เข้าสู่ระบบเช้าวันต่อมา
ศศิจันทร์นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟากลางโถงห้องรับแขก มือเรียวกดหมายเลขโทรศัพท์ของพี่สาวต่างแม่ด้วยท่าทางเยือกเย็น
เสียงสัญญาณดังไม่นาน ปลายสายก็กดรับ
“รับเร็วดีนี่...” ศศิจันทร์แสยะยิ้มเยาะ ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงเต็มไปด้วยความสะใจ
"ต้องการอะไร" เสียงปลายสายตอบกลับมาเรียบแต่ถ้าฟังดี ๆ จะสัมผัสได้ถึงความสั่นไหวในน้ำเสียง
“แค่อยากโทรมาแจ้งข่าวน่ะ” ศศิจันทร์พูดช้า ๆ อย่างจงใจ “ตอนนี้ฉันกับ พี่รุต เข้าใจกันดีแล้ว และเขาก็ ตกลงจะแต่งงานกับฉัน”
“เมื่อไหร่...” เธอถามเบา ๆ ราวกับคนที่กำลังจะหมดแรง “เธอจะแต่งงานกับเขาเมื่อไหร่”
เสียงเธอสั่นเครือจนแม้แต่คนใจร้ายอย่างศศิจันทร์ก็ยังรู้สึกถึงความสั่นไหวนั้น แต่มันยิ่งทำให้เธอยิ้มกว้างขึ้น
“ไม่นานหรอกจ้ะ” ศศิพูดเสียงหวานหยัน “เสียใจด้วยนะ ในที่สุดพี่รุตก็เป็นของฉันจนได้”
ปลายสายเงียบไป ก่อนจะพูดกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความร้าวร้าน
“แค่นี้ใช่ไหมศศิที่เธอต้องการ”
“วันนี้เอาแค่นี้ก่อน อย่าเพิ่งทนไม่ไหวล่ะ!!”
ศศิจันทร์ตัดสายทิ้งทันที แพรพรรณกำมือถือเอาไว้แน่น น้ำตาเจ้ากรรมไหลลงมาอีกแล้ว ครั้งนี้เธอร้องไห้โฮโดยไม่อายใครอยู่ในห้องที่วิศรุตยังไม่ได้กลับมา เธอไม่รู้หรอกว่าเรื่องจริงเป็นยังไงจะเป็นจริงอย่างที่น้องสาวเธอพูดหรือเปล่าแต่การที่วิศรุตไม่กลับบ้าน มันก็ยืนยันได้ว่าเขายังโกรธเธอ
อารมณ์คนท้องแปรปรวน ทั้งเสียใจทั้งน้อยใจ ทำเอาเธอเชื่อเรื่องที่ศศิพูดไปเกินครึ่ง
ทางด้านของรังรองไม่รอช้า เธอรีบให้คนจัดพิมพ์การ์ดงานแต่ง เชิญคนที่เธอต้องการให้เป็นแขกเหรื่อในงานอย่างไม่รีรอ
และเรื่องนั้นก็บังเอิญเข้าหูของธีรวุฒิ เขาเลยรีบจัดการโทรหาเพื่อนรักทันที
"กูว่ามึงจัดการเรื่องนี้ให้เด็ดขาดเถอะไอ้รุต เพราะยัยป้ารังรองมหาภัยเริ่มพิมพ์การ์ดงานแต่งให้มึงแล้วนะโว้ย!”
“มึงว่าอะไรนะ!!!”
" เออ...เผอิญน้องสาวกู ลูกพี่ลูกน้องน่ะ ตอนนี้กำลังจะแต่งงานเธอก็ไปจัดการพิมพ์การ์ดงานแต่ง แต่บังเอิญไปเจอกับเจอยัยป้ารังรองที่นั่นพอดี แถมยังได้ยินชื่อมึงชัดเต็มสองหูว่าเป็นเจ้าบ่าว น้องสาวเลยเอามาถามกูว่ามึงจะแต่งงานเป็นเรื่องจริงเหรอกูก็เลยรีบโทรมามึงเนี่ย!"
“...นรกเถอะ!!” วิศรุตสบถเสียงต่ำ กรามขบแน่นจนเป็นสัน
“กูเองยังไม่รู้เรื่องเลย นี่มันมัดมือชกกันชัด ๆ! ยังไงกูก็ไม่ยอมหรอก แค่นี้ก่อน เดี๋ยวกูไปจัดการเรื่องนี้ก่อน!”
วิศรุตรีบวางสายเพื่อนทันทีจากนั้นก็ต่อสายหารังรองทันที เมื่อปลายสายลับเขาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงเข้าเรื่องสำคัญทันที
"ผมรู้ว่าคุณกำลังจะทำอะไรอยู่ หากคุณยังไม่หยุดผมจะตั้งโต๊ะแถลงข่าวและเอาหลักฐานที่ผมมี ยืนยันกับนักข่าวว่าคืนนั้นผมถูกวางยา และไม่ต้องถามนะว่าใครเป็นคนบงการ"
รังรองที่ได้ยินประโยคนั้นถึงกับหน้าซีดเผือดทันที สีหน้าที่เคยเย่อหยิ่งแปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึงปนหวาดหวั่น ก่อนจะท้วงกลับไป
“ไม่ได้! คุณวิศรุต...คุณจะตั้งโต๊ะแถลงข่าวแบบนั้นไม่ได้นะ!” เธอรีบเอ่ยแทรกด้วยน้ำเสียงร้อนรน ไม่เหลือเค้าคนที่เคยพูดจาหยิ่งยโสแม้แต่น้อย
“ถ้าคุณทำแบบนั้น หุ้นบริษัทของสามีฉันก็ร่วงหมดสิคะ!!”
รังรองขอร้องไม่ให้เขาทำอย่างนั้น เพราะนอกจากลูกสาวเธอจะไม่ได้แต่งงานแล้ว ชื่อเสียงบริษัทอาจจะปนปี้ย่อยยับไปด้วย
“ เรื่องนั้นมันก็อยู่ที่คุณหากคุณไม่หยุด แน่นอนว่าผมไม่ปล่อย แน่ ๆ" วิศรุตตอบกลับด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นและแข็งกระด้างก่อนจะตัดสายไปโดยไม่รอให้รังรองพูดอะไรต่อ
เพียงสิ้นเสียงจากปลายสาย ความเครียดก็ถาโถมเข้าใส่รังรองทันที เธอรู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมา จนต้องรีบยกมือขึ้นนวดขมับ
"คุณแม่คะเกิดอะไรขึ้น"
รังรองถอนหายใจยาวอย่างคนอัดอั้น ก่อนจะหันไปมองศศิจันทร์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดที่ไม่ค่อยได้เห็นจากเธอบ่อยนัก
“ก็คุณวิศรุตน่ะสิ โทรมาหาแม่ ขู่จะแถลงข่าวเรื่องที่ถูกบังคับให้เขาแต่งงาน”
เจ้าของคำพูดถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา พลางหันไปมองศศิจันทร์ลูกสาวคนเดียวที่เพิ่งเดินเข้ามาในบ้าน
เมื่อเขาข่มขู่เรื่องการแถลงข่าว รังรองก็รู้ทันทีว่าเธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมถอย ไม่เช่นนั้นชื่อเสียง นามสกุล และฐานะทางธุรกิจของครอบครัวทุกอย่างจะพังครืนในพริบตา เธอรู้ว่าวิศรุตไม่ขู่อย่างเดียวแน่ และคิดว่าเขาต้องมีหลักฐานแน่นหนาพอตัว ถ้าเธอยังดื้อดึงต่อไปไม่เท่ากับว่ากำลังฆ่าตัวตายหรอกหรือ
ศศิจันทร์ที่ยืนฟังอยู่ ดวงตาแข็งกร้าวขึ้นทันที แน่นอนว่าเธอไม่ยอม
“ไม่ได้นะคะคุณแม่!! ศศิไม่ยอมเด็ดขาดค่ะ!” เสียงเธอแทบกรีดอากาศออกมา พร้อมกับแววตาที่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและดื้อดึง
“ศศิไม่ยอมให้แผนที่ทุ่มเทมาทั้งหมดต้องพังเพราะคำขู่แค่นั้นแน่!! คอยดูเถอะ!! ศศิจะไม่มีวันยอมง่าย ๆ แน่!!!”
รังรองสูดลมหายใจลึก พยายามข่มความเครียดที่ปะทุขึ้นมาไม่หยุด ก่อนจะเอ่ยเสียงเครียด
“ลูกจะทำอย่างไรล่ะศศิ แม่ว่าทางนั้นคงมีหลักฐานมัดตัวเราอยู่ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ข่มขู่เรื่องแถลงข่าวออกไปแบบนั้น รู้ไหมถ้าหากเรื่องนี้ถูกเปิดเผยในด้านลบแล้วละก็หุ้นของบริษัทพ่อแกคงร่วงกราวล้มตายน่าอนาถแน่” รังรองยังคงกลุ้มใจไม่หาย เธอไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเล่นแง่แบบนี้ ทั้งที่ตัวเองวางแผนเอาไว้ดิบดีแล้ว
“ยังไม่ถึงขั้นนั้นค่ะคุณแม่ อย่างไรเสียศศิไม่ยอมให้เขากับนังแพรต้องเจอะเจอกันอีก
ศศิจันทร์หมายมาดเอาไว้ในใจ เรื่องการวางแผนอันชั่วร้ายเธอเองก็ไม่เป็นรองใครเช่นกัน
หญิงสาวเดินทางไปยังโรงพยาบาลเอกชนในวันรุ่งขึ้น พร้อมกับยัดเงินหนึ่งก้อนให้กับเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง
“ทำตามที่ฉันบอกแล้วฉันจะจ่ายให้เธออย่างงามเลย” เจ้าของดวงตาเฉี่ยวเอ่ยปากขึ้น แต่อีกฝ่ายยังคงอ้ำอึ้งและมีท่าทีลังเลอยู่
“แต่ถ้าเรื่องนี้ถูกจับได้ ทางโรงพยาบาลต้องเสียชื่อเสียงมากเลยนะคะคุณ” เจ้าหน้าที่พยาบาลอีกคนเอ่ยด้วยสีหน้ากังวล
“อย่าหาว่าทางเราไม่ให้ความร่วมมือเลยค่ะ”
ศศิจันทร์ส่งยิ้มไปให้ “ไม่มีอะไรต้องกังวลเลยค่ะ เรื่องนี้ไม่ใหญ่พอที่จะทำให้พวกคุณต้องออกจากหน้าที่หรอกนะคะ มันส่วนตัวมากเสียจนมีคนรับรู้ไม่กี่ชีวิตเท่านั้น และอีกอย่างเงินค่าเหนื่อยจำนวนนี้ก็น่าจะมากพอให้คุณทั้งสองไปพักผ่อนอย่างสบายใจได้สักทริปนะคะ”
สิ้นคำพูดนั้นศศิจันทร์ยื่นซองสีน้ำตาลให้กับพยาบาลทั้งสองคน เพื่อขอให้ทำเรื่องหนึ่งที่เธอตั้งใจเอาไปเซอร์ไพรส์วิศรุต พยาบาลทั้งสองคนมองซองในมือก่อนจะสบตากัน เม็ดเงินที่ซุกอยู่ในนั้นทำให้คำลังเลในใจจางหายไปอย่างรวดเร็ว
“ในเมื่อคุณขอให้ช่วยขนาดนี้ ทำไมเราจะทำให้ไม่ได้ล่ะคะ?” หนึ่งในนั้นตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนลงทันที
“ถ้าอย่างนั้น รอสักครู่นะคะ เดี๋ยวฉันจะจัดการให้เรียบร้อย”
ใบหน้าของศศิจันทร์ยิ้มพึงพอใจ เงินไม่มากแต่สามารถทำลายชีวิตของพี่สาวต่างแม่ ทำไมเธอจะทำไม่ได้ หญิงสาวกลับออกไปนั่งรอที่รถอย่างสบายใจ ก่อนที่พยาบาลจะนำสิ่งที่เธอต้องการออกมาให้
“ได้แล้วค่ะสิ่งที่คุณต้องการ”
ศศิจันทร์รับซองนั้นมาด้วยสีหน้าพึงพอใจ ริมฝีปากยกยิ้มเย็นชาก่อนจะรับเอกสารนั้นมา
“ขอบคุณยาย ขอบคุณตานะจ๊ะ ที่ใจดีกับแพรและลูก"ท่ามกลางอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นยังมีเด็กหญิงตัวน้อยในผ้าอ้อมสีขาวสะอาดกำลังนอนหลับฝันดีอยู่ พาขวัญนอนหลับตาพริ้มขนตางอนหนาเด่นชัด แก้มกลมขึ้นสีชมพู ผิวพรรณเนียนผ่องดุจสำลีขาวสิ่งมีชีวิตตัวน้อยที่เป็นเหมือนดั่งของขวัญที่มีค่าที่สุดในชีวิต แม้จะเกิดมาไม่มีพ่อแต่กลับเต็มเปี่ยมด้วยความรักจากครอบครัว แตกต่างจากชีวิตในวัยเด็กของแพรพรรณเอง ที่เติบโตมากับความรู้สึกขาดสิ่งเหล่านี้ จึงยิ่งทำให้เธอรู้ว่ารักจากตากับยายนั้นสำคัญสำหรับเธอเพียงใดหญิงสาวยิ้มน้อย ๆ ทั้งน้ำตา ก่อนจะก้มลงกระซิบกับลูกน้อยในอ้อมแขนของผู้เป็นยาย“ถึงหนูจะไม่มีพ่อเหมือนใครเขา แต่แม่ก็รักหนูที่สุดในโลกเลยนะจ๊ะ ลูกรักของแม่”ตอนนี้ชีวิตของแพรมีความสุขตามอัตภาพ ใช้ชีวิตแบบสงบตามที่ตัวเองต้องการ และเธอก็เคยคิดว่าวิถีชีวิตนี้จะดำเนินต่อไปแบบนี้เรื่อย ๆ จนถึงอนาคตข้างหน้าแต่ความสงบก็ไม่ยั่งยืนเมื่อแพรพรรณเข้ามาทำงาน ความสวยสะพรั่งของเธอก็ถูกตาต้องใจใครหลายคนเพียงแค่เข้าทำงานได้ไม่ถึงเดือนก็มีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่เข้ามาตามจีบแต่เธอก็ปฏิเสธไปทุกราย เธอไม่เปิดโอกาสให้ใครเข้ามาในชีวิต ตอนนี
ทางด้านวิศรุต หลังจากรับรู้เรื่องราวที่ไม่เป็นจริงจากศศิจันทร์ แต่เขากลับเชื่ออย่างสนิทว่าแพรพรรณตั้งท้องกับชายอื่นจริง ๆ ทำให้ตัวเขาหมดแรงที่จะต่อสู้เพื่อตัวเองและหญิงสาวแม้ในระหว่างนั้นจะมีรังรองและศศิจันทร์คอยให้ข่าวเรื่องที่เขากับเธอยังคงคบหากันอยู่เสมอแม้จะไม่ได้แต่งงานก็ตามวิศรุตความทุกข์ใจเสียใจมาทุ่มเทให้กับงานทั้งหมด โหมงานอย่างหนักจนไม่มีเวลามาคิดเรื่องอื่น จากชายหนุ่มที่มีความอ่อนโยนรอยยิ้มอบอุ่น ตอนนี้เขากลายเป็นคนเงียบขรึมเขากลายเป็นผู้บริหารที่ผู้คนยำเกรงวิศรุตถูกจับตามองในฐานะของนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรงทำให้ บริษัทของเขารุ่งเรืองและก้าวหน้ายิ่งกว่าเดิม แต่ในความสำเร็จกลับไม่มีคนข้างกายที่ตัวเองโหยหา ตลอดเวลาที่ไม่มีแพรพรรณ เขาไม่เคยเปิดใจให้ใครอีกเลย แม้ศศิจันทร์จะพยายามเอาตัวเข้ามาในชีวิต เปลี่ยนตัวเองแค่ไหนก็ตามแต่กลับวิศรุตก็ไม่ได้ให้ความสนใจเธอเหมือนเดิม"เมื่อไหร่พี่รุตจะเลิกคิดถึงนังแพรเสียทีคะคุณแม่!" เสียงบ่นของศศิจันทร์เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ทั้งที่เธอพยายามปรับปรุงตัวเองทุกอย่าง ทำทุกวิถีทางให้เขาหันมาสนใจแต่เขาก็ไม่หันมามองสักที"ลูกต้องให้เวลาเขาหน่อย เรื
ทางด้านแพรพรรณตอนนี้เธออาศัยอยู่ในห้องนอนเล็ก ๆ ในคอนโดที่เธอเช่าเอาไว้ ตอนนี้เธอเองก็คิดไม่ตก ทั้งเรื่องที่ศศิจันทร์ข่มขู่เรื่องลูกของเธอ ในตอนที่เธอกำลังนั่งจมอยู่กับความเครียดอยู่นั้น เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เธอมองไปที่หน้าจอ เป็นศศิจันทร์ที่โทรเข้ามา เธอไม่ได้กดรับในทันที เพียงแต่นั่งจ้องนิ่งอยู่แบบนั้น ปล่อยให้เสียงเรียกดังอยู่อย่างนั้นจนสายตัดไปเองและไม่นานนัก ข้อความก็เด้งขึ้นมา พร้อมกับรูปภาพที่ถูกส่งเข้ามารัว ๆ‘อย่าลืมยินดีกับฉันด้วยล่ะ’ปลายนิ้วจิ้มไปที่หน้าจอก่อนจะเห็นรูปบัตรเชิญงานแต่งและรูปถ่ายอีกหลายใบหัวใจของเธอแหลกสลาย ราวกับถูกบดขยี้ซ้ำ ๆ จนไม่เหลือชิ้นดี เธอปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอย่างช้า ๆ แม้รักวิศรุตมากเพียงใด แต่ภาพนั้นมันยืนยันกับเธออย่างชัดเจนแล้วว่า เขาเลือกเดินต่อโดยไม่มีเธอการจากไปของเธออาจทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดีขึ้น แพรพรรณสูดลมหายใจเข้าลึก กดบล็อกเบอร์ของศศิจันทร์ พร้อมกับตัดช่องทางการติดต่อทุกอย่างจากแม่เลี้ยงและน้องสาว ตอนนี้เธอไม่อยากรับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว“ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงจริง ๆ สินะ” เธอพึมพำทั้งเสียงสะอื้น นึกถึงช่วงเวลาดี ๆ ก
“ขอบใจมาก และรับรู้เอาไว้ด้วยว่าเรื่องนี้ต้องไม่แพร่งพรายออกไปให้ใครรู้ เข้าใจใช่ไหม” เธอย้ำเตือนกับหญิงวัยกลางคน ซึ่งอีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับ“ค่ะคุณ”ความคิดเหยียบย่ำคนในครอบครัวไม่มีทางที่จะลดลง ศศิจันทร์ขับรถออกไปจากบริเวณนั้นทันทีเธอตรงมาที่บริษัทของวิศรุต เดินตรงดิ่งไปยังห้องทำงานและเปิดเข้าไปอย่างถึงวิสาสะวิศรุตเงยหน้าขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียง แววตาคมดุฉายชัดถึงความหงุดหงิดทันทีที่เห็นผู้บุกรุก “ใครอนุญาตให้คุณเข้ามา ศศิ!” เขาพูดเสียงเข้ม กรามขบแน่น “ผมไม่มีธุระอะไรจะคุยกับคนอย่างคุณ!”แต่ศศิจันทร์กลับส่งยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน เธอเดินเข้าไปใกล้แล้ววางซองเอกสารลงบนโต๊ะตรงหน้าเขา “ศศิแค่อยากให้พี่รุตตาสว่างเท่านั้นเองค่ะ" เธอยังคงยิ้มแล้วพูดต่อ"พี่รุตอยากรู้ไม่ใช่เหรอคะ ว่าแพรพรรณหายไปไหนมาตั้งสี่เดือนทันทีที่เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายแสดงความหงุดหงิด ศศิจันทร์ก็ไม่รีรอ รีบเข้าเรื่องทันทีวิศรุตวางปากกาลงอย่างแรง ก่อนจะลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะมายืนประจันหน้าเธอ แววตาแข็งกร้าว"เธอต้องการอะไรกันแน่?"เรื่องที่เธอบุกรุกเข้าบ้านเขาเพื่อทำร้ายแพรพรรณ เขายังไม่ทันเอาเรื่องด้วยซ้ำ แต่เธอกลับกล้
เช้าวันต่อมา ศศิจันทร์นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟากลางโถงห้องรับแขก มือเรียวกดหมายเลขโทรศัพท์ของพี่สาวต่างแม่ด้วยท่าทางเยือกเย็นเสียงสัญญาณดังไม่นาน ปลายสายก็กดรับ“รับเร็วดีนี่...” ศศิจันทร์แสยะยิ้มเยาะ ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงเต็มไปด้วยความสะใจ"ต้องการอะไร" เสียงปลายสายตอบกลับมาเรียบแต่ถ้าฟังดี ๆ จะสัมผัสได้ถึงความสั่นไหวในน้ำเสียง“แค่อยากโทรมาแจ้งข่าวน่ะ” ศศิจันทร์พูดช้า ๆ อย่างจงใจ “ตอนนี้ฉันกับ พี่รุต เข้าใจกันดีแล้ว และเขาก็ ตกลงจะแต่งงานกับฉัน”“เมื่อไหร่...” เธอถามเบา ๆ ราวกับคนที่กำลังจะหมดแรง “เธอจะแต่งงานกับเขาเมื่อไหร่”เสียงเธอสั่นเครือจนแม้แต่คนใจร้ายอย่างศศิจันทร์ก็ยังรู้สึกถึงความสั่นไหวนั้น แต่มันยิ่งทำให้เธอยิ้มกว้างขึ้น“ไม่นานหรอกจ้ะ” ศศิพูดเสียงหวานหยัน “เสียใจด้วยนะ ในที่สุดพี่รุตก็เป็นของฉันจนได้”ปลายสายเงียบไป ก่อนจะพูดกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความร้าวร้าน“แค่นี้ใช่ไหมศศิที่เธอต้องการ”“วันนี้เอาแค่นี้ก่อน อย่าเพิ่งทนไม่ไหวล่ะ!!”ศศิจันทร์ตัดสายทิ้งทันที แพรพรรณกำมือถือเอาไว้แน่น น้ำตาเจ้ากรรมไหลลงมาอีกแล้ว ครั้งนี้เธอร้องไห้โฮโดยไม่อายใครอยู่ในห้องที่วิศรุ
“ใช่!! ฉันใจดำอำมหิตก็เพราะเป็นแก และอยากจะให้แกไม่อยู่บนโลกใบนี้ด้วยซ้ำ แกไม่เคยรู้หรอกว่าฉันเสียใจขนาดไหน” ความในใจที่ค้างคาพรั่งพรูออกมาไม่หยุด“ในตอนที่ชีวิตแกมีความสุขอยู่ในอ้อมกอดของพ่อ แกไม่รู้หรอกว่าฉันกับแม่ต้องโดดเดี่ยวขนาดไหน แกไม่เคยรู้รสชาติของคนที่ถูกตามหน้าว่าไม่มีพ่อ มันเจ็บปวดยังไง!! ถึงเวลาแล้วที่ฉันก็จะแย่งสิ่งที่แกรักและหวงแหนมาไว้กับตัว คือคนที่แกรักที่สุดไงล่ะนังหน้าโง่!”ความเคียดแค้นของศศิจันทร์ไม่ใช่วันนี้หรือเมื่อวาน แต่มันคือปมด้อยในใจเมื่อครั้งอดีต ที่แม่และเธอเฝ้ารอคอยให้ครอบครัวตัวเองมีความสุขบ้างเหมือนกัน หากไม่มีแม่ของแพรพรรณมาขวางเอาไว้ ชีวิตเธอคงมีความสุขมากกว่านี้รังรองเป็นคนเอาความคิดชั่วร้ายมาใส่สมองของลูกสาวมาตั้งแต่เด็ก ทั้ง ๆ ที่รังรองเป็นคนวางยาวิชัยในคืนนั้นยัดเยียดสถานะเมียน้อย ตอนนั้นเธอเองยังพูดว่าเต็มใจและไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนสุดท้ายแล้วรังรองก็อยู่อย่างหลบซ่อนมาเป็นสิบปี จนวันนึงเธอทนไม่ไหวขึ้นมา เธอเป็นคนส่งภาพความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างวิชัยกับเธอส่งให้พลอยใสดู ทำให้พลอยใสเสียใจและขับรถเกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต ซึ่งเรื่องราวที่เก







