เข้าสู่ระบบ“ขอบใจมาก และรับรู้เอาไว้ด้วยว่าเรื่องนี้ต้องไม่แพร่งพรายออกไปให้ใครรู้ เข้าใจใช่ไหม” เธอย้ำเตือนกับหญิงวัยกลางคน ซึ่งอีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับ
“ค่ะคุณ”
ความคิดเหยียบย่ำคนในครอบครัวไม่มีทางที่จะลดลง ศศิจันทร์ขับรถออกไปจากบริเวณนั้นทันที
เธอตรงมาที่บริษัทของวิศรุต เดินตรงดิ่งไปยังห้องทำงานและเปิดเข้าไปอย่างถึงวิสาสะ
วิศรุตเงยหน้าขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียง แววตาคมดุฉายชัดถึงความหงุดหงิดทันทีที่เห็นผู้บุกรุก
“ใครอนุญาตให้คุณเข้ามา ศศิ!” เขาพูดเสียงเข้ม กรามขบแน่น “ผมไม่มีธุระอะไรจะคุยกับคนอย่างคุณ!”
แต่ศศิจันทร์กลับส่งยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน เธอเดินเข้าไปใกล้แล้ววางซองเอกสารลงบนโต๊ะตรงหน้าเขา
“ศศิแค่อยากให้พี่รุตตาสว่างเท่านั้นเองค่ะ" เธอยังคงยิ้มแล้วพูดต่อ
"พี่รุตอยากรู้ไม่ใช่เหรอคะ ว่าแพรพรรณหายไปไหนมาตั้งสี่เดือน
ทันทีที่เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายแสดงความหงุดหงิด ศศิจันทร์ก็ไม่รีรอ รีบเข้าเรื่องทันที
วิศรุตวางปากกาลงอย่างแรง ก่อนจะลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะมายืนประจันหน้าเธอ แววตาแข็งกร้าว
"เธอต้องการอะไรกันแน่?"
เรื่องที่เธอบุกรุกเข้าบ้านเขาเพื่อทำร้ายแพรพรรณ เขายังไม่ทันเอาเรื่องด้วยซ้ำ แต่เธอกลับกล้าหน้าด้านเข้ามาหาเขาอีก
ในวันนั้นที่เขารีบออกจากบ้าน เพราะความสับสนและความหึงหวงที่เข้าครอบงำ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็เริ่มคิดได้ว่า แพรพรรณคนที่เขารักไม่น่าใช่คนแบบนั้น สิ่งเดียวที่เขาต้องการตอนนั้น คือเวลาสงบใจ ทบทวน และลดอารมณ์โกรธให้เย็นลง
“ไหนบอกผมมาว่าคุณยังต้องการอะไรอีก?” เขาเอ่ยเสียงเรียบเย็น “จำได้ว่าผมโทรเคลียร์กับคุณแม่ของคุณไปแล้วนะ”
“ค่ะ ศศิเข้าใจ แต่ศศิต้องการให้พี่รุตตาสว่างเสียที ถ้าพี่รุตไม่ตามืดบอดจนเกินไปก็คงยอมรับความจริงในสิ่งนี้ได้ไม่ยาก ลองอ่านดูเสียหน่อย คงไม่เสียเวลาอะไรมากหรอกค่ะ”
เธอยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลไปตรงหน้าเขา แต่วิศรุตกลับนิ่งเฉยไม่หยิบไป ศศิเห็นท่าทางแบบนั้นก็พูดขึ้น
“เป็นเอกสารจากคุณหมอสูตินรีเวชค่ะ พิสูจน์ชัดเจนว่าแพรพรรณตั้งท้องได้สามเดือนแล้ว”
“ว่าไงนะ แพรพรรณตั้งท้อง?”
วิศรุตพูดด้วยความตกใจมือใหญ่รีบคว้าซองมาเปิดดูด้วยท่าทีร้อนรน กวาดตามองตัวอักษรในกระดาษทุกบรรทัดอย่างรวดเร็ว
รายงานแสดงผลการตรวจครรภ์เด่นชัดอยู่ตรงหน้า
หญิงสาวชื่อแพรพรรณ อรุณวัฒน์ ตั้งครรภ์ได้ประมาณสิบสองสัปดาห์ ดวงตาคมเบิกกว้าง สมองของเขาเริ่มเชื่อมโยงทุกอย่างเข้าด้วยกัน เธอหายไปสี่เดือน แต่ตอนนี้ตั้งครรภ์ได้สามเดือน
...นั่นก็หมายความว่า
“ไม่จริง มันจะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง” เขาพึมพำกับตัวเอง ดวงใจปั่นป่วนราวพายุถาโถม
ศศิจันทร์ยิ้มเย้ย เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เจือความสะใจ
“แต่มันก็เป็นไปแล้วนี่คะ”
“นี่หมายความว่าที่แพรหายไปสี่เดือนเพราะไปอยู่กับผู้ชายคนอื่นอย่างนั้นจริง ๆ เหรอ” วิศรุตเงยหน้าขึ้นมาสบตาศศิจันทร์ สายตาเต็มไปด้วยความคลางแคลงและไม่อยากเชื่อ แต่สิ่งที่ได้คือการพยักหน้าช้า ๆ จากหญิงสาวตรงหน้า
"ใช่ค่ะ ก็อย่างที่บอก ที่ผ่านมาศศิอาจจะเป็นคนร้ายกาจอย่างที่พี่รุตเห็น แต่รู้ไหมคะ ว่าศศิรักพี่รุตมากจริง ๆ ศศิไม่อยากเห็นพี่รุตกลายเป็นคนโง่ ศศิเห็นกับตาว่าแพรไม่ได้มีพี่รุตคนเดียว"
น้ำเสียงเธอเต็มไปด้วยความแน่วแน่ และย้ำประโยคสุดท้ายอย่างเจ็บแสบ
“นี่ไงคะ อีกหนึ่งหลักฐานที่ยืนยันว่าแพรไม่ได้ซื่อสัตย์กับพี่รุต หวังว่าพี่จะไม่เลือกคนที่สวมเขาให้ตัวเอง เพราะมันโง่มาก”
ในมือของศศิจันทร์ยังถือภาพถ่ายที่เธอลงทุนจ้างมืออาชีพตัดต่ออย่างแนบเนียน แม้ว่าความจริงจะถูกบิดเบือน แต่เธอมั่นใจว่าแค่ภาพตรงหน้า ก็เพียงพอจะสั่นคลอนความเชื่อมั่นของผู้ชายคนนี้ได้
“ผมจะไปคุยกับแพรเอง!!”
วิศรุตคว้าซองเอกสารกำแน่นในมือก่อนจะเดินออกมาจากห้อง เขาเลือกที่จะเผชิญหน้ากับแพรพรรณเพื่อถามไถ่สิ่งที่ตัวเองรับรู้ โดยที่เขาไม่หันมองศศิจันทร์อีกเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับศศิจันทร์ แค่นั้นก็เกินพอ เธอมองตามแผ่นหลังกว้างออกไปด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยชัยชนะ การเล่นงานพี่สาวในครั้งนี้ทำให้เธอรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก
แค่เธอเห็นความโกรธ ความสั่นคลอนในใจของเขา เพียงเท่านี้เธอก็แทบสำลักความสุขออกมาแล้ว
วิศรุตเดินทางกลับบ้านพร้อมกับซองเอกสารในมือ เขาไม่ได้กลับบ้านมาสามวันเต็ม เพราะใจยังว้าวุ่นไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับคนรัก
เมื่อมาถึงเขาก็ตะโกนเรียกเธอทันที
“แพร! แพรพรรณ!!”
วิศรุตตะโกนลั่น ก้าวฉับ ๆ ขึ้นบันไดตรงไปยังห้องนอน แต่เมื่อเปิดเข้ามาก็พบกับความว่างเปล่า เขาขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะเดินไปที่ห้องน้ำ ตะโกนเรียกเธอไปด้วย
“แพร! อยู่ไหน! ออกมาเดี๋ยวนี้นะ! เรามีเรื่องต้องคุยกัน!” เขาเรียกเธอไปเดินหาเธอไปด้วยแต่กลับไม่พบ เขาจึงรีบเดินลงข้างล่างก็เจอกับแม่บ้าน
"ป้าแป้น เห็นแพรรึเปล่าครับ" เขาถามแม่บ้านเก่าแก่
“คุณแพรบอกว่าจะออกไปหาหมอค่ะ ป้าก็เลยไม่ได้ขัด”
ป้าแม่บ้านรายงานกับเจ้าของบ้าน และคำว่าไปหาหมอก็ทำเอาวิศรุตเป็นห่วงหญิงสาวขึ้นมา เขาถามออกมาด้วยความร้อนรน
“แพรป่วยเหรอ? เป็นอะไร?” ป้าแป้นมีสีหน้าลำบากใจ แต่ก็ตอบตามความจริง
“ป้าก็ไม่แน่ใจค่ะ ตั้งแต่คุณรุตออกไป ป้าเห็นคุณแพรแอบร้องไห้อยู่บ่อย ๆ แล้วก็ได้ยินเสียงอาเจียนด้วย ตอนแรกป้าคิดว่าเธออาจจะป่วยจากความเครียด แต่…”
“แต่?” วิศรุตขมวดคิ้วเข้ม น้ำเสียงเริ่มไม่มั่นคงขณะที่หัวใจเต้นแรงขึ้น
“ช่วยพูดให้ชัดเถอะครับป้า”
“อาการที่ป้าเห็น มันคล้ายกับคนแพ้ท้องค่ะ"
เมื่อได้ยินแบบนั้น เขาก็รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าใส่กลางอกใบหน้าคมเข้มซีดเผือดในทันที เขาแทบทรงตัวไม่อยู่ ทั้งเรื่องอาการที่แพรพรรณเป็นกับเอกสารทางการแพทย์ที่ศศินำมาให้มันยืนยันเรื่องทั้งหมด ไม่มีคำพูด ใด ๆ หลุดออกมา หัวใจขื่นขมอย่างไม่อาจบรรยายได้
เขาเดินขึ้นห้องนอนอย่างอ่อนแรง แต่ละก้าวช่างหนักหน่วง เมื่อประตูห้องปิดลง เขาก็ทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างคนหมดสิ้นทุกอย่างไม่เหลือภาพลักษณ์ของประธานบริษัทที่เคยเข้มแข็งเลยสักนิด แพรพรรณทำร้ายเขาอย่างเลือดเย็น ทำให้เขาหมดใจกับเรื่องความรักที่ตนเคยทุ่มเทมาตลอด
“แพร...คุณไม่น่าทำแบบนี้กับผม!”
ความเคียดแค้นเริ่มเกาะกินใจและรับไม่ได้ที่ผู้หญิงที่ตนเองรักนอกใจ เขาสัญญากับตัวเองเอาไว้จะเข้มแข็งให้ถึงที่สุด และไม่ยอมให้คนรักอย่างแพรพรรณเข้ามาในชีวิตได้อีก
ทางด้านศศิจันทร์เองก็คลายความกังวลใจได้อีกเปลาะหนึ่ง เมื่อการวางแผนกำจัดเสี้ยนหนามของหัวใจเป็นไปได้อย่างราบรื่น ไม่นึกเลยว่าวิศรุตจะอ่อนแอและเปราะบางถึงเพียงนี้ เธอแสยะยิ้มอย่างพอใจ
“ฮัลโหลคุณแม่ขา..ไม่ต้องห่วงเรื่องพี่รุตอีกแล้วนะคะ เพราะศศิจัดการทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้วล่ะ นังแพรไม่มีทางที่จะเสนอหน้าไปให้พี่รุตเห็นได้อีกแล้ว มันจบแล้วค่ะคุณแม่”
เธอวางสายจากมารดา ก่อนจะหัวเราะชอบใจหลังจากที่ใส่ร้ายพี่สาวที่ตนเองเกลียดชังได้สำเร็จ
“แกไม่มีวันสมหวังได้หรอกนังแพร ถ้ามีฉัน ต้องไม่มีแก!”
หญิงสาวกดหมายเลขโทรศัพท์ที่ต้องการ แต่ดูเหมือนว่าแพรพรรณไม่ยอมรับสายของเธออีก
“หึ! คิดเหรอว่าถ้าไม่รับโทรศัพท์ของฉันแล้วจะไม่รับรู้เรื่องทุกอย่าง ฉันนี่แหละจะทำให้แกเสียใจไปตลอดชีวิต!”
พูดจบเจ้าตัวก็ส่งรูปภาพเข้าไปในข้อความ ในนั้นมีรูปที่เธอจ้างคนตัดต่อเหมือนเช่นเคย ภาพของการจัดงานแต่งแบบพรีเวดดิ้งและบัตรเชิญซึ่งมีลวดลายงดงาม บนบัตรเชิญนั้นระบุชื่อ 'ศศิจันทร์ & วิศรุต' ในฐานะเจ้าบ่าวเจ้าสาวของงานมงคลสมรสที่กำลังจะเกิดขึ้น
“ขอบคุณยาย ขอบคุณตานะจ๊ะ ที่ใจดีกับแพรและลูก"ท่ามกลางอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นยังมีเด็กหญิงตัวน้อยในผ้าอ้อมสีขาวสะอาดกำลังนอนหลับฝันดีอยู่ พาขวัญนอนหลับตาพริ้มขนตางอนหนาเด่นชัด แก้มกลมขึ้นสีชมพู ผิวพรรณเนียนผ่องดุจสำลีขาวสิ่งมีชีวิตตัวน้อยที่เป็นเหมือนดั่งของขวัญที่มีค่าที่สุดในชีวิต แม้จะเกิดมาไม่มีพ่อแต่กลับเต็มเปี่ยมด้วยความรักจากครอบครัว แตกต่างจากชีวิตในวัยเด็กของแพรพรรณเอง ที่เติบโตมากับความรู้สึกขาดสิ่งเหล่านี้ จึงยิ่งทำให้เธอรู้ว่ารักจากตากับยายนั้นสำคัญสำหรับเธอเพียงใดหญิงสาวยิ้มน้อย ๆ ทั้งน้ำตา ก่อนจะก้มลงกระซิบกับลูกน้อยในอ้อมแขนของผู้เป็นยาย“ถึงหนูจะไม่มีพ่อเหมือนใครเขา แต่แม่ก็รักหนูที่สุดในโลกเลยนะจ๊ะ ลูกรักของแม่”ตอนนี้ชีวิตของแพรมีความสุขตามอัตภาพ ใช้ชีวิตแบบสงบตามที่ตัวเองต้องการ และเธอก็เคยคิดว่าวิถีชีวิตนี้จะดำเนินต่อไปแบบนี้เรื่อย ๆ จนถึงอนาคตข้างหน้าแต่ความสงบก็ไม่ยั่งยืนเมื่อแพรพรรณเข้ามาทำงาน ความสวยสะพรั่งของเธอก็ถูกตาต้องใจใครหลายคนเพียงแค่เข้าทำงานได้ไม่ถึงเดือนก็มีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่เข้ามาตามจีบแต่เธอก็ปฏิเสธไปทุกราย เธอไม่เปิดโอกาสให้ใครเข้ามาในชีวิต ตอนนี
ทางด้านวิศรุต หลังจากรับรู้เรื่องราวที่ไม่เป็นจริงจากศศิจันทร์ แต่เขากลับเชื่ออย่างสนิทว่าแพรพรรณตั้งท้องกับชายอื่นจริง ๆ ทำให้ตัวเขาหมดแรงที่จะต่อสู้เพื่อตัวเองและหญิงสาวแม้ในระหว่างนั้นจะมีรังรองและศศิจันทร์คอยให้ข่าวเรื่องที่เขากับเธอยังคงคบหากันอยู่เสมอแม้จะไม่ได้แต่งงานก็ตามวิศรุตความทุกข์ใจเสียใจมาทุ่มเทให้กับงานทั้งหมด โหมงานอย่างหนักจนไม่มีเวลามาคิดเรื่องอื่น จากชายหนุ่มที่มีความอ่อนโยนรอยยิ้มอบอุ่น ตอนนี้เขากลายเป็นคนเงียบขรึมเขากลายเป็นผู้บริหารที่ผู้คนยำเกรงวิศรุตถูกจับตามองในฐานะของนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรงทำให้ บริษัทของเขารุ่งเรืองและก้าวหน้ายิ่งกว่าเดิม แต่ในความสำเร็จกลับไม่มีคนข้างกายที่ตัวเองโหยหา ตลอดเวลาที่ไม่มีแพรพรรณ เขาไม่เคยเปิดใจให้ใครอีกเลย แม้ศศิจันทร์จะพยายามเอาตัวเข้ามาในชีวิต เปลี่ยนตัวเองแค่ไหนก็ตามแต่กลับวิศรุตก็ไม่ได้ให้ความสนใจเธอเหมือนเดิม"เมื่อไหร่พี่รุตจะเลิกคิดถึงนังแพรเสียทีคะคุณแม่!" เสียงบ่นของศศิจันทร์เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ทั้งที่เธอพยายามปรับปรุงตัวเองทุกอย่าง ทำทุกวิถีทางให้เขาหันมาสนใจแต่เขาก็ไม่หันมามองสักที"ลูกต้องให้เวลาเขาหน่อย เรื
ทางด้านแพรพรรณตอนนี้เธออาศัยอยู่ในห้องนอนเล็ก ๆ ในคอนโดที่เธอเช่าเอาไว้ ตอนนี้เธอเองก็คิดไม่ตก ทั้งเรื่องที่ศศิจันทร์ข่มขู่เรื่องลูกของเธอ ในตอนที่เธอกำลังนั่งจมอยู่กับความเครียดอยู่นั้น เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เธอมองไปที่หน้าจอ เป็นศศิจันทร์ที่โทรเข้ามา เธอไม่ได้กดรับในทันที เพียงแต่นั่งจ้องนิ่งอยู่แบบนั้น ปล่อยให้เสียงเรียกดังอยู่อย่างนั้นจนสายตัดไปเองและไม่นานนัก ข้อความก็เด้งขึ้นมา พร้อมกับรูปภาพที่ถูกส่งเข้ามารัว ๆ‘อย่าลืมยินดีกับฉันด้วยล่ะ’ปลายนิ้วจิ้มไปที่หน้าจอก่อนจะเห็นรูปบัตรเชิญงานแต่งและรูปถ่ายอีกหลายใบหัวใจของเธอแหลกสลาย ราวกับถูกบดขยี้ซ้ำ ๆ จนไม่เหลือชิ้นดี เธอปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอย่างช้า ๆ แม้รักวิศรุตมากเพียงใด แต่ภาพนั้นมันยืนยันกับเธออย่างชัดเจนแล้วว่า เขาเลือกเดินต่อโดยไม่มีเธอการจากไปของเธออาจทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดีขึ้น แพรพรรณสูดลมหายใจเข้าลึก กดบล็อกเบอร์ของศศิจันทร์ พร้อมกับตัดช่องทางการติดต่อทุกอย่างจากแม่เลี้ยงและน้องสาว ตอนนี้เธอไม่อยากรับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว“ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงจริง ๆ สินะ” เธอพึมพำทั้งเสียงสะอื้น นึกถึงช่วงเวลาดี ๆ ก
“ขอบใจมาก และรับรู้เอาไว้ด้วยว่าเรื่องนี้ต้องไม่แพร่งพรายออกไปให้ใครรู้ เข้าใจใช่ไหม” เธอย้ำเตือนกับหญิงวัยกลางคน ซึ่งอีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับ“ค่ะคุณ”ความคิดเหยียบย่ำคนในครอบครัวไม่มีทางที่จะลดลง ศศิจันทร์ขับรถออกไปจากบริเวณนั้นทันทีเธอตรงมาที่บริษัทของวิศรุต เดินตรงดิ่งไปยังห้องทำงานและเปิดเข้าไปอย่างถึงวิสาสะวิศรุตเงยหน้าขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียง แววตาคมดุฉายชัดถึงความหงุดหงิดทันทีที่เห็นผู้บุกรุก “ใครอนุญาตให้คุณเข้ามา ศศิ!” เขาพูดเสียงเข้ม กรามขบแน่น “ผมไม่มีธุระอะไรจะคุยกับคนอย่างคุณ!”แต่ศศิจันทร์กลับส่งยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน เธอเดินเข้าไปใกล้แล้ววางซองเอกสารลงบนโต๊ะตรงหน้าเขา “ศศิแค่อยากให้พี่รุตตาสว่างเท่านั้นเองค่ะ" เธอยังคงยิ้มแล้วพูดต่อ"พี่รุตอยากรู้ไม่ใช่เหรอคะ ว่าแพรพรรณหายไปไหนมาตั้งสี่เดือนทันทีที่เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายแสดงความหงุดหงิด ศศิจันทร์ก็ไม่รีรอ รีบเข้าเรื่องทันทีวิศรุตวางปากกาลงอย่างแรง ก่อนจะลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะมายืนประจันหน้าเธอ แววตาแข็งกร้าว"เธอต้องการอะไรกันแน่?"เรื่องที่เธอบุกรุกเข้าบ้านเขาเพื่อทำร้ายแพรพรรณ เขายังไม่ทันเอาเรื่องด้วยซ้ำ แต่เธอกลับกล้
เช้าวันต่อมา ศศิจันทร์นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟากลางโถงห้องรับแขก มือเรียวกดหมายเลขโทรศัพท์ของพี่สาวต่างแม่ด้วยท่าทางเยือกเย็นเสียงสัญญาณดังไม่นาน ปลายสายก็กดรับ“รับเร็วดีนี่...” ศศิจันทร์แสยะยิ้มเยาะ ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงเต็มไปด้วยความสะใจ"ต้องการอะไร" เสียงปลายสายตอบกลับมาเรียบแต่ถ้าฟังดี ๆ จะสัมผัสได้ถึงความสั่นไหวในน้ำเสียง“แค่อยากโทรมาแจ้งข่าวน่ะ” ศศิจันทร์พูดช้า ๆ อย่างจงใจ “ตอนนี้ฉันกับ พี่รุต เข้าใจกันดีแล้ว และเขาก็ ตกลงจะแต่งงานกับฉัน”“เมื่อไหร่...” เธอถามเบา ๆ ราวกับคนที่กำลังจะหมดแรง “เธอจะแต่งงานกับเขาเมื่อไหร่”เสียงเธอสั่นเครือจนแม้แต่คนใจร้ายอย่างศศิจันทร์ก็ยังรู้สึกถึงความสั่นไหวนั้น แต่มันยิ่งทำให้เธอยิ้มกว้างขึ้น“ไม่นานหรอกจ้ะ” ศศิพูดเสียงหวานหยัน “เสียใจด้วยนะ ในที่สุดพี่รุตก็เป็นของฉันจนได้”ปลายสายเงียบไป ก่อนจะพูดกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความร้าวร้าน“แค่นี้ใช่ไหมศศิที่เธอต้องการ”“วันนี้เอาแค่นี้ก่อน อย่าเพิ่งทนไม่ไหวล่ะ!!”ศศิจันทร์ตัดสายทิ้งทันที แพรพรรณกำมือถือเอาไว้แน่น น้ำตาเจ้ากรรมไหลลงมาอีกแล้ว ครั้งนี้เธอร้องไห้โฮโดยไม่อายใครอยู่ในห้องที่วิศรุ
“ใช่!! ฉันใจดำอำมหิตก็เพราะเป็นแก และอยากจะให้แกไม่อยู่บนโลกใบนี้ด้วยซ้ำ แกไม่เคยรู้หรอกว่าฉันเสียใจขนาดไหน” ความในใจที่ค้างคาพรั่งพรูออกมาไม่หยุด“ในตอนที่ชีวิตแกมีความสุขอยู่ในอ้อมกอดของพ่อ แกไม่รู้หรอกว่าฉันกับแม่ต้องโดดเดี่ยวขนาดไหน แกไม่เคยรู้รสชาติของคนที่ถูกตามหน้าว่าไม่มีพ่อ มันเจ็บปวดยังไง!! ถึงเวลาแล้วที่ฉันก็จะแย่งสิ่งที่แกรักและหวงแหนมาไว้กับตัว คือคนที่แกรักที่สุดไงล่ะนังหน้าโง่!”ความเคียดแค้นของศศิจันทร์ไม่ใช่วันนี้หรือเมื่อวาน แต่มันคือปมด้อยในใจเมื่อครั้งอดีต ที่แม่และเธอเฝ้ารอคอยให้ครอบครัวตัวเองมีความสุขบ้างเหมือนกัน หากไม่มีแม่ของแพรพรรณมาขวางเอาไว้ ชีวิตเธอคงมีความสุขมากกว่านี้รังรองเป็นคนเอาความคิดชั่วร้ายมาใส่สมองของลูกสาวมาตั้งแต่เด็ก ทั้ง ๆ ที่รังรองเป็นคนวางยาวิชัยในคืนนั้นยัดเยียดสถานะเมียน้อย ตอนนั้นเธอเองยังพูดว่าเต็มใจและไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนสุดท้ายแล้วรังรองก็อยู่อย่างหลบซ่อนมาเป็นสิบปี จนวันนึงเธอทนไม่ไหวขึ้นมา เธอเป็นคนส่งภาพความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างวิชัยกับเธอส่งให้พลอยใสดู ทำให้พลอยใสเสียใจและขับรถเกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต ซึ่งเรื่องราวที่เก







