที่ล้ำค่าของตระกูลบัณฑิตหลี่เช่นนี้ เขาย่อมต้องเลือกสรรบุรุษที่ดีให้แก่นาง“ตระกูลจงบังอาจนัก ไม่ได้หรงเอ๋อร์ แต่ก็ยังโลภอยากได้เหมียวเอ๋อร์ เหอะ!! พวกเขาไม่คู่ควร!!” หลี่ต้าถงสบถออกมาด้วยความขุ่นเคือง เฉินจงยิ้มออกมาพลางกล่าวประจบเจ้านาย“จริงขอรับ ข้าเห็นแววตาของนายท่านจงผู้นั้น ยามที่กล่าวถึงคุณหนูสาม ตาเป็นประกายเชียว เขายังคงคิดว่าจะยังมีโอกาสได้เกี่ยวดองกับตระกูลหลี่อยู่อีกหรือไร”ท่านเจ้าสำนักศึกษาตระกูลหลี่ได้ระบายความคับข้องใจออกมาก็ค่อย
หลังจากเหตุการณ์ที่หลี่ชิงเหมียว ได้เปิดโปงความผิดของพี่สาวต่างมารดา หลี่ชิงหรงก็ถูกผู้เป็นบิดาตัดสินลงโทษด้วยวิธีการของตนเอง แทนการใช้กฎของตระกูล คือการขังนางเอาไว้ในเรือนนอน ห้ามผู้คนภายนอกเข้าไปเยี่ยม จนกว่าจะได้รับอนุญาตจากเขาและนั่นก็เพื่อให้บุตรสาวได้สำนึกตน เขาไม่อยากทำเรื่องราวให้มันใหญ่โต จึงได้ตัดสินใจเช่นนี้ อีกทั้งหลี่ชิงเหมียวก็ยังมีชีวิตอยู่ และอีกไม่นานหลี่ชิงหรงก็จะออกเรือนแล้ว ฮูหยินรอง ซึ่งเป็นมารดาแท้ๆ ของหลี่ชิงเหมียว ย่อมรู้สึกไม่พอใจ ในคำตัดสินของสามี แต่นางกลับมิอาจท้วงติงเขาได้หลี่ชิงเหมียวเองก็ไม่ได้เรียกร้องอันใด เพราะอย่างน้อย นางก็ทำให้ทุกคนได้รับรู้ความจริงแล้ว ว่าพี่หญิงรองผู้นี้มีจิตใจอำมหิตเพียงใด ส่วนบิดาจะตัดสินใจเช่นไรนั้น ก็เป็นเรื่องของเขาแล้ว“คุณหนูจะปล่อยให้คุณหนูรอง ถูกทำโทษแค่การกักบริเวณเพียงแค่นั้นเองหรือเจ้าคะ”อี้เหลียนเองก็รู้สึกไม่พอใจ ในการที่ท่านเจ้าตระกูลหลี่ ตัดสินลงโทษคุณหนูรองเพียงแค่การกักบริเวณ เห็นได้ชัดว่า นายท่านเห็นชื่อเสียงของตระกูล สำคัญกว่าชีวิตของคนในตระกูล“ท่านพ่อเป็นบัณฑิต