การย้ายบ้านของหยวนอันอันและสามีเป็นไปอย่างราบรื่น โดยมีย่าหยวนช่วยทั้งสองคนเอาของที่ไม่หนักเข้าบ้าน นางดีใจมากที่ต่อจากนี้ไม่ต้องอยู่เพียงลำพังอย่างที่คิดไว้แล้ว
หลังจากย้ายของเรียบร้อยแล้ว หยวนอันอันจึงเปิดปากบอกสามีเรื่องไปทวงเงินกับคนที่เคยมายืมเงินของย่าในอดีต โดยไม่ลืมยื่นรายละเอียดและสัญญาเงินกู้ให้เขาดู
“มันอันตรายเกินไปไหม ผมคิดว่าคนพวกนั้นไม่น่าจะคืนเงินที่ยืมไปแล้วล่ะ เอาอย่างนี้ดีกว่า เดี๋ยวผมทำงานหนักขึ้นไม่กี่ปีคงเก็บเงินได้ตามจำนวนที่เสียไป” ที่พูดออกมาแบบนี้ไม่ใช่เพราะกลัว หรือไม่อยากทวงเงิน แต่เพราะชายหนุ่มไม่อยากให้เธอเป็นอันตราย การไปทวงเงินคนเหล่านั้นเท่ากับสร้างศัตรูให้ตัวเอง
“ไม่หรอกค่ะ ที่ฉันบอกเรื่องนี้กับพี่เพราะกลัวว่าเมื่อทวงเงินแล้ว คนพวกนั้นคงปล่อยข่าวให้ฉันเสียหาย อย่าลืมว่าชื่อเสียงของฉันไม่ดีอยู่แล้ว หากมีใครพูดอะไรออกมารับรองเลยว่าคนในหมู่บ้านย่อมต้องเชื่อฝ่ายนั้น ต่อให้ฉันอธิบายก็คงไม่มีใครเชื่อ”
หญิงสาวบอกถึงเหตุผล เรื่องทวงเงินเธอย่อมต้องทำ เพราะเธอจะไถ่กำไลคืนให้กับย่าอย่างไรล่ะ แม้ว่าหลังจากนี้เธอจะหาเงินได้ แต่คนพวกนั้นก็ยังต้องคืนเงินอยู่ดี
“ฉันขอแค่พี่กับย่าเข้าใจฉันก็พอ คนอื่นฉันไม่สนใจนักหรอก อย่างไรชื่อเสียงของฉันไม่ดีอยู่แล้ว จะทวงเงินหรือด่ากับใครเพิ่มมันก็เหมือนเดิม”
เรื่องชื่อเสียงเหมือนกัน หยวนอันอันไม่ได้สนใจเท่าไรนัก ใครจะคิดไปอย่างไรก็ช่างพวกเขา ขอแค่สามีกับย่าไม่เชื่อคนพวกนั้นก็พอแล้ว
“ย่าเชื่ออันอัน ย่าเข้าใจ” หญิงชราพูดขึ้นมาคนแรก ไม่ว่าก่อนหน้านี้หลานสาวจะมีชื่อเสียงย่ำแย่แค่ไหนหรือเม่ว่าหลานสาวจะป็นอย่างไร แต่นางก็เชื่อเธอเสมอ
“ผมเหมือนกัน เอาอย่างนี้ไหมถ้าจะไปทวงเงินผมจะไปด้วย” ชายหนุ่มย่อมต้องเชื่อภรรยาอยู่แล้วไม่ต่างกับย่าหยวน
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ชื่อในสัญญามีแต่ผู้หญิงและคนแก่ พี่อย่าเข้ามายุ่งดีกว่า ฉันไม่อยากให้ใครมาว่าพี่ได้ อีกอย่างฉันคือหลานสาวของบ้านหยวนย่อมต้องทำเรื่องนี้เอง เหมาะสมที่สุดแล้ว”
ต้วนหยางเฟยแม้จะไม่อยากให้ภรรยาไปทวงเงินคนพวกนั้นเพียงลำพัง แต่เมื่อได้ยินเหตุผลที่เธอบอกจึงพยักหน้าให้อย่างยินยอม ก่อนจะกำชับว่า “แต่สัญญาได้ไหมว่า ถ้าเรื่องราวบานปลายหรือคิดว่าจะเกิดอันตรายให้รีบวิ่งมาบอกผม แล้วผมจะจัดการให้”
หญิงสาวยิ้มแก้มปริ เธอไม่รู้หรอกว่าที่เขาพูดมานั้นเพราะห่วงเธอหรือทำตามหน้าที่ของสามี แต่หยวนอันอันรู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
“ค่ะ หากรู้ตัวว่าเรื่องบานปลายหรือจะเกิดอันตราย ฉันจะรีบวิ่งไปหาแล้วให้พี่จัดการให้เรื่องทั้งหมด” เธอพยักหน้าและตอบรับอย่างว่าง่าย
‘ไม่คิดเลยว่าการที่ถูกปกป้องมันรู้สึกแบบนี้นี่เอง’
ย่าหยวนมองท่าทีของหลานสาวและหลานเขยก็ยิ้มออกมาอย่างยินดี เพราะดูเหมือนว่าทั้งสองต่างก็ห่วงใยซึ่งกันและกัน นี่จึงทำให้หญิงชราหวังว่าสักวันทั้งหลานเขยจะรักหลานสาวของนางจริง ๆ ไม่ใช่เพราะถูกบังคับให้แต่งงาน
“นี่ก็เที่ยงแล้ว ฉันไปทำอาหารก่อนนะ” หยวนอันอันยังคงเขินกับสาตาขอสามีจึงหาเรื่องที่จะเดินออกจากตรนี้ และนี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว เธอคิดว่าควรจะไปทำอาหารให้ย่าและเขาได้กิน
“คุณตั้งเตาหุงข้าวก่อนเถอะ เดี๋ยวผมขึ้นเขาไปดูกับดักสักหน่อย เผื่อว่ามีสัตว์ป่าติดกับดัก หากไม่มีจะไปจับปลาที่ลำธาร แล้วจะรีบกลับมา” ชายหนุ่มรีบบอก เพราะเมื่อเช้ามืดเขาได้เอากับดักไปวางไว้ ตอนนี้น่าจะมีสัตว์ติดอยู่บ้าง หากไม่มีคงต้องไปหาปลามาทำอาหารกินไปก่อน
“ค่ะ” หญิงสาวตอบรับละยิ้มให้เขาอย่างอบอุ่น
‘นี่คือการเริ่มต้นใหม่ของการแต่งงานอีกครั้ง ชาตินี้ฉันจะไม่ทำผิดเหมือนชาติก่อน แต่ก็ไม่ลืมคนที่ทำร้ายฉันเหมือนกัน’
เมื่อคิดถึงคนที่ชั่วร้ายชาติที่แล้ว ความโกรธความเกลียดก็พุ่งเข้าจิตใจของหยวนอันอัน ชาตินี้ใครดีมาเธอดีกลับ แต่ใครร้ายกับเธอ เธอจะร้ายกลับเป็นสิบเท่าร้อยเท่า ไม่เชื่อก็คอยดู!
บทส่งท้าย ครอบครับอบอุ่น (จบ)เมื่อได้ยินสิ่งที่หลานสาวบอก หญิงชราก็ยิ้มออกมาอย่างยินดี แม้จะไม่ได้อยากรบกวนหยวนอันอันหรือตระกูลฟาง แต่ก็ไม่อยากทิ้งใครไว้ข้างหลังเหมือนกัน“ถ้าอย่างนั้นย่าก็สบายใจ แต่สิ่งพวกนี้ไม่ได้ทำให้หลานอึดอัดใช่ไหม” นางจับมือหลานสาวมากุมไว้แล้วตบเบา ๆ ยังขอบคุณ“ไม่อึดอัดอะไรเลยค่ะ ฉันเองก็อยากจะช่วยเหลือพวกเขาเหมือนกัน ที่ผ่านมาเขาก็ดูแลพวกเราเป็นอย่างดี ความจริงแล้วฉันอยากให้เขาย้ายไปอยู่ในเมืองด้วยซ้ำ แต่ก็คงทำไม่ได้เพราะทุกคนมีบ้านอยู่ที่นี่”“นั่นสิ ช่วยได้เท่าที่ช่วยก็แล้วกัน”สองย่าหลานสบตาให้กันพร้อมกับยิ้มออกมา ก่อนจะพากันเดินไปที่บ้านต้วนเพื่อดูว่าทุกคนเตรียมตัวกันเสร็จแล้วหรือยังส่วนต้วนหยางเฟย แม้ว่าทุกคนจะยังไม่ได้ย้ายเข้ามาในเมือง แต่ชายหนุ่มก็ต้องมาทำงานกับพี่ชายของภรรยาแล้ว นับว่าเป็นงานที่หนักหนาพอสมควรเนื่องจากเขาไม่เคยมีความรู้เกี่ยวกับกิจการร้านค้าที่ใหญ่อย่างนี้มาก เคยทำก็แค่ขายของในตลาดมืดและส่งสินค้าให้ลูกค้าประจำบ้านเท่านั้น“เป็นอย่างไรบ้าง พอทำไหวไหม” ฟางอี้โตวเดินเข้ามาแล้วถามพร้อมรอยยิ้ม ความจริงแล้วสองสามวันที่ผ่านมาน้องเขยคนนี้ก็ทำ
จุบจบของคุณหนูฟาง (ตัวปลอม)สองสามีภรรยาได้แต่กุมมือกันแน่น หยวนอันอันตั้งใจจะพาต้วนหยางเฟยเข้าไปในมิติ แต่ในขณะที่กำลังจะพาเขาไป ก็มีรถยนต์คันหนึ่งขับสวนเข้ามา พร้อมกับมีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งเดินลงมาจากรถ“พบกันอีกแล้วนะหยวนอันอัน” ฟางหยูซิวยิ้มอย่างชั่วร้าย รู้สึกพึงพอใจที่แผนการของเธอกำลังจะสำเร็จ“อย่าบอกนะว่านี่คนของคุณหนู” หยวนอันอันแสร้งถามออกมา ทั้งที่มั่นใจแล้วว่ากลุ่มชายฉกรรจ์พวกนี้เป็นคนของฟางหยูซิว“รู้ตอนนี้มันก็สายไปแล้วล่ะ” เธอเดินมาดร้ายให้เข้ามาหา แล้วยืนนำหน้าชายฉกรรจ์กลุ่มนี้ โดยมีแม่นมคอยเกาะติดอยู่ด้วย“เราสองคนไม่ได้เป็นศัตรูกัน อีกอย่างก็ไม่เคยมีเรื่องบาดหมาง ทำไมคุณถึงคิดจะเอาชีวิตฉันล่ะ” หยวนอันอันยังคงแกล้งถาม“ใครใช้ให้แกเป็นลูกของคุณพ่อคุณแม่ที่หายไปละ ถ้าไม่มีแกสักคนตำแหน่งคุณหนูฟางก็ยังคงเป็นของฉัน และทรัพย์สมบัติที่มี ก็ต้องเป็นของฉันเหมือนกัน” ฟางหยูซิวดวงตาวาวโรจน์ เธอไม่พอใจอย่างมากที่ผลออกมาว่าอยู่นั้นเป็นลูกของตระกูลฟาง“แต่คุณอยู่กับตระกูลฟางมาตั้งนานแล้ว นายท่านและนายหญิงฟางก็ดูจะรักคุณมาก ต่อให้ผลตรวจจะเป็นอย่างที่คุณบอก แล้วคุณถามฉันสักคำหรือ
ความจริงปรากฎหยวนอันอันไม่สนใจว่าผลจะออกมาอย่างไร แต่ในเมื่อนายท่านฟางทำในสิ่งที่ขอร้องแล้ว เธอและต้วนหยางเฟยเลยมาหาซื้อตึกโดยใช้เส้นสายของนายท่านฟางที่ช่วยเหลือ จึงทำให้ทั้งสองคนมีร้านค้าแล้วในตอนนี้วันนี้จึงตัดสินใจพาทุกคนออกมาโดยการเช่าเกวียนของหมู่บ้านเพราะย่าหยวนเองก็มาด้วย“ร้านนี้แพงไหมสะใภ้สาม” แม่สามีอย่างเหอซือเฉิงถาม“ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะแม่ นี่คือร้านที่ฉันต้องการให้พี่ใหญ่กับพี่รองมาช่วยค้าขาย ส่วนฉันกับพี่หยางเฟยจะเป็นคนไปรับสินค้ามาเอง แล้วอีกอย่างฉันคิดว่าพวกเครื่องสานทุกชนิดจะรับมาจากชาวบ้าน อย่างไรรบกวนพ่อบอกกับหัวหน้าหมู่บ้านให้หน่อยได้ไหมคะ อย่างน้อยนี่ก็เป็นรายได้ของชาวบ้านที่เพิ่มขึ้นมา นอกจากรออาหารจากกองพลน้อย”หยวนอันอันตอบกลับ เธอคิดว่าร้านนี้ไม่ควรจะขายแค่อาหารและวัตถุดิบเพียงอย่างเดียว เลยตัดสินใจให้พ่อสามีไปคุยกับหัวหน้าหมู่บ้าน เกี่ยวกับเครื่องสานที่ชาวบ้านมักจะทำกันไว้ใช้เอง ให้เอามาฝากขายที่ร้านของเธอ“ดีเลย เดี๋ยวเรื่องนี้พ่อจะไปบอกหัวหน้าหมู่บ้านเอง”ต้วนเริ่นชวนตอบรับอย่างยินดี อย่างน้อยการค้าของลูกชายและลูกสะใภ้ยังช่วยเหลือชาวบ้านได้ นั่นเพราะคนชรา
วางแผนกำจัดให้พ้นทางเมื่อเจ้าหน้าที่พาหญิงสาวทั้งสามคนไปแล้ว หยวนอันอันจึงเริ่มมีสติขึ้นมา เพราะถ้าหากเธอตื่นมาก่อนหน้านี้ ซูน่านเผิงคงไม่ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นแน่“อันอันน้องฟื้นแล้ว รู้สึกปวดตรงไหนหรือไม่” ต้วนหยางเฟยรีบถามอย่างร้อนใจ เพราะต้องการให้ดูสมจริงมากที่สุด“นั่นสิหลานย่า ย่ากลัวเหลือเกินว่าจะไม่มีหลานอยู่กับย่าอีกแล้ว” หญิงชรารีบถามอย่างร้อนใจเหมือนกันทุกคนที่อยู่บริเวณนี้ พอเห็นว่าหยวนอันอันมีสติและฟื้นขึ้นมาแล้วก็รู้สึกโล่งใจ ถึงแม้ว่าจะมีใครบางคนที่ไม่ค่อยชอบเธอก็ตาม แต่ก็ไม่อยากให้ต้องมาตายเพราะถูกวางยาพิษจากลูกสาวบ้านซู“เกิดอะไรขึ้นคะพี่ เมื่อครู่นี้ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะตาย แต่ก็ดีใจเหลือเกินที่ฟื้นขึ้นมา” เธอพูดออกมาเสียงเบา แต่ก็ขยิบตาอย่างเจ้าเล่ห์ให้กับสามีโดยที่คนอื่นไม่ทันสังเกตเห็น “เธออย่ามัวแต่พูดอยู่เลยสะใภ้สาม สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้ของเธอก็คือควรกลับเข้าไปพักผ่อน แล้วดูว่าร่างกายมีตรงไหนผิดปกติหรือเปล่า ฉันจะได้ให้เจ้าสามพาเธอไปรักษาในเมืองอย่างทันท่วงที” เหอซือเฉิงกลัวว่าสะใภ้คนนี้จะเป็นอันตราย เลยอยากให้เขาไปพักผ่อนเสียก่อน แต่พอ นึกได
จุดจบของคนคิดร้ายหางอี๋หรู่ได้ยินสิ่งที่น้องสามีถามก็เกิดความหวาดกลัว นั่นเพราะว่าพอเธอเอาขนมมาจากหลานสาวก็ตรงดิ่งมาที่นี่ทันที เลยไม่เข้าใจว่าทำไมแค่ขนมที่ผสมยาถ่าย หยวนอันอันถึงได้สลบไปแบบนี้“เกิดอะไรขึ้นกับอันอัน ตายแล้ว! ทำไมอันอันเธอถึงได้ไปนอนอย่างนั้นล่ะ” ซือเหนียงได้ยินเสียงโวยวายขณะที่กำลังจัดเรียงฟืนเข้าที่เลยออกมาดู และพอเห็นหยวนอันอันนอนสลบอยู่ เลยตกใจแทบสิ้นสติ ซึ่งขณะนั้นเอง ชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาต่างก็หยุดมอง และส่งเสียงพูดคุยซุบซิบกันไม่หยุด“เรื่องนี้คงต้องถามพี่สะใภ้รองครับ เพราะเธอคือคนที่เอาขนมกล่องนี้มาให้อันอันกิน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดและนี้สร้างความตกใจให้กับชาวบ้านและซือเหนียงไม่น้อย นั่นก็เพราะว่าไม่เคยมีใครเห็นต้วนหยางเฟยเป็นแบบนี้มาก่อนคราวนี้ทุกคนจึงหันไปทางหางอี๋หรู่กันอย่างพร้อมเพรียง และกดดันเธอเพื่อขอคำตอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ฉันก็แค่เอาขนมมาให้สะใภ้สามกินก็เท่านั้นเอง ทุกคนจะมามองฉันแบบนั้นไม่ได้นะ” เธอตอบกลับอย่างร้อนรน ตอนนี้ในสมองนั้นคิดอะไรไม่ออกแล้ว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหยวนอันอันตอนนี้ชาวบ้านไม่มีใค
โดนหลอกใช้จี้เจียซีเดินกลับมาบ้านด้วยใจที่โกรธเคือง แต่เพราะเรื่องนี้ยังไม่อยากให้ใครรู้เรื่องมากเลยไม่กล้าที่จะบอกทุกคนในบ้าน แต่กับแม่สามี เรื่องนี้เธอคิดว่าควรจะบอก อย่างไรหากเกิดเรื่องไม่ดีเข้า แม้สามีจะได้จัดการเรื่องนี้อย่างทันท่วงที“อ้าวทำไมวันนี้กลับมาเร็วล่ะสะใภ้ใหญ่” เหอซือเฉิงเห็นว่าสะใภ้ใหญ่กลับมาเร็วกว่าปกติก็เกิดความแปลกใจ“พอดีวันนี้มีเรื่องเกิดขึ้นเล็กน้อย ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะบอกแม่ เราเข้าบ้านเถอะ เรื่องนี้ไม่ควรให้ใครได้ยิน” เธอรีบบอกพร้อมกับมองซ้ายขวาเพราะกลัวว่าใครจะมาได้ยินเข้าก่อนจะจูงมือแม่สามีเข้าบ้านแล้วบอกให้ลูกกับหลานนั่งเล่นกันเองไปก่อนพอเข้ามาในบ้านแล้ว จี้เจียซีจึงบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟังอย่างละเอียดและไม่มีคำไหนตกหล่นเลยแม้แต่คำเดียว“เลี้ยงไม่เชื่อง ฉันจะดูสิว่าสะใภ้รองมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยไหม หากหล่อนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยฉันจะให้หย่ากับเจ้ารองเสีย แล้วส่งตัวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดการเสียเลย” เหอซือเฉิงพูดอย่างเจ็บใจและโกรธมากเมื่อได้ยินเรื่องนี้“ฉันเองก็โกรธไม่ต่างกัน ไม่คิดว่าลูกสาวบ้านซูกับหลานสาวของน้องสะใภ้รองจะมีจิตใจโหดเหี้ยมผิดมนุษย์