“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะท่านพ่อท่านแม่”
จ้าวฟางเซียนรีบเดินเข้าไปประคองพี่สาวขึ้นมาจากพื้น โดยที่มีจ้าวฟางฉีช่วยอีกแรง จ้าวฟางหรูที่ดูเหมือนจะไม่ยินยอมตั้งแต่แรก ทว่าสุดท้ายก็ยอมตัวอ่อนปล่อยให้น้องสาว และน้องชายช่วยประคองนางไปนั่งลงบนเก้าอี้ “ก็จดหมายจากตระกูลเซี่ย ที่พี่ชายเจ้านำมาส่งให้ท่านปู่เมื่อเช้าน่ะสิ มันมิใช่จดหมายธรรมดา แต่ทว่าเป็นจดหมายทวงถามสัญญาที่ท่านปู่ของพวกเจ้า เคยให้ไว้ต่อท่านผู้เฒ่าสกุลเซี่ย” จ้าวฟางเซียนแสร้งตกใจ “สัญญาอะไรกันหรือเจ้าคะ” ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว แต่จ้าวฟางเซียนก็ไม่ทำให้เรื่องราวผิดเพี้ยนไปจากเดิม นางยังคงถามออกมา ทว่าจ้าวฟางฉีกลับเหล่มองน้องหญิงรองด้วยแววตาประหลาดใจ หรือน้องหญิงรองจะไม่เชื่อที่เขาเล่าให้นางฟัง “ท่านผู้เฒ่าสกุลเซี่ย แต่เดิมเขาคือแม่ทัพทิศใต้ผู้องอาจ วัยหนุ่มท่านปู่ของพวกเจ้า ได้เดินทางไปค้าขายทางทิศใต้พอดี วันนั้นบังเอิญเจอพวกโจรป่าที่คอยดักปล้นพวกพ่อค้ากับชาวบ้าน แต่ทว่าในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีที่ได้พบกับกองทัพสกุลเซี่ยเข้าพอดี ท่านผู้เฒ่าเซี่ยในยามนั้นจึงได้ช่วยชีวิตของท่านปู่เอาไว้” สิ่งที่บิดาเล่าออกมาล้วนแต่เป็นเรื่องราวที่จ้าวฟางเซียนรับรู้อยู่แล้ว แต่ทว่านางก็ยังคงฟังเรื่องที่บิดาเล่าออกมาอย่างตั้งใจ “ท่านปู่ของเจ้าจึงได้ให้คำมั่นสัญญา ว่าถ้าหากสกุลจ้าวมีบุตรีจะยกให้เป็นสะใภ้ตระกูลเซี่ย เพราะยามนั้นท่านแม่ทัพเซี่ยได้มีบุตรชายอยู่ผู้หนึ่งแล้ว ก็คือบิดาของรองแม่ทัพเซี่ยเฟยหลงในยามนี้นั่นเอง แต่ทว่าท่านย่าของเจ้าคลอดพ่อออกมา คนแรกก็เป็นบุรุษ รอจนน้ารองของพวกเจ้าก็ยังเป็นบุรุษอีก สุดท้ายจึงได้รอจนรุ่นหลานเช่นพวกเจ้าอย่างไรเล่า” จ้าวหวังเหล่ยบอกเล่าเรื่องราวในอดีตให้ลูกๆ ของตนได้ฟัง “หรูเอ๋อร์…พ่อก็มิได้บอกว่าจะให้เจ้าออกเรือนไปวันนี้พรุ่งนี้เสียเมื่อใดกัน เขาเพียงแค่อยากขอหมั้นหมายเจ้าเอาไว้ก่อน รออีกปีสองปีเขาถึงจะมาสู่ขอ แล้วพาเจ้าย้ายไปอยู่ที่จวนแม่ทัพในเมืองหนานจงด้วยกัน เจ้ายังมีเวลาเตรียมตัวอีกนาน จะถือเสียว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณของพ่อกับแม่ ด้วยการแต่งงานครานี้ไม่ได้เชียวหรือ” เขาหันไปเกลี้ยกล่อมบุตรีคนโตด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลง “ไม่เจ้าค่ะท่านพ่อ…จะให้ข้าตอบแทนบุญคุณพวกท่านด้วยเรื่องใดก็ได้ แต่เรื่องการออกเรือน เรื่องคู่ครอง…ข้าไม่ขอยินยอมเป็นอันขาด” จ้าวฟางหรูตอบออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว จ้าวฟางเซียนนึกชื่นชมในความเด็ดเดี่ยวของพี่สาวยิ่งนัก แม้ว่าหลังจากนี้จะกลายเป็นนางที่ต้องรับเคราะห์กรรมในครานั้นแทน ทว่าในครานี้นางย่อมยินดี “ท่านพ่อเจ้าคะ ท่านก็ให้เวลาพี่หญิงใหญ่ได้คิดทบทวนดูเสียหน่อยเถิด อีกอย่าง…จดหมายนั่นก็เพิ่งจะมาถึงเรือนในวันนี้ พวกเขาคงไม่ยกทัพมาบังคับเอาคำตอบจากพวกเราเร็วๆนี้หรอกนะเจ้าคะ” นี่หาใช่คำพูดที่นางเคยกล่าวในชีวิตก่อนไม่ เพราะชีวิตก่อนนางก็ไม่กล้าที่จะออกความเห็นในเรื่องนี้เช่นกัน เพราะเกรงว่าตนเองจะได้รับผิดชอบหน้าที่ออกเรือนไปกับคุณชายสกุลเซี่ยแทน แต่แล้วก็เป็นจริงทั้งๆ ที่นางไม่เคยใส่ใจเรื่องการออกเรือนเลยด้วยซ้ำ จ้าวหวังเหล่ยถอนหายใจหนักๆ ออกมา พลางมองไปยังบุตรีคนเล็กของตน เขายอมรับว่าจ้าวฟางเซียนนั้นเป็นเด็กที่ฉลาด มีความคิดลึกล้ำ แต่เขาไม่คิดว่านางจะกล่าวออกมาได้อย่างใจเย็นเช่นนี้ หวงฟางหรงเองก็มองบุตรสาวคนเล็กด้วยแววตาที่ชื่นชมเช่นกัน อย่างน้อยก็มีผู้ที่คอยช่วยนางห้ามปรามสามี “ถ้าเช่นนั้นก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน ถึงอย่างไรแล้ว…เร็วๆ นี้เจ้าจะต้องมีคำตอบมาให้พ่อ และพ่อก็หวังว่า คำตอบนั้นจะไม่ทำให้พ่อกับแม่ของเจ้า หรือท่านปู่ของเจ้าต้องรู้สึกผิดหวัง” จ้าวฟางหรูลุกขึ้นคำนับลาบิดามารดา ก่อนที่จะหันไปมองใบหน้างามของน้องสาวด้วยแววตาขอบคุณ อย่างน้อยจ้าวฟางเซียนก็ช่วยให้นาง สามารถหลบเลี่ยงออกจากห้องที่แสนอึดอัดนี้ไปได้ชั่วครู่ จ้าวฟางเซียนส่งยิ้มจางๆ ให้พี่สาว “เซียนเอ๋อร์…เจ้าอยู่คุยกับพ่อก่อน” ก่อนที่บุตรสาวจะออกจากห้องนี้ไป จ้าวหวังเหล่ยกลับเรียกบุตรสาวคนเล็กเอาไว้ จ้าวฟางหรูกับจ้าวฟางฉีจึงพากันออกจากห้องรับรองไปก่อน แล้วแยกย้ายกันกลับเรือนนอนของตนทันที เรือนฟางเฟยนั้นยังมีเรือนแยกขนาดกลางอีกสามเรือน ซึ่งอยู่ถัดกันไปตามลำดับ จ้าวฟางหรูมีเปี๋ยเอ๋อสาวรับใช้คนสนิท ช่วยประคองนางกลับเรือน ส่วนจ้าวฟางฉีนั้นหาได้กลับเรือนนอนของตนไปทันทีไม่ เขาเลือกที่จะแวะไปหาพี่ชายใหญ่กับน้องสามที่เรือนตงเฟย เพื่อที่จะเล่าเรื่องนี้ให้พี่น้องพวกนั้นได้ฟัง “ท่านพ่อท่านแม่มีสิ่งใดอยากจะคุยกับลูกเช่นนั้นหรือเจ้าคะ” การที่บิดารั้งนางให้อยู่ต่อเช่นนี้ คงจะต้องการปรึกษาหารือ ให้นางช่วยเกลี้ยกล่อมพี่หญิงใหญ่เช่นเดียวกับในชีวิตก่อนเป็นแน่ “ก็เรื่องพี่หญิงใหญ่ของเจ้าน่ะสิ เจ้าว่านางมีบุรุษในใจแล้วหรือยัง” เพราะท่าทีที่จ้าวฟางหรูปฏิเสธด้วยท่าทีที่แน่วแน่ นั้นทำให้จ้าวหวังเหล่ยคิดหนัก “เรื่องนั้นลูกก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ ท่านพ่อกับท่านแม่ก็รู้ ว่าข้ากับพี่หญิงใหญ่ เราสองคนไม่ค่อยสนิทสนมกันเท่าใดนัก” เรื่องนี้เป็นความจริง แม้จะเป็นพี่น้องที่เกิดมาจากบิดามารดาคนเดียวกัน แต่ทว่านางก็อายุน้อยกว่าพี่สาวอยู่หลายปี อาจจะทำให้ยากที่จะสนิทสนมกัน อีกทั้งพี่หญิงใหญ่ก็มีความชอบที่ตรงกันข้ามกันกับนาง จึงค่อนข้างที่จะไปไหนมาไหนด้วยกันไม่บ่อยนัก “แต่ถึงอย่างไรแล้ว นางก็ดูเหมือนว่า จะเชื่อใจเจ้ายิ่งกว่าผู้ใด หากไม่ลำบากอันใด พ่ออยากให้เจ้าช่วยลองเกลี้ยกล่อมพี่สาวของเจ้าที ให้นางยอมรับการหมั้นหมายจากตระกูลเซี่ย” จ้าวหวังเหล่ยกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ “ตระกูลเซี่ยไม่ดีตรงที่ใด แค่เขาอยากได้ลูกหลานตระกูลคหบดีเช่นตระกูลเราไปเป็นสะใภ้ ก็นับว่าเป็นความโชคดีของตระกูลเราแล้ว เหตุใดพี่สาวของเจ้าถึงได้มีอคติกับพวกขุนนางฝ่ายบู๊นัก หรือว่านางเคยคบหากับพวกขุนนางฝ่ายบู๊โดยที่พ่อไม่รู้มาก่อน” “เป็นไปไม่ได้หรอกเจ้าค่ะท่านพี่ ที่ผ่านมาลูกเคยชายตามองบุรุษที่ถือดาบ ผิวพรรณกร้านแดดที่ใดกัน เกรงจะชื่นชมชื่นชอบพวกบัณฑิตเสียมากกว่า” หวงฟางหรงแย้งสามี จ้าวฟางเซียนพยักหน้าเห็นด้วยกับมารดา ยามนี้นางไม่อาจเสนอตัวขอแต่งงานแทนพี่สาวของนางได้ เพราะถ้าหากนางทำเช่นนั้น ก็เกรงว่าตนจะเป็นฝ่ายที่ทำให้วาสนาระหว่างพี่สาว กับบัณฑิตทั่นฮวาจากตระกูลเถียนผู้นั้นตื้นเขินขึ้น นางต้องรอให้ทั้งสองตกลงปลงใจกัน จนนางได้จับพลัดจับผลูเช่นในชีวิตก่อนเป็นการดีที่สุด “ลูกเพิ่งกลับมาจากร้านจ้าวจาง หากท่านพ่อกับท่านแม่ไม่มีเรื่องใด อยากจะกำชับลูกแล้ว ลูกขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ก่อนนะเจ้าคะ” ครั้นได้ยินบุตรีคนเล็กกล่าวออกมาเช่นนี้ จ้าวหวังเหล่ยกับหวงฟางหรง จึงรู้สึกผิดต่อจ้าวฟางเซียนขึ้นมาทันที จ้าวฟางเซียนเพิ่งกลับมาจากตรวจสอบบัญชีที่ร้านค้าของตระกูล นางกลับต้องมานั่งฟังปัญหาภายในเรือนอีก จ้าวหวังเหล่ยจึงอนุญาต จ้าวฟางเซียนลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วคำนับลาบิดามารดา จากนั้นจึงเดินออกไปจากห้องรับรอง สองสามีภรรยามองตามหลังบุตรสาวคนเล็ก ที่ยามนี้ก็มีรูปโฉมที่งดงามไม่แพ้สตรีวัยเดียวกันในเมืองหนานจาง ทั้งสองต่างก็พากันทอดถอนใจออกมา หากจ้าวฟางหรูไม่ยินยอมแล้ว จ้าวฟางเซียนจะยินยอมหรือไม่ พวกเขาก็มิอาจจะคาดเดาได้ แต่ถึงอย่างไรสุดท้ายแล้ว ตระกูลจ้าวกับตระกูลเซี่ย ก็ยังคงต้องเกี่ยวดองกันอยู่ดี เพื่อรักษาสัญญาที่จ้าวหยวนจง บิดาของเขาได้ให้ไว้ในอดีต บุรุษพูดคำไหนย่อมเป็นคำนั้น…หลังจากพูดคุยกันอยู่นานเกือบสองเค่อ เสียงของทารกน้อยที่นอนอยู่ห้องข้างๆ ก็ดังขึ้นมา จ้าวฟางเซียนรีบบอกกล่าวมารดา แล้วรีบเดินออกไปหาบุตรชาย หลังฟื้นมาจากฝันร่้ายในวันนั้น จ้าวฟางเซียนก็รู้สึกเสียใจเป็นอันมาก ที่สองวันแรก นางไม่อาจให้นมบุตรชายเองได้ ดีที่แม่สามีมองการณ์ไกล เตรียมแม่นมเอาไว้ให้ เผื่อเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดและสองวันแรกที่นางคลอดลู่หมิงออกมา ก็เกิดปัญหาขึ้นมาจริงๆ หลังจากที่นางตื่นขึ้นมา ก็พยายามดูแลร่างกายตนเอง และกินอาหารบำรุงน้ำนม ไม่ถึงเจ็ดวัน นางก็ขออนุญาตแม่สามี ให้นางป้อนนมลูกด้วยตัวเอง จางซื่อก็ไม่ได้ห้ามปรามอันใด เพราะน้ำนมจากมารดาย่อมดีกว่านมจากผู้อื่นอยู่แล้ว นับตั้งแต่นั้นมา จ้าวฟางเซียนก็ให้นมเซี่ยลู่หมิงเองเรื่อยมา ทว่ามีแม่นมฉินอยู่คอยช่วยดูแลบุตรชาย ในเวลาที่นางไม่ต้องให้นมหวงซื่อเดินตามบุตรสาวเข้ามาในห้องของหลานชาย นางมองไปยังบุตรสาว ที่ออกเรือนมาได้ไม่ถึงสามปี ทว่ายามนี้ได้มาเห็น ว่านางนั้นมีครอบครัวที่สมบูรณ์พูนสุขเพียงใด ก็พลอยให้รู้สึกโล่งใจ จากที่เคยคิดเป็นกังวล ว่านางจะได้พบเจอกับความยากลำบาก ในการใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลขุนนางใหญ่ ก็ทำให้นางวางใจล
วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากฤดูที่หนาวเย็นยะเยือก แปรเปลี่ยนมาเป็นฤดูใบไม้ผลิ เทศกาลลี่ชุนก็ได้เวียนมาถึงอีกหน อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ สรรพสิ่งเริ่มงอกงาม หลายครอบครัวที่ทำการเกษตร เริ่มต้นการเพาะปลูก สรรพสัตว์เริ่มออกจากการจำศีล เพื่อออกหากิน เหล่านายพรานกลับมาทำอาชีพของตนบ้านเมืองสงบสุขร่มเย็น ชาวเมืองยิ้มแย้มแจ่มใส เด็กน้อยที่กำลังวิ่งเล่น ส่งเสียงหัวเราะออกมา จนทำให้ผู้ใหญ่ทั้งหลายที่ได้ยิน ต่างก็พากันยิ้มได้ จวนตระกูลเซี่ยยามนี้ ก็ไม่ต่างไปจากสถานที่อื่น หรือจวนอื่นนัก ทว่าวันนี้ที่จวนสกุลเซี่ย ได้จัดงานครบเดือนให้แก่คุณชายน้อย ที่มีอายุครบหนึ่งเดือนพอดี บรรยากาศภายในจวน จึงเต็มไปด้วยความชื่นมื่นมีความสุขตระกูลจ้าวถือโอกาสที่เหลนน้อยอายุครบเดือน พากันเดินทางมาจากเมืองหนานจาง เพื่อมาเยี่ยมเยือนจ้าวฟางเซียน และบุตรชายของนางที่จวนสกุลเซี่ย เมืองหนานจง จ้าวฟางเซียนมองไปยังผู้คนจากตระกูลเดิมของตน ด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ นางไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่า ชีวิตของนางจะมีโอกาส ได้มาเห็นภาพแห่งความสุขเช่นในวันนี้ท่านปู่ท่านย่าที่อายุมากแล้ว ก็ยังอุตส่าเดินทางมาถึงที่นี่ เพื่อมาอวยพรให้เ
“หลงเอ๋อร์…จ้าวซื่อกับเจ้า ได้ตั้งชื่อเตรียมเอาไว้ให้เขาแล้วใช่หรือไม่”จางซื่อถามบุตรชายออกมาขณะที่ส่งทารกในห่อผ้าไปให้เขา เซี่ยเฟยหลงหัดอุ้มเด็กกับภรรยามาบ้างแล้ว แม้จะมีท่าทีเงอะงะงุ่มง่าม ทว่ากลับดูไม่ขัดตาเท่าใดนัก เซี่ยเฟยหลงก้มมองดวงหน้าเล็กเท่าฝ่ามือของบุตรชาย ก่อนที่จะเอ่ยนามของเขาออกมา“เซี่ย…ลี่หมิง”เพราะเขาคือแสงสว่างอันงดงาม ส่องลงมายังบนโลกมนุษย์ให้ความอบอุ่นแก่ผู้คน จ้าวฟางเซียนเป็นผู้ที่ตั้งชื่อบุตรชาย ส่วนตัวเขาเป็นผู้ที่ตั้งชื่อบุตรสาวเอาไว้ ทว่ากลับไม่ได้ใช้ ช่างเป็นวาสนาของเจ้าตัวน้อยเสียจริง ที่ได้ชื่อที่มารดาเป็นผู้ที่ตั้งให้“นามไพเราะ ความหมายดี…หมิงเอ๋อร์หลานย่า” จางซื่อยื่นมือไปรับหลานชายกลับมา เซี่ยเฟยหลงไม่ดื้อดึง ส่งทารกในห่อผ้ากลับคืนให้แก่มารดาทันที“จ้าวซื่อเป็นคนตั้งชื่อให้เขาใช่หรือไม่” นายท่านผู้เฒ่าเซี่ยเอ่ยถามหลานชายออกมา ก่อนที่จะกวักมือเรียกลูกสะใภ้ให้พาเหลนตัวน้อยมาให้เขาได้เชยชมบ้าง“ขอรับท่านปู่…นางตั้งชื่อบุตรชาย ส่วนข้าตั้งชื่อบ
หลังจากที่ตรวจพบว่า จ้าวฟางเซียนตั้งครรภ์ จางซื่อก็ได้ส่งแม่นมฉิน ให้มาทำหน้าที่คอยดูแลฮูหยินน้อยอย่างใกล้ชิด แม้เซี่ยเฟยหลงจะรับปากกับมารดาว่า เขาจะไม่ล่วงเกินภรรยา ขอเพียงแค่ให้เขาได้นอนกอดนางก็พอคราแรกจางซื่อก็ไม่ยินยอม ทว่าจ้าวฟางเซียนกลับช่วยพูดให้แม่สามีเข้าใจ จางซื่อจึงยอมอ่อนข้อให้แก่บุตรชาย ทว่ากลับให้แม่นมฉิน มานอนเฝ้าอยู่ที่หน้าฉากกั้นแทน เช่นนั้นแล้วหากเซี่ยเฟยหลงมีความคิดเหลวไหล ย่อมถูกแม่นมฉินจับได้“โหวเหย…ท่านต้องเห็นใจบ่าวด้วยสิเจ้าคะ บ่าวก็ไม่ได้อยากทำเช่นนี้ แต่ในเมื่อนายหญิงท่านสั่งมา บ่าวจะกล้าขัดได้อย่างไรกัน”เซี่ยเฟยหลงจ้องหน้าแม่นมตาเขม็ง แม่นมฉินฉีกยิ้มกว้างออกมา ก่อนที่จะสั่งให้คนนำตั่งตัวยาวมาวางไว้ ด้านหน้าฉากกั้น จ้าวฟางเซียนนึกขัน ให้กับใบหน้าของสามีที่กำลังบูดบึ้ง พลางมองไปยังแม่นมฉินด้วยแววตาอบอุ่นแม่นมฉินแคล้วคลาดจากความตายในความทรงจำของนาง หรืออาจจะเป็นเพราะนางมีครรภ์ ถึงได้ทำให้เหตุการณ์บางอย่างเปลี่ยนไป นางเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน เพราะถ้าหากเหตุการณ์ดำเนินไปตามที่นางเคยพบเจอแม่นมฉินจะต้องจากไปตั้งแต่ต้น
แสงทิวากำลังจะลาลับ พร้อมกับท้องฟ้าสีน้ำหมึกกำลังเปลี่ยนเข้ามาแทนที่ สองอาชาสองชายหนุ่ม ยังคงเร่งรีบฝ่าความมืดกลับเมืองหนานจงด้วยความคะนึงหา เซี่ยเฟยหลงไม่แม้แต่คิดที่จะหยุดพัก ในเมื่อเจ้านายไม่ยินยอมที่จะพัก ทั้งคนทั้งม้าจึงได้พากันอดทนจนถึงประตูเมืองหนานจงในเวลาดึกดื่นหากเป็นชาวบ้านธรรมดา มีหรือจะสามารถผ่านทหารเวรยาม ที่ทำหน้าที่เฝ้ารักษาการณ์อยู่หน้าประตูเมืองเข้าไปได้ง่ายๆ ทว่าเซี่ยเฟยหลงคือผู้ใด ทหารเหล่านี้ย่อมรู้ดี ครั้นได้เห็นว่าท่านแม่ทัพใหญ่เซี่ยกลับมา ต่างก็พากันกล่าวต้อนรับการกลับมา ของผู้เป็นผู้บังคับบัญชาท่านแม่ทัพหนุ่มยามนี้ปลดชุดเกราะที่น่าเกรงขามออก เหลือเพียงอาภรณ์เยี่ยงคุณชายทั่วไปสวมใส่เท่านั้น เขาไม่พูดจากับทหารเหล่านี้ให้มากความ รีบกลับเข้าเมืองอย่างเร็วรี่ มุ่งหน้าไปยังจวนแม่ทัพของตน“พวกเจ้าอย่าคิดรั้งท่านแม่ทัพไว้นาน เขาเร่งรีบกลับมาย่อมคิดถึงภรรยา” นายทหารที่เป็นหัวหน้ากล่าวกับลูกน้องที่กำลังมองตามท่านแม่ทัพผู้องอาจ ควบอาชาหายไปในความมืดมิดครั้นมาถึงหน้าประตูจวน เซี่ยเฟยหลงสั่งห้ามมิให้ผู้ใด ไปรายงานให้คนด้านในทราบ เพราะเข
ณ ตำหนักไท่เหอ ราชสำนัก แคว้นจิ้นองค์รัชทายาทวัยสามสิบต้นๆ กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทน เพราะกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ยังคงนอนป่วยรักษาตัวอยู่ ทำให้หน้าที่ดูแลบ้านเมือง ตกอยู่ในมือของเขาชั่วคราว อย่างชอบธรรม สีหน้าของเขายามนี้ไม่ค่อยสู้ดีนัก เป็นเพราะความต้องการของเขา ถูกเหล่าขุนนางเก่าแก่เหล่านี้ พากันกล่าวคัดค้านเขาย่อมรู้ดีว่ายามนี้ บ้านเมืองยังขาดความมั่นคง ยิ่งกับตัวเขาหากไม่สร้างผลงาน ไหนเลยจะขึ้นมานั่งบัลลังก์มังกรนี้อย่างภาคภูมิ เขาจึงอยากใช้การยึดเมืองหนานตงของแคว้นเจิ้ง มาเป็นผลงานเพื่อขึ้นครองราชย์ของตน ถึงอย่างไรบิดา ผู้เป็นกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ก็คงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว“จะทำเช่นนั้นมิได้พ่ะย่ะค่ะ ผู้สำเร็จราชการน่าจะรู้ดี ว่ายามนี้สถานการณ์ภายในของแคว้นจิ้นเรา ยังไม่เหมาะแก่การทำศึก อีกทั้งพวกเราเพิ่งจะสูญเสียแม่ทัพใหญ่อย่างท่านอู่ผา และกำลังทหารจำนวนหลายพันคนไป บ้านเมืองเรายังคงบอบช้ำอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ ขอพระองค์ทรงโปรดคิดทบทวน และพิจารณาเรื่องนี้ให้ดีด้วยเถิด”“ขอพระองค์ทรงโปรดคิดทบทวน และพิจารณาเรื่องนี้ใ