Masukรุ่งเช้า
สุทธิดาและลูกสาวตัวน้อยของเธอถูกย้ายเข้ามาอยู่ที่ห้องพักฟื้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเป็นการเดินเรื่องจัดการของวรากรทั้งหมด ทั้งการเดินเรื่องเอกสารต่าง ๆ และห้องพักพิเศษแบบวีไอพีนี้อีกด้วย
“ธิดา เป็นยังไงบ้าง” เสียงหญิงสาวเอ่ยทักขึ้น เมื่อเดินเข้ามาภายในห้องพักฟื้นของผู้ป่วยแบบวีไอพี ที่สามารเข้ามาหลายคนได้
ปาณิศา หรือ ปลา หญิงสาววัย 28 ที่พึ่งเข้าประตูวิวาห์ไปเมื่อคืน และเป็นลูกสาวเจ้านายของบิดาเธอ ทั้งสองนับถือกันเหมือนเช่นพี่น้อง และตอนนี้ก็ไม่มีคำว่าเจ้าและลูกน้องอีกต่อไป เพราะทุกคนมาอยู่ที่นี่กันฉันญาติพี่น้อง อยู่แบบเท่าเทียมไม่มีแบ่งแยกชนชั้น
“พี่ปลา พี่วิชญ์ ธิดาขอโทษนะคะ ที่ทำให้คืนเข้าหอของพวกพี่วุ่นวายไปหมดเลย” สุทธิดามองไปที่คนทั้งสองด้วยความรู้สึกผิด รีบเอ่ยขอโทษคนทั้งสองอย่างรู้สึกผิดที่เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น ในคืนเข้าหอของคนทั้งสอง แต่ลูกสาวของเธอดันมาเลือกเกิดได้ถูกวันอีก
“อย่าโทษตัวเองเลยธิดา พี่ว่าน่ายินดีออกใครจะไปรู้ล่ะ ว่าเจ้าตัวแสบจะเลือกมาเกิดได้ถูกวัน แล้วนี่ไอ้กรมันไปไหน...” เสียงทุ้มของชายหนุ่มเอ่ยพูดกับเธอ แต่สายตากลับมองหาอีกคนที่คิดว่าจะอยู่ในห้องนี้ด้วย แต่ก็ไม่เห็นมีใคร จึงถามหาทันที
ชนาวิชญ์ หรือ วิชญ์ อดีตนักแสดงหนุ่มวัย 24 ปี ที่ตอนนี้กลับมาผันตัวเป็นชาวสวนสร้างอาชีพและธุรกิจอยู่ที่บ้านเกิด
“ไปจัดการเรื่องเอกสารการแจ้งเกิดของลูกอยู่ค่ะ” สุทธิดาตอบชนาวิชญ์ออกไปตามตรง เพราะไม่มีอะไรที่จะต้องปิดบังหรือเก็บเป็นความลับอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อทุกคนก็คงจะรู้กันหมดแล้วว่าใครเป็นพ่อของลูกเธอ
“แล้วหลานพี่เป็นยังไงบ้าง” ปาณิศารีบเปลี่ยนเรื่องเมื่อสังเกตเห็นใบหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของสุทธิดา เธอจึงถามถึงหลานสาวที่พึ่งลืมตาดูโลก
“แข็งแรงดีค่ะ จ้ำม่ำมากเลยพี่ปลา” สุทธิดาเอ่ยตอบไปตามตรง รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าให้ดูสดใสขึ้นมาทันที เมื่อเอ่ยถึงลูกสาวตัวน้อยของเธอ
“หลานลุงชื่ออะไรดีครับ” ชนาวิชญ์จึงเดินไปที่ตรงหลานสาวกำลังหลับอยู่ก่อนจะเอ่ยหยอกล้อด้วยน้ำเสียงน้ำที่นุ่มนวลแสนอบอุ่น เพราะเขาเองก็มีลูกชายตัวน้อยเหมือนกัน ตอนนี้อายุพึ่งได้สามเดือน กำลังเป็นที่รักของทุกคนที่บ้านสวนเลย
“น้องวิวาห์ค่ะ” สุทธิดาบอกออกไปตามที่เธอพึ่งคิดขึ้นมาได้หมาด ๆ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ฉุกละหุกเมื่อคืนที่ผ่านมา
“หืม...” ชนาวิชญ์เลิกคิ้วขึ้นอย่างนึกแปลกใจ ทำไมเธอถึงตั้งชื่อลูกแบบนี้ แต่เขาก็คิดว่าน่ารักดีแถมน่าฟังอีกต่างหาก
“ก็หลานของพี่เลือกคลอดวันที่ลุงวิชญ์กับป้าปลาเข้าประตูวิวาห์พอดียังไงค่ะ” สุทธิดาบอกออกมากับทุกคน
“ดีน่ะ ไม่ให้ชื่อ น้องเข้าหอ...” ศุภวัฒน์ที่พึ่งเปิดประตูเข้ามาภายในห้อง ได้ยินในประโยคของสุทธิดาพูดพอดี จึงเอ่ยแซวเจ้าบ่าวเจ้าป้ายแดงขึ้นมา
“มึงก็พูดสะกูเห็นภาพเลยไอ้เวย์ นั่นมันชื่อลูกกูนะเว้ย” วรากรที่เดินมาตามหลังทันได้ยินในสิ่งที่ศุภวัฒน์พูดก็ตำหนิขึ้นมา เพราะภายในห้องนี้ ยังมีเด็กสาวตัวเล็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะอยู่ร่วมด้วย
“ทำไมไปนานจังว่ะ” ชนาวิชญ์ถามขึ้น เมื่อวรากรและศุภวัฒน์พึ่งจะกลับมา
ศุภวัฒน์ที่ในมือถือของพะรุงพะรัง เดินเอาของวางแล้วทิ้งตัวนั่งลงตรงโซฟาตัวว่างติดกับเด็กสาว โดยที่ไม่ได้พูดอะไร
“ก็พึ่งเคยทำอะไรแบบนี้ครั้งแรกไหม กูก็ทำผิด ๆ ถูก ๆ” วรากรพูดบอกไปตามตรง เพราะเขาเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ใครจะคิดว่าการมางานแต่งของเพื่อน เขาจะได้เป็นพ่อคน แล้วมาทำอะไรแบบนี้ แต่ก็รู้สึกดีเป็นบ้าเลย ตื่นเต้นที่ได้ลองทำในสิ่งที่ไม่เคย ตั้งแต่ได้เขาไปห้องคลอดเห็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองคลอดออกมาแล้ว
“ไหนกูดูหน่อย ว่าหลานสาวกูชื่ออะไร” ชนาวิชญ์ถามพร้อมกับยื่นมือไปขอเอกสารกับวรากร
วรากรจึงส่งเอกสารสูติบัตรที่เขาพึ่งไปทำเรื่องมาหมาด ๆ นั้น ให้แก่เพื่อนทันที ก่อนที่จะเดินเข้าไปหาลูกสาวตัวน้อยที่กำลังหลับปุ๋ยอยู่
“เด็กหญิงกรธิดา พายุภัทร” เป็นปาณิศาเองที่อ่านชื่อในเอกสารสูติบัตรใบนี้ขึ้นมา พร้อมกับรอยยิ้มยินดี
“ทำไมถึงได้ชื่อนี้เหรอ” ชนาวิชญ์เลิกคิ้วถามถึงคนเป็นพ่อแบบไม่ทันตั้งตัว ที่ตั้งชื่อนี้ให้กับหลานสาวของเขา
“ตอนนั้นกูคิดอะไรไม่ออกนี่หว่า ตื่นเต้นจนแทบทำอะไรไม่ถูก เลยลืมถามความเห็นจากแม่เขาไปด้วย เลยเอาชื่อกูกับชื่อแม่เขามารวมกัน...” วรากรเอ่ยตอบออกไปตามตรง เพราะเขาคิดอะไรไม่ออกจริง ๆ แล้วตอนนี้ก็ยังไม่หายตื่นเต้นเลย
“กูก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่เพราะดีน่ะ น้องวิวาห์ กรธิดา”
“ธิดาไม่ว่าอะไรนะ ที่ตั้งชื่อลูกโดยไม่ได้ถามอะไรก่อน” วรากรจึงหันมาถามความเห็นจากคนเป็นแม่ของลูก ที่เขาทำอะไรตามอำเภอใจโดยไม่ปรึกษาเธอก่อน
“อืม...ในเมื่อหมดหน้าที่ของคุณแล้ว ตอนนี้ก็กลับไปเถอะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่ช่วยเป็นธุระจัดการเรื่องทุกอย่างให้เป็นอย่างดี” สุทธิดาพยักหน้าให้เขาอย่างเข้าใจ แล้วเอ่ยขอบคุณและบอกเขาไปเชิงว่าให้เขากลับไปได้แล้ว
“แต่...” วรากรกำลังจะเอ่ย
“ออกไปกับกูก่อน...”
เมื่อเห็นท่าไม่ดี ชนาวิชญ์จึงดึงวรากรให้ออกไปจากตรงนี้ก่อน เพราะกลัวว่าเพื่อนจะใจร้อนทำอะไรวู่วาม อาจทำให้สุทธิดาไม่พอใจ แล้ววรากรจะไม่ได้เข้าใกล้ลูกอีก
ศุภวัฒน์มองหน้าเด็กสาวที่นั่งอยู่โซฟาคนเดียวอย่างพิจารณา ซึ่งน่าจะเป็นน้องสาวของชนาวิชญ์แหละ หากว่าเขาเดาไม่ผิด
“แนมอีหยัง บ่เคยเห็นคนงามบ้อ” (มองอะไร ไม่เคยเห็นคนสวยเหรอ) เสียงเล็กของเด็กสาวถามขึ้นมาทันที เมื่อสังเกตุเห็นสายตาคมนี้แอบมองเธอมาสักพักแล้ว
ชนิดา หรือ หนูนิด หนูน้อยวัยใส อายุ 12 ปี เป็นน้องสาวแท้ ๆ เพียงคนเดียวของชนาวิชญ์ ที่อายุห่างกันตั้งสิบสองปี
“เด็กแสบ หัดพูดกับผู้ใหญ่ให้มันเพราะ ๆ หน่อย” ศุภวัฒน์ตวาดสายตามองอย่างคาดโทษพูดกับเด็กสาวอย่างไม่ค่อยพอใจ อย่าบอกน่ะว่าพ่อแม่เดียวกัน นิสัยต่างจากพี่ชายราวฟ้ากับเหว
“ข่อยสิเว้าม่วน แต่กับคนที่ข่อยอยากเว้านำทอนั่นล่ะ” (หนูจะพูดเพราะ แต่กับคนที่หนูอยากพูดด้วยเท่านั่นแหล่ะ) พูดแล้วก็หันหน้าไปมองดูจอทีวีอย่างไม่สนใจ
ศุภวัฒน์มองหน้าชนิดาแล้วขำในลำคอพร้อมกับส่ายหน้าอย่างระอาให้กับความดื้อของเด็กสาว แล้วจึงถอนหายใจพรืดอย่างหนักใจ ก่อนที่จะลุกขึ้น เดินออกไปตามเพื่อนของเขาทั้งสอง
กัลยาณมิตรที่ดีบ้านสวนปานวิชญ์“กลับเฮือนมึงไปได้แล้วบักโก ให้เวลาสองแม่ลูกเขาได้พักผ่อนแหน่” (กลับบ้านมึงไปได้แล้วไอ้โก ให้สองแม่ลูกเขาได้พักผ่อนหน่อย) ชนาวิชญ์เอ่ยขึ้นมาทันที เมื่อยังเห็นเพื่อนของเขาอยู่ที่บ้านของสุทธิดาตั้งแต่เช้ายังไม่ยอมกลับไป“กูสิกลับอยู่ดอก มึงกะอย่าฟ้าวไล่กูหลาย” (กูจะกลับอยู่หรอก มึงก็อย่าพึ่งไล่กูสิ) โกสินทร์ทำเป็นไขสือและเอ่ยตอบด้วยวาจาที่ดูเหน็บแนมคนพูด“มึงจำคำที่กูเว้าได้บ่” (มึงจำคำที่กูพูดได้ไหม)“ฮืม...”โกสินทร์จำได้ดีว่าชนาวิชญ์เคยพูดอะไรกับเขาไว้บ้าง แต่เพราะตัวเขาเองยังปรับปรุงตัวเองไม่ได้ และเป็นความเคยชินที่เขานั้นมักจะมุกขลุกอยู่ที่นี่เป็นประจำ เรื่องทำงานเขาได้งานทำแล้ว แค่รอวันที่ถูกเรียกตัวเท่านั้น“จำได้กะเฮ็ดให้มันได้นำแหน่” (จำได้ก็ทำให้มันได้ด้วย) ชนาวิชญ์ตอกย้ำอีกที“กลับก่อนนะธิดา” โกสินทร์จึงหันมาบอกกลับเจ้าของบ้านหลังนี้ ที่เขาใช้เวลามานั่งเล่นอยู่เกือบทั้งวันแล้ว“...” สุทธิดาได้แต่พยักหน้ารับ แล้วก็หันมาสนใจลูกสาวตัวน้อยขของเธอต่อโกสินทร์มองหน้าคุณแม่ลูกอ่อนด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ก่อนจะยอมลุกขึ้น แล้วเดินออกไปจากบ้านหลังนี้“วัน
แค่หวังดีต่อกัน“อย่ามาพูดปากเปล่าโดยที่ไม่มีอะไรมายืนยัน แกกุเรื่องขึ้นมาเพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ต้องหมั้นกับหนูหรือเปล่าใครจะไปรู้” อภิเดชสวนขึ้นมาบ้างวรากรจึงลวงโทรศัพท์มือถือของเขาในกระเป๋ากางเกงออกมา แล้วเปิดข้อมูลอะไรในหลาย ๆ อย่างที่เขาถ่ายเก็บไว้ ส่งให้พวกท่านดู“พ่อกับแม่ดูเอาเองดีแล้วกันครับ ว่าผมกุเรื่องขึ้นมาหรือเปล่า”“นี่มัน...”อรอนงค์ เมื่อได้เห็นกับตาตัวเอง ในสิ่งที่ลูกชายบอกมานั้น กลับต้องเบิกตาโพลง เพราะไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง“ครับ ถ้ายังไม่ชัดเจนพอ พ่อก็เลื่อนไปอีกจะมีใบสูติบัตรที่ผมแอบถ่ายเก็บไว้อยู่ด้วย เพื่อยืนยันว่าเป็นลูกของผม” วรากรพยักหน้ารับ แล้วเอ่ยบอกอีกครั้ง“กรธิดา พายุภัทร บิดาผู้ให้กำเนิด วรากร พายุภัทร มารดาผู้ให้กำเนิด สุทธิดา นพวงศ์” เป็นอภิเดชเองที่เป็นคนอ่านข้อมูลในนั้นออกมาเสียงดัง“วันเกิดนี้มัน...” อรอนงค์ตาลุกวาวขึ้นมาอีกครั้ง เพราะตกใจในสิ่งที่ได้เห็น“ครับ ลูกสาวผมเกิดในวันที่ไอ้วิชญ์แต่งงาน แม่เขาเลยให้ชื่อ น้องวิวาห์” วรากรจึงเล่าบอกกับพวกท่านทั้งสองอีกครั้งใจแกร่งของผู้เป็นเต้นกระส่ำแทบจะทะลุออกมาจากอก เมื่อรับรู้ว่าตัวเองมีหลานสาว คน
เพราะผมเป็นผู้ชายคนแรกของเธอ“แม่ค่ะ ดูกรเขาไม่ค่อยพอใจที่พวกเรามาคุยเรื่องนี้กันเลยนะ” พลอยไพลินเอ่ยกับผู้เป็นแม่ ขณะที่กำลังนั่งรถออกมาจากบ้านหลังนั้นได้ไม่ไกลนัก“ไม่พอใจแล้วยังไงละลูก ตากรน่ะไม่กล้าขัดใจป้าอรกับลุงเดชหรอก” เพ็ญพรรณีเชิดหน้าพูดขึ้นอย่างมั่นหน้า และมั่นใจว่าเรื่องนี้ต้องสำเร็จไปตามที่เธอคาดหวังเอาไว้แน่นอน“ทำไมละคะ” พลอยไพลินได้แต่เลิกคิ้วถามผู้เป็นแม่ออกไป เพราะอะไรกันถึงทำให้มารดาเธอมั่นใจขนาดนี้“เพราะว่า จริง ๆ แล้ว ตากรไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของป้าอรกับลุงเดชยังไงละลูก” เพ็ญพรรณีจึงยอมบอกความจริงกับลูกสาวออกไป“หมายความว่า?”“ตากรเป็นเด็กกำพร้า ที่ลุงเดชกับป้าอรเขาไปขอรับมาเลี้ยง”“...” พลอยไพลินนิ่งอึ้งเมื่อรับรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้“พวกเขาทั้งสองคนมีบุญคุณกับตากรมากขนาดนั้น ใครจะกล้าขัดละลูกว่าจริงไหม ยังไงตากรกับลูกต้องได้หมั้นกันแน่นอน” เพ็ญพรรณีพูดกับลูกสาวอย่างมั่นใจ“แต่...”ถึงพลอยไพลินจะเชื่อว่าวรากรไม่กล้าขัดคำสั่งของผู้มีพระคุณ แต่เธอก็ยังมีความกังวลหนักใจอยู่ดี เพราะดูแล้ววรากรไม่ใช่คนที่จะควบคุมได้ง่ายเลย“เชื่อแม่เถอะ เรื่องนี้ให้แม่กับอรจัดการเอง
ไม่ใช่แฟนครับ“สรุปว่าเรื่องหมั้นหมายมันยังไงกันแน่ครับ พ่อแม่” วรากรเอ่ยถามผู้เป็นพ่อและแม่ขึ้นมาอีกครั้งทันที ที่แขกผู้มาเยือนกลับออกไปแล้ว“แม่กับอรเราเคยให้คำมั่นสัญญากันไว้ตั้งแต่ที่พวกเรายังไม่มีครอบครัวแล้ว ว่าหากพวกเรามีลูกเราทั้งสองจะผูกดองกัน แล้วจะให้ลูกของพวกเราได้หมั้นหมายและแต่งงานกัน” อรอนงค์จึงบอกความจริงเรื่องในอดีตของเธอกับเพื่อนให้วรากรได้ฟัง ส่วนสามีนั้นอรอนงค์ก็พึ่งเล่าบอกไปเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง“เพราะเหตุนี้หรือเปล่าครับ ที่พ่อกับแม่ไปขอผมมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เพียงเพราะสิ่งนี้หรือเปล่าครับ” วรากรถามขึ้นมาทันทีที่ผู้เป็นแม่เล่าให้ฟัง เพราะเขาเองก็อยากรู้เช่นกันว่าที่พวกท่านเอาเขามาเลี้ยง เพียงเพื่อให้ตอบแทนบุญคุณของพวกท่านเท่านั้น ไม่มีความรักความผูกพันใด ๆ เลย ใบหน้ารู้สึกผิดหวังเผยออกมาอย่างเห็นได้ชัด“เรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวกับเรื่องหมั้นหมายเลยนะกร” อภิเดชจึงแทรกขึ้นมาบ้าง เกรงว่าลูกชายจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้“จะไม่เกี่ยวได้ยังไงครับพ่อ นี้มันเรื่องใหญ่ในชีวิตผมเลยนะครับพ่อ”“จริงอยู่ที่พ่อกับแม่เราไม่มีทายาทไว้สืบสกุล แต่ที่พ่อกับแม่รับกรมาเลี้ยงนั้น เพร
ถึงเวลาที่ต้องทำเพื่อแม่แล้ว“เป็นจังใด๋ล่ะ กูเอิ้นนำกะบ่ทัน” (เป็นยังไงล่ะ กูเรียกไว้ก็ไม่ทัน) ชนาวิชญ์เอ่ยขึ้นมาทันที ที่เห็นโกสินทร์เดินกลับมาด้วยสีหน้าที่ดูจะผิดหวัง“บักหมอนั่น คือได้มาอยู่นี่” (ไอ้หมอนั่น ทำไมได้มาอยู่ที่นี่) โกสินทร์ถามขึ้นมาทันที“กะมันคือหมู่กู และเป็นพ่อของลูกธิดานำ” (ก็มันเป็นเพื่อนกู และเป็นพ่อของลูกธิดาด้วย)“กูกะเป็นหมู่มึง แต่กูคือบ่มีสิทธิ์ได้...” (กูก็เป็นเพื่อนมึง แต่ทำไมกูถึงไม่มีสิทธิ์ได้...) โกสินทร์ถามกลับอย่างไม่เข้าใจ เพราะตนเองก้เป็นเพื่อนกับชนาวิชญ์เช่นกัน แต่ทำไมเขาถึงไม่มีสิทธิ์พิเศษเหมือนกับวรากร“บักโก! มึงคิดว่ากูลำเอียงเห็นมันดีกว่ามึงแม่นบ่” (ไอ้โก! มึงคิดว่ากูลำเอียงเห็นมันดีกว่ามึงใช่ไหม)“...” โกสินทร์ได้แต่อ้ำอึ้งไม่ตอบ“กูสิบอกให้นะบักโก บักกรมันกะเป็นหมู่กูคือกัน แล้วมึงกะเป็นหมู่ของกู ทั้งมึงและมัน กูกะฮักและหวังดีนำทั้งสอง แต่ที่มันได้มาอยู่นี่ เพราะว่ามันบ่แมนคนแถวนี้ ส่วนมึงเฮือนอยู่แค่ปากทางมึงสิมาเฮือนกูยามใด๋กะได้” (กูจะบอกมึงให้นะไอ้โก ไอ้กรมันก็เป็นเพื่อนกูเหมือนกัน แล้วมึงก็เป็นเพื่อนของกู ทั้งมึงและมัน กูก็รักและหวังดี
ออกคำสั่งก๊อก ก๊อก ก๊อกเสียงเคาะประตูไม้สักดังขึ้นอยู่ที่หน้าบ้านดังอยู่หลายครั้ง วรากรมองไปยังประตูห้องน้ำที่ปิดสนิทพร้อมกับความเงียบ เขาจึงเป็นฝ่ายเดินไปเปิดประตูเสียเอง“มาทำไม?” เสียงราบเรียบเอ่ยขึ้น เมื่อเปิดประตูบ้านออกมา แล้วเจอกับเจ้าของใบหน้าที่เขาไม่ค่อยชอบหน้าเสียเลย และในตอนนี้ก็ยืนอยู่ที่หน้าบ้านของสุทธิดาแล้วทันทีที่ประตูเปิดออก คนที่ยืนอยู่หน้าประตูบานนั้นกลับเบิกตากว้างขึ้นมาทันที เพราะคนที่เปิดประตูออกมานั้นไม่ใช่หญิงสาวที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้“คุณ! มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” น้ำเสียงตะกุกตะกักถามออกไปอย่างตกใจที่เจอเขาอยู่ที่นี่แถมยังอยู่ในบ้านของสุทธิดาอีกด้วยใจหนึ่งก็นึกอิจฉาที่เขาได้รับอภิสิทธิ์ให้เข้าไปด้านในได้ เพราะตั้งแต่ที่เธอแยกออกมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ เขาก็มาหาเธอแทบทุกวันแต่ก็ไม่เคยได้เข้าไปสำรวจด้านในเลย อย่างมากก็ได้นั่งอยู่แค่ระเบียงหน้าบ้านเท่านั้นแต่กับวรากรเขาที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อของลูกสาวสุทธิดานั้น กลับอยู่เหนือเขาเสียทุกอย่างแถมยังได้รับอนุญาตเข้าออกได้อย่างง่ายดายอีกมันน่าน้อยใจนัก แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรได้“ทำไมผมจะมาไม่ได้ ก็ลูกผมอยู่ที่







