สายฝนโปรยปรายดุจม่านหยกหลั่งลงจากฟ้า ฉ่ำเย็นราวน้ำตาสวรรค์ที่ร่ำไห้ให้แก่โชคชะตาของมนุษย์ผู้อาภัพ ภายใต้พรมฝนที่หลั่งริน ตำหนักจันทราอัสดง ที่เคยเป็นสถานที่สำหรับเดินทางไปพักตากอากาศของ องค์ชายจวิ้นอี่ และคู่ครองอย่าง เซี่ยเหยียนอวี่ ตอนนี้ถูกปล่อยทิ้งร้างไว้เขตชานเมืองอันเงียบงันอย่างน่าเศร้าสร้อย เสียงหยดน้ำกระทบหินเย็นดังกังวานไม่ต่างไปจากเสียงหัวใจของเขาที่กำลังแตกสลาย...
...ปริร้าวและมิอาจประสานคืน
เซี่ยเหยียนอวี่ทอดกายนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม้เก่าคร่ำคร่า ม้วนกระดาษคำสั่งเนรเทศในมือถูกกำจนยับย่น ปลายนิ้วซีดเผือดเย็นเฉียบ ดวงหน้าอันหล่อเหลาประดุจหยกขาวกลับซีดเซียว ราวกลีบบุปผาที่โรยราไร้ชีวิต ดวงเนตรที่เคยทอประกายดังดวงดาราบนท้องนภา บัดนี้หม่นมัวประหนึ่งท้องทะเลยามพายุซัด น้ำตาหยาดแล้วหยาดเล่าซึมเปียกชายแขนเสื้อแพรไหมซึ่งครั้งหนึ่งเคยหรูหราดังผู้มีบรรดาศักดิ์
วังหลวงอันโอ่อ่าเคยเป็นดังแดนสวรรค์บนพื้นปฐพี ตำหนักทองที่ประดับไปด้วยหยกส่องแสงพร่างพราวใต้โคมระย้า โถงใหญ่ประดับลายมังกรและหงส์บนผืนผ้าไหมวิจิตร เสียงบรรเลงขลุ่ยและพิณดังแว่วมาทุกค่ำคืน สร้างความระเริงใจได้ไม่น้อย
เหยียนอวี่เคยยืนเคียงข้างองค์ชายจวิ้นอี่ ณ สถานที่แห่งนั้น ท่ามกลางสายตาชื่นชมของผู้คนที่ได้พบเห็น เขาคือดวงจันทร์แห่งวังหลัง เป็นขวัญใจแห่งราชบัลลังก์ เป็นที่รักขององค์ชายรูปงามผู้มีรอยยิ้มอ่อนโยนจนทำให้ลมหายใจของเขาสะดุดไปทุกคราที่ได้จ้องมอง
องค์ชายกล่าวถ้อยคำมั่นว่าจะมอบดวงดาวทั้งนภาให้แก่เขา ให้โลกทั้งใบกลายเป็นอ้อมแขนอันอบอุ่น ทว่าเมื่อกาลเวลาผันผ่าน ความรักที่เคยงดงามนั้น กลับเปราะบางยิ่งกว่ากลีบดอกโบตั๋นยามต้องลมปลายฤดู
ฉินลี่หรง ขุนนางหนุ่มผู้มีใบหน้าแสนสุภาพ ลึกซึ้งเฉกเช่นอสรพิษที่ซ่อนพิษร้าย เขาค่อยๆ ถักทอถ้อยคำลวงด้วยเล่ห์กล สานใยพิษคำให้แผ่คลุมทั่วท้องพระโรง กล่าวหาว่าเหยียนอวี่ร่วมมือกับกบฏคิดล้มราชบัลลังก์ ท่ามกลางสายตากล่าวโทษ ดวงหน้าสงบนิ่งของฉินลี่หรงแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน คำลวงนั้นเปรียบได้ดั่งคมมีดที่ปักกลางใจเหยียนอวี่ ผู้บริสุทธิ์ที่ไร้ซึ่งสิ่งใดไว้ปกป้องตน
แม้เพียงหวังแววตาเชื่อใจจากผู้เป็นที่รัก ทว่าท่านอ๋องจวิ้นอี่กลับมิเอื้อนเอ่ยถ้อยคำ ไม่มีแม้แต่รอยสั่นไหวในแววตาเย็นชาดุจเหมันต์ฤดู ความเงียบงันนั้นกลับหนักแน่นประหนึ่งสายฟ้าฟาดลงกลางใจ
“ท่าน... ยังเชื่อใจข้าอยู่หรือไม่ ข้า... มิได้เป็นเช่นที่เขากล่าวหานั้นเลย” เสียงสั่นเครือแผ่วเบาของเหยียนอวี่เต็มเปี่ยมด้วยความเจ็บปวด ลมหายใจเริ่มติดขัด และริมฝีปากสั่นเทา
ทว่าองค์ชายจวิ้นอี่ผู้ที่เคยยื่นมือให้เขายึดเหนี่ยว บัดนี้กลับประทับนิ่งบนบัลลังก์ทองอันสูงส่ง ไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด ไม่แม้แต่หันมาสบตา เขาเพียงห่อหุ้มตนเอาไว้ภายใต้หน้ากากของความเย็นชาตามสถานะและหน้าที่ตนเท่านั้น
เพียงลมหายใจเดียว บทลงโทษก็มาถึง เซี่ยเหยียนอวี่ถูกตัดสินเนรเทศออกจากวัง สูญสิ้นทั้งเกียรติ ศักดิ์ศรี และที่พักอาศัย ตำหนักในวังหลวงที่เคยงดงามดั่งภาพฝันกลับกลายเป็นเพียงเงาจาง ๆ ในความทรงจำ
โชคยังดีที่ท่านอ๋องยังมีเมตตาหลงเหลือ มอบตำหนักร้างอันเปล่าเปลี่ยวแห่งเดียวที่อยู่ไกลโพ้นอย่างตำหนักจันทราอัสดงให้เป็นที่พำนักสุดท้ายแก่เขา หรืออันที่จริงควรจะเรียกมันว่าคุกหลวงเสียมากกว่า เพราะเขาถูกจำกัดพื้นที่ให้อยู่แค่ภายในตำหนัก ห้ามออกไปไหน จนเขาแทบไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน ตลอดเวลาที่อยู่ในนั้น มันทั้งหนาวเหน็บ มืดมิด และเงียบงันจนแม้แต่เสียงลมหายใจยังสะท้อนก้องชัดเจน
เหยียนอวี่ทอดสายตามองโคมกระดาษเก่าซึ่งห้อยอยู่กลางห้อง มันเคยเปล่งแสงอบอุ่นในยามค่ำคืน... ยามที่เขาได้นั่งเคียงข้างผู้เป็นที่รัก มือที่เคยถูกท่านอ๋องกุมเอาไว้ด้วยความอ่อนโยน และเสียงกระซิบหวานของเขายังคงก้องอยู่ในหู
“เจ้าคือทุกสิ่งของข้า”
แต่วันนี้ คำมั่นนั้นกลับกลายเป็นเพียงลมปากไร้ความหมาย แต่นึกถึงทีไรก็เจ็บปวดดังโดนมีดดาบกรีดลึกลงกลางใจ
ทุกค่ำคืน เขานอนขดอยู่บนพื้นหินเย็นเฉียบ ฝันถึงวันคืนอันอบอุ่น ฝันถึงวังหลวงซึ่งเคยเป็นเหมือนบ้านอีกหลังของเขา ฝันถึงรอยยิ้มขององค์ชาย และยังคงฝันถึงความร้ายกาจของฉินลี่หรงที่ยืนมองเขาด้วยรอยยิ้มเยาะ ความปวดร้าวนั้นกัดกินวิญญาณเขาไม่จบสิ้น ความโดดเดี่ยวกลืนกินกายา ร่างกายที่เคยแข็งแกร่งเริ่มอ่อนแรงราวใบไม้ที่กำลังจะปลิดปลิวยามต้องสายลมพัดผ่าน
ในค่ำคืนสุดท้ายของชีวิต เขาทรุดกายลงบนพื้น มือผอมแห้งเอื้อมแตะขอบหน้าต่าง ฝนยังคงตกกระหน่ำราวกับสวรรค์ร่ำไห้ให้กับชะตาของเขา ลมหายใจแผ่วเบาดังเปลวเทียนใกล้ดับ น้ำตาหยดสุดท้ายหลั่งลงจากหางตา พร้อมความน้อยเนื้อต่ำใจที่มิอาจเอื้อนเอ่ย
หากมีภพหน้า... ขอให้ข้าได้ทวงคืนทุกสิ่งที่ถูกช่วงชิงไป
คำอธิษฐานของเหยียนอวี่ฟังดูเหมือนจะเป็นไปได้ แต่สวรรค์ย่อมกับผู้ไร้ซึ่งวาสนาเสมอ ดุจธาราน้ำที่ไหลย้อนกลับ แสงนวลจางเรืองรองกลางห้วงรัตติกาลโอบอุ้มดวงวิญญาณของเขาไว้อย่างแผ่วเบา ราวกับดวงจันทร์ที่ฉีกม่านเมฆหมอกออกจากนภา
เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง...
ชีวิตใหม่ก็หาใช่เช่นเดิม
หากฟ้าเปิดทางให้ข้าอีกครา ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใด ข้าจะชิงทุกสิ่งกลับคืนมา... ด้วยสองมือของข้าเอง!
ยามเช้าแห่งวังหลวงอาบด้วยแสงแดดอ่อนละมุน ทาบทอลงบนตำหนักทองและหอคอยลอยท่ามกลางกลุ่มหมอกประหนึ่งภาพวาดจากสรวงสวรรค์ กลิ่นกำยานเจือจางลอยแทรกกับเสียงระฆังจากหอสูง เซี่ยเหยียนอวี่ก้าวลงจากเกี้ยว มือบางแตะขอบเบา ๆ ดวงหน้าเรียบสงบ หากแฝงแววคมลึกไว้ในดวงตานั้นนี่คือวันแรกที่เขาก้าวเข้าสู่ราชสำนักอีกครั้ง หลังจากผ่านพิธีการคัดเลือกคู่หมั้นเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ตอนนี้เขายังคงอยู่ในฐานะว่าที่คู่หมั้นแห่งองค์ชายจวิ้นอี่เท่านั้น และการเข้าสู่วังหลวงครั้งนี้ก็มิใช่เพื่อความรัก แต่เพื่อทวงชะตาที่เคยพ่ายแพ้กลับคืนมาเท่านั้นหลี่กงกง ขันทีชราก้าวนำทาง สองข้างทางมีองครักษ์ยืนเรียงราย ดวงตาของเหยียนอวี่นิ่งสงบราวรูปสลัก ทว่าแฝงแรงกดดันที่อัดแน่นทุกย่างก้าว ราวกับวังหลวงทั้งวังกำลังจับจ้องเขาตำหนักหย่งชิงที่พักชั่วคราวต้อนรับเขาด้วยพิธีรีตองครบครัน ทว่าเบื้องหลังรอยยิ้มและเสียงก้มคารวะ ไม่ได้ทำให้เหยียนอวี่รู้สึกปลอดภัยนัก เขารู้ดีว่าในตำหนักแห่งนี้เต็มไปด้วยสายลับของฉินลี่หรงที่ซ่อนตัวเอาไว้เสี่ยวหลาน สาวใช้ผู้นำกลุ่มเดินเข้ามาหลังจากที่เขาเข้ามานั่งพักในห้องโถงของตำหนัก ก่อนจะเอ่ยวาจาสุภาพด้วยแววต
แสงแดดยามสายสาดลงลานกว้างหน้าตำหนักหลวง โคมแดงร้อยเรียงดังดาราแขวนกลางนภา กลิ่นกำยานหอมจางลอยแทรกสายลมเคล้ากับเสียงพิณแว่วเบา พิธีคัดเลือกคู่หมั้นขององค์ชายจวิ้นอี่เปิดฉากท่ามกลางเหล่าขุนนางตระกูลสูงศักดิ์เซี่ยเหยียนอวี่ในชุดผ้าไหมฟ้าครามปักลายเมฆมังกร ยืนอย่างสงบ สง่างามดุจหยกชั้นดี ดวงเนตรเรียบนิ่งแต่ทอประกายคมลึก เขามิได้มาที่นี่เพื่อค้นหารัก หากแต่มาเพื่อช่วงชิงชะตาที่เคยสูญสิ้นกลับคืนไป๋เหวินเจี๋ยหมอหลวงหนุ่มปรากฏข้างกาย เสียงนุ่มราวสายน้ำเอ่ยเตือน “พิธีนี้มิใช่เพียงแค่การคัดเลือก มันคือการชิงชัยท่ามกลางดวงตานับร้อย”“ข้าย่อมรู้ดี” เหยียนอวี่เอ่ยเบา รอยยิ้มบางประดับมุมปาก หากแววตานั้นเยือกเย็นราวหิมะเสียงกลองสามครั้งดังก้อง บัลลังก์มังกรทองยังว่างเปล่า แต่ทว่าผู้แรกที่ก้าวออกมากลับไม่ใช่เจ้าของพิธี หากแต่เป็นบุรุษที่เคยฝากบาดแผลไว้กลางใจเขาฉินลี่หรง ขุนนางหนุ่มรูปงามภายใต้อาภรณ์สีม่วงเข้ม ปักลายนกยูงด้ายทองก้าวออกมาอย่างองอาจ รอยยิ้มอ่อนโยนของเขาอาบไว้ด้วยพิษร้าย ดวงตาคมกริบดุจงูที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด เมื่อสายตานั้นสบกับแววตาของเหยียนอวี่ โลกทั้งใบพลันเยียบเย็นลงราวลมหิมะกระห
แสงจันทร์นวลทอประกายเหนือเรือนตระกูลเซี่ย กลีบดอกเหมยขาวปลิวล้อลมราวหิมะโปรยปรายยามราตรี เซี่ยเหยียนอวี่ยืนนิ่งอยู่ที่ระเบียง มือบางสัมผัสกับราวระเบียงไม้เย็นเฉียบ ดวงเนตรทอดมองราตรีอันเงียบงัน ทว่าในใจกลับปั่นป่วนราวพายุโหมกระหน่ำจดหมายลับเมื่อคืนยังแจ่มชัด รอยอักษรของฉินลี่หรงเปรียบเสมือนกรงเล็บเงามัจจุราชที่ฉีกอดีตให้ร้าวลึก ทุกย่างก้าวในวังหลวงที่รออยู่เบื้องหน้าคือเส้นทางน้ำแข็งบางเบาที่พร้อมแตกหักได้ทุกเมื่อเสียงฝีเท้าแผ่วเบาแลตามมาด้วยถ้อยคำอ่อนโยน “นายน้อย ท่านยังไม่พักหรือเจ้าคะ?” ลู่ชิง สาวใช้ผู้ภักดีเดินเข้ามาพร้อมผ้าคลุมไหล่ กลิ่นชาดอกเหมยอ่อนจางลอยคลุ้งมาด้วย “ลมคืนนี้เย็นนัก ข้ากลัวท่านจะมิสบายก่อนออกเดินทาง”เหยียนอวี่หันมองนางเพียงครู่ แววตานิ่งลึกเสียจนลู่ชิงต้องก้มหน้า เงียบงันจนเขาเองต้องเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ข้าสบายดี เจ้ากลับไปพักเถิด”ลู่ชิงวางผ้าคลุมลง ก่อนกล่าวแผ่วเบา “ขอให้ท่านปลอดภัย... ในวังหลวง”ความทรงจำเก่าหวนคืนมาอีกครั้ง ทำให้เขายิ่งรู้สึกเจ็บปวด ภาพของลู่ชิงในตำหนักร้าง ผู้ยื่นข้าวต้มร้อนให้ยามเขาไร้ที่พึ่ง คำปลอบใจของเธอยังดังก้อง เขากัดฟันแน่น ดวงตาหลุ
ยามรุ่งสางของวันที่สอง แสงสุริยาละมุนแผ่ซ่านผ่านลานฝึกเรือนตระกูลเซี่ย กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกเหมยลอยมากับสายลมเย็น หากแต่ในดวงหทัยของเซี่ยเหยียนอวี่กลับไร้ซึ่งความสงบ เขายืนนิ่งในชุดฝึกสีน้ำเงินเข้ม มือขวากำด้ามดาบไม้แน่น ดวงเนตรซึ่งเคยสดใสดุจประกายหยก บัดนี้กลับแน่วแน่เยือกเย็น ราวกับคมศาสตราที่เพิ่งลับใหม่จนแวววาวอดีตชาติยังคงหลอกหลอนดุจเงาตามตัว ทุกครั้งที่เหยียนอวี่หลับตา ความทรงจำในชาติก่อนยังคงปรากฏชัด ทุกความรู้สึก ทุกสัมผัส ยังจารึกไว้จิตใจของเขาอย่างชัดเจนไม่มีวันลืม...ภาพท้องพระโรงที่เคยโอ่อ่าดั่งสรวงสวรรค์บัดนี้กลายเป็นขุมนรกสำหรับเขาไปเสียแล้ว ไหนจะคำลวงของฉินลี่หรงที่ฉีกหัวใจเขาจนแหลกสลาย และดวงเนตรเย็นชาขององค์ชายจวิ้นอี่ล้วนเป็นเปลวไฟแค้นที่เผาผลาญความไร้เดียงสาของเขาให้กลายเป็นเถ้าถ่านเขาลืมตาตื่นขึ้นมาในยามที่รุ่งอรุณยังไม่ปรากฏพ้นขอบฟ้า มุ่งหน้าสู่ลานฝึกด้วยหัวใจที่เด็ดเดี่ยว เขาฟาดดาบใส่อากาศด้วยพลังแห่งปณิธาน ทุกจังหวะคือคำมั่น ทุกเสียงหวีดของลมคือบันทึกแห่งคำสาบานเสียงฝึกของเขาปลุกให้ลู่ชิงที่อยู่พักอยู่ใกล้ลานฝึกตื่นขึ้น แรกเริ่มนางแปลกใจเล็กน้อยที่ได้ยินเสีย
อรุณแรกของวันทอดแสงละมุนลอดผ่านหน้าต่างไม้ฉลุลาย วิ่งเล่นบนม่านผ้าไหมบางเบา ก่อนจะตกกระทบพื้นไม้ขัดมันเป็นประกาย ภายในเรือนใหญ่แห่งตระกูลเซี่ย เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วจากสวนเบื้องนอกคล้ายบทเพลงแห่งฤดูใหม่ ทว่าภายในใจของเซี่ยเหยียนอวี่กลับเงียบงัน ดั่งบึงลึกยามไร้ลมสะกิดผิวน้ำเขาทอดกายนอนนิ่งบนเตียงผ้าไหม มือเรียวกุมผ้าห่มแน่น ดวงเนตรงามจ้องมองเพดานไม้ด้วยความเหม่อลอย แววตานั้นแฝงไว้ด้วยเงาแห่งความระแวดระวัง อดีตชาติอันโหดร้ายยังคงติดตรึงดั่งรอยสลักบนดวงวิญญาณเขาวังหลวงที่งดงาม...ท้องพระโรงเย็นเยียบ...สายตาเย้ยหยันของฉินลี่หรง...และ... ดวงตาเย็นชาราวเหมันต์ฤดูขององค์ชายจวิ้นอี่ทุกสิ่งยังคงชัดเจนประหนึ่งภาพสะท้อนในกระจกเงาบานใหญ่ มันยังคงฉายซ้ำอยู่ภายในความทรงจำของเขาตลอดเวลาเหยียนอวี่บรรจงเคลื่อนมือมาสัมผัสใบหน้าตน ผิวเนียนนุ่มปราศจากร่องรอยแห่งความทุกข์ เป็นใบหน้าในยามวัยเยาว์ ช่วงเวลาที่ยังเปี่ยมด้วยความหวังและความฝันอันไร้ขอบเขต เขาก้าวลุกขึ้นด้วยความนิ่งสงบ เดินไปยังตู้กระจกโบราณ เงาสะท้อนตรงหน้าคือบุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลาราวหยกขาว ภาพตรงหน้ายังคงเหมือนดังเช่นในอดีต แต่ดวงตาที่ครั
สายฝนโปรยปรายดุจม่านหยกหลั่งลงจากฟ้า ฉ่ำเย็นราวน้ำตาสวรรค์ที่ร่ำไห้ให้แก่โชคชะตาของมนุษย์ผู้อาภัพ ภายใต้พรมฝนที่หลั่งริน ตำหนักจันทราอัสดง ที่เคยเป็นสถานที่สำหรับเดินทางไปพักตากอากาศของ องค์ชายจวิ้นอี่ และคู่ครองอย่าง เซี่ยเหยียนอวี่ ตอนนี้ถูกปล่อยทิ้งร้างไว้เขตชานเมืองอันเงียบงันอย่างน่าเศร้าสร้อย เสียงหยดน้ำกระทบหินเย็นดังกังวานไม่ต่างไปจากเสียงหัวใจของเขาที่กำลังแตกสลาย......ปริร้าวและมิอาจประสานคืนเซี่ยเหยียนอวี่ทอดกายนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม้เก่าคร่ำคร่า ม้วนกระดาษคำสั่งเนรเทศในมือถูกกำจนยับย่น ปลายนิ้วซีดเผือดเย็นเฉียบ ดวงหน้าอันหล่อเหลาประดุจหยกขาวกลับซีดเซียว ราวกลีบบุปผาที่โรยราไร้ชีวิต ดวงเนตรที่เคยทอประกายดังดวงดาราบนท้องนภา บัดนี้หม่นมัวประหนึ่งท้องทะเลยามพายุซัด น้ำตาหยาดแล้วหยาดเล่าซึมเปียกชายแขนเสื้อแพรไหมซึ่งครั้งหนึ่งเคยหรูหราดังผู้มีบรรดาศักดิ์วังหลวงอันโอ่อ่าเคยเป็นดังแดนสวรรค์บนพื้นปฐพี ตำหนักทองที่ประดับไปด้วยหยกส่องแสงพร่างพราวใต้โคมระย้า โถงใหญ่ประดับลายมังกรและหงส์บนผืนผ้าไหมวิจิตร เสียงบรรเลงขลุ่ยและพิณดังแว่วมาทุกค่ำคืน สร้างความระเริงใจได้ไม่น้อยเหยียนอวี่เคย