เรื่องนี้จ้าวฟางเซียนนั้นรู้ดี ว่าพี่หญิงใหญ่ของนางนั้นไม่มีวันยินยอมที่จะออกเรือนไปกับตระกูลเซี่ยเป็นแน่ เช่นเดียวกับชีวิตก่อน ที่จ้าวฟางหรูชิงออกเรือนไปกับบัณฑิตทั่นฮวาของแคว้นเจิ้ง แล้วทิ้งหน้าที่ออกเรือนกับคุณชายใหญ่สกุลเซี่ยให้นางแทน
“แต่ก็เป็นตระกูลที่มีเกียรติ และน่าเคารพนับถือนะเจ้าคะ ตายในสนามรบย่อมมีเกียรติกว่าการตายโดยเปล่าประโยชน์” จ้าวฟางเซียนที่กินอาหารอยู่อย่างเพลิดเพลินก่อนหน้า แสดงความคิดเห็นของตนออกมา จ้าวฟางหรูที่ได้ยินเช่นนั้นได้แต่นึกขบขันอยู่ภายในใจ น้องสาวของนางนั้นช่างมีความคิดที่ไร้เดียงสา และเป็นเด็กที่มองโลกในแง่ดียิ่งนัก หาได้คาดการณ์ถึงเรื่องราวในภายภาคหน้าไม่ ผู้ใดกันที่อยากจะมีสามีอายุสั้น นางคนหนึ่งล่ะที่ไม่ปรารถนา “เจ้ายังเป็นเด็กอยู่ จะไปรู้เรื่องอันใด หากวันหน้าเจ้าต้องออกเรือน เจ้าจะเลือกบุรุษที่มีอายุขัยสั้นกว่าเจ้ามาเป็นคู่ครองเช่นนั้นรึ” จ้าวฟางหรูติเตือนน้องสาวออกมา ทว่าครานี้จ้าวฟางเซียนกลับไม่เก็บเอาคำพูดของพี่สาวมาใส่ใจ เพราะนางเคยใช้ชีวิตเป็นฮูหยินแม่ทัพมาหนหนึ่งแล้ว ทว่าชีวิตก่อนนางนึกเสียดายและเสียใจ ที่ไม่ได้แสดงความรักที่มีต่อสามีออกไป ครั้นมีโอกาสย้อนเวลากลับมา นางก็อยากจะแก้ไขชีวิตคู่ของนางและเขาในอดีต แม้สุดท้ายแล้วเขาจะต้องจากไปก่อน นางอาจจะต้องพบเจอกับความเสียใจอีกหน แต่ทว่านางก็ไม่ต้องรู้สึกผิด และไม่ต้องรู้สึกว่ามีสิ่งใดให้เสียดายอีกแล้ว “นางยังเด็กที่ใดกัน อีกไม่กี่วันนางก็จะเข้าพิธีปักปิ่นอยู่แล้ว แต่พี่หญิงใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วงเซียนเอ๋อร์เลย เพราะเจ้านี่ในหัวมีแต่เรื่องบัญชีกับการค้า สามีของนางในภายภาคหน้าจะต้องมาจากตระกูลคหบดีเป็นแน่” จ้าวฟางฉีแก้ต่างให้น้องสาว จ้าวฟางเซียนได้แต่ยิ้มแห้งออกมา เพราะสิ่งที่พี่ชายรองมั่นใจนักหนานั้น หาใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในภายหน้าไม่ “ช่างเถิด!! พวกเจ้าอย่าเพิ่งถกเถียงกันถึงเรื่องนี้เลย ยามนี้ไม่มีผู้ใดที่รู้ว่า ท่านปู่ของพวกเจ้าเรียกท่านพ่อของพวกเจ้าไปพบด้วยเรื่องใด กินอิ่มแล้วก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเสียเถิด” หวงฟางหรงเอ่ยปรามลูกๆ ทั้งสาม จ้าวฟางหรูที่อิ่มก่อนแล้วจึงลุกขึ้นคำนับลามารดา จากนั้นจึงรีบเดินออกจากเรือนฟางเฟยไป วันนี้นางจะออกไปเที่ยวที่โรงน้ำชาอู๋เหลียง เพราะวันนี้เหล่าบัณฑิตมีแข่งขันต่อบทกวีกันที่นั่น มีหรือสตรีที่ชื่นชอบบทกวีเช่นนางจะพลาด ครั้นคุณหนูใหญ่จากไปแล้ว คุณชายรองจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้บ้าง “เซียนเอ๋อร์… วันนี้พี่จะออกไปเที่ยวชมตลาด เจ้าอยากไปกับพี่หรือไม่” จ้าวฟางเซียนพยักหน้าก่อนที่จะบอกพี่ชายรอง “เจ้าค่ะ…เพราะถึงเช่นไร วันนี้ข้าก็ต้องเข้าไปตรวจสอบบัญชีที่ร้านจ้าวจางในตลาดอยู่แล้ว” จ้าวฟางฉีพยักหน้าก่อนที่สองพี่น้องจะคำนับลามารดา แล้วพากันออกจากเรือนฟางเฟยไปเช่นเดียวกัน หวงฟางหรงมองตามบุตรสาวและบุตรชายที่เพิ่งจะเดินออกจากเรือนไปด้วยแววตาเป็นกังวล สำหรับฟางฉีนั้นนางไม่ห่วงอันใดเขามากนักเพราะเป็นบุรุษ แต่กับฟางหรูและฟางเซียนนั้นต่างออกไป นางกำลังกังวลว่าที่ท่านพ่อของสามีเรียกสามีเข้าไปพบ จะเกี่ยวกับบุตรีของนางทั้งสอง ณ ห้องตำรา ภายในเรืองฟงเฟย จ้าวหวังเหล่ยกำลังแสดงสีหน้าหนักใจออกมา ครั้นได้รับรู้ว่าเพราะเหตุใดบิดาถึงได้เรียกหาตน จดหมายตรงหน้า เขาอ่านซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ จับใจความถึงความต้องการของเจ้าของจดหมายได้เป็นอย่างดี ในจดหมายเขียนมาถึงท่านพ่อของเขา แม้ช่วงเริ่มต้นท่านผู้เฒ่าสกุลเซี่ยจะถามไถ่ถึงสุขภาพ และชีวิตความเป็นอยู่ของบิดาเขาตามปกติ แต่ทว่าพออ่านไปเรื่อยๆ จึงได้รู้ว่า จุดประสงค์ที่แท้จริงของการส่งจดหมายฉบับนี้มานั้น หาได้เพียงแค่อยากถามสารทุกข์สุกดิบของบิดาไม่ แต่เป็นการทวงถามถึงสัญญาที่บิดาเคยให้ไว้ในอดีตมากกว่า การได้เกี่ยวดองกับตระกูลแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ มันก็ดีและนับว่าเป็นเกียรติต่อวงศ์ตระกูลอยู่หรอก แต่ทว่าบุตรีคนใดกันเล่า ที่เขาจะสามารถยินยอมเสียสละให้ออกเรือนไปกับตระกูลแม่ทัพได้ จ้าวฟางหรูนั้นดื้อรั้น แม้จะเข้าสู่วัยออกเรือนแล้ว แต่ทว่านางกลับเลือกมาก และมีอคติกับพวกขุนนางฝ่ายบู๊ ส่วนจ้าวฟางเซียนนั้นถือว่ายังเยาว์วัยนัก เขายังอยากให้บุตรีอยู่ช่วยงานของตระกูลจ้าวไปอีกสักสองสามปี เพื่อสั่งสมประสบการณ์เสียก่อน “เจ้ามีความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าเช่นไร” คำถามของบิดาทำให้จ้าวหวังเหล่ยมีสติกลับมา “การที่ตระกูลคหบดีเช่นเรา ได้เกี่ยวดองกับตระกูลเซี่ยที่เป็นถึงตระกูลแม่ทัพ หาใช่เรื่องที่ไม่ดีไม่ขอรับท่านพ่อ แต่ข้าเกรงว่า…หรูเอ๋อร์กับเซียนเอ๋อร์จะไม่มีผู้ใดยินดี ที่จะออกเรือนไปกับหลานชายของท่านผู้เฒ่าสกุลเซี่ย พวกเราตอบแทนพวกเขาด้วยการมอบเงิน หยก หรือไม่ก็ผ้าไหมไปให้แทนมิได้หรือขอรับ” จ้าวหวังเหล่ยคิดหนัก เขาตัดสินใจแสดงความเห็นของตนเองออกมา ทว่าน้ำเสียงที่บิดากล่าวออกมาทำให้จ้าวหวังเหล่ยกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “เจ้าเป็นบิดา…เจ้าจะลองโน้มน้าวพวกนางสักนิดไม่ได้เชียวหรือ หนี้ชีวิตก็ต้องตอบแทนด้วยชีวิต จะให้ตอบแทนด้วยทรัพย์สินเงินทองได้เยี่ยงไร หรือเจ้าอยากจะให้ข้าเอาชีวิตข้าไปให้พวกเขาแทนเช่นนั้นรึ เจ้าถึงจะพอใจ” “ท่านพ่อ… ท่านกล่าวอันใดเช่นนั้นเล่าขอรับ เอาเถิด…ข้าจะลองไปคุยกับหรูเอ๋อร์ดูก่อน นางก็ถึงวัยออกเรือนมานานหลายปีแล้ว เห็นทีคงจะต้องให้นางออกเรือนไปเสียที” จ้าวหยวนจงพยักหน้าอย่างพอใจ จ้าวหวังเหล่ยจึงขอตัวลา เป็นเพราะได้คำตอบที่น่าพอใจ ท่านผู้เฒ่าจ้าวจึงไม่ได้รั้งบุตรชายเอาไว้ จ้าวหวังเหล่ยเดินออกจากเรือนฟงเฟยไปด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เพราะเขาไม่รู้ว่าจะพูดคุยกับจ้าวฟางหรูเช่นไรดี หากน้องชายของเขามีบุตรีสักคนก็คงจะดีไม่น้อย แต่ทว่าจ้าวหวังหย่งกลับมีแต่บุตรชาย ทำให้ภาระเช่นการแต่งงานตอบแทนบุญคุณนี้ ต้องตกเป็นของบุตรีของตนอย่างมิอาจเลี่ยงหลังจากพูดคุยกันอยู่นานเกือบสองเค่อ เสียงของทารกน้อยที่นอนอยู่ห้องข้างๆ ก็ดังขึ้นมา จ้าวฟางเซียนรีบบอกกล่าวมารดา แล้วรีบเดินออกไปหาบุตรชาย หลังฟื้นมาจากฝันร่้ายในวันนั้น จ้าวฟางเซียนก็รู้สึกเสียใจเป็นอันมาก ที่สองวันแรก นางไม่อาจให้นมบุตรชายเองได้ ดีที่แม่สามีมองการณ์ไกล เตรียมแม่นมเอาไว้ให้ เผื่อเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดและสองวันแรกที่นางคลอดลู่หมิงออกมา ก็เกิดปัญหาขึ้นมาจริงๆ หลังจากที่นางตื่นขึ้นมา ก็พยายามดูแลร่างกายตนเอง และกินอาหารบำรุงน้ำนม ไม่ถึงเจ็ดวัน นางก็ขออนุญาตแม่สามี ให้นางป้อนนมลูกด้วยตัวเอง จางซื่อก็ไม่ได้ห้ามปรามอันใด เพราะน้ำนมจากมารดาย่อมดีกว่านมจากผู้อื่นอยู่แล้ว นับตั้งแต่นั้นมา จ้าวฟางเซียนก็ให้นมเซี่ยลู่หมิงเองเรื่อยมา ทว่ามีแม่นมฉินอยู่คอยช่วยดูแลบุตรชาย ในเวลาที่นางไม่ต้องให้นมหวงซื่อเดินตามบุตรสาวเข้ามาในห้องของหลานชาย นางมองไปยังบุตรสาว ที่ออกเรือนมาได้ไม่ถึงสามปี ทว่ายามนี้ได้มาเห็น ว่านางนั้นมีครอบครัวที่สมบูรณ์พูนสุขเพียงใด ก็พลอยให้รู้สึกโล่งใจ จากที่เคยคิดเป็นกังวล ว่านางจะได้พบเจอกับความยากลำบาก ในการใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลขุนนางใหญ่ ก็ทำให้นางวางใจล
วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากฤดูที่หนาวเย็นยะเยือก แปรเปลี่ยนมาเป็นฤดูใบไม้ผลิ เทศกาลลี่ชุนก็ได้เวียนมาถึงอีกหน อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ สรรพสิ่งเริ่มงอกงาม หลายครอบครัวที่ทำการเกษตร เริ่มต้นการเพาะปลูก สรรพสัตว์เริ่มออกจากการจำศีล เพื่อออกหากิน เหล่านายพรานกลับมาทำอาชีพของตนบ้านเมืองสงบสุขร่มเย็น ชาวเมืองยิ้มแย้มแจ่มใส เด็กน้อยที่กำลังวิ่งเล่น ส่งเสียงหัวเราะออกมา จนทำให้ผู้ใหญ่ทั้งหลายที่ได้ยิน ต่างก็พากันยิ้มได้ จวนตระกูลเซี่ยยามนี้ ก็ไม่ต่างไปจากสถานที่อื่น หรือจวนอื่นนัก ทว่าวันนี้ที่จวนสกุลเซี่ย ได้จัดงานครบเดือนให้แก่คุณชายน้อย ที่มีอายุครบหนึ่งเดือนพอดี บรรยากาศภายในจวน จึงเต็มไปด้วยความชื่นมื่นมีความสุขตระกูลจ้าวถือโอกาสที่เหลนน้อยอายุครบเดือน พากันเดินทางมาจากเมืองหนานจาง เพื่อมาเยี่ยมเยือนจ้าวฟางเซียน และบุตรชายของนางที่จวนสกุลเซี่ย เมืองหนานจง จ้าวฟางเซียนมองไปยังผู้คนจากตระกูลเดิมของตน ด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ นางไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่า ชีวิตของนางจะมีโอกาส ได้มาเห็นภาพแห่งความสุขเช่นในวันนี้ท่านปู่ท่านย่าที่อายุมากแล้ว ก็ยังอุตส่าเดินทางมาถึงที่นี่ เพื่อมาอวยพรให้เ
“หลงเอ๋อร์…จ้าวซื่อกับเจ้า ได้ตั้งชื่อเตรียมเอาไว้ให้เขาแล้วใช่หรือไม่”จางซื่อถามบุตรชายออกมาขณะที่ส่งทารกในห่อผ้าไปให้เขา เซี่ยเฟยหลงหัดอุ้มเด็กกับภรรยามาบ้างแล้ว แม้จะมีท่าทีเงอะงะงุ่มง่าม ทว่ากลับดูไม่ขัดตาเท่าใดนัก เซี่ยเฟยหลงก้มมองดวงหน้าเล็กเท่าฝ่ามือของบุตรชาย ก่อนที่จะเอ่ยนามของเขาออกมา“เซี่ย…ลี่หมิง”เพราะเขาคือแสงสว่างอันงดงาม ส่องลงมายังบนโลกมนุษย์ให้ความอบอุ่นแก่ผู้คน จ้าวฟางเซียนเป็นผู้ที่ตั้งชื่อบุตรชาย ส่วนตัวเขาเป็นผู้ที่ตั้งชื่อบุตรสาวเอาไว้ ทว่ากลับไม่ได้ใช้ ช่างเป็นวาสนาของเจ้าตัวน้อยเสียจริง ที่ได้ชื่อที่มารดาเป็นผู้ที่ตั้งให้“นามไพเราะ ความหมายดี…หมิงเอ๋อร์หลานย่า” จางซื่อยื่นมือไปรับหลานชายกลับมา เซี่ยเฟยหลงไม่ดื้อดึง ส่งทารกในห่อผ้ากลับคืนให้แก่มารดาทันที“จ้าวซื่อเป็นคนตั้งชื่อให้เขาใช่หรือไม่” นายท่านผู้เฒ่าเซี่ยเอ่ยถามหลานชายออกมา ก่อนที่จะกวักมือเรียกลูกสะใภ้ให้พาเหลนตัวน้อยมาให้เขาได้เชยชมบ้าง“ขอรับท่านปู่…นางตั้งชื่อบุตรชาย ส่วนข้าตั้งชื่อบ
หลังจากที่ตรวจพบว่า จ้าวฟางเซียนตั้งครรภ์ จางซื่อก็ได้ส่งแม่นมฉิน ให้มาทำหน้าที่คอยดูแลฮูหยินน้อยอย่างใกล้ชิด แม้เซี่ยเฟยหลงจะรับปากกับมารดาว่า เขาจะไม่ล่วงเกินภรรยา ขอเพียงแค่ให้เขาได้นอนกอดนางก็พอคราแรกจางซื่อก็ไม่ยินยอม ทว่าจ้าวฟางเซียนกลับช่วยพูดให้แม่สามีเข้าใจ จางซื่อจึงยอมอ่อนข้อให้แก่บุตรชาย ทว่ากลับให้แม่นมฉิน มานอนเฝ้าอยู่ที่หน้าฉากกั้นแทน เช่นนั้นแล้วหากเซี่ยเฟยหลงมีความคิดเหลวไหล ย่อมถูกแม่นมฉินจับได้“โหวเหย…ท่านต้องเห็นใจบ่าวด้วยสิเจ้าคะ บ่าวก็ไม่ได้อยากทำเช่นนี้ แต่ในเมื่อนายหญิงท่านสั่งมา บ่าวจะกล้าขัดได้อย่างไรกัน”เซี่ยเฟยหลงจ้องหน้าแม่นมตาเขม็ง แม่นมฉินฉีกยิ้มกว้างออกมา ก่อนที่จะสั่งให้คนนำตั่งตัวยาวมาวางไว้ ด้านหน้าฉากกั้น จ้าวฟางเซียนนึกขัน ให้กับใบหน้าของสามีที่กำลังบูดบึ้ง พลางมองไปยังแม่นมฉินด้วยแววตาอบอุ่นแม่นมฉินแคล้วคลาดจากความตายในความทรงจำของนาง หรืออาจจะเป็นเพราะนางมีครรภ์ ถึงได้ทำให้เหตุการณ์บางอย่างเปลี่ยนไป นางเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน เพราะถ้าหากเหตุการณ์ดำเนินไปตามที่นางเคยพบเจอแม่นมฉินจะต้องจากไปตั้งแต่ต้น
แสงทิวากำลังจะลาลับ พร้อมกับท้องฟ้าสีน้ำหมึกกำลังเปลี่ยนเข้ามาแทนที่ สองอาชาสองชายหนุ่ม ยังคงเร่งรีบฝ่าความมืดกลับเมืองหนานจงด้วยความคะนึงหา เซี่ยเฟยหลงไม่แม้แต่คิดที่จะหยุดพัก ในเมื่อเจ้านายไม่ยินยอมที่จะพัก ทั้งคนทั้งม้าจึงได้พากันอดทนจนถึงประตูเมืองหนานจงในเวลาดึกดื่นหากเป็นชาวบ้านธรรมดา มีหรือจะสามารถผ่านทหารเวรยาม ที่ทำหน้าที่เฝ้ารักษาการณ์อยู่หน้าประตูเมืองเข้าไปได้ง่ายๆ ทว่าเซี่ยเฟยหลงคือผู้ใด ทหารเหล่านี้ย่อมรู้ดี ครั้นได้เห็นว่าท่านแม่ทัพใหญ่เซี่ยกลับมา ต่างก็พากันกล่าวต้อนรับการกลับมา ของผู้เป็นผู้บังคับบัญชาท่านแม่ทัพหนุ่มยามนี้ปลดชุดเกราะที่น่าเกรงขามออก เหลือเพียงอาภรณ์เยี่ยงคุณชายทั่วไปสวมใส่เท่านั้น เขาไม่พูดจากับทหารเหล่านี้ให้มากความ รีบกลับเข้าเมืองอย่างเร็วรี่ มุ่งหน้าไปยังจวนแม่ทัพของตน“พวกเจ้าอย่าคิดรั้งท่านแม่ทัพไว้นาน เขาเร่งรีบกลับมาย่อมคิดถึงภรรยา” นายทหารที่เป็นหัวหน้ากล่าวกับลูกน้องที่กำลังมองตามท่านแม่ทัพผู้องอาจ ควบอาชาหายไปในความมืดมิดครั้นมาถึงหน้าประตูจวน เซี่ยเฟยหลงสั่งห้ามมิให้ผู้ใด ไปรายงานให้คนด้านในทราบ เพราะเข
ณ ตำหนักไท่เหอ ราชสำนัก แคว้นจิ้นองค์รัชทายาทวัยสามสิบต้นๆ กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทน เพราะกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ยังคงนอนป่วยรักษาตัวอยู่ ทำให้หน้าที่ดูแลบ้านเมือง ตกอยู่ในมือของเขาชั่วคราว อย่างชอบธรรม สีหน้าของเขายามนี้ไม่ค่อยสู้ดีนัก เป็นเพราะความต้องการของเขา ถูกเหล่าขุนนางเก่าแก่เหล่านี้ พากันกล่าวคัดค้านเขาย่อมรู้ดีว่ายามนี้ บ้านเมืองยังขาดความมั่นคง ยิ่งกับตัวเขาหากไม่สร้างผลงาน ไหนเลยจะขึ้นมานั่งบัลลังก์มังกรนี้อย่างภาคภูมิ เขาจึงอยากใช้การยึดเมืองหนานตงของแคว้นเจิ้ง มาเป็นผลงานเพื่อขึ้นครองราชย์ของตน ถึงอย่างไรบิดา ผู้เป็นกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ก็คงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว“จะทำเช่นนั้นมิได้พ่ะย่ะค่ะ ผู้สำเร็จราชการน่าจะรู้ดี ว่ายามนี้สถานการณ์ภายในของแคว้นจิ้นเรา ยังไม่เหมาะแก่การทำศึก อีกทั้งพวกเราเพิ่งจะสูญเสียแม่ทัพใหญ่อย่างท่านอู่ผา และกำลังทหารจำนวนหลายพันคนไป บ้านเมืองเรายังคงบอบช้ำอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ ขอพระองค์ทรงโปรดคิดทบทวน และพิจารณาเรื่องนี้ให้ดีด้วยเถิด”“ขอพระองค์ทรงโปรดคิดทบทวน และพิจารณาเรื่องนี้ใ