“นายท่าน... คุณชายใหญ่ ฮูหยินให้บ่าวมาเชิญพวกท่าน กลับไปกินมื้อเช้ากันได้แล้วเจ้าค่ะ วันนี้ฮูหยิน ท่านจะออกไปคำนับท่านปรมาจารย์ ที่อารามหลัวเซิง” สาวรับใช้เข้ามาเชิญเจ้านายทั้งสองตามคำสั่งของนายหญิง“ไปอารามหรือ... ข้าก็อยากจะไปด้วย” หลัวอี้เฉินเอ่ย ก่อนที่จะสั่งลูกน้อง แล้วชวนบุตรชายกลับจวน“พวกเจ้าแยกย้ายกันเถิด เจ๋อเอ๋อร์...พวกเราก็รีบกลับจวนไปกินมื้อเช้ากับท่านแม่และน้องสาวของเจ้ากัน”“ขอรับท่านหัวหน้า” บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชารับคำ“ขอรับท่านพ่อ...” หลัวอี้เจ๋อรับคำบิดาเช่นกัน สองพ่อลูกรีบพากันกลับจวนอย่างไม่รีรอ การปล่อยให้สตรีรอนาน ไม่ใช่สิ่งที่บุรุษพึงกระทำกู้จงกับกู้อี้ก็เอ่ยลาบรรดาสหายร่วมงานเช่นกัน เพราะพวกเขาต่างก็มีคนของตน รอกินมื้อเช้าพร้อมพวกเขาอยู่ที่เรือนบุรุษที่เหลือจึงพากันแยกย้าย พลางคิดในใจว่า การมีครอบครัวมันดีเพียงนี้เชียวหรือ ท่านหัวหน้าแต่ละคน ถึงได้ดูกระตือรือร้นเพียงนี้รถม้าของจวนตระกูลหลัว มุ่งหน้าออกจากจวนในยามซื่อ ยามนี้ครรภ์ของหลี่ชิงเหมียวมั่นคงแล้ว จึงทำให้การเดินทางระยะใกล้ไม่ลำบากมากนัก ไม่นานนักรถม้าของตระกูลหลัวก็มาถึงอารามหลัวเซิง ทว่าหลี่ชิงเหมี
หลี่ชิงเหมียวตั้งครรภ์ลูกคนที่สองของชาติภพนี้ หลังจากที่บุตรสาวคนโต มีอายุได้เพียงห้าปี ทว่านี่ก็นับว่านานมากพอ กว่าที่นางจะสามารถก้าวข้าม ความหวาดกลัว ที่เคยอยู่ภายในใจนางยอมหยุดยาสมุนไพร เพื่อที่จะปล่อยให้ตนเองตั้งครรภ์ ทว่าก็ใช้เวลานานนับหนึ่งปี กว่าที่เด็กคนนี้ จะมาเกิดกับตน“นี่ข้ากำลังจะมีลูกอีกคนแล้วจริง ๆ หรือ”ท่านหมอหลินกลับไปแล้ว ทว่าหลัวอี้เฉินยังคงตกอยู่ในภวังค์ เขาเฝ้าถามตนเองซ้ำๆ ว่าเขากำลังจะมีลูกอีกคนจริงๆ หรือ หลี่ชิงเหมียว แม่นมซิ่ว และอี้เหลียน มองไปยังชายหนุ่มด้วยแววตาขบขัน“นายท่านไม่ต้องประหลาดใจไปหรอกเจ้าค่ะ เป็นเพราะฮูหยินของพวกเรา หยุดดื่มยาสมุนไพรป้องกันการตั้งครรภ์ และดื่มยาสมุนไพรบำรุง เพื่อเตรียมการตั้งครรภ์มานานนับปีแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมซิ่วไขข้อข้องใจ ให้แก่นายท่านที่กำลังแสดงสีหน้าสับสนงุนงง กับเรื่องการตั้งครรภ์ของนายหญิง“จริงหรือ” หลัวอี้เฉินถามภรรยา นัยน์ตาคมมองไปยังนางเป็นประกายทว่าเขากลับยังคงไม่กล้าเข้าไปใกล้ เพราะก่อนหน้านี้ นางบอกว่ารู้สึกเหม็นกลิ่นกายของเขา ถึงได้อาเจียนออกมา ยามนี้เขายังไม่ได้อาบน้ำ จึงยังไม่กล้าเข้าไปใกล้นาง“จริงเจ้าค่ะ” หล
หลี่ชิงเหมียวนั่งอยู่ในศาลาพักผ่อนกับบุตรสาว ที่เอาแต่ร้องตะโกนให้กำลังใจพี่ชายก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมา“เซียนเอ๋อร์... เจ้าเองก็อยากลองขี่ม้าใช่หรือไม่” หลัวลี่เซียนหันขวับเดินเข้าไปออดอ้อนมารดา“เจ้าค่ะท่านแม่...”“ยามนี้เจ้ายังเยาว์วัยนัก ร่างกายก็ยังเติบโตไม่สมบูรณ์ ไม่อาจควบคุมอาชาตัวโตเช่นนั้นได้” สิ้นคำกล่าวของมารดา หลัวลี่เซียนก็แสดงสีหน้าผิดหวังออกมาทว่าก่อนที่จะนางจะแสร้งหลั่งน้ำตาขอความเห็นใจจากมารดาออกมา หลี่ชิงเหมียวก็แอบโบกมือให้บ่าวในสนามบ่าวผู้นั้นจูงอาชาตัวเล็กสีนิลเข้ามา หลัวลี่เซียนมองไปยังอาชาตัวน้อย ก่อนที่จะหันหน้ากลับมามองมารดานัยน์ตาเป็นประกาย หลี่ชิงเหมียวแสร้งยกชาขึ้นมาจิบ“ท่านแม่... ขอบคุณเจ้าค่ะ ข้ารักท่านแม่ที่สุด”หลัวลี่เซียนโผเข้าไปกอดมารดา พลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน นางหอมแก้มของมารดาซ้ายทีขวาทีอย่างเอาใจ หลี่ชิงเหมียวรู้สึกใจอ่อนยวบ สุดท้ายแล้ว นางก็ต้องพ่ายแพ้ให้บุตรสาวขี้อ้อนผู้นี้อยู่ร่ำไปหลัวอี้เฉินกับหลัวอี้เจ๋อ สองพ่อลูกที่สังเกตเห็นนางฟ้าตัวน้อย กำลังจะขึ้นอาชา ต่างก็รีบควบอาชากลับมา หลัวอี้เจ๋อเสนอตัวดูแลน้องสาวเอง เพราะอาชาที่หลัวลี
หลังจากที่หลี่ชิงเหมียวให้กำเนิดหลัวลี่เซียนได้ห้าปี เด็กหญิงก็เริ่มเดินตามรอยเท้าของบิดามารดา แม้เกิดเป็นหญิง แต่ผู้ใดกันที่บอกว่าสตรีอ่อนแอ แล้วนางจะต้องอ่อนแอ นางเองก็มีคนที่อยากจะปกป้องเช่นกัน“คุณหนูหลัว... ท่านแน่ใจหรือเจ้าคะ ว่าอยากจะฝึกวรยุทธ์จริงๆ” สตรีที่ดูมีความรู้ตรงหน้าเอ่ยถามลูกศิษย์ตัวน้อยออกมาด้วยความตกใจอาจารย์อี้ นางเป็นอาจารย์ที่หลี่ชิงเหมียว เชิญให้มาสอนบุตรีที่จวน โดยอาจารย์อี้ ได้จัดตารางการเรียนให้เด็กหญิงได้เรียนรู้ตัวอักษร และการฝึกคัดอักษรหลายวันที่ผ่านมาคุณหนูหลัวก็ดูตื่นเต้นดี ทว่าพอเวลาผ่านไปได้สิบวัน คุณหนูน้อยกลับกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ ว่าสิ่งที่อาจารย์เช่นนางสอนมานั้น นางรู้ทั้งหมดแล้ว เป็นท่านแม่ของนาง ที่เคยจับมือสอนนาง ให้เขียนพู่กัน ในยามที่นางยังวัยเพียงแค่สี่ขวบอาจารย์อี้ไม่อยากจะเชื่อ ในคำพูดของเด็กวัยห้าขวบ นางจึงได้ทำการทดสอบเด็กน้อย ทว่าคุณหนูหลัว ราวกับเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์มาตั้งแต่เด็ก นางสามารถเรียนรู้สิ่งใดได้อย่างรวดเร็ว จะเรียกได้ว่า รู้ความไวกว่าเด็กวัยเดียวกันก็ไม่ผิดและการที่นางได้พบกับอัจฉริยะตัวน้อยเช่นนี้ ทำให้อาจารย์อี้ รู้สึ
หลังจากมื้ออาหารเย็นพ้นผ่าน หลัวอี้เฉินก็ได้ติดตามภรรยา ไปยังห้องนอนของบุตรี เพื่อดูหลัวลี่เซียน นางฟ้าตัวน้อยซึ่งยามนี้ตื่นมาเล่นพอดี ในขณะที่บิดามารดา ก้าวเข้ามาภายในห้อง คุณหนูน้อยเห็นเข้า ก็รีบเดินแกมวิ่งเข้ามาหาทันที“เซียนเอ๋อร์... ค่อยๆ เดินสิลูก หากเจ้าล้มลงไปได้รับบาดเจ็บขึ้นมา แม่ก็คงปวดใจอีก” หลี่ชิงเหมียวย่อกายรับบุตรสาว อุ้มนางขึ้นมาในอ้อมแขน แล้วพาร่างเล็กไปนั่งลงบนตั่งตัวยาวหลัวอี้เจ๋อเดินตามสองแม่ลูกไป นัยน์ตาคมกวาดมองไปรอบๆ ภายในห้องนอนของหลัวลี่เซียนค่อนข้างโล่ง เพราะตั้งแต่ที่นางเดินได้ หลี่ชิงเหมียวก็สั่งให้สาวรับใช้ เก็บห้องนี้ให้เรียบร้อย เพราะเกรงว่าบุตรสาวในวัยกำลังเดิน จะได้รับอันตรายจากของตกแต่งห้องเหล่านั้น“วันนี้เซียนเอ๋อร์ของพ่อเป็นเด็กดีจริงๆ” หลัวอี้เฉินเดินไปนั่งลงข้างกายภรรยา พลางยื่นมือไปลูบศีรษะของบุตรีหลัวลี่เซียนยังเด็ก ไม่รู้ความในสิ่งที่ผู้ใหญ่กล่าวมามากนัก นางจึงหันไปนั่งเล่นตุ๊กตาผ้าที่มารดาทำให้ เด็กหญิงติดตุ๊กตาตัวนี้มาก เพราะมันอยู่ข้างกายนางมานาน“ฮูหยิน... นี่ใช่ตุ๊กตาที่เจ้าเย็บให้นาง ในวันครบรอบหกเดือนของนางใช่หรือไม่” หลัวอี้เฉินเอ่ย
หลี่ชิงเหมียวมองดูร่างเล็ก ที่นอนอยู่ในเปล ด้วยแววตาอ่อนโยน ชีวิตนี้นางโชคดี ที่ได้มีโอกาส เฝ้ามองบุตรสาวเติบโต ยามที่ริมฝีปากเล็กนั้น คาบอยู่บนถันงามของนาง ให้ความรู้สึกทั้งจักจี้ และซึ้งใจการเป็นมารดานั้น แม้จะเริ่มต้นจากความยากลำบาก แต่ถ้าหากสามารถก้าวผ่าน การให้กำเนิดมาได้ ย่อมได้พบกับปลายทางที่มีความสุขหลังจากที่นางพักฟื้นร่างกายจนมีเรี่ยวแรง นางก็เลือกที่จะให้นมหลัวลี่เซียนด้วยตนเอง แม่นมที่เคยให้นมคุณหนูน้อยช่วงแรกเกิดจึงไม่ได้ทำหน้าที่ต่อ จนบัดนี้บุตรสาวถึงวัยปิดนมแล้ว“ซู่อิง... ท่านเขยใกล้จะกลับมาแล้ว เจ้าไปสั่งให้คนจัดอาหารขึ้นโต๊ะเถิด”หลี่ชิงเหมียวหันไปเอ่ยกับซู่อิง สาวรับใช้คนใหม่ของนาง เพราะหลังจากอี้เหลียนออกเรือน นางอยากให้เวลาส่วนตัวกับสาวรับใช้คนสนิทมากขึ้น จึงได้รับสาวรับใช้ข้างกายมาเพิ่มอีกสองคน คนหนึ่งนั้นคอยช่วยอี้เหลียนรับใช้นาง ส่วนอีกคนคอยช่วยดูแลหลัวลี่เซียน“เจ้าค่ะฮูหยินน้อย” ซู่อิงรับคำ จากนั้นจึงรีบออกจากห้องนอนของคุณหนูน้อย มุ่งหน้าไปยังโรงครัว เพื่อสั่งให้คนจัดเตรียมอาหารขึ้นโต๊ะ ก่อนที่นายท่านจะกลับมาถึงหลี่ชิงเหมียวเดินกลับไปนั่งอยู่ที่ตั่งตัวยาว