อรุณแรกของวันทอดแสงละมุนลอดผ่านหน้าต่างไม้ฉลุลาย วิ่งเล่นบนม่านผ้าไหมบางเบา ก่อนจะตกกระทบพื้นไม้ขัดมันเป็นประกาย ภายในเรือนใหญ่แห่งตระกูลเซี่ย เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วจากสวนเบื้องนอกคล้ายบทเพลงแห่งฤดูใหม่ ทว่าภายในใจของเซี่ยเหยียนอวี่กลับเงียบงัน ดั่งบึงลึกยามไร้ลมสะกิดผิวน้ำ
เขาทอดกายนอนนิ่งบนเตียงผ้าไหม มือเรียวกุมผ้าห่มแน่น ดวงเนตรงามจ้องมองเพดานไม้ด้วยความเหม่อลอย แววตานั้นแฝงไว้ด้วยเงาแห่งความระแวดระวัง อดีตชาติอันโหดร้ายยังคงติดตรึงดั่งรอยสลักบนดวงวิญญาณเขา
วังหลวงที่งดงาม...
ท้องพระโรงเย็นเยียบ...
สายตาเย้ยหยันของฉินลี่หรง...
และ... ดวงตาเย็นชาราวเหมันต์ฤดูขององค์ชายจวิ้นอี่
ทุกสิ่งยังคงชัดเจนประหนึ่งภาพสะท้อนในกระจกเงาบานใหญ่ มันยังคงฉายซ้ำอยู่ภายในความทรงจำของเขาตลอดเวลา
เหยียนอวี่บรรจงเคลื่อนมือมาสัมผัสใบหน้าตน ผิวเนียนนุ่มปราศจากร่องรอยแห่งความทุกข์ เป็นใบหน้าในยามวัยเยาว์ ช่วงเวลาที่ยังเปี่ยมด้วยความหวังและความฝันอันไร้ขอบเขต เขาก้าวลุกขึ้นด้วยความนิ่งสงบ เดินไปยังตู้กระจกโบราณ เงาสะท้อนตรงหน้าคือบุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลาราวหยกขาว ภาพตรงหน้ายังคงเหมือนดังเช่นในอดีต แต่ดวงตาที่ครั้งหนึ่งเคยใสซื่อ บัดนี้ทอประกายเด็ดเดี่ยวแน่นหนัก
“ข้ายังมีชีวิตอยู่...” เขากระซิบเสียงแผ่ว ทว่าเต็มเปี่ยมด้วยพลัง “สวรรค์ได้มอบโอกาสให้อีกครั้ง...”
เขาหลับตานึกถึงอดีต คิดถึงตนผู้โง่เขลาที่เคยหลงเชื่อในรักแท้ มอบหัวใจให้ท่านอ๋องโดยมิระแวง ไม่รู้เลยว่าความบริสุทธิ์นั้นจะนำพาเขาไปสู่หายนะ ความรัก ความหวัง และความฝัน ล้วนพังทลายลงด้วยเล่ห์กลของฉินลี่หรง และด้วยความนิ่งเฉย ไม่คิดแม้แต่จะปกป้องของบุรุษที่เขาเคยรักจนหมดหัวใจ
“ข้าจะไม่ยอมให้โชคชะตาซ้ำรอยอีก” เสียงเขาเย็นชา ขณะมือกำแน่นจนเล็บจิกลงบนฝ่ามือ “ครานี้ ข้าจะทวงคืนทุกสิ่ง... ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม”
เมื่อแสงตะวันยามสายส่องผ่านบานหน้าต่างฉลุ เหยียนอวี่พาตัวเองมานั่งอยู่ในห้องหนังสือ ล้อมรอบด้วยตำราเก่าและม้วนประกาศมากมาย จดหมายจากวังหลวงถูกคลี่ออกต่อหน้า เขาอ่านถ้อยคำอย่างไม่สะทกสะท้าน เนื้อความระบุชัดว่าเขาได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมพิธีคัดเลือกคู่หมั้นขององค์ชายจวิ้นอี่ และจะต้องเข้าสู่ราชสำนักในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
เขายกยิ้มบาง คล้ายเยาะเย้ยตนเองในชาติที่แล้ว เพราะนี่คือจุดเริ่มต้นแห่งโศกนาฏกรรมที่เขาเคยเดินผ่านมา หากแต่ครั้งนี้เขาจะย่างก้าวด้วยหัวใจที่แข็งแกร่งดุจศิลา หาใช่ด้วยความฝันลม ๆ แล้ง ๆ เช่นเดิม
“องค์ชายจวิ้นอี่...” เขาพึมพำ ดวงตาหลุบต่ำซ่อนประกายเย็นเฉียบ “ครานี้ ข้าจะไม่ยอมให้ท่านครอบครองหัวใจข้าอีกต่อไป”
ภาพอดีตหวนกลับคืนมา ดวงตาอ่อนโยน รอยยิ้มอันเคยทำให้หัวใจเขาเต้นแรง และมือที่เคยสัมผัสด้วยความรัก บัดนี้ ล้วนเป็นเพียงม่านลวงตา เขาสะบัดหน้าอย่างแรง เพื่อขับไล่ความรู้สึกเหล่านั้นให้มลายสิ้น
ก๊อก ๆ ๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“นายน้อย ท่านพร้อมหรือยังเจ้าคะ?” ลู่ชิง สาวใช้คนสนิทกล่าวเบา ๆ พลางเปิดประตูเข้ามาอย่างระมัดระวัง กลิ่นชาดอกเหมยในถาดที่เธอถือเข้ามาด้วยลอยอบอวลไปทั่วห้อง
เหยียนอวี่หันไปสบตา นางคือผู้ภักดี แม้ในอดีตยามเขาตกต่ำ นางยังลอบนำอาหารให้ถึงตำหนักร้าง ทว่าความภักดีนั้นนำพาโทษทัณฑ์มาให้นางเช่นกัน นั่นทำให้เขารู้สึกผิดไม่น้อย แต่โอกาสที่สวรรค์ให้เขาในครั้งนี้ ทำให้เขาไม่อาจมอบความเชื่อใจแก่ใครได้ง่ายดายอีกแล้ว แม้กระทั่งนางก็ตาม
“ข้าพร้อมแล้ว” เขาตอบเรียบ ๆ เสียงนิ่งเสียจนลู่ชิงชะงักไปเล็กน้อย นางรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่เปลี่ยนแปรจากนายน้อยผู้เคยอ่อนโยนที่เธอเห็นมาตั้งแต่อีกฝ่ายยังเด็ก ดวงตาของเขาล้ำลึกเกินกว่าจะหยั่งถึง
“ท่านพ่อรออยู่ที่ห้องโถงเจ้าค่ะ” นางเอ่ยพร้อมวางถาดชา
เหยียนอวี่พยักหน้าเงียบ รู้ดีว่าการเข้าสู่พิธีคัดเลือกคู่หมั้นของราชสำนักไม่ใช่เพียงชะตาของเขาเพียงคนเดียว แต่มันคือเดิมพันของทั้งตระกูล หากเป็นชาติก่อน เขาคงรู้สึกหนักอึ้งจากความคาดหวัง ทว่าในครานี้ เขาจักใช้มันเป็นบันไดสู่การล้างแค้น
เขาเดินตามลู่ชิงออกไปด้วยท่าทีสงบ เขารู้ดีว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น เพราะมันเป็นเรื่องราวที่เคยปรากฏมาแล้วในอดีต ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้เรื่องราวมันซ้ำรอยเดิมอย่างแน่นอน ครั้งนี้เขาจะเอาคืนทุกอย่างที่ต้องเสียไปแบบที่เขาเองก็ไม่ได้เต็มใจ
ไม่ว่าใคร... เขาจะไม่ยอมให้ทำร้ายเขาได้อีกแล้ว
สองเท้าก้าวเข้าไปภายในห้องโถงของเรือนตระกูลเซี่ยอันตกแต่งด้วยความประณีต เซี่ยจง บิดาของเขานั่งอยู่ที่โต๊ะไม้จันทร์ด้านในด้วยท่าทางสุขุม น่าเกรงขาม เหยียนอวี่ตรงเข้าไปทักทายด้วยความเคารพก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม พ่อของเขาเอ่ยด้วยเสียงแน่นหนักทันที
“เหยียนอวี่ เจ้ารู้ใช่ไหมว่าเจ้าคือความหวังของตระกูลเรา”
“ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง” เขากล่าว พร้อมแววตาแน่วแน่ดุจหินผา “ข้าขอเวลาฝึกฝนตนก่อนเข้าวัง เพื่อให้พร้อมรับทุกกลศึกในนั้น”
เซี่ยจงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้า “ข้าจะเตรียมทุกสิ่งให้เจ้า”
เมื่อการสนทนาสิ้นสุด เหยียนอวี่ก้าวผ่านสวนดอกเหมยของเรือน สายลมหอบกลิ่นบุปผาโชยมาแตะจมูก กลีบเหมยปลิวตกอย่างงดงาม แต่ในใจเขากลับคล้ายพายุโหมกระหน่ำ เวลาแห่งการเอาคืนใกล้มาถึงแล้ว
“ฉินลี่หรง...” เสียงกระซิบของเขานั้นเย็นเยียบ “เจ้าคือผู้เริ่มเกม ครานี้ ข้าจะเป็นผู้วางหมากด้วยตนเอง”
ตลอดทั้งบ่ายเขาเริ่มฝึกฝนในลานฝึกหลังเรือน แขนแกร่งยกดาบไม้ฝึกท่าพื้นฐานอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย หยาดเหงื่อไหลรินตามไรผม ทุกจังหวะคือคำมั่น ทุกเหวี่ยงดาบคือคำสาบาน
ลู่ชิงเฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ ก่อนกระซิบกับตนเองอย่างเป็นกังวล “นายน้อย... เปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ”
เมื่ออาทิตย์ลับฟ้า เหยียนอวี่นั่งอยู่ใต้ต้นเหมยทอดตามองฟ้ายามสนธยา ม้วนคำสั่งจากวังยังอยู่ในมือ ริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง ไม่ใช่รอยยิ้มแห่งสุข หากเป็นรอยยิ้มของผู้ที่พร้อมเผชิญพายุลูกใหญ่
“ราชสำนัก... จงรอข้าเถิด” เสียงของเขาเบา ทว่าเปี่ยมด้วยพลัง “ครานี้ ข้าจะเป็นผู้กำหนดโชคชะตาของตนเอง”
กลีบเหมยร่วงหล่นลงพื้น เป็นดั่งสัญญาณแห่งการเริ่มต้นชีวิตบทใหม่ของเซี่ยเหยียนอวี่ ผู้ที่กลับมาด้วยหัวใจซึ่งไม่มีผู้ใดอาจหักทลายได้
ยามเช้าแห่งวังหลวงอาบด้วยแสงแดดอ่อนละมุน ทาบทอลงบนตำหนักทองและหอคอยลอยท่ามกลางกลุ่มหมอกประหนึ่งภาพวาดจากสรวงสวรรค์ กลิ่นกำยานเจือจางลอยแทรกกับเสียงระฆังจากหอสูง เซี่ยเหยียนอวี่ก้าวลงจากเกี้ยว มือบางแตะขอบเบา ๆ ดวงหน้าเรียบสงบ หากแฝงแววคมลึกไว้ในดวงตานั้นนี่คือวันแรกที่เขาก้าวเข้าสู่ราชสำนักอีกครั้ง หลังจากผ่านพิธีการคัดเลือกคู่หมั้นเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ตอนนี้เขายังคงอยู่ในฐานะว่าที่คู่หมั้นแห่งองค์ชายจวิ้นอี่เท่านั้น และการเข้าสู่วังหลวงครั้งนี้ก็มิใช่เพื่อความรัก แต่เพื่อทวงชะตาที่เคยพ่ายแพ้กลับคืนมาเท่านั้นหลี่กงกง ขันทีชราก้าวนำทาง สองข้างทางมีองครักษ์ยืนเรียงราย ดวงตาของเหยียนอวี่นิ่งสงบราวรูปสลัก ทว่าแฝงแรงกดดันที่อัดแน่นทุกย่างก้าว ราวกับวังหลวงทั้งวังกำลังจับจ้องเขาตำหนักหย่งชิงที่พักชั่วคราวต้อนรับเขาด้วยพิธีรีตองครบครัน ทว่าเบื้องหลังรอยยิ้มและเสียงก้มคารวะ ไม่ได้ทำให้เหยียนอวี่รู้สึกปลอดภัยนัก เขารู้ดีว่าในตำหนักแห่งนี้เต็มไปด้วยสายลับของฉินลี่หรงที่ซ่อนตัวเอาไว้เสี่ยวหลาน สาวใช้ผู้นำกลุ่มเดินเข้ามาหลังจากที่เขาเข้ามานั่งพักในห้องโถงของตำหนัก ก่อนจะเอ่ยวาจาสุภาพด้วยแววต
แสงแดดยามสายสาดลงลานกว้างหน้าตำหนักหลวง โคมแดงร้อยเรียงดังดาราแขวนกลางนภา กลิ่นกำยานหอมจางลอยแทรกสายลมเคล้ากับเสียงพิณแว่วเบา พิธีคัดเลือกคู่หมั้นขององค์ชายจวิ้นอี่เปิดฉากท่ามกลางเหล่าขุนนางตระกูลสูงศักดิ์เซี่ยเหยียนอวี่ในชุดผ้าไหมฟ้าครามปักลายเมฆมังกร ยืนอย่างสงบ สง่างามดุจหยกชั้นดี ดวงเนตรเรียบนิ่งแต่ทอประกายคมลึก เขามิได้มาที่นี่เพื่อค้นหารัก หากแต่มาเพื่อช่วงชิงชะตาที่เคยสูญสิ้นกลับคืนไป๋เหวินเจี๋ยหมอหลวงหนุ่มปรากฏข้างกาย เสียงนุ่มราวสายน้ำเอ่ยเตือน “พิธีนี้มิใช่เพียงแค่การคัดเลือก มันคือการชิงชัยท่ามกลางดวงตานับร้อย”“ข้าย่อมรู้ดี” เหยียนอวี่เอ่ยเบา รอยยิ้มบางประดับมุมปาก หากแววตานั้นเยือกเย็นราวหิมะเสียงกลองสามครั้งดังก้อง บัลลังก์มังกรทองยังว่างเปล่า แต่ทว่าผู้แรกที่ก้าวออกมากลับไม่ใช่เจ้าของพิธี หากแต่เป็นบุรุษที่เคยฝากบาดแผลไว้กลางใจเขาฉินลี่หรง ขุนนางหนุ่มรูปงามภายใต้อาภรณ์สีม่วงเข้ม ปักลายนกยูงด้ายทองก้าวออกมาอย่างองอาจ รอยยิ้มอ่อนโยนของเขาอาบไว้ด้วยพิษร้าย ดวงตาคมกริบดุจงูที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด เมื่อสายตานั้นสบกับแววตาของเหยียนอวี่ โลกทั้งใบพลันเยียบเย็นลงราวลมหิมะกระห
แสงจันทร์นวลทอประกายเหนือเรือนตระกูลเซี่ย กลีบดอกเหมยขาวปลิวล้อลมราวหิมะโปรยปรายยามราตรี เซี่ยเหยียนอวี่ยืนนิ่งอยู่ที่ระเบียง มือบางสัมผัสกับราวระเบียงไม้เย็นเฉียบ ดวงเนตรทอดมองราตรีอันเงียบงัน ทว่าในใจกลับปั่นป่วนราวพายุโหมกระหน่ำจดหมายลับเมื่อคืนยังแจ่มชัด รอยอักษรของฉินลี่หรงเปรียบเสมือนกรงเล็บเงามัจจุราชที่ฉีกอดีตให้ร้าวลึก ทุกย่างก้าวในวังหลวงที่รออยู่เบื้องหน้าคือเส้นทางน้ำแข็งบางเบาที่พร้อมแตกหักได้ทุกเมื่อเสียงฝีเท้าแผ่วเบาแลตามมาด้วยถ้อยคำอ่อนโยน “นายน้อย ท่านยังไม่พักหรือเจ้าคะ?” ลู่ชิง สาวใช้ผู้ภักดีเดินเข้ามาพร้อมผ้าคลุมไหล่ กลิ่นชาดอกเหมยอ่อนจางลอยคลุ้งมาด้วย “ลมคืนนี้เย็นนัก ข้ากลัวท่านจะมิสบายก่อนออกเดินทาง”เหยียนอวี่หันมองนางเพียงครู่ แววตานิ่งลึกเสียจนลู่ชิงต้องก้มหน้า เงียบงันจนเขาเองต้องเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ข้าสบายดี เจ้ากลับไปพักเถิด”ลู่ชิงวางผ้าคลุมลง ก่อนกล่าวแผ่วเบา “ขอให้ท่านปลอดภัย... ในวังหลวง”ความทรงจำเก่าหวนคืนมาอีกครั้ง ทำให้เขายิ่งรู้สึกเจ็บปวด ภาพของลู่ชิงในตำหนักร้าง ผู้ยื่นข้าวต้มร้อนให้ยามเขาไร้ที่พึ่ง คำปลอบใจของเธอยังดังก้อง เขากัดฟันแน่น ดวงตาหลุ
ยามรุ่งสางของวันที่สอง แสงสุริยาละมุนแผ่ซ่านผ่านลานฝึกเรือนตระกูลเซี่ย กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกเหมยลอยมากับสายลมเย็น หากแต่ในดวงหทัยของเซี่ยเหยียนอวี่กลับไร้ซึ่งความสงบ เขายืนนิ่งในชุดฝึกสีน้ำเงินเข้ม มือขวากำด้ามดาบไม้แน่น ดวงเนตรซึ่งเคยสดใสดุจประกายหยก บัดนี้กลับแน่วแน่เยือกเย็น ราวกับคมศาสตราที่เพิ่งลับใหม่จนแวววาวอดีตชาติยังคงหลอกหลอนดุจเงาตามตัว ทุกครั้งที่เหยียนอวี่หลับตา ความทรงจำในชาติก่อนยังคงปรากฏชัด ทุกความรู้สึก ทุกสัมผัส ยังจารึกไว้จิตใจของเขาอย่างชัดเจนไม่มีวันลืม...ภาพท้องพระโรงที่เคยโอ่อ่าดั่งสรวงสวรรค์บัดนี้กลายเป็นขุมนรกสำหรับเขาไปเสียแล้ว ไหนจะคำลวงของฉินลี่หรงที่ฉีกหัวใจเขาจนแหลกสลาย และดวงเนตรเย็นชาขององค์ชายจวิ้นอี่ล้วนเป็นเปลวไฟแค้นที่เผาผลาญความไร้เดียงสาของเขาให้กลายเป็นเถ้าถ่านเขาลืมตาตื่นขึ้นมาในยามที่รุ่งอรุณยังไม่ปรากฏพ้นขอบฟ้า มุ่งหน้าสู่ลานฝึกด้วยหัวใจที่เด็ดเดี่ยว เขาฟาดดาบใส่อากาศด้วยพลังแห่งปณิธาน ทุกจังหวะคือคำมั่น ทุกเสียงหวีดของลมคือบันทึกแห่งคำสาบานเสียงฝึกของเขาปลุกให้ลู่ชิงที่อยู่พักอยู่ใกล้ลานฝึกตื่นขึ้น แรกเริ่มนางแปลกใจเล็กน้อยที่ได้ยินเสีย
อรุณแรกของวันทอดแสงละมุนลอดผ่านหน้าต่างไม้ฉลุลาย วิ่งเล่นบนม่านผ้าไหมบางเบา ก่อนจะตกกระทบพื้นไม้ขัดมันเป็นประกาย ภายในเรือนใหญ่แห่งตระกูลเซี่ย เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วจากสวนเบื้องนอกคล้ายบทเพลงแห่งฤดูใหม่ ทว่าภายในใจของเซี่ยเหยียนอวี่กลับเงียบงัน ดั่งบึงลึกยามไร้ลมสะกิดผิวน้ำเขาทอดกายนอนนิ่งบนเตียงผ้าไหม มือเรียวกุมผ้าห่มแน่น ดวงเนตรงามจ้องมองเพดานไม้ด้วยความเหม่อลอย แววตานั้นแฝงไว้ด้วยเงาแห่งความระแวดระวัง อดีตชาติอันโหดร้ายยังคงติดตรึงดั่งรอยสลักบนดวงวิญญาณเขาวังหลวงที่งดงาม...ท้องพระโรงเย็นเยียบ...สายตาเย้ยหยันของฉินลี่หรง...และ... ดวงตาเย็นชาราวเหมันต์ฤดูขององค์ชายจวิ้นอี่ทุกสิ่งยังคงชัดเจนประหนึ่งภาพสะท้อนในกระจกเงาบานใหญ่ มันยังคงฉายซ้ำอยู่ภายในความทรงจำของเขาตลอดเวลาเหยียนอวี่บรรจงเคลื่อนมือมาสัมผัสใบหน้าตน ผิวเนียนนุ่มปราศจากร่องรอยแห่งความทุกข์ เป็นใบหน้าในยามวัยเยาว์ ช่วงเวลาที่ยังเปี่ยมด้วยความหวังและความฝันอันไร้ขอบเขต เขาก้าวลุกขึ้นด้วยความนิ่งสงบ เดินไปยังตู้กระจกโบราณ เงาสะท้อนตรงหน้าคือบุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลาราวหยกขาว ภาพตรงหน้ายังคงเหมือนดังเช่นในอดีต แต่ดวงตาที่ครั
สายฝนโปรยปรายดุจม่านหยกหลั่งลงจากฟ้า ฉ่ำเย็นราวน้ำตาสวรรค์ที่ร่ำไห้ให้แก่โชคชะตาของมนุษย์ผู้อาภัพ ภายใต้พรมฝนที่หลั่งริน ตำหนักจันทราอัสดง ที่เคยเป็นสถานที่สำหรับเดินทางไปพักตากอากาศของ องค์ชายจวิ้นอี่ และคู่ครองอย่าง เซี่ยเหยียนอวี่ ตอนนี้ถูกปล่อยทิ้งร้างไว้เขตชานเมืองอันเงียบงันอย่างน่าเศร้าสร้อย เสียงหยดน้ำกระทบหินเย็นดังกังวานไม่ต่างไปจากเสียงหัวใจของเขาที่กำลังแตกสลาย......ปริร้าวและมิอาจประสานคืนเซี่ยเหยียนอวี่ทอดกายนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม้เก่าคร่ำคร่า ม้วนกระดาษคำสั่งเนรเทศในมือถูกกำจนยับย่น ปลายนิ้วซีดเผือดเย็นเฉียบ ดวงหน้าอันหล่อเหลาประดุจหยกขาวกลับซีดเซียว ราวกลีบบุปผาที่โรยราไร้ชีวิต ดวงเนตรที่เคยทอประกายดังดวงดาราบนท้องนภา บัดนี้หม่นมัวประหนึ่งท้องทะเลยามพายุซัด น้ำตาหยาดแล้วหยาดเล่าซึมเปียกชายแขนเสื้อแพรไหมซึ่งครั้งหนึ่งเคยหรูหราดังผู้มีบรรดาศักดิ์วังหลวงอันโอ่อ่าเคยเป็นดังแดนสวรรค์บนพื้นปฐพี ตำหนักทองที่ประดับไปด้วยหยกส่องแสงพร่างพราวใต้โคมระย้า โถงใหญ่ประดับลายมังกรและหงส์บนผืนผ้าไหมวิจิตร เสียงบรรเลงขลุ่ยและพิณดังแว่วมาทุกค่ำคืน สร้างความระเริงใจได้ไม่น้อยเหยียนอวี่เคย