หลังเลิกเรียนดีดฉิน หลี่ชิงเหมียวก็กลับเรือนนอน ไปพร้อมกับอี้เหลียน สาวรับใช้คนสนิท นางกลับมานั่งเล่นอยู่ภายในสวนดอกไม้ข้างเรือน ที่ตนเพิ่งจะลงมือปลูกเมื่อไม่นานมานี้
ระหว่างที่กำลังเพลิดเพลิน อยู่กับการกินของว่างและน้ำชาอยู่นั้น นางก็มีเวลากลับมาคิดทบทวน ว่าการไปเยือนสกุลโหรวในวันนี้ นางอาจจะไม่ได้พบกับหลัวอี้เฉิน ถึงแม้ว่าคุณชายสี่สกุลโหรวผู้นั้น จะคือสหายของเขาก็ตาม นั่นก็เป็นเพราะว่า ยามนี้เขายังอยู่ในช่วง ไว้อาลัยให้แก่หลูชิงเหลียน ภรรยาผู้ล่วงลับ สองปีสำหรับบุรุษที่ยังคงหนุ่มแน่นเช่นเขา ถือว่ายาวนานไม่น้อย แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับนาง ที่ยามนี้อยู่ในร่างของหลี่ชิงเหมียว ที่มีอายุแค่เพียงสิบสี่ปี สองปีหากเขาแต่งงานใหม่ นางก็ผ่านพิธีปักปิ่นไปแล้ว “คุณหนู…บ่าวขอตัวเข้าไปเตรียมน้ำให้ท่านอาบ กับเตรียมอาภรณ์ชุดใหม่ ให้ท่านสวมใส่ไปงานเลี้ยงในวันนี้ ก่อนนะเจ้าคะ” อี้เหลียนนึกขึ้นได้ว่าในยามเซิน คุณหนูสามต้องออกไปงานเลี้ยงพร้อมกับฮูหยินรองและคุณหนูรอง “อืม…ไปเถิด ข้าอยู่ตามลำพังได้” หลี่ชิงเหมียวกล่าวพลางยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ อี้เหลียนคำนับ แล้วถอยหลังเดินกลับไปยังเรือนนอนทันที ตั้งแต่คุณหนูสามฟื้นขึ้นมา จากอาการป่วยหลังจมน้ำ อี้เหลียนก็ไม่ค่อยนึกกังวล ถึงเรื่องความปลอดภัยของคุณหนูเช่นแต่ก่อน เพราะคุณหนูรู้ความและดูแลตัวเองได้แล้ว อีกทั้งยามนี้คุณหนูก็ถือได้ว่า เป็นบุตรสาวคนสำคัญอีกคน ของท่านเจ้าสำนักศึกษาสกุลหลี่ หาใช่คุณหนูคนก่อน ที่เป็นเพียงจุดด่างพร้อยของตระกูลอีกแล้ว หลังจากที่สาวรับใช้คนสนิทเดินจากไป เด็กสาวที่นั่งอยู่ตามลำพัง ก็หวนนึกไปถึงแม่นมเซี่ยกับจิ่งอี๋ ไม่รู้ว่าทั้งสองคน จะยังคงสบายดีอยู่หรือไม่ พ่อแม่สามีของนางเป็นคนดี พวกเขาคงไม่ขายแม่นมกับจิ่งอี๋ออกไปกระมัง หลี่ชิงเหมียวนั่งอยู่ที่สวนดอกไม้ต่ออีกเค่อ ก่อนที่นางจะกลับเข้าไปในเรือนนอนของตน ยามนั้นอี้เหลียนได้จัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ครั้นเข้าไปจึงได้อาบน้ำเตรียมตัวรอมารดาเลย เดิมทีหลี่ชิงเหมียวก็เป็นเด็กที่มีรูปร่างหน้าตางดงามอยู่แล้ว ถ้าเมื่อก่อนไม่ติดที่ว่านางโง่เขลา ท่านเจ้าสำนักบัณฑิตหลี่ ก็คงจะอนุญาตให้นางติดตามมารดา ออกไปพบปะกับสหายรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว ทว่าแม้ก่อนหน้านี้ นางจะไม่เคยพบปะผู้ใด อาศัยอยู่แต่ภายในจวน แต่หลังจากฟื้นมาจากอาการป่วยหลังตกน้ำเมื่อเดือนก่อน ก็ได้ติดตามมารดาออกไปงานเลี้ยงอยู่สองสามงาน จึงได้มีสหายอย่างผู้อื่นบ้างแล้ว ครั้นถึงเวลาที่มารดาบอกกล่าวเอาไว้ หลี่ชิงเหมียวก็ออกมารออยู่ที่ด้านหน้าจวน ไม่คิดว่าพี่สาวต่างมารดาก็มาถึงแล้วเช่นกัน นางคำนับทักทายอีกฝ่ายตามมารยาท “คารวะพี่หญิงรองเจ้าค่ะ” หลี่ชิงหรงพยักหน้าให้น้องสาวต่างมารดา พลางลอบสำรวจการแต่งกายของอีกฝ่าย แม้อาภรณ์จะดูเรียบง่าย แต่ทว่ากลับทำมาจากผ้าราคาแพง ใบหน้างดงามอ่อนเยาว์ แม้จะไร้การประทินโฉมใด ก็ยังคงงดงามจนทำให้คนมองรู้สึกอิจฉา และในขณะที่หลี่ชิงหรง กำลังใช้สายตาลอบสำรวจ น้องสาวต่างมารดา ด้วยแววตาที่ซ่อนความริษยาอยู่นั้น เสียงหวานของฮูหยินรองก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง “เตรียมตัวพร้อมกันแล้วหรือยัง” คุณหนูทั้งสองจึงหันกลับไป ย่อกายคำนับและกล่าวทักทายผู้มาใหม่ “คารวะท่านแม่รองเจ้าค่ะ” จ้าวซื่อพยักหน้าให้เด็กทั้งสอง มองสำรวจการแต่งกายของบุตรสาวของตนก็ทอดถอนใจออกมา ช่างเรียบง่ายยิ่งนัก แต่ก็ช่างเถิดนางยังเยาว์วัย ยังไม่ถึงวัยปักปิ่น ไม่จำเป็นต้องขับเน้นการแต่งตัวและการประทินโฉมให้มาก น้อยแต่เรียบร้อยก็นับว่าดี ฮูหยินใหญ่ยกหน้าที่ให้ตน ช่วยพาเด็กสาวในสกุล ออกไปทำความรู้จักกับฮูหยินจากจวนอื่น เพราะเทียบกันแล้ว นางรู้จักผู้คนมากกว่าฮูหยินใหญ่ ที่ชอบเก็บตัวอยู่แต่ภายในจวน “ถ้ามากันพร้อมแล้ว ก็ไปกันเถิด” ฮูหยินรองเดินเข้าไปจับมือบุตรสาว หันไปกล่าวกับหลี่ชิงหรง สตรีทั้งสามทยอยขึ้นไปนั่งบนรถม้าคันเดียวกัน ระหว่างทางจ้าวซื่อก็ไม่ลืม ที่จะกำชับเด็กทั้งสอง ว่าให้จดจำให้ดี ว่าพวกนางคือหน้าตาของตระกูล หากพวกนางประพฤิตตนไม่ดี ก็จะทำให้ตระกูลเสื่อมเสียชื่อเสียง แม้แต่นางก็ไม่อาจยื่นมือช่วยเหลือพวกนางได้ ทั้งหลี่ชิงหรงและหลี่ชิงเหมียวต่างก็พากันรับปาก ว่าจะประพฤติตนให้ดี หลังจากออกมาจากจวนตระกูลหลี่ได้ไม่ถึงสามช่วงถนน รถม้าก็จอดนิ่งลงที่หน้าจวนหลังหนึ่ง ภายนอกเต็มไปด้วยรถม้า ที่เดินทางมาร่วมงาน ด้านหน้าประตูมีเจ้าบ้านคอยต้อนรับ ท่านใต้เท้าโหรว โหรวฮูหยิน บุตรชายทั้งสี่ สะใภ้ทั้งสี่ และบุตรสาวอีกสองคน กำลังยืนยิ้มแย้ม กล่าวทักทายแขกที่มาร่วมงานพร้อมหน้ากัน “ฮูหยินรองหลี่” โหรวฮูหยินร้องเรียกจ้าวซื่อออกมาด้วยน้ำเสียงยินดี ครั้นได้เห็นหน้าอีกฝ่ายเดินนำหน้าเด็กสาวสองคน และสาวรับใช้ผู้ติดตามทั้งสี่ จ้าวซื่อแนะนำเด็กสาวทั้งสองของตระกูลตน ให้ได้รู้จักกับคนตระกูลโหรว เสียดายที่คุณชายจากตระกูลโหรวแต่งงานหมดแล้ว เหลือเพียงบุตรีทั้งสองที่อยู่ในวัยเดียวกันกับหลี่ชิงหรงและหลี่ชิงเหมียว ที่ยังไม่ได้ออกเรือนไป ตระกูลโหรวถือเป็นตระกูลใหญ่ อาศัยอยู่ร่วมกันหลายเรือน จะว่าอบอุ่นก็ใช่ จะว่าวุ่นวายก็ไม่ผิด หลังจากหลี่ชิงหรงและหลี่ชิงเหมียวคำนับทักทายผู้อาวุโสทุกคนแล้ว ฮูหยินใหญ่โหรวจึงได้ให้บุตรสาวคนโตของนาง พาฮูหยินรองหลี่และคุณหนูสกุลหลี่ทั้งสองไปนั่งที่เรือนบุปผา ที่ใช้ต้อนรับแขกสตรี “ได้ยินชื่อเสียงมานาน วันนี้มีโอกาสได้พบหน้าคุณหนูสามสกุลหลี่เสียที” โหรวหลิงหลิง คุณหนูใหญ่สกุลโหรวกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงยินดี บนใบหน้างามมีรอยยิ้มจริงใจประดับอยู่ หลี่ชิงเหมียวสัมผัสได้ถึงความจริงใจของอีกฝ่าย จึงยิ้มพร้อมกับกล่าว “นับว่าเป็นเกียรติของเหมียวเอ๋อร์แล้วเจ้าค่ะ ที่คุณหนูใหญ่โหรวมีใจอยากพบหน้า” หลี่ชิงหรงถูกทิ้งให้เดินรั้งท้ายอยู่เพียงลำพัง เพราะสาวรับใช้ต่างก็ต้องรอพวกนางอยู่ข้างนอก “เรียกคุณหนูไปไย เรียกพี่หญิงหลิงเถิด น้องหญิงเป็นเด็กฉลาด หนึ่งเดือนมานี้ ผู้ใดก็พากันกล่าวถึง ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้า อยากให้ข้าผูกมิตรกับเจ้าเอาไว้ให้มาก” บิดามารดากำลังมองหาคู่แต่งงาน ที่เหมาะสมให้แก่นาง และอีกฝ่ายที่นางค่อนข้างพึงใจ ก็คือคุณชายรองสกุลหลี่ พี่ชายมารดาเดียวกันกับหลี่ชิงเหมียวผู้นี้นั่นเอง “เจ้าค่ะพี่หญิงหลิง” หลี่ชิงเหมียวไม่รู้ถึงจุดประสงค์ของอีกฝ่าย แต่ทว่าแม้อีกฝ่ายจะต้องการผูกมิตรกับนางเพื่อหวังผลประโยชน์ นางก็หาได้เก็บมาใส่ใจไม่ เพราะอีกสองปี นางก็จะไม่ได้อาศัยอยู่ที่เมืองถงแห่งนี้แล้ว หลี่ชิงหรงกระแอมไอเสียงดัง โหรวหลิงหลิงจึงได้หันมองกลับไปตามเสียง นางไม่ค่อยชอบคุณหนูรองสกุลหลี่นางนี้ เพราะชื่อเสียงของหลี่ชิงหรงในกลุ่มคุณหนูด้วยกัน นั้นไม่ค่อยจะดีงามนัก คุณหนูจวนอื่นต่างก็กล่าวถึงอีกฝ่าย ว่าเป็นคนไม่จริงใจ อยู่กับนางดีต่อนาง อยู่ลับหลังนางพร้อมหักหลังนาง คนเช่นนี้ควรอยู่ห่างให้ไกล “อุ๊ย…ข้าต้องขออภัยต่อคุณหนูรองด้วย ข้าคุยกับน้องหญิงเหมียวจนลืมท่านไปเสียแล้ว” หลี่ขิงหรง มองอีกฝ่ายราวกับว่าเป็นศัตรูอีกคนหนึ่ง ผู้ใดที่ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับน้องสาวผู้นี้ ย่อมไม่คู่ควรที่จะมาผูกมิตรกับนาง อีกทั้งสกุลโหรวก็ไม่มีค่ามากพอ “มิบังอาจรับการขออภัยจากคุณหนูใหญ่โหรวหรอกเจ้าค่ะ ข้าเพียงอยากเดินเข้าไปนั่งในงานไวๆ จึงได้เสียมารยาทขัดบทสนทนาของท่านกับน้องหญิงสามของข้า” โหรวหลิงหลิงยิ้มออกมาทว่ากลับไม่ถึงดวงตา “ถ้าเช่นนั้นเชิญด้านในกันก่อนเถิด มีพี่หญิงน้องหญิงหลายคนมาถึงแล้ว วันนี้ที่จวนเชิญคณะอุปรากรชื่อดังของเมืองเซิ่งมาด้วย ข้าอยากให้พวกท่านได้ชม” โหรวหลิงหลิงคว้ามือเล็กของหลี่ชิงเหมียวให้เดินตามนางไป หลี่ชิงหรงกระทืบเท้า ก่อนที่จะรีบเดินตามทั้งสองไป ด้วยความรู้สึกคับข้องใจ เห็นชัดว่าอีกฝ่ายรังเกียจนาง ยิ่งนังน้องสาวต่างมารดาตัวดี ก็ไม่คิดที่จะปกป้อง หรืออยู่ข้างนางเลยแม้แต่นิดหลัวอี้เฉินและหลี่ชิงเหมียว ยังคงอาศัยอยู่ในเรือนเดิม ถึงแม้ยามนี้หลัวอี้เฉิน จะกลายมาเป็นผู้นำตระกูลอย่างเต็มตัว และหลี่ชิงเหมียวก็เป็นฮูหยินใหญ่ ทำหน้าที่ดูแลทุกเรื่องในเรือนหลัง ทว่านางกลับชอบเรือนหนิงอันมากกว่าเรือนใหญ่ ที่พ่อแม่สามีอาศัยอยู่ เพราะนางอยู่ที่เรือนหนิงอันแล้วรู้สึกว่าจิตใจสงบสุขหลี่ชิงเหมียวเดินกลับไปยังเรือนหนิงอัน ทุกย่างก้าวของนางได้พบกับบ่าวรับใช้ ที่มีมากขึ้นไปจากเดิม เพราะตระกูลหลัวขยับขยาย ทำให้หลัวอี้เฉินซื้อบ่าวรับใช้มาเพิ่ม อย่างเช่นสาวรับใช้ข้างกายนางสองคน ก็ซื้อมาใหม่ยามที่หลัวลี่เซียนเพิ่งจะอายุได้สองปี“ท่านแม่...” หลัวลี่เซียนวัยแปดปี ส่งเสียงเรียกขานมารดา ขณะที่นางกำลังเดินจูงมือน้องชายวัยสองปีมาด้วยกัน หลัวอี้ซ่งก้าวเดินอย่างมั่นคง ก่อนจะปล่อยมือของพี่สาว แล้ววิ่งเข้าไปหามารดา หลี่ชิงเหมียวย่อกายลงโอบกอดเขาเอาไว้“ท่านแม่....อุ้ม...” เด็กน้อยบอกมารดานัยน์ตาทอประกายออดอ้อน หลัวลี่เซียนอยากจะเอ่ยปากห้ามน้องชาย ทว่ามารดากลับอุ้มเขาขึ้นจากพื้นแล้ว“ฮูหยิน...” แม่นมซิ่วและบรรดาสาวรับใช้ร้องอุทานออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ ถึงแม้ทารกในครรภ์ของฮูหยินจะมั่นค
เสียงหัวเราะของเด็กน้อย ทำให้หัวใจของผู้ใหญ่ รู้สึกผ่อนคลาย นัยน์ตาคมทอดมองไปยังบุตรสาวคนโต และบุตรชายคนเล็ก ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ด้วยกัน ภายในลานกว้างของจวนผ่านมาสองปีหลัวลี่เซียน บุตรสาวของเขานั้นเติบโตขึ้นมาก จนสามารถดูแลน้องชายวัยสองปีได้แล้ว ส่วนบุตรชายคนโตวัยสิบหกปี ก็ได้สอบผ่านเป็นซิ่วไฉอย่างที่ตั้งใจ และกำลังเตรียมตัวลงสนามสอบต่อไป“เหมียวเอ๋อร์... พี่คิดว่าพวกเราควรจะมีน้องสาว ให้พวกเขาอีกสักคนเถิด” จู่ ๆ หลัวอี้เฉินก็กล่าวออกมา หลังจากที่ทอดสายตา มองไปยังลูกทั้งสองอยู่เนิ่นนานทว่าคำชวนของสามี ทำให้หลี่ชิงเหมียวที่เพิ่งดื่มชาลงไป เกิดอาการสำลักขึ้นมา นางไม่ได้หวาดกลัวในการตั้งครรภ์ หรือการให้กำเนิด แต่นางกลับรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับอาการแพ้ท้องต่างหาก และไม่รู้ว่าหากมีอีกคนแล้ว นางจะเป็นบุตรีอย่างที่พวกตนตั้งใจหรือไม่แม่นมซิ่วส่งสายตาให้แก่อี้เหลียน และสาวรับใช้รอบกาย จนทุกคนถอยออกไปจากบริเวณนี้อย่างรู้ความ ปล่อยให้นายท่านกับนายหญิง ได้พูดคุยกันถึงเรื่องใกล้ชิดส่วนตัวตามลำพัง“ท่านพี่... แล้วท่านจะแน่ใจได้อย่างไร ว่าถ้าหากพวกเรามีลูกอีกคน แล้วจะเป็นบุตรี หากข้าให้กำเนิดบุตรชา
“นายท่าน... คุณชายใหญ่ ฮูหยินให้บ่าวมาเชิญพวกท่าน กลับไปกินมื้อเช้ากันได้แล้วเจ้าค่ะ วันนี้ฮูหยิน ท่านจะออกไปคำนับท่านปรมาจารย์ ที่อารามหลัวเซิง” สาวรับใช้เข้ามาเชิญเจ้านายทั้งสองตามคำสั่งของนายหญิง“ไปอารามหรือ... ข้าก็อยากจะไปด้วย” หลัวอี้เฉินเอ่ย ก่อนที่จะสั่งลูกน้อง แล้วชวนบุตรชายกลับจวน“พวกเจ้าแยกย้ายกันเถิด เจ๋อเอ๋อร์...พวกเราก็รีบกลับจวนไปกินมื้อเช้ากับท่านแม่และน้องสาวของเจ้ากัน”“ขอรับท่านหัวหน้า” บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชารับคำ“ขอรับท่านพ่อ...” หลัวอี้เจ๋อรับคำบิดาเช่นกัน สองพ่อลูกรีบพากันกลับจวนอย่างไม่รีรอ การปล่อยให้สตรีรอนาน ไม่ใช่สิ่งที่บุรุษพึงกระทำกู้จงกับกู้อี้ก็เอ่ยลาบรรดาสหายร่วมงานเช่นกัน เพราะพวกเขาต่างก็มีคนของตน รอกินมื้อเช้าพร้อมพวกเขาอยู่ที่เรือนบุรุษที่เหลือจึงพากันแยกย้าย พลางคิดในใจว่า การมีครอบครัวมันดีเพียงนี้เชียวหรือ ท่านหัวหน้าแต่ละคน ถึงได้ดูกระตือรือร้นเพียงนี้รถม้าของจวนตระกูลหลัว มุ่งหน้าออกจากจวนในยามซื่อ ยามนี้ครรภ์ของหลี่ชิงเหมียวมั่นคงแล้ว จึงทำให้การเดินทางระยะใกล้ไม่ลำบากมากนัก ไม่นานนักรถม้าของตระกูลหลัวก็มาถึงอารามหลัวเซิง ทว่าหลี่ชิงเหมี
หลี่ชิงเหมียวตั้งครรภ์ลูกคนที่สองของชาติภพนี้ หลังจากที่บุตรสาวคนโต มีอายุได้เพียงห้าปี ทว่านี่ก็นับว่านานมากพอ กว่าที่นางจะสามารถก้าวข้าม ความหวาดกลัว ที่เคยอยู่ภายในใจนางยอมหยุดยาสมุนไพร เพื่อที่จะปล่อยให้ตนเองตั้งครรภ์ ทว่าก็ใช้เวลานานนับหนึ่งปี กว่าที่เด็กคนนี้ จะมาเกิดกับตน“นี่ข้ากำลังจะมีลูกอีกคนแล้วจริง ๆ หรือ”ท่านหมอหลินกลับไปแล้ว ทว่าหลัวอี้เฉินยังคงตกอยู่ในภวังค์ เขาเฝ้าถามตนเองซ้ำๆ ว่าเขากำลังจะมีลูกอีกคนจริงๆ หรือ หลี่ชิงเหมียว แม่นมซิ่ว และอี้เหลียน มองไปยังชายหนุ่มด้วยแววตาขบขัน“นายท่านไม่ต้องประหลาดใจไปหรอกเจ้าค่ะ เป็นเพราะฮูหยินของพวกเรา หยุดดื่มยาสมุนไพรป้องกันการตั้งครรภ์ และดื่มยาสมุนไพรบำรุง เพื่อเตรียมการตั้งครรภ์มานานนับปีแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมซิ่วไขข้อข้องใจ ให้แก่นายท่านที่กำลังแสดงสีหน้าสับสนงุนงง กับเรื่องการตั้งครรภ์ของนายหญิง“จริงหรือ” หลัวอี้เฉินถามภรรยา นัยน์ตาคมมองไปยังนางเป็นประกายทว่าเขากลับยังคงไม่กล้าเข้าไปใกล้ เพราะก่อนหน้านี้ นางบอกว่ารู้สึกเหม็นกลิ่นกายของเขา ถึงได้อาเจียนออกมา ยามนี้เขายังไม่ได้อาบน้ำ จึงยังไม่กล้าเข้าไปใกล้นาง“จริงเจ้าค่ะ” หล
หลี่ชิงเหมียวนั่งอยู่ในศาลาพักผ่อนกับบุตรสาว ที่เอาแต่ร้องตะโกนให้กำลังใจพี่ชายก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมา“เซียนเอ๋อร์... เจ้าเองก็อยากลองขี่ม้าใช่หรือไม่” หลัวลี่เซียนหันขวับเดินเข้าไปออดอ้อนมารดา“เจ้าค่ะท่านแม่...”“ยามนี้เจ้ายังเยาว์วัยนัก ร่างกายก็ยังเติบโตไม่สมบูรณ์ ไม่อาจควบคุมอาชาตัวโตเช่นนั้นได้” สิ้นคำกล่าวของมารดา หลัวลี่เซียนก็แสดงสีหน้าผิดหวังออกมาทว่าก่อนที่จะนางจะแสร้งหลั่งน้ำตาขอความเห็นใจจากมารดาออกมา หลี่ชิงเหมียวก็แอบโบกมือให้บ่าวในสนามบ่าวผู้นั้นจูงอาชาตัวเล็กสีนิลเข้ามา หลัวลี่เซียนมองไปยังอาชาตัวน้อย ก่อนที่จะหันหน้ากลับมามองมารดานัยน์ตาเป็นประกาย หลี่ชิงเหมียวแสร้งยกชาขึ้นมาจิบ“ท่านแม่... ขอบคุณเจ้าค่ะ ข้ารักท่านแม่ที่สุด”หลัวลี่เซียนโผเข้าไปกอดมารดา พลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน นางหอมแก้มของมารดาซ้ายทีขวาทีอย่างเอาใจ หลี่ชิงเหมียวรู้สึกใจอ่อนยวบ สุดท้ายแล้ว นางก็ต้องพ่ายแพ้ให้บุตรสาวขี้อ้อนผู้นี้อยู่ร่ำไปหลัวอี้เฉินกับหลัวอี้เจ๋อ สองพ่อลูกที่สังเกตเห็นนางฟ้าตัวน้อย กำลังจะขึ้นอาชา ต่างก็รีบควบอาชากลับมา หลัวอี้เจ๋อเสนอตัวดูแลน้องสาวเอง เพราะอาชาที่หลัวลี
หลังจากที่หลี่ชิงเหมียวให้กำเนิดหลัวลี่เซียนได้ห้าปี เด็กหญิงก็เริ่มเดินตามรอยเท้าของบิดามารดา แม้เกิดเป็นหญิง แต่ผู้ใดกันที่บอกว่าสตรีอ่อนแอ แล้วนางจะต้องอ่อนแอ นางเองก็มีคนที่อยากจะปกป้องเช่นกัน“คุณหนูหลัว... ท่านแน่ใจหรือเจ้าคะ ว่าอยากจะฝึกวรยุทธ์จริงๆ” สตรีที่ดูมีความรู้ตรงหน้าเอ่ยถามลูกศิษย์ตัวน้อยออกมาด้วยความตกใจอาจารย์อี้ นางเป็นอาจารย์ที่หลี่ชิงเหมียว เชิญให้มาสอนบุตรีที่จวน โดยอาจารย์อี้ ได้จัดตารางการเรียนให้เด็กหญิงได้เรียนรู้ตัวอักษร และการฝึกคัดอักษรหลายวันที่ผ่านมาคุณหนูหลัวก็ดูตื่นเต้นดี ทว่าพอเวลาผ่านไปได้สิบวัน คุณหนูน้อยกลับกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ ว่าสิ่งที่อาจารย์เช่นนางสอนมานั้น นางรู้ทั้งหมดแล้ว เป็นท่านแม่ของนาง ที่เคยจับมือสอนนาง ให้เขียนพู่กัน ในยามที่นางยังวัยเพียงแค่สี่ขวบอาจารย์อี้ไม่อยากจะเชื่อ ในคำพูดของเด็กวัยห้าขวบ นางจึงได้ทำการทดสอบเด็กน้อย ทว่าคุณหนูหลัว ราวกับเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์มาตั้งแต่เด็ก นางสามารถเรียนรู้สิ่งใดได้อย่างรวดเร็ว จะเรียกได้ว่า รู้ความไวกว่าเด็กวัยเดียวกันก็ไม่ผิดและการที่นางได้พบกับอัจฉริยะตัวน้อยเช่นนี้ ทำให้อาจารย์อี้ รู้สึ