LOGIN“ขอโทษเจ้าค่ะคุณหนู ข้าไม่ทันระวังทำถ่านเปียกหมดแล้ว”
ถิงถิงคว่ำหน้าตำราที่กำลังอ่านไว้บนโต๊ะ หลุบตามองถ่านในถังถามกลับน้ำเสียงราบเรียบ
“เปียกได้อย่างไร”
“เมิ่งฉีจงใจทำชาหกใส่ ถ่านเปียกจุดไฟไม่ติดแน่ๆ”
“ไม่เป็นไร วันนี้เรามีผ้าห่มหนา เช่นนั้นพรุ่งนี้เจ้าค่อยเอาถ่านออกผึ่งแดดแล้วสะสมไว้ใช้วันต่อไป”
ลู่ชิงพยักหน้าหงึกๆ ยกถังถ่านไปไว้มุมห้อง จากนั้นปูที่นอนของตนเองไว้ข้างๆ เตียงของเจ้านาย ตบฝ่ามือลงบนม้วนผ้าห่มผืนใหม่จนเกิดเสียงดังปุๆ ถิงถิงมองแล้วก็ยิ้มตาม เดาว่าสาวน้อยนางนี้คงดีใจมากที่ได้ผ้าห่มใหม่อยู่เป็นแน่ แต่ไม่นานรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าก็จางไป ความเศร้าใจแทรกซึมเข้ามาอย่างช้าๆ หากมารดายังอยู่ทั้งตนและลู่ชิงก็คงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ หยู่ถิงจะไม่ยอมให้ใครกลั่นแกล้งพวกนางทั้งสองเป็นแน่ บัดนี้มรสุมชีวิตถาโถมอย่างหนักหน่วง แม้แต่สาวใช้ก็ไม่ให้ความยำเกรงหาเรื่องกลั่นแกล้งได้ทุกวี่ทุกวัน
แค่กๆ
ถิงถิงส่งเสียงไอกระเสาะกระแสะ มือเรียวยกขึ้นมาปิดริมฝีปาก ลู่ชิงจึงรีบดีดตัวลุกจากที่นอนแล้ววิ่งเอากาน้ำที่ยังอุ่นอยู่มารินให้
“ดื่มน้ำอุ่นๆ ก่อนเจ้าค่ะ นี่เพิ่งต้นฤดูพอถึงกลางฤดูอาการคุณหนูต้องกำเริบกว่านี้แน่ แต่ก่อนร่างกายคุณหนูก็แข็งแรงดี หากไม่ใช่เพราะ…เพราะ”
มันจุกในอกจนไม่สามารถเอื้อยเอ่ยคำใดออกมาได้อีก หากไม่ใช่เพราะบิดาแท้ๆ สั่งลงโทษคุณหนูให้นั่งตากฝนตากหิมะบ่อยๆ ก็คงไม่ป่วยเรื้อรัง พอป่วยแล้วเจียเฉิงก็หาหมอมารักษาอย่างขอไปที เขาไม่ได้เฟ้นหาหมอเก่งๆ มารักษาให้อย่างจริงจัง เหตุการณ์นี้เหมือนกับตอนหยู่ถิงป่วยไม่มีผิด บ่อยครั้งที่ถิงถิงต้องเก็บเงินซื้อยาบำรุงกินเอง แต่ร่างกายเล็กจ้อยนี้ก็อ่อนแอเกินกว่าจะฟื้นตัวได้ด้วยตำรับยาพื้นๆ
“ได้จิบน้ำอุ่นดีขึ้นมานิดหน่อย”
“พรุ่งนี้ให้บ่าวออกไปซื้อยาให้นะเจ้าคะ”
แววตาของถิงถิงมีประกายวูบไหว พอพูดถึงเรื่องยาสีหน้ามีความลำบากใจ นั่นเป็นเพราะว่าเงินที่สะสมไว้นำออกไปซื้อผ้าห่มหมดแล้ว จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อยาได้อีกเล่า
“ถ้าเป็นเรื่องเงิน บ่าวมี บ่าวมีเจ้าค่ะ”
สาวใช้ดึงถุงเงินที่เหน็บอยู่ที่เอวของตนออกมาแล้วเทเงินในถุงทั้งหมดนับ แต่ไม่ว่าจะเขย่าก้นถุงแรงเท่าไรเงินที่ไหลออกมาก็มีเพียงไม่กี่อีแปะ
“ได้แปดอีแปะ”
สาวใช้มีสีหน้าผิดหวัง ยาที่ซื้อประจำราคาตั้งห่อละสิบอีแปะ เช่นนั้นเห็นทีว่าจะขาดอีกสองอีแปะจึงจะซื้อยาให้คุณหนูได้
“ช่างเถอะ อีกไม่กี่วันก็ได้เงินเดือนแล้วเดี๋ยวค่อยให้เจ้าไปซื้อ”
“เจ้าค่ะ”
ลู่ชิงคอตก เก็บถุงเงินแล้วลุกจากเก้าอี้กลับไปนอนที่ของตน ส่วนถิงถิงย้ายจากจากโต๊ะหนังสือแล้วถือตำราไปนอนอ่านต่อบนเตียงต่อ
“คุณหนูอ่านอะไรหรือเจ้าคะ”
“อ่านไปเรื่อยเปื่อย"
“ถ้าคุณหนูแต่งงานแล้วได้ย้ายออกจากที่นี่ก็คงจะดี พอถึงวันนั้นอย่าลืมเอาบ่าวไปด้วยนะเจ้าคะ”
“พูดอะไรของเจ้า…หืม”
แม้น้ำเสียงของถิงถิงจะออกแนวตำหนิแต่ทว่ามีความขบขันซ่อนอยู่ เรื่องแต่งงานเป็นสิ่งที่ถิงถิงควรหวาดกลัวเสียมากกว่าจะเป็นเรื่องดี โบราณกล่าวว่าการแต่งงานเป็นหน้าที่ของบิดามารดา ทุกวันนี้แค่นางอาศัยอยู่ในจวนเจียเฉิงยังปล่อยปะละเลยถึงเพียงนี้ เรื่องการเลือกคู่ครองให้บุตรสาวนอกสายตายิ่งไม่ต้องไปคิดเลยว่าจะหาคนดีๆ มาให้นางแต่งด้วย และที่สำคัญเหมยหลินก็คงไม่ยอมให้ลูกเลี้ยงได้แต่งกับบุรุษที่ดีไปกว่าลูกสาวของตนเองแน่นอน
“บ่าวอยากให้คุณหนูออกจากจวนว่านแล้วไปเริ่มต้นชีวิตใหม่”
“เริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างนั้นหรือ”
ข้าเองก็อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่…
สามวันต่อมาคนของร้านตัดเสื้อได้นำชุดที่สั่งตัดมามอบให้เหมยหลิน พอได้รับมาแล้วซืออิ่งก็รีบวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาดูก่อนคนแรก นั่นก็เพราะอยากเห็นว่าชุดที่ตัดให้ถิงถิงจะงดงามสู้ชุดของตนได้หรือไม่ แต่เมื่อกล่องถูกเปิดออกซืออิ่งถึงกลับขมวดคิ้วแน่น เพราะผ้าที่เหมยหลินส่งไปตัดนั้นเป็นผ้าไหมสีแดงที่เป็นสินเดิมของหยู่ถิงจริง แต่เมื่อตัดออกมาแล้วมันช่างคล้ายกับชุดเจ้าสาวไม่มีผิด
“ท่านแม่นี่มันชุดเจ้าสาว!”
“ถูกต้อง”
“หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ เหตุใดท่านแม่ถึงตัดชุดเจ้าสาวให้ท่านพี่”
“เพราะแม่จะส่งนางไปแต่งให้เจี้ยนป๋อนะสิ”
“เจี้ยนป๋อ ตาเฒ่าตัณหากลับน่ะหรือเจ้าคะ!”
ณ ตรอกฉงกุ่ยสถานที่ดวงตะวันไม่เคยส่องถึง ต่างทราบกันดีว่าที่แห่งนี้มีขอทานและคนจรจัดอาศัยอยู่มากที่สุด ท่ามกลางความสลัวรางมองเห็นเงาร่างผอมโซหลายชีวิต ผู้คนทรมานจากความหนาวเหน็บไร้ผ้าห่ม บ้างเจ็บไข้ บ้างนอนขดตัวอยู่ข้างพื้นถนนเย็นเฉียบ ส่งเสียงไอกระเสาะกระแสะให้ได้ยินเป็นระยะเป็นเวลาห้าเดือนเต็มที่เจียเฉิงเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ ไม่มีผู้ใดรู้จักเขา เขาก็ไม่ปริปากพูดคุยกับใครสักคำ เอาแต่เก็บตัวอยู่ในมุมมืดมีชีวิตอยู่อย่างสิ้นหวัง รอให้แต่ละวันผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้า เพราะความไม่สุงสิงกับใครจนบางคนเข้าใจผิดว่าเขาเป็นใบ้หูหนวก ส่วนเรื่องอาหารการกินนั้นรอเพียงแค่คนใจดีเอามาบริจาคกินไปพอประทังชีวิต อิ่มบ้างไม่อิ่มบ้าง สำหรับเจียเฉิงไม่ได้สนใจเรื่องปากท้องแล้ว อยู่ก็ได้ตายไปก็ไม่เป็นไร“มีคนเอาอาหารมาแจกแล้ว มีคนเอาอาหารมาแจก รีบไปรับเร็วเข้า!”ขอทานน้อยตะโกนดังไปทั่วตรอก โดยปกติเจียเฉิงไม่ได้ออกไปรับอาหารเอง เพราะได้เจ้าขอทานน้อยผู้นั้นที่เป็นคนเอามาโยนให้ถึงที่ เนื่องด้วยทุกคนเข้าใจผิดว่าเขาเป็นใบหูหนวก จึงแสดงน้ำใจรับอาหารมาเผื่อแผ่จากตรงที่เจียเฉิงนั่งอยู่สามารถม
ห้าเดือนต่อมาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าในระยะเวลาเพียงแค่ห้าเดือนเจี้ยนกั๋วก็เบื่อซืออิ่งเสียแล้ว พอสิ้นวาสนาแม้แต่เสือก็ยังถูกสุนัขรังแก แรกๆ ในตอนที่ซืออิ่งแต่งเข้าจวนได้รับการปกป้องอยู่บ้าง แต่บัดนี้เจี้ยนกั๋วพาสตรีใหม่เข้าจวนเพิ่มอีกหนึ่งคน ความโปรดปรานที่มีต่อซืออิ่งจึงลดน้อยถอยลง จากที่เคยดีด้วยอย่างถึงที่สุดก็แปรเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือยามนี้เจี้ยนกั๋วปล่อยปละละเลยไม่ปกป้อง เนื่องด้วยความหัวแข็งไม่ยอมคนจึงทำให้นางใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก บางวันถูกอนุของเจี้ยนกั๋วกลั่นแกล้งให้เจ็บตัว บางวันก็ถูกหาเรื่องใส่ความยัดเยียดความผิดให้ มิหนำซ้ำยังถูกกรอกยาทำให้แท้งลูกไปแล้วครั้งหนึ่ง หมอบอกว่าภายในเสียหายจนไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีก เพียงแค่คิดว่าจะต้องอยู่ในจวนที่มีสภาพไม่ต่างจากคุกไปตลอดชีวิต ซืออิ่งก็ร่ำร้องอยากตายวันละหลายร้อยรอบหดหู่ สิ้นหวัง ทุกข์ระทมทรมาน นั่นคือทุกความรู้สึกที่ซืออิ่งกำลังเผชิญอยู่ฝ่ายเจียเฉิงที่ได้สัมปทานรังนกมาครอบครองแต่กลับมารู้ภายหลังว่าตนได้ครอบครองแค่ในนาม เพราะเจี้ยนกั๋วตลบหลังโกงทุกอย่างไปหมด อย่างที่ถิงถิงเคยบอกไว้ เจี้ยนกั๋วเป็นพวกเจ้าเล่ห์มากแผนการ
คุยกลับลู่ชิงเสร็จแล้วก็เดินกลับเข้ามาในห้อง หานอี้ควนนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง ถิงถิงนึกว่าเขานอนต่ออย่างเช่นนางบอก จึงเดินเข้าไปกระชับผ้าห่มให้แนบแน่นขึ้น แล้วหมุนตัวคว้าเสื้อคลุมมาสวม จากนั้นเดินไปหยุดอยู่หน้าคันฉ่องมองเงาสะท้อนของตนเองแย้มยิ้มบางๆวันนี้เป็นวันแรกที่ลืมตาตื่นขึ้นมาในสถานที่ใหม่ นอกหน้าต่างท้องฟ้าสว่างสดใสไร้เมฆบดบัง เพียงครู่เดียวแสงแดดอ่อนๆ ก็ชโลมไล้พื้นดิน ถิงถิงยังคงทอดมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างนิ่งงัน เสียงขยับตัวเบาๆ ของผู้ที่นอนอยู่บนเตียงทำให้ต้องละสายตาจากทิวทัศน์งดงาม มองกลับมาเห็นหานอี้ควนนั่งหน้าตึงอยู่“ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”เขาลุกเดินไปแต่งกายให้เรียบร้อย นางจึงรีบเข้ามาช่วยปรนนิบัติตามหน้าที่ภรรยาพึงกระทำ เช้านี้ไม่รู้ว่าหานอี้ควนจะออกไปที่ใดหรือไม่ แต่ดูจากลักษณะอาภรณ์ที่เขาหยิบมาสวมใส่อย่างไม่เป็นทางการก็น่าจะอยู่ติดจวนไม่ออกไปไหน“ตกลงเลือกเรือนให้ข้าได้หรือยังเจ้าคะ”“ถ้าข้าไม่ทำอย่างที่เจ้าเสนอมาล่ะ”“ข้าคิดว่าความต้องการของท่านพี่คือต่างคนต่างอยู่ ไม่ได้เป็นเช่นนั้นหรอกหรือเจ้าคะ”“ความต้องการของเจ้าก็ต่างคนต่างอยู่อย่างนั้นหรือ”“ได้ทั้งนั้น”ค
“ถิงถิง”“เจ้าคะ”“แต่งงานกันแล้วก็ทำหน้าที่ภรรยา เจ้าจะทำอะไรตามอำเภอใจได้อย่างไร” น้ำเสียงของเขาคล้ายว่ากำลังขุ่นเคืองอยู่ นางเอียงคอมองใบหน้าครึ่งเสี้ยวนั้น นิ่งและเยือกเย็นจนต้องหันกลับมาดังเดิม มองนานเกินไปคงไม่ดี เพราะเดี๋ยวจะถูกความหล่อเหลาล่อลวงเอาได้ หากคืนนี้มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นก็อย่ามาโทษที่ถิงถิงไม่ยับยั้งชั่งใจเป็นอันขาด“หน้าที่ภรรยาหรือเจ้าค่ะ ใช่ๆ ประมุขน้อยพูดถูก อย่าตำหนิที่ข้าไม่รู้ความเอาไว้วันหน้าข้าจะค่อยๆ ปรับปรุงตัว”“ท่านพี่”“อะ…อะไรนะ”“เรียกท่านพี่”ตัวนางออกจะแข็งกระด้างเช่นนี้ จะให้พูดจาอ่อนหวานเรียกขานเขาท่านพี่ก็ยังรู้สึกอายๆ จึงพูดย้ำประโยคเดิมให้ฟังอีกรอบ“เอาไว้วันหน้าข้าจะค่อยๆ ปรับปรุง เรื่องหน้าที่ภรรยาข้ารู้ตัวดีว่าต้องทำเช่นไร”พูดจบก็รีบเปลี่ยนท่านอนพลิกตัวหันหลังให้ ปิดเปลือกตาลงฝืนข่มใจให้หลับ“ไม่ เจ้าไม่รู้ตัว นี่แหละเรียกว่าไม่รู้ตัว"“แล้วเหตุใดประมุขน้อยต้องมาหาเรื่องตำหนิ ทั้งที่ข้าก็ทำตามที่ท่านเคยพูดไว้ทุกอย่าง ตกลงจะเอาอย่างไรกันแน่”หานอี้ควนแทบอยากทุบกำปั้นระบายอารมณ์กับกำแพง นางพูดถูกหมด เพราะทำตามคำพูดของเขาทุกอย่างก็เลยเว้นระ
เพราะตั้งใจหลีกเลี่ยงชุดเจ้าสาวสีแดงซึ่งเป็นการตีตัวเสมอภรรยาเอก ข้อนี้ซืออิ่งรับรู้และเข้าใจดีว่านั่นอาจแสดงถึงการไม่ให้เกียรติผู้ที่อยู่ก่อน ด้วยเหตุนี้เหมยหลินจึงให้นางสวมชุดเจ้าสาวสีชมพูอ่อน หากวันนี้สวมอาภรณ์สีแดงเข้าไปอนาคตจะต้องอยู่ในจวนเจี้ยนกั๋วอย่างยากลำบาก บรรดาอนุทั้งหลายต้องเขม่นไม่ชอบขี้หน้านางตั้งแต่วันแรกที่แต่งเข้า“จับนางเปลี่ยนชุด”“อย่านะ! ไม่! ข้าไม่ต้องการ อย่า! พวกเจ้าเป็นใครเหตุใดทำกับข้าเช่นนี้ คอยดูข้าจะฟ้องท่านพ่อ ท่านพ่อของข้าจะเอาชีวิตพวกเจ้าทุกคน”กรี้ดดดดดดดปลายยามซวีจบจากพิธีการที่ยุ่งยากมาทั้งวัน ถิงถิงนั่งอย่างสงบเสงี่ยมในห้องหอ นางกำลังรอให้เจ้าบ่าวมาเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวให้ตามธรรมเนียม สักพักเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งเดินเข้ามาใกล้ พร้อมกันนั้นเบื้องหน้าก็สว่างวาบเพราะผ้าคลุมถูกเปิดออก“เจ้าคงหิวเพราะไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน” เขาถามพลางอมยิ้มน้อยๆ“ข้าซ่อนขนมโก๋ไว้ในแขนเสื้อแอบกินไปบ้างแล้ว ประมุขน้อยไม่ต้องห่วง”“เป็นเช่นนั้นหรือ”“เจ้าค่ะ ห่วงแต่ประมุขน้อยคงดื่มมามาก เอ่อ…หน้าท่านแดง”เขาดื่มมามากจริง พวกที่ยกจอกสุราให้ก็ยุให้ดื่มไม่หยุด แล้วตอนนี้หานอ
ท่านตาชอบเล่นใหญ่อยู่เสมอ ถิงถิงถอนหายใจเหนื่อยๆ เห็นว่าเจ้านายไม่ถามอะไรต่อลู่ชิงจึงพูดอีก“คนที่เร่งรัดหาใช่ใต้เท้าหานไม่ เป็นประมุขน้อยต่างหาก”ถิงถิงชะงักค้างครู่หนึ่ง หัวคิ้วจดกันแทบเป็นเส้นตรง“ประมุขน้อยคงต้องการเป็นผู้สืบทอดหอคุณธรรมไวๆ”“ไม่คิดว่าประมุขน้อยอาจจะชอบคุณหนูก็เลยเร่งรัดงานแต่งบ้างหรือเจ้าคะ”เขาเคยบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าจำเป็นต้องแต่งเพื่อเข้ารับเป็นผู้สืบทอดอย่างเป็นทางการ ถิงถิงก็เลยเตือนใจตนเองอยู่เสมอไม่กล้าคิดไกลไปถึงขั้นนั้น ส่วนตัวเขาเองก็ไม่เคยบอกความในใจให้ได้ยิน แล้วอย่างนี้จะให้นางคิดทึกทักเอาเองคนเดียวได้อย่างไรว่ามีใจให้ ดีไม่ดีอาจถูกมองเป็นตัวตลกและถูกหัวเราะเอา“ไม่คิด”“วันนั้นที่คุณหนูถูกนายท่านเจียเฉิงลักพาตัวไปประมุขน้อยเป็นห่วงคุณหนูมากเลยนะเจ้าคะ ดูก็รู้ว่าประมุขน้อยชอบคุณหนู ใครๆ ก็รู้มีแต่คุณหนูที่ไม่รู้”“พอแล้วเจ้าเลิกเหลวไหล”ลู่ชิงหุบปากลงฉับแล้วอมลมไว้จนแก้มป่อง นึกขึ้นได้ว่ามีอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากเช่นกันต้องรายงาน“ข้ายังมีอีกเรื่องเป็นเรื่องของตระกูลว่าน มีข่าวแว่วมาว่าคุณหนูซืออิ่งจะถูกส่งตัวไปจวนเกี้ยนกั๋วในอีกสามวัน ดังนั้นคุณหน







