로그인บทที่ 2.2 หนี้ชีวิต
เด็กหญิงเริ่มหน้าเสียเมื่อรู้สึกได้ว่าพี่ชายตรงหน้าเดินเร็วจนเกินไป ขาสั้น ๆ ของเธอไม่อาจตามทันจนต้องเร่งฝีเท้าให้มากขึ้น เริ่มมองเห็นอีกฝ่ายไกลออกไปทุกที ขืนเป็นอย่างนี้อาจจะหลงทางกันก็ได้ ณัฐนิชาจำที่มารดาสอนได้เสมอ เวลาต้องไปเดินอยู่ในที่คนเยอะ ๆ หรือสถานที่ที่ไม่รู้จัก จะต้องจับมือของแม่เอาไว้เสมอ
แต่เธอไม่กล้าจับมือพี่ชายคนนี้ นอกจากจะชอบทำหน้าตาดุใส่แล้วยังไม่ค่อยพูดด้วยอีกต่างหาก เด็กหญิงกลัวเขาจึงเลือกจะเดินตามเอา แต่คิดไม่ถึงว่าคิมหันต์จะเดินเร็วเหมือนติดจรวดอย่างนี้
พลั่ก!
ด้วยความรีบเดิน ณัฐนิชาสะดุดล้มจนลูกอมในมือกระเด็นไปแถวร่องน้ำสวน เด็กหนุ่มที่เอาแต่จ้ำอ้าวเดินไม่ได้รับรู้ถึงเหตุการณ์นี้จึงไม่ได้หันมามอง คนหกล้มพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้แม้จะเจ็บแผลหัวเข่าถลอกก็ตามที เธอยันตัวลุกขึ้นด้วยตนเองเพื่อจะหยิบลูกอมกลับคืน
“ฮึบ...”
ส่งเสียงให้กำลังใจตนเองไปด้วย ขณะลุกขึ้นยืนได้สำเร็จ เด็กหญิงเดินไปที่ลูกอม ก้มลงเพื่อจะหยิบมันกลับไปล้างน้ำด้วยรู้สึกเสียดาย ทว่า...
พรืด...
ตู้ม!
ดินบริเวณใกล้ร่องน้ำเปียกชื้นพอสมควร ทำให้ณัฐนิชาลื่นไถลตกลงไป คิมหันต์ที่พยายามสงบสติอารมณ์ตนเองอยู่ได้ยินเสียงกรีดร้องของเด็กหญิงดังในเวลาเดียวกับเสียงบางอย่างตกลงไปในน้ำจึงหันกลับมา ในสายตาไม่เห็นวี่แววของเธออยู่เลย ด้วยความตกใจจึงรีบวิ่งกลับมา
“ยัยปลาปักเป้า! เธออยู่ไหนน่ะ ยัยปลา...”
“ชะ...ช่วย...บุ๋งๆๆ”
เด็กหญิงตะเกียกตะกายจนโผล่พ้นผิวน้ำมาได้ชั่วครู่ พยายามส่งเสียงขอความช่วยเหลือ คิมหันต์ไม่รอช้ากระโดดตามลงไปเพื่อช่วยเธอทันที
“ฉันมาแล้ว ยัยปลาปักเป้า เฮ้!”
หมับ!
มือใหญ่คว้าตัวเด็กหญิงเอาไว้ได้ในที่สุดพร้อมดึงเข้าหาตัว ณัฐนิชากอดเขาไว้แน่นด้วยความกลัวระคนตกใจ สองแขนเล็ก ๆ โอบรอบลำคอของเด็กหนุ่มพลางซบหน้าลงกับบ่าของเขา ตัวสั่นเทิ้มด้วยยังขวัญเสียกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้จะแค่ไม่กี่วินาทีแต่ก็สร้างความหวาดกลัวให้กับเธอพอสมควร
“ฮึก...ฮือ ฮือ...”
“ไม่ต้องร้อง เธอไม่เป็นอะไรแล้ว ฉันก็มาช่วยแล้วนี่ไง”
คิมหันต์ปลอบใครไม่เป็น ได้แต่ว่ายกลับเข้าฝั่งแล้วอุ้มเด็กหญิงเอาไว้อย่างนั้น ตั้งแต่เกิดและอยู่ที่นี่มาสิบห้าปี เขาไม่เคยเลยสักครั้งที่จะก้าวขาลงไปในน้ำของร่องสวน ทว่าเด็กคนนี้กลับทำให้ต้องกระโจนลงไปอย่างไม่คิดชีวิต
“ฮืออ หนูกลัว ฮืออ หนูกลัว ฮึก!”
เธอยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมแขนของเขา เด็กหนุ่มถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย มองดูสภาพตนเองที่เปียกม่อล่อกม่อแล่กแถมแขนเสื้อยังขาดด้วยเกี่ยวกับกิ่งไม้ตอนกระโดดลงน้ำไปช่วยณัฐนิชา
คนที่อยากจะร้องไห้คือเขามากกว่า...
“เงียบเดี๋ยวนี้นะยัยปลาปักเป้า หนวกหู”
“ฮึก...ปะ...ปลาปักเป้าเหรอคะ”
เด็กหญิงยังเหลือสะอื้นแต่พยายามกลั้นเอาไว้เพราะกลัวจะถูกพี่ชายดุอีก เธอมองเขาตาแป๋ว ปลายจมูกแดงเล็กน้อยตามประสาคนร้องไห้
“เธอไง ยัยปลาปักเป้า ดูแก้มพอง ๆ ของเธอสิ เวลากินทำไมถึงชอบยัดเข้าไปอมไว้นักฮะ กลัวคนไม่รู้เหรอว่าเหมือนปลาปักเป้า”
ไม่พูดเปล่า มือยังบีบแก้มนิ่ม ๆ ของเด็กหญิงอีกด้วย
“หนูไม่ใช่ปลาปักเป้านะคะ”
“ใช่”
“ไม่ใช่ค่ะ”
“ปลาปักเป้าชัด ๆ”
เขาหรี่ตามองเด็กหญิงที่เริ่มงอนเพราะถูกบอกว่าเหมือนปลา เธอจึงกอดอกทำแก้มพองแล้วเชิดหน้าหนีเขาไปอีกทาง คิมหันต์สั่นศีรษะไปมา แค่วันแรกณัฐนิชาก็นำเรื่องเดือดร้อนมาให้เขาขนาดนี้แล้ว
ไม่อยากจะคิดถึงวันอื่น ๆ และวันต่อ ๆ ไปเลย...
“เฮ้ๆ ทำอะไรเนี่ย”
ถามเสียงตกใจเมื่อจู่ ๆ คนเชิดหน้างอนก็เปลี่ยนท่าทีเป็นกลับมากอดเขาเหมือนเดิมแถมยังทิ้งตัวลงมาซบไหล่อีกด้วย เด็กหญิงก็แค่รู้สึกเหนื่อยและเพลียเท่านั้น
“ขอบคุณที่ช่วยหนูนะคะ”
พึมพำเบา ๆ แต่เด็กหนุ่มได้ยินชัดเจนก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราไปด้วยความเหนื่อยล้า
บทที่ 17 ข้อแลกเปลี่ยนเหตุการณ์เมื่อคืนทำเอาอ่อนแรงจนไม่สามารถตื่นเช้าได้อย่างปกติ ณัฐนิชาลืมตาขึ้นมาในตอนสายของอีกวัน แสงจากพระอาทิตย์สาดส่องเข้ามาภายในห้อง สิ่งแรกที่หล่อนมองหาคือคิมหันต์ ทว่ากลับว่างเปล่าไร้ซึ่งเงาของอีกฝ่าย มีแค่เธอที่นอนหลับคนเดียวบนเตียงนี้หลงนึกว่าจะได้ตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของเขาเสียอีก...คนตัวเล็กลุกจากที่นอนเพื่อกลับห้องของตนเอง สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับคิมหันต์คงเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบของอีกฝ่ายบวกกับฤทธิ์แอลกอฮอล์เท่านั้น ความเศร้าเสียใจกับเรื่องของมารดาทำให้ชายหนุ่มขาดความยับยั้งชั่งใจ เพราะหากเป็นตัวเขาในแบบปกติ หล่อนเชื่อว่าเขาคงรังเกียจที่จะสัมผัสตัวของเธอณัฐนิชายืนมองเงาะสะท้อนของเธอในกระจก ยังคงหลงเหลือร่องรอยที่คิมหันต์ทิ้งเอาไว้ตามจุดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นตรงไหน หล่อนล้วนจำทุกสัมผัสได้ดี มันถูกตอกลงในหัวใจและความรู้สึกจนยากจะลืมสำหรับเขาอาจเป็นความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวด้วยความเมา ทว่าสำหรับหญิงสาวแล้ว...มันคือการเต็มใจให้กับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย
บทที่ 16 ปลอบ NCคิมหันต์ผละอ้อมกอดของคนตัวเล็กออก อาจเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หรือความอ่อนแอในหัวใจ ชายหนุ่มรู้สึกว่าคนตรงหน้าคือที่พึ่งสุดท้ายในตอนนี้ ดวงตาคมที่มักมองหล่อนอย่างดุดันเสมออ่อนลงกว่าเดิมเยอะ คนถูกมองใจเต้นระส่ำแม้จะรู้ว่าเวลานี้ไม่ควร ทว่าท่าทีที่แปลกไปของเขากลับสร้างความหวามหวั่นในใจไม่น้อย“พี่คิม...ทะ...ทำไมจ้องหนูแบบนั้นล่ะคะ”“เธอ...โตขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”ถามเสียงเบา เอาแต่จ้องหญิงสาวไม่ละสายตาไปไหน เขาเอาแต่คิดถึงภาพของณัฐนิชาในชุดแต่งงาน ถึงจะพยายามปฏิเสธมาตลอดแต่ดูเหมือนตอนนี้คงได้เวลาต้องยอมรับความจริงเสียทีว่าหล่อนเติบโตมากพอแล้ว...หมับ...“พี่คะ...อื้อ...”มือแกร่งประคองใบหน้าเล็กเข้ามาจูบ คนถูกจู่โจมหลับตาปี๋แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนปล่อยให้ชายหนุ่มทำตามใจ ปากหยักค่อย ๆ แทะโลมทีละนิด ลิ้นชื้นชอนไชเปิดโพรงปากนุ่ม ไม่อาจห้ามความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นมาในตอนนี้ได้เลย เขารู้แต่เพียงว่าต้องการจะสัมผัสจนอดใจไม่ไหว“อื้อ…”
บทที่ 15 อ้อมกอดร่างของคุณนายจิตตาถูกนำใส่โลงสวยงาม เต็มไปด้วยดอกไม้มาวางไว้ที่สวนของบ้าน เพื่อให้ญาติพี่น้องและผู้คนที่ตั้งใจมาร่วมงานได้จุดธูปเคารพศพ ณัฐนิชาและคิมหันต์อยู่ในชุดสีดำคอยยืนไหว้แขกที่มา ใบหน้าหมองคล้ำเต็มไปด้วยความเศร้าโดยเฉพาะหญิงสาวที่ยังมีน้ำตาไหลนองหน้าตลอดเวลาร่มโพธิ์ร่มไทรของเธอจากไปแล้ว...ตอนรู้ข่าวจากทางโรงพยาบาลก็เหมือนวิญญาณถูกกระชากออกไป ไม่นานมานี้หล่อนยังยิ้มแย้มหัวเราะกับคุณนายจิตตาอยู่เลย ยังได้กินของอร่อยด้วยกัน ไปข้างนอกด้วยกัน อ่านหนังสือด้วยกัน ได้ทำหลาย ๆ อย่างด้วยกันจนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตไปแล้ว การสูญเสียครั้งนี้หนักหนาพอๆ กับครั้งที่ณัฐนิชาสูญเสียมารดาไป“เสียใจด้วยนะคิมหันต์”ญาติพี่น้องพากันมองเขาด้วยสายตาเวทนา นอกจากจะเสียพ่อตั้งแต่ยังเด็ก ก็ต้องมาเสียแม่ต่อทั้งที่ชีวิตเพิ่งเริ่มต้น ชายหนุ่มไม่พูดคุยกับใครอีกเลยตั้งแต่มารดาจากไปเมื่อวานซืนเขายังปากดีต่อล้อต่อเ
บทที่ 14 แม่รักคิมนะลูก“หนูขอตัวก่อนนะคะ”เมื่อมาถึงบ้าน หญิงสาวก็แยกตัวกลับไปที่ห้องเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนทันที คิมหันต์เองก็เช่นกัน เขากลับขึ้นไปบนห้องของตนเอง ถอดสูทตัวนอกออกแล้วนั่งลงบนเตียงด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ในหัวคิดถึงคำพูดของณัฐนิชาตอนอยู่บนรถ‘คนเราแค่เป็นหวัดยังรู้สึกเหนื่อยและไม่สบายตัวเลยไม่ใช่หรือคะ นับประสาอะไรกับโรคมะเร็ง...’เป็นคำตอบที่ไม่ได้อธิบายชัดเจนแต่กลับทำให้เขาเข้าใจได้ว่าที่ผ่านมามารดาต้องเจ็บปวดแค่ไหน ภาพตอนเด็ก ๆ เวลาชายหนุ่มไม่สบาย เป็นไข้ที่ถึงแม้จะเพียงน้อยนิด แต่ผู้เป็นแม่ก็คอยดูแลเช็ดตัวเป็นอย่างดีไม่เคยห่าง ทุกครั้งที่ลูกชายไม่สบาย คุณนายจิตตาจะแทบไม่ได้นอนนอกจากต้องคอยวัดไข้ป้อนยาแล้ว ยังต้องเช็ดตัวตลอดเพื่อให้ไข้ลด มันคือสิ่งที่มารดาของเขาทำเป็นประจำตั้งแต่คิมหันต์ยังเด็ก ทว่าเมื่อถึงเวลาที่ชายหนุ่มควรได้ดูแลเวลาแม่ป่วยไข้บ้างกลับไม่ได้ทำสิ่งนั้น ความคิดที่ว่าท่านคือบ้าน คือคนที่หันมาเมื่อไหร่ก็เจอเป็นความคิดที่ผิดแบบสุด ๆคิมห
บทที่ 13 แม่ของผมณัฐนิชาคอยดูแลปรนนิบัติคุณนายจิตตาเป็นอย่างดีหลังมาถึงโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษา คนป่วยปลอดภัยแล้วจึงถูกย้ายมาห้องพักพิเศษ ก่อนหน้านี้ทนายไตรรัตน์โทรมาบอกหล่อนว่าคิมหันต์กำลังนั่งเครื่องบินกลับมาตามไฟลท์ที่เขาจองให้ อีกสักพักก็คงจะถึงโรงพยาบาลแล้ว หญิงสาวยังอยู่ในชุดแต่งงานอยู่เลย ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากเสียจนไม่มีเวลาแม้แต่จะเปลี่ยนชุดด้วยซ้ำ ส่วนเรื่องผมเผ้าไม่ต้องพูดถึง...เละเทะเหมือนคนไม่ได้แตะหวีมาสามชาติ“คุณแม่อยากดื่มอะไรหน่อยไหมคะ”“ไม่เป็นไรจ้ะ”เจ้าของใบหน้าซีดไร้เลือดฝาดตอบ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าเพราะยังเจ็บปวดใจกับเรื่องของคิมหันต์ไม่หาย วิกผมที่ใส่มาตลอดถูกนำออกไปแล้ว ตอนนี้บนศีรษะของคุณนายจิตตาจึงไม่มีผมอยู่เลยสักเส้น“พี่คิมกำลังจะกลับมาหาคุณแม่ ทำใจให้สบาย อย่าคิดมากและรอพี่คิมมาหานะคะ”“แม่ต้องขอบคุณหนูนิชามาก ๆ เลยน
บทที่ 12 ดื้อดึง“แม่ขอโทษหนูนะลูก ที่ทำให้หนูต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ แม่สัญญา แม่จะทำให้พี่เขากลับมาแต่งงานกับหนูให้ได้”คุณนายจิตตาได้แต่มองดูณัฐนิชาด้วยความสงสาร คิดไม่ถึงเลยว่าคิมหันต์จะกล้าถึงขนาดเทงานแต่ง“อย่าเลยค่ะคุณแม่ หนูไม่อยากให้พี่คิมเกลียดหนูไปมากกว่านี้แล้ว”“เกลียดอะไรกัน แม่เป็นแม่ของตาคิม ไม่ว่าอย่างไรตาคิมก็จะต้องตกหลุมรักหนูอย่างแน่นอน เชื่อแม่สิ”คนฟังได้แต่ทำหน้าเศร้า ทั้งลังเลและไม่คาดหวังด้วย ผู้หญิงจืดชืดไร้เสน่ห์อย่างหล่อนไม่มีวันมัดใจผู้ชายไม้เลื้อยอย่างเขาได้อยู่แล้ว“คุณนายครับ ผมตรวจสอบดูเรียบร้อยแล้วนะครับ ตอนนี้คุณคิมหันต์ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย”“อะไรนะ!”คุณนายจิตตาลมแทบจับ ก่อนนี้คิดว่าอย่างมากคงหนีไปนอนกกผู้หญิงอยู่ไหนสักแห่งในประเทศ ไม่คิดเลยว่าจะถึงขั้นหนีออกนอกประเทศอย่างนี้ สมแล้วจริง ๆ ที่เป็นลูกของเธอ วางแผนการไว้รอบคอบเพราะรู้ดีว่าถ้าหนีไปไม่ไกลพอคงถูกลากตัวกลับได้ง่าย ๆ“ต่อสายหาคิมหันต์เดี๋ยวนี้ บอกไปเลยว่า







