เข้าสู่ระบบจังหวะที่ชนาวิชญ์ลากกำลังวรากรออกมาจากห้องพักฟื้นของสุทธิดานั้นเอง สายตาคมของวรากรก็มองเห็นชายหนุ่มสองคน เดินสวนทางผ่านหน้าเขาไป มุ่งตรงเข้าไปข้างในห้องที่พึ่งเขาถูกลากออกมาพอดี
“ไอ้วิชญ์! มึงจะลากกูออกมาทำไมวะ” ทันทีที่เดินออกมาจากห้องถึงทางบันไดหนีไฟ วรากรก็ถามขึ้นด้วยความไม่พอใจทันที ที่จู่ ๆ ชนาวิชญ์ลากเขาออกมาจากห้อง
“มึงช่วยใจเย็น ๆ ก่อนได้ไหมไอ้กร ควบคุมอารมณ์ของตัวเองหน่อย กูรู้ว่ามึงกำลังจะพูดอะไร” ชนาวิชญ์ตวาดเสียงเข้มดุใส่ เพราะเพื่อนเริ่มจะโวยวายควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่อยู่
เขารู้ดีว่าอาการเป็นหวงลูกในฐานะคนเป็นพ่อนั่นเป็นเช่นไร เพราะตัวเองก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน หวงลูกชายแทบไม่อยากให้ใครเข้าใกล้ แถมวรากรยังได้ลูกสาวอีก ก็คงต้องหวงเป็นธรรมดา
“แต่ไอ้นั้นมัน...”
“สองคนนั้นมันก็เพื่อนกู แล้วมึงกับไอ้เวย์ก็เพื่อนกู พวกมึงต่างก็เป็นเพื่อนที่กูรักและหวังดีทั้งนั้น” ชนาวิชญ์ย้ำกับเขาถึงสถานะของความเป็นเพื่อนกัน ว่าเขาไม่ได้เข้าข้างหรือโอนเอนไปทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลย ถึงแม้ว่ากับอีกฝั่งนี้เขาจะรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กเพราะอยู่หมู่บ้านเดียวกันก็ตาม
“แต่มันกำลังจะ...”
“กูรู้ว่ามึงหวงลูก” ชนาวิชญ์พูดสวนขึ้นมาก่อน เพราะเขารู้ดีว่าตอนนี้วรากรกำลังคิดเช่นไร มีทั้งดีใจและกำลังสับสนเพราะสถานะที่ยังไม่ชัดเจนกับแม่ของลูก
“กูก็ต้องหวงลูกกูอยู่แล้ว แต่ไอ้หมอนั่นมันจะมาแย่งตำแหน่งพ่อไปจากกู มึงก็เห็นไอ้วิชญ์”
“กูเห็นอยู่ แล้วกูก็รู้ด้วยว่าไอ้โกมันชอบธิดา แต่สถานะของความเป็นพ่อลูกกัน ไม่มีใครมาแย่งตำแหน่งมึงไปได้หรอกไอ้กร” ชนาวิชญ์จึงบอกความจริงอีกเรื่องไปกับวรากร เพราะรู้เห็นมาตลอดว่าเพื่อนสมัยเด็กของเขารู้สึกเช่นไรกับสุทธิดา
“มึงรู้ แล้วทำไมมึงต้องให้มันเข้าใกล้ธิดาด้วย หรือว่ามึงเห็นมันดีกว่ากู”
“มึงมีเหตุผลหน่อยไอ้กร เป็นพ่อคนแล้วนะ กูไม่ได้เห็นใครดีกว่าใครทั้งนั้น ตอนนี้ธิดาถือว่าเป็นคนของกูมึงอย่าลืมสิ แต่กูก็ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของธิดาด้วย ธิดาจะทำอะไรคบกับใครกูกับปลาก็ได้แค่ให้คำแนะนำกับปรึกษาเท่านั้น ส่วนเรื่องลูกของมึง ยังไงตอนนี้มึงคือพ่ออยู่แล้ว แต่จะมีสิทธิ์มากน้อยแค่ไหนมันก็ขึ้นอยู่กับแม่ของเขา ใจเย็นแล้วค่อยหาทางออกร่วมกันไม่ดีกว่าเหรอ” ชนาวิชญ์พยายามพูดอย่างมีเหตุผล เพราะตอนนี้ตัวเองถือว่าเป็นคนกลาง
“แต่กูเย็นไม่ได้”
“กูเข้าใจว่ามึงหวงลูก แต่ตอนนี้กูอยากให้มึงมีสติ รอให้ธิดาออกจากโรงพยาบาลก่อน แล้วค่อยไปตกลงกันว่าจะเอายังไงต่อ”
“กูก็จะรับผิดชอบไง”
“มึงต้องรอคุยกับธิดาเอาเอง ว่าเขาจะเอายังไง จะยอมรับข้อเสนอจากมึงไหม”
“มึงต้องการแค่จะรับผิดชอบลูก หรือว่าทั้งสองคนว่ะไอ้กร” ศุภวัฒน์ถามขึ้นบ้าง หลังจากที่ยืนฟังเพื่อนทั้งสองอย่างเงียบ ๆ อยู่นาน
“ลูกกูกูต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว แต่กับธิดากู...” เรื่องลูกสาวที่พึ่งเกิดมาเขาตอบออกไปแบบไม่ต้องคิดและตอบอย่างมั่นใจ แต่กับแม่ของลูกแน่นอนว่าเขาต้องมีความลังเลอยู่แล้ว เพราะกำลังสับสนกับความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้
“เรื่องลูก กูว่าธิดาคงไม่ใจดำที่จะกีดกันขนาดนั้นหรอกไม่เช่นนั้นคงไม่ให้มึงรับรองบุตรและใช้นามสกุลมึงหรอก แต่กับตัวของธิดาเองกูอยากให้มึงกลับไปคิดทบทวนตัวเองดู ว่ารู้สึกกับเขาแบบไหนกันแน่ ไม่ใช่ว่ามึงจะห่วงก้างไปทั่วแบบนี้ ทั้งที่ตัวเองก็มีคนนอนกกอยู่” ชนาวิชญ์เสริมขึ้นมาอีกครั้ง เพราะรู้ดีว่าสุทธิดาเป็นคนแบบไหน แต่เรื่องหัวใจของเธอ เขาไม่อาจรู้ได้หรอก และก็ไม่ลืมที่จะบอกกับวรากรออกไปด้วยว่าควรจะทำเช่นไรต่อจากนี้
“กูจะรีบจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยให้เร็วที่สุด” วรากรพูดอย่างมั่นใจ เพราะตอนนี้ตัวเองมีเป้าหมายและหน้าที่สำคัญต้องรับผิดชอบอยู่
คนที่อยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอดไม่เคยรู้จักคำว่าครอบครัวแบบเขาถึงแม้ฐานะจะดีแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยเข้าใจกับคำว่าครอบครัวที่อบอุ่น พอได้เป็นพ่อคน กลับทำให้เขามีความรู้สึกและทัศนคติเปลี่ยนไปทันทีความอบอุ่นภายในใจก่อเกิดขึ้นมาจนไม่อยากแยกจากกันเลย
“รีบ ๆ ไปจัดการ และเคลียร์ตัวเองให้เรียบร้อย ถ้ามึงรู้สึกกับแม่ของลูก ก็แค่เดินหน้าเริ่มต้นจีบไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย” ชนาวิชญ์พูดขึ้นมาอีก เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาอะไรตามมาทีหลัง เพราะเขาเองก็พึ่งจะเข้าใจความรักที่แท้จริงเมื่อไม่นานมานี้เอง เกือบจะเสียคนที่เขารักและรักเขาไปเพราะเรื่องราวในอดีตที่ยังค้างคาไม่ชัดเจน
“ที่ไอ้วิชญ์พูดก็ถูกของมัน มึงลองใช้เวลาอยู่กับตัวเองดู ลองคิดทบทวนในสิ่งที่ตัวเองต้องการเอาตามความรู้สึกของมึงเองนะ ไม่ใช่ตามความต้องการของใคร” ศุภวัฒน์ได้แต่ช่วยพูด เพราะเขาเองก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องพวกนี้ พูดอะไรมากก็ไม่ได้ ได้แต่เออออตามน้ำไปกับชนาวิชญ์
วรากรที่เริ่มระงับอารมณ์กรุ่นโกรธควบคุมสติได้ ต้องขบคิดตามในสิ่งที่เพื่อนทั้งสองคนบอก ก่อนจะเอ่ยขอบคุณเพื่อนทั้งสองกลับจากใจจริง ที่คอยเตือนสติเขา
“ขอบคุณพวกมึงทั้งสองคนมากนะเว้ย”
“แล้วตอนนี้จะกลับกรุงเทพฯหรือจะอยู่ที่นี่ต่อ” ชนาวิชญ์จึงเปลี่ยนเรื่อง
“ขออยู่จนกว่าธิดากับลูกจะออกจากโรงพยาบาลแล้วกัน เพราะกลับไปตอนนี้ก็ยังไม่มีงาน” เขาบอกเพื่อนไปตามความตั้งใจของตัวเอง เพราะอยากทำหน้าที่พ่อตรงนี้ให้ดีก่อน
“จะพักที่บ้านกูหรือจะเช่าโรงแรมพักต่อ” ชนาวิชญ์ได้แต่ถามไถ่ในฐานะที่เขาเป็นเจ้าบ้านและเจ้าถิ่นแห่งนี้
“ตอนนี้ขออยู่เฝ้าลูกที่นี่ไปก่อน ถ้าออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่ก็คงต้องรบกวนมึงแล้วกัน” วรากรยืนยันที่จะอยู่ต่อ
เมื่อเพื่อนอีกคนยืนกรานว่าจะอยู่ต่อ ชนาวิชญ์จึงหันไปถามทางศุภวัฒน์บ้าง เพื่อนที่เดินทางมาไกล เพื่อนร่วมงานแต่งของเขา ทั้งที่งานรัดตัว
“แล้วมึงละไอ้เวย์ จะเอายังไง”
“กูมีงานที่ต้องทำนะเว้ย เย็นนี้ก็จะกลับเลย” ศุภวัฒน์ตอบไปตรง เพราะเขามีงานรัดตัวจริง ๆ ในฐานะที่พึ่งได้รับตำแหน่งผู้บริหารมาหมาด ๆ และอะไร ๆ ก็ยังไม่ค่อยลงตัว
“อ้อ...กูลืมไปว่ามึงเป็นท่านประธานหนุ่มไฟแรง แถมกำลังฮอทเป็นที่ต้องการของสาว ๆ อีกด้วย” ชนาวิชญ์ได้แต่เอ่ยแซวเพื่อนนักธุรกิจของเขา
“ไอ้วิชญ์! แล้วเพื่อนมึงคนนี้นิสัยเป็นยังไงว่ะ” วรากรถามชนาวิชญ์ขึ้นมาอีกครั้ง ในสิ่งที่ตัวเองยังคาใจ
“คนไหน?” ชนาวิชญ์เลิกคิ้วใส่อย่างนึกหมั่นไส้ อยากจะแกล้งให้เพื่อนโมโหขึ้นมาอีก ก็พอจะรู้อยู่หรอกว่าวรากรนั่นหมายถึงเพื่อนคนไหนของเขา
“ก็ไอ้คนที่ชอบทำหน้ากวนตีน คนที่กำลังจีบธิดา”
“สำหรับกูนะ มันก็เป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่งเลยแหล่ะ และที่แน่ ๆ มันก็ไม่ทำตัวเจ้าชู้เหมือนมึงด้วย” ชนาวิชญ์พูดแล้วพลางกับเหลือบมองหน้าของวรากรด้วย ก่อนที่จะเดินออกไปจากตรงนี้
“เจองานหยาบแล้วไหมมึงไอ้กร แต่กูก็เอาใจช่วยน่ะ สู้ ๆ นะเว้ยเพื่อน” ศุภวัฒน์ได้แต่กระซิบบอกวรากร ก่อนที่จะหันหลังเดินตามชนาวิชญ์ไปเช่นกัน
กัลยาณมิตรที่ดีบ้านสวนปานวิชญ์“กลับเฮือนมึงไปได้แล้วบักโก ให้เวลาสองแม่ลูกเขาได้พักผ่อนแหน่” (กลับบ้านมึงไปได้แล้วไอ้โก ให้สองแม่ลูกเขาได้พักผ่อนหน่อย) ชนาวิชญ์เอ่ยขึ้นมาทันที เมื่อยังเห็นเพื่อนของเขาอยู่ที่บ้านของสุทธิดาตั้งแต่เช้ายังไม่ยอมกลับไป“กูสิกลับอยู่ดอก มึงกะอย่าฟ้าวไล่กูหลาย” (กูจะกลับอยู่หรอก มึงก็อย่าพึ่งไล่กูสิ) โกสินทร์ทำเป็นไขสือและเอ่ยตอบด้วยวาจาที่ดูเหน็บแนมคนพูด“มึงจำคำที่กูเว้าได้บ่” (มึงจำคำที่กูพูดได้ไหม)“ฮืม...”โกสินทร์จำได้ดีว่าชนาวิชญ์เคยพูดอะไรกับเขาไว้บ้าง แต่เพราะตัวเขาเองยังปรับปรุงตัวเองไม่ได้ และเป็นความเคยชินที่เขานั้นมักจะมุกขลุกอยู่ที่นี่เป็นประจำ เรื่องทำงานเขาได้งานทำแล้ว แค่รอวันที่ถูกเรียกตัวเท่านั้น“จำได้กะเฮ็ดให้มันได้นำแหน่” (จำได้ก็ทำให้มันได้ด้วย) ชนาวิชญ์ตอกย้ำอีกที“กลับก่อนนะธิดา” โกสินทร์จึงหันมาบอกกลับเจ้าของบ้านหลังนี้ ที่เขาใช้เวลามานั่งเล่นอยู่เกือบทั้งวันแล้ว“...” สุทธิดาได้แต่พยักหน้ารับ แล้วก็หันมาสนใจลูกสาวตัวน้อยขของเธอต่อโกสินทร์มองหน้าคุณแม่ลูกอ่อนด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ก่อนจะยอมลุกขึ้น แล้วเดินออกไปจากบ้านหลังนี้“วัน
แค่หวังดีต่อกัน“อย่ามาพูดปากเปล่าโดยที่ไม่มีอะไรมายืนยัน แกกุเรื่องขึ้นมาเพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ต้องหมั้นกับหนูหรือเปล่าใครจะไปรู้” อภิเดชสวนขึ้นมาบ้างวรากรจึงลวงโทรศัพท์มือถือของเขาในกระเป๋ากางเกงออกมา แล้วเปิดข้อมูลอะไรในหลาย ๆ อย่างที่เขาถ่ายเก็บไว้ ส่งให้พวกท่านดู“พ่อกับแม่ดูเอาเองดีแล้วกันครับ ว่าผมกุเรื่องขึ้นมาหรือเปล่า”“นี่มัน...”อรอนงค์ เมื่อได้เห็นกับตาตัวเอง ในสิ่งที่ลูกชายบอกมานั้น กลับต้องเบิกตาโพลง เพราะไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง“ครับ ถ้ายังไม่ชัดเจนพอ พ่อก็เลื่อนไปอีกจะมีใบสูติบัตรที่ผมแอบถ่ายเก็บไว้อยู่ด้วย เพื่อยืนยันว่าเป็นลูกของผม” วรากรพยักหน้ารับ แล้วเอ่ยบอกอีกครั้ง“กรธิดา พายุภัทร บิดาผู้ให้กำเนิด วรากร พายุภัทร มารดาผู้ให้กำเนิด สุทธิดา นพวงศ์” เป็นอภิเดชเองที่เป็นคนอ่านข้อมูลในนั้นออกมาเสียงดัง“วันเกิดนี้มัน...” อรอนงค์ตาลุกวาวขึ้นมาอีกครั้ง เพราะตกใจในสิ่งที่ได้เห็น“ครับ ลูกสาวผมเกิดในวันที่ไอ้วิชญ์แต่งงาน แม่เขาเลยให้ชื่อ น้องวิวาห์” วรากรจึงเล่าบอกกับพวกท่านทั้งสองอีกครั้งใจแกร่งของผู้เป็นเต้นกระส่ำแทบจะทะลุออกมาจากอก เมื่อรับรู้ว่าตัวเองมีหลานสาว คน
เพราะผมเป็นผู้ชายคนแรกของเธอ“แม่ค่ะ ดูกรเขาไม่ค่อยพอใจที่พวกเรามาคุยเรื่องนี้กันเลยนะ” พลอยไพลินเอ่ยกับผู้เป็นแม่ ขณะที่กำลังนั่งรถออกมาจากบ้านหลังนั้นได้ไม่ไกลนัก“ไม่พอใจแล้วยังไงละลูก ตากรน่ะไม่กล้าขัดใจป้าอรกับลุงเดชหรอก” เพ็ญพรรณีเชิดหน้าพูดขึ้นอย่างมั่นหน้า และมั่นใจว่าเรื่องนี้ต้องสำเร็จไปตามที่เธอคาดหวังเอาไว้แน่นอน“ทำไมละคะ” พลอยไพลินได้แต่เลิกคิ้วถามผู้เป็นแม่ออกไป เพราะอะไรกันถึงทำให้มารดาเธอมั่นใจขนาดนี้“เพราะว่า จริง ๆ แล้ว ตากรไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของป้าอรกับลุงเดชยังไงละลูก” เพ็ญพรรณีจึงยอมบอกความจริงกับลูกสาวออกไป“หมายความว่า?”“ตากรเป็นเด็กกำพร้า ที่ลุงเดชกับป้าอรเขาไปขอรับมาเลี้ยง”“...” พลอยไพลินนิ่งอึ้งเมื่อรับรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้“พวกเขาทั้งสองคนมีบุญคุณกับตากรมากขนาดนั้น ใครจะกล้าขัดละลูกว่าจริงไหม ยังไงตากรกับลูกต้องได้หมั้นกันแน่นอน” เพ็ญพรรณีพูดกับลูกสาวอย่างมั่นใจ“แต่...”ถึงพลอยไพลินจะเชื่อว่าวรากรไม่กล้าขัดคำสั่งของผู้มีพระคุณ แต่เธอก็ยังมีความกังวลหนักใจอยู่ดี เพราะดูแล้ววรากรไม่ใช่คนที่จะควบคุมได้ง่ายเลย“เชื่อแม่เถอะ เรื่องนี้ให้แม่กับอรจัดการเอง
ไม่ใช่แฟนครับ“สรุปว่าเรื่องหมั้นหมายมันยังไงกันแน่ครับ พ่อแม่” วรากรเอ่ยถามผู้เป็นพ่อและแม่ขึ้นมาอีกครั้งทันที ที่แขกผู้มาเยือนกลับออกไปแล้ว“แม่กับอรเราเคยให้คำมั่นสัญญากันไว้ตั้งแต่ที่พวกเรายังไม่มีครอบครัวแล้ว ว่าหากพวกเรามีลูกเราทั้งสองจะผูกดองกัน แล้วจะให้ลูกของพวกเราได้หมั้นหมายและแต่งงานกัน” อรอนงค์จึงบอกความจริงเรื่องในอดีตของเธอกับเพื่อนให้วรากรได้ฟัง ส่วนสามีนั้นอรอนงค์ก็พึ่งเล่าบอกไปเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง“เพราะเหตุนี้หรือเปล่าครับ ที่พ่อกับแม่ไปขอผมมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เพียงเพราะสิ่งนี้หรือเปล่าครับ” วรากรถามขึ้นมาทันทีที่ผู้เป็นแม่เล่าให้ฟัง เพราะเขาเองก็อยากรู้เช่นกันว่าที่พวกท่านเอาเขามาเลี้ยง เพียงเพื่อให้ตอบแทนบุญคุณของพวกท่านเท่านั้น ไม่มีความรักความผูกพันใด ๆ เลย ใบหน้ารู้สึกผิดหวังเผยออกมาอย่างเห็นได้ชัด“เรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวกับเรื่องหมั้นหมายเลยนะกร” อภิเดชจึงแทรกขึ้นมาบ้าง เกรงว่าลูกชายจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้“จะไม่เกี่ยวได้ยังไงครับพ่อ นี้มันเรื่องใหญ่ในชีวิตผมเลยนะครับพ่อ”“จริงอยู่ที่พ่อกับแม่เราไม่มีทายาทไว้สืบสกุล แต่ที่พ่อกับแม่รับกรมาเลี้ยงนั้น เพร
ถึงเวลาที่ต้องทำเพื่อแม่แล้ว“เป็นจังใด๋ล่ะ กูเอิ้นนำกะบ่ทัน” (เป็นยังไงล่ะ กูเรียกไว้ก็ไม่ทัน) ชนาวิชญ์เอ่ยขึ้นมาทันที ที่เห็นโกสินทร์เดินกลับมาด้วยสีหน้าที่ดูจะผิดหวัง“บักหมอนั่น คือได้มาอยู่นี่” (ไอ้หมอนั่น ทำไมได้มาอยู่ที่นี่) โกสินทร์ถามขึ้นมาทันที“กะมันคือหมู่กู และเป็นพ่อของลูกธิดานำ” (ก็มันเป็นเพื่อนกู และเป็นพ่อของลูกธิดาด้วย)“กูกะเป็นหมู่มึง แต่กูคือบ่มีสิทธิ์ได้...” (กูก็เป็นเพื่อนมึง แต่ทำไมกูถึงไม่มีสิทธิ์ได้...) โกสินทร์ถามกลับอย่างไม่เข้าใจ เพราะตนเองก้เป็นเพื่อนกับชนาวิชญ์เช่นกัน แต่ทำไมเขาถึงไม่มีสิทธิ์พิเศษเหมือนกับวรากร“บักโก! มึงคิดว่ากูลำเอียงเห็นมันดีกว่ามึงแม่นบ่” (ไอ้โก! มึงคิดว่ากูลำเอียงเห็นมันดีกว่ามึงใช่ไหม)“...” โกสินทร์ได้แต่อ้ำอึ้งไม่ตอบ“กูสิบอกให้นะบักโก บักกรมันกะเป็นหมู่กูคือกัน แล้วมึงกะเป็นหมู่ของกู ทั้งมึงและมัน กูกะฮักและหวังดีนำทั้งสอง แต่ที่มันได้มาอยู่นี่ เพราะว่ามันบ่แมนคนแถวนี้ ส่วนมึงเฮือนอยู่แค่ปากทางมึงสิมาเฮือนกูยามใด๋กะได้” (กูจะบอกมึงให้นะไอ้โก ไอ้กรมันก็เป็นเพื่อนกูเหมือนกัน แล้วมึงก็เป็นเพื่อนของกู ทั้งมึงและมัน กูก็รักและหวังดี
ออกคำสั่งก๊อก ก๊อก ก๊อกเสียงเคาะประตูไม้สักดังขึ้นอยู่ที่หน้าบ้านดังอยู่หลายครั้ง วรากรมองไปยังประตูห้องน้ำที่ปิดสนิทพร้อมกับความเงียบ เขาจึงเป็นฝ่ายเดินไปเปิดประตูเสียเอง“มาทำไม?” เสียงราบเรียบเอ่ยขึ้น เมื่อเปิดประตูบ้านออกมา แล้วเจอกับเจ้าของใบหน้าที่เขาไม่ค่อยชอบหน้าเสียเลย และในตอนนี้ก็ยืนอยู่ที่หน้าบ้านของสุทธิดาแล้วทันทีที่ประตูเปิดออก คนที่ยืนอยู่หน้าประตูบานนั้นกลับเบิกตากว้างขึ้นมาทันที เพราะคนที่เปิดประตูออกมานั้นไม่ใช่หญิงสาวที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้“คุณ! มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” น้ำเสียงตะกุกตะกักถามออกไปอย่างตกใจที่เจอเขาอยู่ที่นี่แถมยังอยู่ในบ้านของสุทธิดาอีกด้วยใจหนึ่งก็นึกอิจฉาที่เขาได้รับอภิสิทธิ์ให้เข้าไปด้านในได้ เพราะตั้งแต่ที่เธอแยกออกมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ เขาก็มาหาเธอแทบทุกวันแต่ก็ไม่เคยได้เข้าไปสำรวจด้านในเลย อย่างมากก็ได้นั่งอยู่แค่ระเบียงหน้าบ้านเท่านั้นแต่กับวรากรเขาที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อของลูกสาวสุทธิดานั้น กลับอยู่เหนือเขาเสียทุกอย่างแถมยังได้รับอนุญาตเข้าออกได้อย่างง่ายดายอีกมันน่าน้อยใจนัก แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรได้“ทำไมผมจะมาไม่ได้ ก็ลูกผมอยู่ที่







