Masuk“เจ้าทำเช่นนั้นจริงหรือ”
“จริงสิเจ้าคะ บ่าวอยากให้คุณหนูได้เห็นหน้าเมิ่งฉีในตอนนั้นจริงๆ นางร้องดังยิ่งกว่าหมูถูกเชือดอีก”
พอกลับมาถึงเรือนตะวันตกนางก็รีบเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นที่หน้าห้องครัวให้เจ้านายฟัง ถิงถิงหัวเราะขำขันพลางเปิดสำรับออกดูก่อนจะหันไปถาม
“แล้วของเจ้าเล่า”
“ของบ่าวเป็นหมั่นโถวกับผักต้ม”
“แม่เลี้ยงข้านี่ช่างตระหนี่ถี่เหนียวเสียเหลือเกิน เช่นนั้นเจ้าก็มานั่งกินกับข้า วันนี้ข้าได้ผัดผักกับข้าวสวย มีน้ำแกงไก่ด้วยนะ”
ถิงถิงเปิดฝาอาหารแต่ละอย่างแล้วไล่ชื่ออาหารเหล่านั้นให้ฟัง สาวใช้จึงวางหมั่นโถวและผักต้มลงบนโต๊ะ นั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกับถิงถิง หยิบตะเกียบขึ้นมาพลางจ้องมองอาหารแต่ละอย่างตาละห้อย
“เจ้าอยากกินข้าวสวยอย่างงั้นหรือ” เห็นแววตาของสาวใช้ ถิงถิงอดที่จะถามไม่ได้
“เอ่อ…”
“เช่นนั้นเอาข้าวสวยไปแล้วส่งหมั่นโถวมาให้ข้า"
“แต่…”
“กินไปเถิด วันนี้ข้าเบื่อข้าวสวยอยากกินหมั่นโถวกับผักต้ม”
สาวใช้ยิ้มจนตาหยี ยื่นมือออกไปรับชามข้าวสวยมา รสชาติอาหารวันนี้แค่พอใช้ได้ ไม่ได้เอร็ดอร่อยไปกว่าทุกวัน หากเป็นเรือนหลักสำรับวันนี้น่าจะมีไม่ต่ำกว่าห้าอย่าง มีทั้งขนมหวานและผลไม้ แต่ส่วนที่เรือนตะวันตกได้รับกลับให้มาแค่พอประทังชีวิต คิดไปแล้วก็น้อยเนื้อต่ำใจแทนผู้เป็นนาย
การร่วมโต๊ะอาหารของเจ้านายและสาวใช้เป็นเรื่องปกติของเรือนตะวันตก ถิงถิงไม่ถือตัวเพราะเห็นลู่ชิงเป็นเหมือนน้องสาว ขณะที่ลู่ชิงกำลังคีบอาหารเข้าปากก็มีความสงสัยหนึ่งผุดขึ้น
“คุณหนูข้ามีบางอย่างสงสัยอยากจะถาม”
“ว่ามา”
“คุณหนูมีสมุดบันทึกรายการสินเดิมที่ฮูหยินใหญ่ทิ้งไว้ก่อนตายจริงๆ หรือเจ้าคะ”
“ย่อมไม่มี”
“อ้าว! แล้วเหตุใดคุณหนูจึงเอ่ยถึง”
“เพียงแค่อยากรู้ว่าคนพวกนั้นจะทำสีหน้าอย่างไร พอได้เห็นแล้วก็น่าขัน ท่านพ่อโต้แย้งไม่ได้ก็ชอบใช้เสียงดังข่ม แม่รองก็หน้าเจื่อนพูดไม่ออก น้องสาวก็ตีมึนทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว ยืนมองพวกเขาเล่นละครให้ดูก็สนุกดี”
“โธ่ บ่าวใจหายใจคว่ำนึกว่าคุณหนูจะโดนลงโทษเสียแล้ว”
หากไม่กุเรื่องบันทึกรายการสินเดิมของมารดาขึ้นมาได้ทันท่วงที ถิงถิงเองก็คิดว่าตนต้องถูกลงโทษแน่ๆ เพราะครั้งนี้ซืออิ่งถึงขั้นเลือดตกยางออก แม้การบาดเจ็บของซืออิ่งจะเป็นการทำตัวเองทั้งนั้น พูดไปใครจะเชื่อว่าเด็กผีนั่นจะปั้นน้ำเป็นตัว แต่ก็เอาเถิด ถึงแม้บิดาจะรู้อยู่แก่ใจว่าคนไหนผิดคนไหนถูกก็เอนเอียงไปทางน้องสาว เกิดเรื่องเช่นนี้มานักต่อนักแล้ว ถิงถิงรู้ซึ้งดีว่าการแก้ต่างให้ตัวเองนั้นไม่มีประโยชน์ เพราะบิดามองว่าเป็นการแก้ตัว จึงมีแต่จะเพิ่มโทษให้ต้องเจ็บอีกเปล่าๆ
“ถึงไม่มีบันทึกข้าก็พอจะรู้อยู่ว่าสินเดิมของท่านแม่มีอะไรบ้าง ท่านแม่เคยพูดให้ฟังเพียงแต่ไม่มีลายลักษณ์อักษรยืนยัน”
“เป็นเช่นนี้อนุเหมยหลินต้องทึกทักว่าเป็นของตัวเองแน่นอน”
“ข้าถึงต้องสร้างเรื่องว่ามีบันทึกรายการสินเดิมอย่างไรเล่า”
“คุณหนูหลักแหลม ตอนที่คุณหนูพูดเรื่องนี้ทั้งสามคนหน้าเหวอกันไปเลย”
ลู่ชิงหัวเราะคิกคักคีบผัดผักเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ หลังจากทานมือเย็นเสร็จนางก็เก็บถ้วยชามที่ใช้แล้วกลับมาห้องครัว ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า คิดว่าคืนนี้ถ้าเลยเที่ยงคืนไปแล้วอากาศต้องหนาวมากแน่ๆ ขากลับจึงตั้งใจว่าจะนำถ่านกลับไปพร้อมเลย นอกจากผ้าห่มดีๆ แล้วการจุดเตาก็ถือเป็นการเพิ่มความอบอุ่นภายในห้อง
ขณะที่ยืนรอรับถ่านอยู่นั้นเมิ่งฉีก็นำสำรับของเรือนหลักมาเก็บเช่นกัน พอเห็นลู่ชิงเมิ่งฉีก็ทำทีรีรั้งรีรอยืนจิบชาอย่างละเมียดละไม แต่ทว่าเมื่อลู่ชิงหิ้วถังถ่านผ่านหน้ากลับจงใจแกล้งทำชาหกใส่ อีกฝ่ายโมโหจัดตะเบ็งเสียงโวยวายดังลั่น
“เกินไปแล้วนะ! เจ้าจงใจทำชาหกใส่ถ่านได้อย่างไร ถ่านเปียกชื้นคงจุดไฟไม่ติดแน่”
“ข้าตั้งใจเสียที่ไหนก็เห็นอยู่ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ ไม่เช่นนั้นเจ้าก็ถามแม่ครัวดูสิว่าข้าสะดุดล้มจริงๆ หรือไม่”
เมื่อเบนสายตาไปทางแม่ครัวก็เห็นว่าทางนั้นทำสีหน้าอึดอัดใจ ลู่ชิงเข้าใจความลำบากใจของแม่ครัวดี หากเข้าข้างฝั่งตนเมิ่งฉีก็จะหาเรื่องเอาไปฟ้องเหมยหลิน หากเข้าข้างฝ่ายเมิ่งฉีก็รู้สึกผิดกับคุณหนูใหญ่ ดังนั้นลู่ชิงจึงพยายามระงับความโกรธ ข่มโทสะที่กำลังเดือดดาลให้ลึกสุดใจแล้วเลือกที่จะเดินกลับเรือนตะวันตกไปอย่างเงียบๆ พอมาถึงเรือนก็วางถังถ่านลงต่อหน้าถิงถิงพลางถอนหายใจเสียงดัง สีหน้าบ่งบอกถึงความน้อยเนื้อต่ำใจอย่างปิดไม่มิด
ณ ตรอกฉงกุ่ยสถานที่ดวงตะวันไม่เคยส่องถึง ต่างทราบกันดีว่าที่แห่งนี้มีขอทานและคนจรจัดอาศัยอยู่มากที่สุด ท่ามกลางความสลัวรางมองเห็นเงาร่างผอมโซหลายชีวิต ผู้คนทรมานจากความหนาวเหน็บไร้ผ้าห่ม บ้างเจ็บไข้ บ้างนอนขดตัวอยู่ข้างพื้นถนนเย็นเฉียบ ส่งเสียงไอกระเสาะกระแสะให้ได้ยินเป็นระยะเป็นเวลาห้าเดือนเต็มที่เจียเฉิงเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ ไม่มีผู้ใดรู้จักเขา เขาก็ไม่ปริปากพูดคุยกับใครสักคำ เอาแต่เก็บตัวอยู่ในมุมมืดมีชีวิตอยู่อย่างสิ้นหวัง รอให้แต่ละวันผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้า เพราะความไม่สุงสิงกับใครจนบางคนเข้าใจผิดว่าเขาเป็นใบ้หูหนวก ส่วนเรื่องอาหารการกินนั้นรอเพียงแค่คนใจดีเอามาบริจาคกินไปพอประทังชีวิต อิ่มบ้างไม่อิ่มบ้าง สำหรับเจียเฉิงไม่ได้สนใจเรื่องปากท้องแล้ว อยู่ก็ได้ตายไปก็ไม่เป็นไร“มีคนเอาอาหารมาแจกแล้ว มีคนเอาอาหารมาแจก รีบไปรับเร็วเข้า!”ขอทานน้อยตะโกนดังไปทั่วตรอก โดยปกติเจียเฉิงไม่ได้ออกไปรับอาหารเอง เพราะได้เจ้าขอทานน้อยผู้นั้นที่เป็นคนเอามาโยนให้ถึงที่ เนื่องด้วยทุกคนเข้าใจผิดว่าเขาเป็นใบหูหนวก จึงแสดงน้ำใจรับอาหารมาเผื่อแผ่จากตรงที่เจียเฉิงนั่งอยู่สามารถม
ห้าเดือนต่อมาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าในระยะเวลาเพียงแค่ห้าเดือนเจี้ยนกั๋วก็เบื่อซืออิ่งเสียแล้ว พอสิ้นวาสนาแม้แต่เสือก็ยังถูกสุนัขรังแก แรกๆ ในตอนที่ซืออิ่งแต่งเข้าจวนได้รับการปกป้องอยู่บ้าง แต่บัดนี้เจี้ยนกั๋วพาสตรีใหม่เข้าจวนเพิ่มอีกหนึ่งคน ความโปรดปรานที่มีต่อซืออิ่งจึงลดน้อยถอยลง จากที่เคยดีด้วยอย่างถึงที่สุดก็แปรเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือยามนี้เจี้ยนกั๋วปล่อยปละละเลยไม่ปกป้อง เนื่องด้วยความหัวแข็งไม่ยอมคนจึงทำให้นางใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก บางวันถูกอนุของเจี้ยนกั๋วกลั่นแกล้งให้เจ็บตัว บางวันก็ถูกหาเรื่องใส่ความยัดเยียดความผิดให้ มิหนำซ้ำยังถูกกรอกยาทำให้แท้งลูกไปแล้วครั้งหนึ่ง หมอบอกว่าภายในเสียหายจนไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีก เพียงแค่คิดว่าจะต้องอยู่ในจวนที่มีสภาพไม่ต่างจากคุกไปตลอดชีวิต ซืออิ่งก็ร่ำร้องอยากตายวันละหลายร้อยรอบหดหู่ สิ้นหวัง ทุกข์ระทมทรมาน นั่นคือทุกความรู้สึกที่ซืออิ่งกำลังเผชิญอยู่ฝ่ายเจียเฉิงที่ได้สัมปทานรังนกมาครอบครองแต่กลับมารู้ภายหลังว่าตนได้ครอบครองแค่ในนาม เพราะเจี้ยนกั๋วตลบหลังโกงทุกอย่างไปหมด อย่างที่ถิงถิงเคยบอกไว้ เจี้ยนกั๋วเป็นพวกเจ้าเล่ห์มากแผนการ
คุยกลับลู่ชิงเสร็จแล้วก็เดินกลับเข้ามาในห้อง หานอี้ควนนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง ถิงถิงนึกว่าเขานอนต่ออย่างเช่นนางบอก จึงเดินเข้าไปกระชับผ้าห่มให้แนบแน่นขึ้น แล้วหมุนตัวคว้าเสื้อคลุมมาสวม จากนั้นเดินไปหยุดอยู่หน้าคันฉ่องมองเงาสะท้อนของตนเองแย้มยิ้มบางๆวันนี้เป็นวันแรกที่ลืมตาตื่นขึ้นมาในสถานที่ใหม่ นอกหน้าต่างท้องฟ้าสว่างสดใสไร้เมฆบดบัง เพียงครู่เดียวแสงแดดอ่อนๆ ก็ชโลมไล้พื้นดิน ถิงถิงยังคงทอดมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างนิ่งงัน เสียงขยับตัวเบาๆ ของผู้ที่นอนอยู่บนเตียงทำให้ต้องละสายตาจากทิวทัศน์งดงาม มองกลับมาเห็นหานอี้ควนนั่งหน้าตึงอยู่“ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”เขาลุกเดินไปแต่งกายให้เรียบร้อย นางจึงรีบเข้ามาช่วยปรนนิบัติตามหน้าที่ภรรยาพึงกระทำ เช้านี้ไม่รู้ว่าหานอี้ควนจะออกไปที่ใดหรือไม่ แต่ดูจากลักษณะอาภรณ์ที่เขาหยิบมาสวมใส่อย่างไม่เป็นทางการก็น่าจะอยู่ติดจวนไม่ออกไปไหน“ตกลงเลือกเรือนให้ข้าได้หรือยังเจ้าคะ”“ถ้าข้าไม่ทำอย่างที่เจ้าเสนอมาล่ะ”“ข้าคิดว่าความต้องการของท่านพี่คือต่างคนต่างอยู่ ไม่ได้เป็นเช่นนั้นหรอกหรือเจ้าคะ”“ความต้องการของเจ้าก็ต่างคนต่างอยู่อย่างนั้นหรือ”“ได้ทั้งนั้น”ค
“ถิงถิง”“เจ้าคะ”“แต่งงานกันแล้วก็ทำหน้าที่ภรรยา เจ้าจะทำอะไรตามอำเภอใจได้อย่างไร” น้ำเสียงของเขาคล้ายว่ากำลังขุ่นเคืองอยู่ นางเอียงคอมองใบหน้าครึ่งเสี้ยวนั้น นิ่งและเยือกเย็นจนต้องหันกลับมาดังเดิม มองนานเกินไปคงไม่ดี เพราะเดี๋ยวจะถูกความหล่อเหลาล่อลวงเอาได้ หากคืนนี้มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นก็อย่ามาโทษที่ถิงถิงไม่ยับยั้งชั่งใจเป็นอันขาด“หน้าที่ภรรยาหรือเจ้าค่ะ ใช่ๆ ประมุขน้อยพูดถูก อย่าตำหนิที่ข้าไม่รู้ความเอาไว้วันหน้าข้าจะค่อยๆ ปรับปรุงตัว”“ท่านพี่”“อะ…อะไรนะ”“เรียกท่านพี่”ตัวนางออกจะแข็งกระด้างเช่นนี้ จะให้พูดจาอ่อนหวานเรียกขานเขาท่านพี่ก็ยังรู้สึกอายๆ จึงพูดย้ำประโยคเดิมให้ฟังอีกรอบ“เอาไว้วันหน้าข้าจะค่อยๆ ปรับปรุง เรื่องหน้าที่ภรรยาข้ารู้ตัวดีว่าต้องทำเช่นไร”พูดจบก็รีบเปลี่ยนท่านอนพลิกตัวหันหลังให้ ปิดเปลือกตาลงฝืนข่มใจให้หลับ“ไม่ เจ้าไม่รู้ตัว นี่แหละเรียกว่าไม่รู้ตัว"“แล้วเหตุใดประมุขน้อยต้องมาหาเรื่องตำหนิ ทั้งที่ข้าก็ทำตามที่ท่านเคยพูดไว้ทุกอย่าง ตกลงจะเอาอย่างไรกันแน่”หานอี้ควนแทบอยากทุบกำปั้นระบายอารมณ์กับกำแพง นางพูดถูกหมด เพราะทำตามคำพูดของเขาทุกอย่างก็เลยเว้นระ
เพราะตั้งใจหลีกเลี่ยงชุดเจ้าสาวสีแดงซึ่งเป็นการตีตัวเสมอภรรยาเอก ข้อนี้ซืออิ่งรับรู้และเข้าใจดีว่านั่นอาจแสดงถึงการไม่ให้เกียรติผู้ที่อยู่ก่อน ด้วยเหตุนี้เหมยหลินจึงให้นางสวมชุดเจ้าสาวสีชมพูอ่อน หากวันนี้สวมอาภรณ์สีแดงเข้าไปอนาคตจะต้องอยู่ในจวนเจี้ยนกั๋วอย่างยากลำบาก บรรดาอนุทั้งหลายต้องเขม่นไม่ชอบขี้หน้านางตั้งแต่วันแรกที่แต่งเข้า“จับนางเปลี่ยนชุด”“อย่านะ! ไม่! ข้าไม่ต้องการ อย่า! พวกเจ้าเป็นใครเหตุใดทำกับข้าเช่นนี้ คอยดูข้าจะฟ้องท่านพ่อ ท่านพ่อของข้าจะเอาชีวิตพวกเจ้าทุกคน”กรี้ดดดดดดดปลายยามซวีจบจากพิธีการที่ยุ่งยากมาทั้งวัน ถิงถิงนั่งอย่างสงบเสงี่ยมในห้องหอ นางกำลังรอให้เจ้าบ่าวมาเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวให้ตามธรรมเนียม สักพักเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งเดินเข้ามาใกล้ พร้อมกันนั้นเบื้องหน้าก็สว่างวาบเพราะผ้าคลุมถูกเปิดออก“เจ้าคงหิวเพราะไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน” เขาถามพลางอมยิ้มน้อยๆ“ข้าซ่อนขนมโก๋ไว้ในแขนเสื้อแอบกินไปบ้างแล้ว ประมุขน้อยไม่ต้องห่วง”“เป็นเช่นนั้นหรือ”“เจ้าค่ะ ห่วงแต่ประมุขน้อยคงดื่มมามาก เอ่อ…หน้าท่านแดง”เขาดื่มมามากจริง พวกที่ยกจอกสุราให้ก็ยุให้ดื่มไม่หยุด แล้วตอนนี้หานอ
ท่านตาชอบเล่นใหญ่อยู่เสมอ ถิงถิงถอนหายใจเหนื่อยๆ เห็นว่าเจ้านายไม่ถามอะไรต่อลู่ชิงจึงพูดอีก“คนที่เร่งรัดหาใช่ใต้เท้าหานไม่ เป็นประมุขน้อยต่างหาก”ถิงถิงชะงักค้างครู่หนึ่ง หัวคิ้วจดกันแทบเป็นเส้นตรง“ประมุขน้อยคงต้องการเป็นผู้สืบทอดหอคุณธรรมไวๆ”“ไม่คิดว่าประมุขน้อยอาจจะชอบคุณหนูก็เลยเร่งรัดงานแต่งบ้างหรือเจ้าคะ”เขาเคยบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าจำเป็นต้องแต่งเพื่อเข้ารับเป็นผู้สืบทอดอย่างเป็นทางการ ถิงถิงก็เลยเตือนใจตนเองอยู่เสมอไม่กล้าคิดไกลไปถึงขั้นนั้น ส่วนตัวเขาเองก็ไม่เคยบอกความในใจให้ได้ยิน แล้วอย่างนี้จะให้นางคิดทึกทักเอาเองคนเดียวได้อย่างไรว่ามีใจให้ ดีไม่ดีอาจถูกมองเป็นตัวตลกและถูกหัวเราะเอา“ไม่คิด”“วันนั้นที่คุณหนูถูกนายท่านเจียเฉิงลักพาตัวไปประมุขน้อยเป็นห่วงคุณหนูมากเลยนะเจ้าคะ ดูก็รู้ว่าประมุขน้อยชอบคุณหนู ใครๆ ก็รู้มีแต่คุณหนูที่ไม่รู้”“พอแล้วเจ้าเลิกเหลวไหล”ลู่ชิงหุบปากลงฉับแล้วอมลมไว้จนแก้มป่อง นึกขึ้นได้ว่ามีอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากเช่นกันต้องรายงาน“ข้ายังมีอีกเรื่องเป็นเรื่องของตระกูลว่าน มีข่าวแว่วมาว่าคุณหนูซืออิ่งจะถูกส่งตัวไปจวนเกี้ยนกั๋วในอีกสามวัน ดังนั้นคุณหน







