บรรยากาศที่อึดอัดระหว่างเยี่ยฟางที่พยายามชวนพูดคุยรื้อฟื้นความหลัง กับลูกชายที่แสนซื้อของตน ทำให้ลู่จินหรงต้องรีบปลอบใจ เพราะตอนนี้หญิงสาวหน้าเสียจนซีดลงแล้ว
“อย่าสนใจเลยลูกชายของป้าเลย ซื่อบื้อขนาดนี้ดีนะที่เรียนจบ เขาเรียกเก่ง ฉลาด ทำงานบัญชีได้ แต่ไม่รู้ทำไมเรื่องหัวใจถึงได้ไม่เข้าใจอะไรเลย” ลู่จินหรงกระซิบบอกแก่เด็กสาวข้างบ้าน ที่ตอนนี้โตเป็นสาวสะพรั่งแล้ว
เธอพยักหน้าเบาๆ น้ำตาคลอเบ้าด้วยความรู้สึกเหมือนถูกจางซีเหอตบหน้าด้วยท่าทางที่เหมือนจะซื่อแต่เป็นการปฏิเสธทางอ้อมของเขา
“จริงสิ ป้าได้ข่าวว่าทำงานแล้วไม่ใช่เหรอ ดีจังเลยนะ พอเรียนจบมาก็ได้ทำงานเลย”
“ใช่ค่ะ ฉันทำงานที่บริษัทหลี่โถว เป็นกิจการซื้อขายวัตถุโบราณ เพิ่งเริ่มทำได้แค่สัปดาห์เดียวเองค่ะ” เยี่ยฟางตั้งใจพูดให้พี่ชายแสนซื่อได้ยิน หากเขารู้ว่าเธอทำงานแล้วอาจจะมองเธอเป็นผู้ใหญ่ขึ้น
“ดีแล้วล่ะ ดีแล้ว ได้งานทำก็ดีแล้ว” พูดจบลู่จินหรงก็ส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายชวนลูกชายคนพูดคุยต่อ
เยี่ยฟางจึงกะพริบตาไล่น้ำตาออกไป เรื่องนี้ลู่จินหรงก็สนับสนุน พ่อแม่ฝ่ายเธอก็ไม่ได้ห้าม เหลือแค่จางซีเหอเท่านั้นที่เธอจะต้องพิชิตใจเขาให้ได้
“พี่ซีเหอคะ ฉันได้ทำงานที่บริษัทหลี่โถว เป็นบริษัทซื้อขายและจัดประมูลวัตถุโบราณชื่อดังเลยนะคะ พี่เคยได้ยินชื่อหรือเปล่า”
“อืม เคยสิ ได้ยินข่าวว่าผู้ที่ก่อตั้งขึ้นมาเป็นนักธุรกิจนิรนามที่ชอบทำตัวลึกลับ ไม่ค่อยออกหน้าทางสังคม และยังไม่เคยมีใครเห็นใบหน้าของเขา เก่ง ฉลาด ไหวพริบเป็นเลิศ ชื่อของเขาคืออี้เฟิง” ริมฝีปากของจางซีเหอยกยิ้มขึ้นมาเมื่อพูดชื่อนั้น
“ค่ะ ประธานอี้เก่งและลึกลับมาก พี่ไม่ต้องชื่นชมเขาหรอกค่ะ เขาเก่งและลึกลับ แต่เย็นชาชะมัดเลย ฉันเคยเห็นเขาด้วยนะคะ เขาใส่หน้ากากไว้ครึ่งหน้า น้ำเสียงเขาฟังดูน่ากลัวดูเหมือนโกรธคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ที่ใส่หน้ากากก็เป็นเพราะว่าเขาอาจจะมีแผลเป็นที่อัปลักษณ์ก็ได้”
เยี่ยฟางเล่าถึงอี้เฟิงอย่างออกรส ไม่ได้สังเกตสีหน้าของจางซีเหอเลยสักนิด ว่าเขากำลังมองเธออย่างไม่ชอบใจอยู่
“คนสวมหน้ากากไม่จำเป็นต้องอัปลักษณ์เสมอไปหรอกนะ เขาอาจจะอยากสวมใส่แค่เพราะอยากปิดบังตัวตนก็ได้”
น้ำเสียงที่จริงจังและใบหน้าที่ดูไม่พอใจนั้น เยี่ยฟางก็เข้าใจได้ทันทีว่าพี่ชายแสนซื่อของตนคนนี้ คงชื่นชมนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างอี้เฟิงอยู่ เมื่อตนแตะต้องเข้าจึงแสดงอาการโกรธและไม่พอใจแบบนี้
เมื่อถึงนึกได้อย่างนั้นเธอจึงเปลี่ยนเรื่องคุย ไปเป็นเรื่องงานแทน
“เอ่อ ฉันทำงานกับบริษัทนี้รับหน้าที่ในการศึกษาข้อมูลวัตถุโบราณและอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจถึงประวัติความเป็นมา แต่ก็ต้องประสานงานกับฝ่ายบัญชีอยู่บ่อยครั้ง ฉันก็เลยอยากจะให้พี่สอนฉันให้เข้าใจความหมายทางด้านบัญชีหน่อยจะได้หรือไม่”
หญิงสาวโยงมาถึงเรื่องนี้เพื่อหาวิธีใกล้ชิดกับเขา แล้วจ้องมองอย่างมีความหวัง
แววตาของจางซีเหอสบตาเธอที่จ้องมาอย่างจริงจัง รู้ทันความคิดว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามสร้างเหตุผลในการใกล้ชิดกับตน อีกทั้งเมื่อครู่เผลอพูดจาไม่ดีตอนเธอพูดถึงอี้เฟิง จึงยอมลดท่าทีลง
“ฝ่ายประชาสัมพันธ์ต้องติดต่อกับฝ่ายบัญชีด้วยเหรอ” เขาถามแล้วมองใบหน้าที่ดูเลิ่กลั่กของอีกฝ่าย
เยี่ยฟางจึงรีบหาข้ออธิบายออกไป ไม่อยากให้เขาจับได้ว่าเธอกำลังหาทางใกล้ชิดเขา
“เอ่อ คือว่าบางครั้งก็ต้องประสานงานกันน่ะค่ะ พวกตัวเลขราคาที่เปลี่ยนแปลง ภาษีที่ต้องจ่ายหลังจากการที่ประมูลเสร็จต่างๆ ว่าแต่...พี่ซีเหอรู้ได้อย่างไรคะว่าฉันอยู่ในตำแหน่งประชาสัมพันธ์”
“ก็เธอพูดเองไม่ใช่เหรอ ว่าเธอต้องอธิบายรายละเอียดของวัตถุโบราณต่างๆ ให้ลูกค้าฟังหาก ไม่ใช่ฝ่ายขายก็คงเป็นประชาสัมพันธ์ แต่พี่จำได้ว่าตอนเด็กๆ เธอไม่ชอบการค้าขาย แต่เป็นคนที่ชอบให้ข้อมูลมากกว่า พี่ก็เลยเดาเอา พี่เดาถูกใช่ไหม” เขาถามแล้วยิ้มให้บางๆ ที่มุมปาก
การวิเคราะห์ที่ชาญฉลาด และน้ำเสียงที่นุ่มลง ทำให้เยี่ยฟางยิ้มออกมา ในที่สุดเธอก็มีเรื่องชวนเขาคุยได้มากขึ้นแล้ว
“ว่าแต่พี่จะสอนให้ฉันได้ไหมคะ” น้ำเสียงนั้นอ้อนวอน หากเธอไม่คิดเกินเลยกับเขาคงเป็นกิริยาที่น่าเอ็นดูไม่น้อย
จางซีเหอรู้ว่านั่นเป็นเพียงข้ออ้างที่เธออยากใกล้ชิดกับเขา แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะในเมื่ออีกฝ่ายทำหน้าอ้อนวอนขนาดนั้น อีกทั้งมารดาของเขาก็พยักพเยิดให้อย่างรู้เห็นเป็นใจ จึงต้องตอบรับอย่างเสียไม่ได้
“ได้สิ เอาไว้วันไหนที่ว่าง อยากรู้เรื่องอะไรก็มาถามพี่ได้นะ”
“ขอบคุณพี่ซีเหอ” เยี่ยฟางยิ้มออกมา มองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกดีๆ อย่างเปิดเผย
************************
พนักงานในบริษัทหลี่โถวล้วนแต่งกายด้วยดั้งเดิมตามแบบฟอร์มของบริษัท บุรุษสวมเสื้อถังจวง[1] และสตรีสวมชุดกี่เพ้า ให้เข้ากับงานซื้อขายวัตถุโบราณ
เยี่ยฟางในชุดกี่เพ้าสีแดง ลวดลายดอกโบตั๋นที่ชายกระโปรงที่แหวกขึ้นมาเหนือเข่า เกล้าผมมัดขึ้นไว้กลางศีรษะและปักปิ่นดอกไม้ เธอดูสวยงามและเป็นที่ชื่นชอบของผู้ที่พบเห็น
สายตาของเพื่อนร่วมงานและเสียงซุบซิบนั้น ทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าบรรยากาศวันนี้ดูแปลกไป มองไปทางไหนก็มีแต่คนจับกลุ่มคุยกัน และเธอจะไม่กังวลเลยหากสายตาเหล่านั้นไม่ได้จ้องมองมาที่เธอ
“อาหมิ่น เกิดอะไรขึ้น ทำไมมีแต่คนมองมาทางฉันล่ะ” เยี่ยฟางกระซิบถามตู้หมิ่นเอ๋อร์ หลังจากที่ทั้งคู่อยู่ตามลำพัง
“นี่เธอจำไม่ได้หรืออาฟาง ว่าตัวเองทำอะไรลงไป” พนักงานฝึกหัดที่เข้ามาทำงานพร้อมกันถาม แล้วมองด้วยสายตาที่ลังเลว่าจะเล่าดีหรือไม่
เยี่ยฟางยืนตัวแข็ง มือน้อยๆ เริ่มสั่นเทาพอๆ กับก้อนเนื้อในอก เริ่มวิตกกังวลแล้วว่าคืนวันเสาร์ที่มีงานเลี้ยงต้อนรับลูกค้า เธอก่อเรื่องอะไรเอาไว้
“ฉันทำอะไรลงไป” เสียงนั้นถามด้วยความกังวล ปลายเสียงสั่นนิดๆ เปิดเผยความวิตกอย่างชัดเจน
“เธอเมา แล้วด่าลูกค้า เศรษฐีจากหนานโจว แต่ก็สมควรแหละเพราะพวกนั้นมอมเธอแล้วคิดจะลวนลาม” ตู้หมิ่นเอ๋อร์เล่าแล้วยิ้มเจื่อนเล็กน้อย เยี่ยฟางรู้ได้ทันทีว่ายังเล่าไม่หมดแน่
“แล้วอะไรอีก”
“เธอเดินไปจับแจกันของบริษัท แล้วทุ่มลงกับพื้น แต่โชคดีที่ใบนั้นเป็นแค่ของเลียนแบบที่บริษัทเอาไว้ให้ลูกค้าดูเป็นตัวอย่าง ของจริงปลอดภัยดี ไม่ต้องห่วง”
“นี่ฉันสร้างเรื่องใหญ่ไว้สองเรื่องเลยเหรอเนี่ย ให้ตายสิ” เยี่ยฟางเซถอยไปยืนเกาะขอบโต๊ะเอาไว้ แข้งขาแทบจะอ่อนแรง
“ไม่ใช่แค่สอง อีกเรื่องหนึ่งที่เธอทำเอาไว้...อาฟาง เธอคว้าประธานอี้มาจูบแล้วเรียกเขาว่า เหล่ากง”
จบประโยคนั้น ขาเรียวก็ทรุดลงกับพื้น ให้ตายสิ เธอทำเรื่องน่าอายลงไปได้อย่างไร
‘จูบแรกกับประธานผีดิบนั่น ไม่จริง ไม่จริง’
“ไม่จริง!” จากที่คิดในหัว สุดท้ายเยี่ยฟางก็ร้องออกมา เสียจูบแรกให้คนอื่นที่ไม่ใช่จางซีเหอ ตอนนี้เธอรู้สึกผิดกับตัวเอง และรู้สึกผิดต่อพี่ชายข้างบ้าน แม้เขาไม่รับรู้เลยก็ตาม
************************
[1] ถังจวง เสื้อคอจีน ปกเสื้อตั้งขึ้น ดัดแปลงมาจากเสื้อนอกของบุรุษสมัยปลายราชวงศ์ชิง หรือที่เรียกกันว่า ถังสูท
หนึ่งปีต่อมามูลนิธิอี้เฟิงถูกเปิดขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยใช้ที่ดินของสกุลจางที่อี้เฟิงได้คืนมาในการสร้างเป็นศูนย์ช่วยเหลือเด็กกำพร้าและผู้ยากไร้ตามที่เขาตั้งปณิธานเอาไว้ตอนนี้อี้เฟิงเป็นผู้ทรงอำนาจในวงการค้าขายวัตถุโบราณและเป็นนักธุรกิจที่ได้รับการยอมรับว่ามีความสามารถบางคนรู้ตัวตนของเขาเพราะอี้เฟิงไม่ได้ปิดบังอีกต่อไป แต่หลายคนก็ไม่รู้พื้นเพของนักธุรกิจคนนี้ รู้แค่เพียงว่าอี้เฟิงถอดหน้ากากออกแล้ว และไม่ได้อัปลักษณ์อย่างที่เขาเล่าลือกัน เป็นชายหนุ่มหน้าตาดีและมีความสามารถที่อยากปิดบังตัวตนเท่านั้นเยี่ยฟางตอนนี้ใช้ความสามารถเข้ามาทำงานในแผนกประมูลงานได้สมดั่งความตั้งใจ เธอได้รับความไว้ใจให้เป็นคนวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า และศึกษาพฤติกรรมและความชอบของคนที่มีความเป็นไปได้ที่อยากได้วัตถุโบราณชิ้นสำคัญนอกจากนี้ยังได้เรียนรู้จากอาจารย์เฉิน นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุโบราณ เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาและวิธีการตรวจสอบของแท้ด้วยวิธีดั้งเดิม ซึ่งเป็นคนที่สอนอี้เฟิงจนมายืนในจุดนี้“อาฟาง กลับบ้านเถอะ” อี้เฟิงลงมาเรียกภรรยาด้วยตัวเอง หากเป็นวันศุกร์ถึงวันอาทิตย์ พวกเขาจะกลับไปนอนที่บ้
พิธีแต่งงานของทั้งคู่ ถูกจัดขึ้นโดยประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ก็ยังคงความเป็นอนุรักษนิยมอยู่ตามที่เยี่ยชงต้องการสินสอดถูกนำไปให้ที่บ้านเจ้าสาว เจ้าบ่าวในนามของอี้เฟิงที่เปิดใบหน้าของเขาให้คนอื่นรับรู้ตัวตน และไม่ได้ปิดบังตัวตนจริงอย่างที่เคยตั้งใจไว้ตู้เย็น หม้อหุงข้าว และชุดเครื่องนอน สามสิ่งนี้บ้านเจ้าสาวซื้อใหม่เป็นของขวัญวันแต่งงาน เพื่อเตรียมเอาไว้ให้ขนย้ายไปที่เรือนหอ ตามธรรมเนียมการแต่งงานที่เจ้าสาวต้องย้ายไปอยู่บ้านฝ่ายชาย สื่อถึงการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของทั้งคู่ทุกคนมองเจ้าบ่าวเจ้าสาวด้วยความชื่นชม ทั้งคู่อยู่ในชุดแต่งงานแบบดั้งเดิม สีแดงมงคล และประดับด้วยเครื่องประดับที่มีมูลค่าอย่างสมเกียรติอี้เฟิงในชุดเจ้าบ่าวที่โดดเด่น นำขบวนรถมารับเจ้าสาวและพ่อตาแม่ยายที่บ้าน เพื่อไปจัดพิธีแต่งงานที่โรงแรมหรูใจกลางเมือง พร้อมกับรถบรรทุกคันเล็กที่จะขนของขวัญแต่งงานไปยังเรือนหอชั่วคราว นั่นคือห้องพักที่บริษัทหลี่โถว“จริงๆ พ่อจะเตรียมไว้แปดอย่าง แต่มันมากเกิน ฉันเลยให้เตรียมพอเป็นพิธีเท่านั้น” เธอกระซิบบอกเจ้าบ่าวของตน“เสียใจไหมที่แต่งงานกับผม แทนที่จะเป็นจางซีเหอ” เขาถ
เจ้าของร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาในบริษัทด้วยรอยยิ้มที่ปรากฏภายใต้หน้ากากของเขา ข้างกายคือเยี่ยฟางที่เดินควงแขนเข้ามาอย่างเปิดเผย และเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่สดใสสามเดือนแล้วที่หมั้นหมายกัน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกคนในบริษัทหลี่โถวก็เห็นภาพหวานนี้จนชินตาอี้เฟิงที่เข้ามาทำงานเต็มเวลา ล้มเลิกระบบทำงานตอนเย็นและวันหยุด ก็ทำให้หลายฝ่ายทำงานสะดวกขึ้น“วันนี้คุณยิ้มกว้างกว่าทุกวันเลยนะคะ”“วันนี้ครบสองเดือนที่โฉนดครบกำหนดน่ะ ตอนนี้ผมได้ที่ดินตรงนั้นคืนมาแล้ว” เขาเดินไปนั่งที่เก้าอี้ทำงาน โดยที่คู่หมั้นสาวนั่งเก้าอี้ฝั่งที่อยู่ตรงข้ามโดยมีโต๊ะกั้นระหว่างทั้งคู่“แล้วคุณจะเปิดเผยตัวตนกับทุกคนตอนไหนคะ ในเมื่อทุกอย่างก็จบลงแล้ว คุณก็ประสบความสำเร็จ และได้ทุกอย่างกลับคืนมาแล้ว” หญิงสาวถามด้วยความใคร่รู้“พรุ่งนี้” เขายิ้มด้วยความสะใจเมื่อวานนี้ผลการตรวจสอบเอกสารเท็จทำให้หลายบริษัทถูกสั่งปรับค่าภาษีย้อนหลังจำนวนหลักแสนไปจนถึงหลักล้าน บางบริษัทถึงกับต้องปิดตัวลงเพราะข่าวฉาวทำให้ไม่มีคนเชื่อถือ แม้ปิงชางจะรอดมาได้ก็เจ็บหนักเอาการ“ให้ฉันไปด้วยไหมคะ” เยี่ยฟางถามด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใย
ที่บริษัทตรวจสอบบัญชีที่จางซีเหอทำงาน เขาได้ทำการตรวจสอบและให้เตียวหม่ารับรองบัญชีให้กับบริษัทปิงชางไปตั้งแต่เดือนที่แล้วตอนนี้เขาได้ส่งคืนเอกสารรับรองไปยังบริษัทปิงชาง เพื่อให้ทางนั้นยื่นเข้าสู่สำนักงานตรวจสอบภาษีของรัฐบาลต่อไปตามขั้นตอนจางซีเหอได้ทำเอกสารตรวจสอบบัญชี และยื่นให้เตียวหม่ารับรองให้อีกสองบริษัทให้เสร็จเรียบร้อย เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยว่าทิ้งงานกลางคันและตัดสินใจยื่นใบลาออกจากบริษัทนี้ เพราะทุกอย่างเป็นไปตามแผนการแล้ว “นี่นายจะลาออกจริงๆ เหรอ ทำงานเสร็จตั้งสามงานแล้วนี่ ไม่รอเงินโบนัสก่อนเหรอ” เตียวหม่าถามด้วยความห่วงใย แต่ในใจนั้นคิดว่าโชคลาภได้ลอยมาถึงตนแล้วนอกจากจะได้งานและได้หน้าแล้ว ยังได้รับเงินในสิ่งที่ตนไม่ได้เป็นคนลงมือ ใครจะโชคดีไปกว่าเขาไม่มีอีกแล้ว“ครับ ผมจะต้องย้ายไปทำงานที่บริษัทใกล้บ้านเพราะต้องดูแลแม่ที่แก่ชรา ท่านไม่เหลือใครเลยนอกจากผม” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แสร้งเสียดาย เตียวหม่าได้แต่ตบไหล่ให้กำลังใจเขา“นายยังหนุ่มยังแน่น ไปทำงานที่ไหนก็สามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ ขอให้โชคดีก็แล้วกัน” เขาไม่ได้รั้งพนักงานที่เก่งและรอบคอบคนนี้เอาไว้ แต่กลับพูดให้กำล
สัญญาซื้อขายหยกจักรพรรดิถูกลงนามทั้งสองฝ่าย เหลือเพียงให้จางเสิ่นนำโฉนดมาวางในวันจันทร์ก็เป็นอันเสร็จสิ้นจางเฟยหรงเดินควงแขนอี้เฟิงออกมาจากห้องเซ็นสัญญา เธอรู้สึกได้ถึงสายตาของพนักงานสาวในชุดกี่เพ้าสีแดงที่กำลังจ้องมองมาที่ตน จึงชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจจนอี้เฟิงสังเกตเห็น“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณหนูจาง” อี้เฟิงรีบถามอย่างเอาใจ“พนักงานของคุณจ้องมองฉันอยู่ ไม่สุภาพเอาเสียเลย” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เย่อหยิ่ง และเอาแต่ใจเขาหันไปมองตามสายตาของหญิงสาว พบว่าเป็นเยี่ยฟางที่กำลังจ้องมองมา“คุณมานี่” เขาเรียกให้เธอเดินเข้ามาหาเยี่ยฟางมองแขนที่เธอวางคล้องแขนของอี้เฟิงแล้วก็รู้สึกไม่พอใจลึกๆ เรียวขางามก้าวเดินเข้าไปพร้อมกับก้มศีรษะเล็กน้อย เพื่อให้ความเคารพจางเสิ่นแหละจางเฟยหรงตามมารยาทของผู้ที่ต้องต้อนรับแขก“เธอคือเยี่ยฟาง เป็นคู่หมั้นของผม” อี้เฟิงแนะนำด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งความรู้สึกในตอนนั้นเยี่ยฟางรู้สึกเจ็บแปลบเล็กน้อย แม้รู้ว่าเป็นการเล่นละครของเขา แต่มันต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรือ‘คอยดูเถอะอี้เฟิง จบงานนี้เมื่อไหร่ฉันจะหยิกคุณให้หลังเขียวเลยเชียว’ หญิงสาวคิดในใจ“นี่คือประธานจางและคุณหนู
งานประมูลของบริษัทหลี่โถวได้ถูกจัดขึ้นในวันเสาร์ ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นตามที่ได้วางแผนเอาไว้วัตถุโบราณถูกนำออกมาประมูลขายทีละชิ้น เริ่มจากชิ้นที่ราคาถูกที่สุดไล่ไปจนถึงชิ้นสุดท้ายที่เป็นดาวเด่นของงาน นั่นก็คือคทามังกรซึ่งมีราคาประมูลขั้นต่ำที่ตั้งเอาไว้ที่สองล้านหยวนเป็นราคาที่สูงพอสมควรแต่กลับเป็นที่ต้องการของระดับมหาเศรษฐีนักธุรกิจ เพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งนำโชคที่จะทำให้ธุรกิจเจริญรุ่งเรือง ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้ถึงเวลานำออกมาประมูลจางเสิ่นและลูกสาววัยยี่สิบสามปีของตน จางเฟยหรง ทั้งคู่มาร่วมงานนี้เพราะได้รับการ์ดเชิญจากบริษัทหลี่โถว และจางเฟยหรงก็อยากเข้าสังคมที่มีแต่เศรษฐีจึงรบเร้าบิดาให้พามาอี้เฟิงต้อนรับสองพ่อลูกด้วยตนเอง พาเดินชมวัตถุโบราณที่เป็นรูปถ่ายติดเอาไว้แทนของจริงที่รอการประมูลอยู่แววตาของเขามองจางเฟยหรงอย่างชื่นชม พร้อมทั้งชวนพูดคุยจนหญิงสาวนั้นรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีใจให้แก่ตนแขกที่มาร่วมงานเป็นระดับมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยทั้งนั้น แต่เขากลับเลือกที่จะมาต้อนรับแต่เธอกับบิดาเป็นการส่วนตัวหากจะบอกว่าคิดเข้าข้างตัวเองก็คงไม่ใช่“ประธานอี้ คุณฟู่อยากจะคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว” เล