“แค่กๆๆ มะ…เมืองเซิ่ง ใช่เมืองเซิ่งที่มีสำนักคุ้มภัยต้าฟงอยู่ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
จ้าวซื่อยกชาขึ้นจิบ หรี่ตามองบุตรสาวด้วยความประหลาดใจ หลี่ชิงเหมียวที่เพิ่งจะหายเป็นปกติได้ไม่ถึงสองเดือนด้วยซ้ำ ยามนี้กลับรู้ถึงเรื่องราวภายนอกมากมาย
“ใช่แล้ว…เหตุใดเจ้าถึงได้รู้ ว่าเมืองเซิ่งมีสำนักคุ้มภัยต้าฟงอยู่ แล้วเจ้ารู้หรือไม่ ว่ายามนี้สำนักคุ้มภัยต้าฟงได้ปิดตัวลงแล้ว"
“ปิดตัวลง ปิดตัวลงเพราะเหตุใดกันเล่าเจ้าคะ” หลี่ชิงเหมียวตกใจ พลางเอ่ยถามมารดาออกมา
"แม่ได้ยินมาว่า ทั้งท่านเจ้าสำนักและฮูหยิน ต่างก็รู้สึกเสียใจต่อการจากไปของบุตรสาวเพียงคนเดียว พวกเขาจึงได้พากันปิดสำนักคุ้มภัยชั่วคราว เพื่อจะออกเดินทางไปแสวงบุญตามอาราม และถิ่นทุรกันดารต่างๆ จนบัดนี้ก็นับได้เกือบเดือนแล้วกระมัง”
หลี่ชิงเหมียวไม่รู้ข่าวนี้เลย เพราะข่าวที่นางให้อี้เหลียนช่วยไปสืบมาก่อนหน้านั้น เป็นเพียงข่าวของทางฝั่งสกุลหลัวเท่านั้น นางไม่คิดเลยว่าบิดามารดา จะทำใจไม่ได้ ถึงกับต้องปิดสำนักคุ้มภัยที่สร้างมากับมือลง
“ว่าแต่…เหมียวเอ๋อร์ เจ้าไปได้ยินชื่อเสียงของสำนักคุ้มภัยต้าฟงมาจากที่ใดกันรึ”
จ้าวซื่อถามบุตรสาวออกมาด้วยความประหลาดใจ เพราะหลี่ชิงเหมียวเพิ่งจะดีขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ และมีโอกาสออกไปเที่ยวเล่นนอกจวน เพียงแค่สามสี่หนเท่านั้น
“อ้อ…เป็นยามที่ข้าออกไปซื้อขนมกุ้ยฮวาเกา ที่หอหรงเหอเจ้าค่ะ ข้าได้ยินคนเขากล่าว ถึงความเก่งกล้าสามารถ ของศิษย์จากสำนักคุ้มภัยต้าฟงกัน จึงอยากรู้ว่าสำนักคุ้มภัยต้าฟงนั้นเป็นเช่นไร" จ้าวซื่อไม่ได้นึกสงสัยอันใดอีก นางพยักหน้าขึ้นลง ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นสาวรับใช้ ยกถาดอาหารเช้าเข้ามา
“ถ้าเช่นนั้นแม่ไม่รบกวนเวลาเจ้าแล้ว เจ้ากินมื้อเช้าก่อนเถิด เช้านี้มีเรียนฉินกับท่านอาจารย์ชิวใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะท่านแม่” จ้าวซื่อยิ้มออกมา
“ท่านอาจารย์ชิวเป็นอาจารย์ฉินที่มีชื่อเสียง ตั้งใจเล่าเรียนกับนางให้มากเล่า ภายหน้าพอดีดเป็นเพลงแล้ว ก็มาดีดให้แม่ฟังบ้าง” หลี่ชิงเหมียวรับคำ จ้าวซื่อกล่าวต่ออีกไม่กี่คำ ก็เดินออกจากห้องของบุตรสาวไป
หลังจากมารดาออกจากห้องไป หลี่ชิงเหมียวจึงเดินไปนั่งยังโต๊ะอาหาร กินมื้อเช้าด้วยจิตใจที่เลื่อนลอย นางกำลังคิดว่า ยามนี้บิดากับมารดาของนางในชาติภพก่อน พากันเดินทางไปที่ใดแล้ว
มื้ออาหารเช้าผ่านไป หลี่ชิงเหมียวจึงไปรอท่านอาจารย์ชิว อยู่ที่เรือนบุปผา ทว่ากลับบังเอิญได้พบกับพี่หญิงรอง หลี่ชิงหรง ตั้งแต่นางฟื้นขึ้นมา ได้พบหน้ากับสตรีนางนี้เพียงแค่ไม่กี่หนเท่านั้น ราวกับว่าอีกฝ่ายกำลังหลบหน้านางอยู่
ครั้นได้ฟังเรื่องเล่าจากสาวรับใช้คนสนิท ถึงได้รู้ว่า ที่ผ่านมาพี่หญิงรองผู้นี้ ไม่ชอบหน้าหลี่ชิงเหมียวสักเท่าใดนัก
บางทีหลี่ชิงหรงผู้นี้ อาจจะเป็นผู้ที่ทำให้หลี่ชิงเหมียวที่จากไปแล้ว อยากทวงความยุติธรรมก็เป็นได้
“พี่หญิงรอง” ร่างเล็กย่อกายคำนับทักทายอีกฝ่ายตามธรรมเนียม
“เหมียวเอ๋อร์…?”
อีกฝ่ายมองหลี่ชิงเหมียวด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่จะหันหน้ากลับไปใช้สายตาตำหนิสาวรับใช้คนสนิท
ตั้งแต่นางได้พบหน้าหลี่ชิงเหมียวคนใหม่ นางก็รู้สึกว่าน้องสาวผู้นี้ เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน กระนั้นความคิดที่ว่า อยากจะกำจัดอีกฝ่าย ก็หาได้เปลี่ยนไปไม่
นางยังคงอยากจัดการหลี่ชิงเหมียวให้ได้ ก่อนที่นางจะออกเรือน ทว่านางกลับยังไม่มีความกล้ามากพอ ที่จะเผชิญหน้ากับหลี่ชิงเหมียวคนใหม่ มาบัดนี้ช่างบังเอิญเสียจริง
“เจ้ามาทำอันใดที่นี่เช่นนั้นรึ”
วันนี้ท่านแม่ใหญ่ บอกให้นางมาเรียนดีดฉินกับท่านอาจารย์ชิว ท่านอาจารย์ชิวเป็นอาจารย์สอนดีดฉิน ที่มีชื่อเสียงของเมืองถง
เพื่อเตรียมตัวออกไปแสดงในงานเลี้ยงของจวนอื่น เพราะคู่แต่งงานของนางยังไม่ถูกกำหนด นางจึงต้องพยายามแสดงความสามารถที่มี ออกมาให้ฮูหยินจากตระกูลอื่นประทับใจ อยากได้นางไปเป็นสะใภ้
บรรดาพี่ชายน้องชายล้วนเป็นบัณฑิต นางแม้จะเป็นสตรี แต่ก็ร่ำเรียนเขียนอักษรมาจนเชี่ยวชาญไม่แพ้กัน หลังจากพี่หญิงใหญ่ออกเรือน นางก็กลายมาเป็นความภูมิใจของบิดา แม้เขาจะไม่ได้นำนางไปพูดโอ้อวดกับผู้ใด แต่ก็ไม่เคยอาย ยามที่ได้กล่าวถึงความสามารถของนาง
ทว่ายามนี้เด็กที่เคยโง่เขลา บุตรสาวที่บิดามีกับสตรีที่รักใคร่ กลับมาแย่งความสนอกสนใจของทุกคนไปจากนาง หลังจากตกน้ำไปในวันนั้น น้องสาวที่เคยเป็นเด็กไม่รู้ความ กลับกลายมาเป็นเด็กที่มีสติปัญญาปกติ หลายคนกล่าวกันว่ามันคือปาฏิหาริย์ นางมิอาจยอมรับความจริงเรื่องนี้ได้
“วันนี้คุณหนูสามมาเรียนดีดฉินกับท่านอาจารย์ชิวเจ้าค่ะ คุณหนูรองก็คงมิใช่ว่า มาเรียนดีดฉินกับคุณหนูสามหรอกนะเจ้าคะ” มือบางที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกำหมัดแน่น
หลี่ชิงหรงคิดเอาไว้อยู่แล้ว ว่าท่านแม่ใหญ่คงไม่หวังดีกับนาง ถึงขั้นเชิญท่านอาจารย์ชิวผู้มีชื่อเสียงเพียงนี้ มาสอนแค่นางเท่านั้น เรื่องนี้คงจะเป็นแม่รอง ที่แนะนำมาเป็นแน่
สตรีผู้นั้นแย่งความรักและความโปรดปรานของบิดา ไปจากมารดานางเสียหมดสิ้น บัดนี้บุตรสาวของนางกลับกลายมาเป็นคนที่บิดาให้ความสำคัญอีก แล้วจะไม่ให้นาง มีความคิดอยากจะกำจัดน้องสาวผู้นี้ได้อย่างไรกัน
หลัวอี้เฉินและหลี่ชิงเหมียว ยังคงอาศัยอยู่ในเรือนเดิม ถึงแม้ยามนี้หลัวอี้เฉิน จะกลายมาเป็นผู้นำตระกูลอย่างเต็มตัว และหลี่ชิงเหมียวก็เป็นฮูหยินใหญ่ ทำหน้าที่ดูแลทุกเรื่องในเรือนหลัง ทว่านางกลับชอบเรือนหนิงอันมากกว่าเรือนใหญ่ ที่พ่อแม่สามีอาศัยอยู่ เพราะนางอยู่ที่เรือนหนิงอันแล้วรู้สึกว่าจิตใจสงบสุขหลี่ชิงเหมียวเดินกลับไปยังเรือนหนิงอัน ทุกย่างก้าวของนางได้พบกับบ่าวรับใช้ ที่มีมากขึ้นไปจากเดิม เพราะตระกูลหลัวขยับขยาย ทำให้หลัวอี้เฉินซื้อบ่าวรับใช้มาเพิ่ม อย่างเช่นสาวรับใช้ข้างกายนางสองคน ก็ซื้อมาใหม่ยามที่หลัวลี่เซียนเพิ่งจะอายุได้สองปี“ท่านแม่...” หลัวลี่เซียนวัยแปดปี ส่งเสียงเรียกขานมารดา ขณะที่นางกำลังเดินจูงมือน้องชายวัยสองปีมาด้วยกัน หลัวอี้ซ่งก้าวเดินอย่างมั่นคง ก่อนจะปล่อยมือของพี่สาว แล้ววิ่งเข้าไปหามารดา หลี่ชิงเหมียวย่อกายลงโอบกอดเขาเอาไว้“ท่านแม่....อุ้ม...” เด็กน้อยบอกมารดานัยน์ตาทอประกายออดอ้อน หลัวลี่เซียนอยากจะเอ่ยปากห้ามน้องชาย ทว่ามารดากลับอุ้มเขาขึ้นจากพื้นแล้ว“ฮูหยิน...” แม่นมซิ่วและบรรดาสาวรับใช้ร้องอุทานออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ ถึงแม้ทารกในครรภ์ของฮูหยินจะมั่นค
เสียงหัวเราะของเด็กน้อย ทำให้หัวใจของผู้ใหญ่ รู้สึกผ่อนคลาย นัยน์ตาคมทอดมองไปยังบุตรสาวคนโต และบุตรชายคนเล็ก ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ด้วยกัน ภายในลานกว้างของจวนผ่านมาสองปีหลัวลี่เซียน บุตรสาวของเขานั้นเติบโตขึ้นมาก จนสามารถดูแลน้องชายวัยสองปีได้แล้ว ส่วนบุตรชายคนโตวัยสิบหกปี ก็ได้สอบผ่านเป็นซิ่วไฉอย่างที่ตั้งใจ และกำลังเตรียมตัวลงสนามสอบต่อไป“เหมียวเอ๋อร์... พี่คิดว่าพวกเราควรจะมีน้องสาว ให้พวกเขาอีกสักคนเถิด” จู่ ๆ หลัวอี้เฉินก็กล่าวออกมา หลังจากที่ทอดสายตา มองไปยังลูกทั้งสองอยู่เนิ่นนานทว่าคำชวนของสามี ทำให้หลี่ชิงเหมียวที่เพิ่งดื่มชาลงไป เกิดอาการสำลักขึ้นมา นางไม่ได้หวาดกลัวในการตั้งครรภ์ หรือการให้กำเนิด แต่นางกลับรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับอาการแพ้ท้องต่างหาก และไม่รู้ว่าหากมีอีกคนแล้ว นางจะเป็นบุตรีอย่างที่พวกตนตั้งใจหรือไม่แม่นมซิ่วส่งสายตาให้แก่อี้เหลียน และสาวรับใช้รอบกาย จนทุกคนถอยออกไปจากบริเวณนี้อย่างรู้ความ ปล่อยให้นายท่านกับนายหญิง ได้พูดคุยกันถึงเรื่องใกล้ชิดส่วนตัวตามลำพัง“ท่านพี่... แล้วท่านจะแน่ใจได้อย่างไร ว่าถ้าหากพวกเรามีลูกอีกคน แล้วจะเป็นบุตรี หากข้าให้กำเนิดบุตรชา
“นายท่าน... คุณชายใหญ่ ฮูหยินให้บ่าวมาเชิญพวกท่าน กลับไปกินมื้อเช้ากันได้แล้วเจ้าค่ะ วันนี้ฮูหยิน ท่านจะออกไปคำนับท่านปรมาจารย์ ที่อารามหลัวเซิง” สาวรับใช้เข้ามาเชิญเจ้านายทั้งสองตามคำสั่งของนายหญิง“ไปอารามหรือ... ข้าก็อยากจะไปด้วย” หลัวอี้เฉินเอ่ย ก่อนที่จะสั่งลูกน้อง แล้วชวนบุตรชายกลับจวน“พวกเจ้าแยกย้ายกันเถิด เจ๋อเอ๋อร์...พวกเราก็รีบกลับจวนไปกินมื้อเช้ากับท่านแม่และน้องสาวของเจ้ากัน”“ขอรับท่านหัวหน้า” บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชารับคำ“ขอรับท่านพ่อ...” หลัวอี้เจ๋อรับคำบิดาเช่นกัน สองพ่อลูกรีบพากันกลับจวนอย่างไม่รีรอ การปล่อยให้สตรีรอนาน ไม่ใช่สิ่งที่บุรุษพึงกระทำกู้จงกับกู้อี้ก็เอ่ยลาบรรดาสหายร่วมงานเช่นกัน เพราะพวกเขาต่างก็มีคนของตน รอกินมื้อเช้าพร้อมพวกเขาอยู่ที่เรือนบุรุษที่เหลือจึงพากันแยกย้าย พลางคิดในใจว่า การมีครอบครัวมันดีเพียงนี้เชียวหรือ ท่านหัวหน้าแต่ละคน ถึงได้ดูกระตือรือร้นเพียงนี้รถม้าของจวนตระกูลหลัว มุ่งหน้าออกจากจวนในยามซื่อ ยามนี้ครรภ์ของหลี่ชิงเหมียวมั่นคงแล้ว จึงทำให้การเดินทางระยะใกล้ไม่ลำบากมากนัก ไม่นานนักรถม้าของตระกูลหลัวก็มาถึงอารามหลัวเซิง ทว่าหลี่ชิงเหมี
หลี่ชิงเหมียวตั้งครรภ์ลูกคนที่สองของชาติภพนี้ หลังจากที่บุตรสาวคนโต มีอายุได้เพียงห้าปี ทว่านี่ก็นับว่านานมากพอ กว่าที่นางจะสามารถก้าวข้าม ความหวาดกลัว ที่เคยอยู่ภายในใจนางยอมหยุดยาสมุนไพร เพื่อที่จะปล่อยให้ตนเองตั้งครรภ์ ทว่าก็ใช้เวลานานนับหนึ่งปี กว่าที่เด็กคนนี้ จะมาเกิดกับตน“นี่ข้ากำลังจะมีลูกอีกคนแล้วจริง ๆ หรือ”ท่านหมอหลินกลับไปแล้ว ทว่าหลัวอี้เฉินยังคงตกอยู่ในภวังค์ เขาเฝ้าถามตนเองซ้ำๆ ว่าเขากำลังจะมีลูกอีกคนจริงๆ หรือ หลี่ชิงเหมียว แม่นมซิ่ว และอี้เหลียน มองไปยังชายหนุ่มด้วยแววตาขบขัน“นายท่านไม่ต้องประหลาดใจไปหรอกเจ้าค่ะ เป็นเพราะฮูหยินของพวกเรา หยุดดื่มยาสมุนไพรป้องกันการตั้งครรภ์ และดื่มยาสมุนไพรบำรุง เพื่อเตรียมการตั้งครรภ์มานานนับปีแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมซิ่วไขข้อข้องใจ ให้แก่นายท่านที่กำลังแสดงสีหน้าสับสนงุนงง กับเรื่องการตั้งครรภ์ของนายหญิง“จริงหรือ” หลัวอี้เฉินถามภรรยา นัยน์ตาคมมองไปยังนางเป็นประกายทว่าเขากลับยังคงไม่กล้าเข้าไปใกล้ เพราะก่อนหน้านี้ นางบอกว่ารู้สึกเหม็นกลิ่นกายของเขา ถึงได้อาเจียนออกมา ยามนี้เขายังไม่ได้อาบน้ำ จึงยังไม่กล้าเข้าไปใกล้นาง“จริงเจ้าค่ะ” หล
หลี่ชิงเหมียวนั่งอยู่ในศาลาพักผ่อนกับบุตรสาว ที่เอาแต่ร้องตะโกนให้กำลังใจพี่ชายก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมา“เซียนเอ๋อร์... เจ้าเองก็อยากลองขี่ม้าใช่หรือไม่” หลัวลี่เซียนหันขวับเดินเข้าไปออดอ้อนมารดา“เจ้าค่ะท่านแม่...”“ยามนี้เจ้ายังเยาว์วัยนัก ร่างกายก็ยังเติบโตไม่สมบูรณ์ ไม่อาจควบคุมอาชาตัวโตเช่นนั้นได้” สิ้นคำกล่าวของมารดา หลัวลี่เซียนก็แสดงสีหน้าผิดหวังออกมาทว่าก่อนที่จะนางจะแสร้งหลั่งน้ำตาขอความเห็นใจจากมารดาออกมา หลี่ชิงเหมียวก็แอบโบกมือให้บ่าวในสนามบ่าวผู้นั้นจูงอาชาตัวเล็กสีนิลเข้ามา หลัวลี่เซียนมองไปยังอาชาตัวน้อย ก่อนที่จะหันหน้ากลับมามองมารดานัยน์ตาเป็นประกาย หลี่ชิงเหมียวแสร้งยกชาขึ้นมาจิบ“ท่านแม่... ขอบคุณเจ้าค่ะ ข้ารักท่านแม่ที่สุด”หลัวลี่เซียนโผเข้าไปกอดมารดา พลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน นางหอมแก้มของมารดาซ้ายทีขวาทีอย่างเอาใจ หลี่ชิงเหมียวรู้สึกใจอ่อนยวบ สุดท้ายแล้ว นางก็ต้องพ่ายแพ้ให้บุตรสาวขี้อ้อนผู้นี้อยู่ร่ำไปหลัวอี้เฉินกับหลัวอี้เจ๋อ สองพ่อลูกที่สังเกตเห็นนางฟ้าตัวน้อย กำลังจะขึ้นอาชา ต่างก็รีบควบอาชากลับมา หลัวอี้เจ๋อเสนอตัวดูแลน้องสาวเอง เพราะอาชาที่หลัวลี
หลังจากที่หลี่ชิงเหมียวให้กำเนิดหลัวลี่เซียนได้ห้าปี เด็กหญิงก็เริ่มเดินตามรอยเท้าของบิดามารดา แม้เกิดเป็นหญิง แต่ผู้ใดกันที่บอกว่าสตรีอ่อนแอ แล้วนางจะต้องอ่อนแอ นางเองก็มีคนที่อยากจะปกป้องเช่นกัน“คุณหนูหลัว... ท่านแน่ใจหรือเจ้าคะ ว่าอยากจะฝึกวรยุทธ์จริงๆ” สตรีที่ดูมีความรู้ตรงหน้าเอ่ยถามลูกศิษย์ตัวน้อยออกมาด้วยความตกใจอาจารย์อี้ นางเป็นอาจารย์ที่หลี่ชิงเหมียว เชิญให้มาสอนบุตรีที่จวน โดยอาจารย์อี้ ได้จัดตารางการเรียนให้เด็กหญิงได้เรียนรู้ตัวอักษร และการฝึกคัดอักษรหลายวันที่ผ่านมาคุณหนูหลัวก็ดูตื่นเต้นดี ทว่าพอเวลาผ่านไปได้สิบวัน คุณหนูน้อยกลับกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ ว่าสิ่งที่อาจารย์เช่นนางสอนมานั้น นางรู้ทั้งหมดแล้ว เป็นท่านแม่ของนาง ที่เคยจับมือสอนนาง ให้เขียนพู่กัน ในยามที่นางยังวัยเพียงแค่สี่ขวบอาจารย์อี้ไม่อยากจะเชื่อ ในคำพูดของเด็กวัยห้าขวบ นางจึงได้ทำการทดสอบเด็กน้อย ทว่าคุณหนูหลัว ราวกับเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์มาตั้งแต่เด็ก นางสามารถเรียนรู้สิ่งใดได้อย่างรวดเร็ว จะเรียกได้ว่า รู้ความไวกว่าเด็กวัยเดียวกันก็ไม่ผิดและการที่นางได้พบกับอัจฉริยะตัวน้อยเช่นนี้ ทำให้อาจารย์อี้ รู้สึ