LOGINนายท่านหลินโกรธมากจริงๆไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำขู่ขอหย่าของภรรยาเอ่ยซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือเพราะความอัปยศที่ถูกซ่งเจิ้งอี้หยามเกียรติแต่แทนที่อีกฝ่ายจะหวาดหวั่นหรือเกรงกลัวทว่ากลับอวดดียิ่งทำให้เขารู้สึกเดือดดาลยิ่งกว่าเดิมแม้สถานการณ์ในจวนสกุลหลินยามนี้จะกลับมาสงบนิ่งราวกับสายน้ำในทะเลสาบลึกแล้ว ทว่าอารมณ์ของนายท่านหลินก็ยังคงขุ่นมัวไม่สู้ดีนักหลินฮูหยินเหลือบสายตามองสามีก่อนจะเอ่ยขึ้น พลางยกน้ำชาขึ้นจิบท่าทางผ่อนคลายไม่ได้ใส่ใจนัก “หากนายท่านหลินเอาแต่กล้ำกลืนความโกรธไว้ในอกไม่ยอมปล่อยวางเช่นนี้ เกรงว่าข้าคงจะได้กลายเป็นแม่ม่ายในเร็ววันกระมัง”น้ำเสียงนางราบเรียบหากแต่แฝงทั้งถ้อยคำข่มขู่และกดดันแผ่กดทับอากาศเอาไว้นายท่านหลินสูดลมหายใจลึก ก่อนพ่นลมออกยาวราวกับจะกดทับโทสะที่ปะทุอยู่ในอกให้มอดลง เขาเพ่งมองภรรยาด้วยสายตาเคร่งขรึมและจริงจัง “ข้าเพียงหวังดีต่อนาง…”หลินฮูหยินหัวเราะเบาๆ เจือความขื่นขมคล้ายยอมแพ้ต่อความดื้อรั้นของสามี นางรู้ดีว่าต่อให้พูดอย่างไร เขาก็ไม่มีวันเปิดใจฟังและเข้าใจได้จริง ๆ“ความหวังดีของท่าน…” นางเงยหน้าขึ้นสบตาเขาตรงๆ ดวงตาคู่งามสั่นระริกทว่าแน่วแน่ “เมื่อก่อน ท่
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดทั้งที่นางยืนอยู่ตรงหน้าเพียงแค่เอื้อมแต่ซ่งเจิ้งอี้กลับรู้สึกว่าห่างออกไปไกลนัก คล้ายกับว่ายิ่งเขาเร่งฝีเท้าเดินกลับยิ่งห่างออกไปเรื่อยๆ จนไม่อาจจะคว้านางได้อีกแล้วสายตาคมกริบของซ่งเจิ้งอี้ยังคงจับจ้องมองศาลาริมสระบัวตรงหน้าอย่างไม่ละลดราวกับว่า หากเขากะพริบเพียงแค่ชั่วอึดใจเดียว หลินซิ่วหรงจะหายไป จนกระทั่ง จู่ๆ ร่างสูงใหญ่ของนายท่านหลินกลับยืนถมึงทึงอยู่ตรงหน้าซ่งเจิ้งอี้พลันหยุดชะงักฝีเท้ายืนนิ่งทันที ก่อนจะละสายตากลับมามองตรงหน้าแทน ใบหน้าหล่อเหลาเรียบไร้อารมณ์ไม่สะทกสะท้าน “นายท่า…”“เจ้ากล้ามาเหยียบสกุลหลินได้อย่างไร!” ยังไม่ทันสิ้นความ น้ำเสียงทุ้มของนายท่านหลินก็ดังกึกก้อง สะท้อนไปทั่วทั้งจวนแฝงด้วยความกดดันหนักอึ้งกดทับอยู่ในอากาศซ่งเจิ้งอี้ไม่หลบสายตา ใบหน้าหล่อเหลายังคงสงบนิ่งเขาแค่นเสียงฮึดฮัด น้ำเสียงทุ้มต่ำแต่ชัดเจน “ทั้งเมียและลูกของข้าต่างอยู่ที่นี่ นายท่านหลินคิดว่าข้าจะไปอยู่ที่หอคณิกาหรืออย่างไรกัน”“เจ้า!” นายท่านหลินกัดฟันกรอดกดเสียงต่ำใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ลมหายใจกระฟัดกระเฟียดฉายความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน “อย่าได้คิดอวดดีมายั่
ซ่งเจิ้งอี้ไม่สนใจว่าบุรุษผู้นั้นจะมาจากแคว้นอวิ๋นหรือมีฐานะสูงส่งเพียงใด ทว่ารอยยิ้มที่ควรเป็นของเขาเพียงผู้เดียวกลับถูกมอบให้บุรุษอื่น!หนังตาของเขาพลันกระตุกริกๆ อย่างห้ามอารมณ์ เรื่องนี้ไม่มีวันปล่อยผ่านไปแน่นอนใบหน้าหล่อเหล่าถมึงทึงย่ำแย่ไม่สู้ดี ภายในใจพลุ่งพล่านเต็มไปด้วยความหึงหวงภรรยาอย่างควบคุมไม่อยู่ ซ่งเจิ้งอี้ไม่รอช้า ก้าวเท้าออกจากเรือนทันทีแม้ว่านางจะสั่งห้ามเอาไว้ก่อนหน้านี้เหล่าสาวใช้ที่เดินผ่านต่างเบิกตากว้างราวกับเห็นผีกลางวันแสกๆ ไม่รู้ว่าควรตกใจกับสิ่งใดก่อนดีระหว่างมีบุรุษก้าวออกมาจากเรือนของคุณหนูใหญ่หรือเพราะบุรุษผู้นี้คือคุณชายซ่งผู้เป็นบิดาของเด็กในครรภ์คุณหนูใหญ่ แถมยังเป็นคนที่นายท่านรังเกียจรู้สึกไม่ถูกชะตาด้วยที่สุด!!!!ว่าแล้ว...ลางสังหรณ์ของอิงหลันก็ไม่ผิดนางหันขวับกลับไปมองเพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง ก่อนจะรีบเร่งฝีเท้าตรงไปหาบุรุษหนุ่มทันที“คุณชายรีบไปหลบก่อนเถอะเจ้าค่ะ!” น้ำเสียงของนางเบาราวกับกระซิบกระซาบแฝงความร้อนรนฉายออกมาชัดเจน เกรงเหลือเกินว่าผู้คนในห้องโถงจะมองเห็นแล้วเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาซ่งเจิ้งอี้ได้ยินแล้ว เพียงหันไปมองสาวใช้คุ้นหน้าผู้นั้น
หลินซิ่วหรงนั่งเหยียดหลังตรง มือเรียวทั้งสองประสานกันบนตัก ใบหน้าคนงามเชิดขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาเมล็ดซิ่งแข็งกร้าวประสานกับบุรุษตรงหน้าโดยไม่คิดจะหลบเลี่ยงนี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบบุรุษจาก แคว้นอวิ๋น…ชาติก่อน ตามธรรมเนียมแล้ว บุรุษผู้นี้สมควรควบม้ามารับนางไปด้วยตนเอง ทว่าส่งสามหนังสือและหกพิธีจนกระทั่ง วันที่เขาสมควรมารับนางด้วยตนเองแต่หลินซิ่วหรงกลับไม่เคยเห็นแม้แต่เงาเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำ ระหว่างนางขบวนเกี้ยวเจ้าสาวของนางยังถูกดักลอบทำร้ายระหว่างทางอีกเลยไม่มีโอกาสได้พบพานแต่ไฉนเลยพอมาชาตินี้ หลินซิ่วหรงจะได้พบหน้ากับบุรุษจากแคว้นอวิ๋นเสียทีหัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ ทั้งหวาดหวั่น ทั้งตึงเครียด ทั้งประหม่าผสมปนเปกันจนแทบควบคุมไม่อยู่ ยิ่งเห็นสีหน้าของบิดาที่ยามนี้มืดครึ้มถมึงทึงคล้ายท้องฟ้าก่อนพายุ เคร่งขรึมเสียจนเส้นเลือดบนขมับเต้นตุบๆ แววตาคมดุดันกวาดมองไปยังบุรุษจากแดนไกลนั้นด้วยสายตาเย็นเฉียบ บรรยากาศทั่วทั้งจวนจึงหนาวเหน็บราวถูกโอบล้อมด้วยหมอกเย็นเหล่าสาวใช้ที่ยืนเรียงรายอยู่ด้านข้างต่างพากันก้มหน้าไม่กล้าสบตา บ้างถึงกลับใบหน้าซีดเผือด บางคนถึงกับยกชายแขนเสื้อขึ้นเ
บุรุษกับสตรีหรือจะสามารถเป็นสหายกันได้อย่างบริสุทธิ์ใจโดยไม่คิดอื่นใด เกรงว่าประโยคเช่นนี้คงเป็นเพียงแค่คำลวงเท่านั้นหากมิใช่เพราะว่าบุรุษชื่นชอบในตัวสตรีผู้หนึ่งก็คงไม่คิดที่จะข้องเกี่ยวให้เกิดความรำคาญใจ แล้วหากสตรีไม่สนใจบุรุษผู้หนึ่งก็คงไม่ตามต้อยราวกับเป็นสุนัขตามเจ้าของแน่แม้ว่าจ้าวเหม่ยฮวาจะไม่เคยมีประสบการณ์มาโดยตรงทว่าเรื่องเช่นนี้ นางกลับได้ยินมารดาพูดกรอกหูซ้ำๆ คอยชี้แนะว่าบุรุษประเภทใดและสตรีนิสัยอย่างไรที่สมควรจะข้องเกี่ยวหรือหนีห่างออกไปให้ไกลถ้อยคำพูดของบุรุษผู้นั้นยังคงติดอยู่ในวันของนางวนเวียนซ้ำๆ ราวกับว่ากำลังย้ำ มองดูภายนอกแล้ว นางไม่อยากจะคิดเข้า ข้างตนเองจริงๆ ว่าเขากำลังชมชอบนางอย่างงั้นหรือ!?ไม่ว่าจะสายตาที่จ้องมอง ท่าทางและน้ำเสียงเช่นนั้นอีกจ้าวเหม่ยฮวาเอาแต่คิดไปมาถอนหายใจซ้ำๆ และคนข้าวในชามไม่ยอมกินเสียที จนจ้าวฮูหยินที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามสังเกตเห็นจึงอดถามขึ้นมาไม่ได้ “มีเรื่องอะไรอย่างงั้นหรือ…เหตุใดท่าทางถึงได้ดูเหม่อลอยคล้ายจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว”นางหรี่สายตาลงคล้ายกำลังจับผิดบุตรสาวอยู่ก่อนไม่ปาน จากนั้นจึงพูดต่อ “ลืมไว้กับบุรุษสักคนอย่างงั้นห
ภายในเรือนนอนเงียบสงัด หลินซิ่วหรงย่างเดินเข้ามาอย่างแผ่วเบาด้วยความระมัดระวัง นัยน์ตาเมล็ดซิ่งกวาดมองจนสะดุดที่ร่างของหลินซิ่วอันนั่งชันเข่าอยู่บนเตียงสงบนิ่งราวกับรูปปั้น ดวงตาคู่งามเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง คล้ายไม่ทันสังเกตว่านางเข้ามา“ซิ่วอัน” เสียงหวานเอื้อนเอ่ยเบาๆ ก่อนที่ร่างอรชรจะก้าวไปนั่งลงข้างเตียง มือเรียวยื่นออกไปแตะไหล่น้องสาวอย่างแผ่วเบาหลินซิ่วอันสะดุ้งเล็กน้อย หลุดจากภวังค์ก่อนจะหันมามองอีกฝ่ายด้วยแววตาหม่นหมอง นางพยายามยกยิ้มออกมาฝืนๆ อย่างเห็นได้ชัด “พี่หญิงหรือ…” น้ำเสียงหวานพึมพำพูด ริมฝีปากโค้งขึ้นเล็กน้อย ทว่ากลับไร้อารมณ์ใดๆ เจือปนหลินซิ่วหรงเห็นท่าทีเช่นนี้แล้ว ก็พลันรู้สึกปวดหนึบในอก ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมา “เป็นเพราะข้า…”“ไม่ใช่เจ้าค่ะ พี่หญิง” หลินซิ่วอันแทรกเสียงเรียบ ดวงตาคู่งามหม่นหมองพลันสบกับสายตาพี่สาวตรงๆ ทั้งใบหน้าและแววตาต่างฉายความเจ็บปวดลึกสะท้อนออกมาชัดเจน “เป็นเช่นนี้ ก็ดีแล้ว จะได้ไม่เสียเวลาไปมากกว่านี้”นางเอ่ยขึ้นคล้ายปลอบใจให้ยอมรับความจริงเสียทีนางเคยโง่งมหลงคิดว่า รักแรกพบที่ครั้งหนึ่งทำให้หัวใจสั่นไหวจะกลายเป็นวาสนาที่ผูกนางกับเซ







