تسجيل الدخول"นั่นใครอยู่บนต้นพร้าวน่ะ...ลงมาเดี๋ยวนี้!"
เสียงห้าวดุเข้มตวาดถาม เมื่อเห็นร่างเล็กห้อยโหนอยู่บนยอดปลายต้นมะพร้าวสูงลิ่วของเกาะ...
ร่างนั้นไม่อาจบอกได้ว่าเป็นเด็กหญิงหรือเด็กชาย แต่ตัวเล็กกระจิ๋วหลิวเมื่อเงยมอง ใส่หมวกแก็ปสีกระดำกระด่าง
ไม่มีการโต้ตอบกลับจากร่างเล็กนั้น แต่มะพร้าวห้าวเปลือกสีน้ำตาลลอยละลิ่วเฉียดศีรษะของเขาไปนิดเดียว เรียกได้ว่า...เส้นยาแดงผ่าแปด!
"เฮ้ย...เด็กเวร! ลูกหลานใครวะ! ตาจั่น นั่นมันลูกใคร สั่งให้ลงมาเดี๋ยวนี้ ไม่รู้หรือว่าฉันเป็นใคร! แล้วฉันสั่งแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้เด็กขึ้นต้นมะพร้าว!"
เสียงเข้มตวาด นายจั่น คนงานประจำสวนวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาร่างสูงใหญ่ที่ยืนเท้าเอวแหงนหน้ามองยอดมะพร้าวอยู่ เขาไม่ได้ขยับหลบจากที่เดิมแม้แต่นิดเดียว แต่คิดว่าถ้าหากไอ้เด็กนั่นขว้างลูกมะพร้าวลงมาอีกครั้ง เป็นได้เห็นดีกันแน่! เขาจะสั่งให้โค่นต้นมะพร้าวนั่น ทั้งที่เจ้าเด็กเวรนั่นยังอยู่บนนั้นนั่นแหละ!
"ตะวันเอ๊ย! ลงมาเดี๋ยวนี้ หน็อย ตาเผลอแค่แป๊บเดียวเอ็งขึ้นไปจนได้นะ"
ตาจั่นตะโกนเรียกคนบนยอดมะพร้าวแล้วหันไปยิ้มเจื่อนกับร่างสูงของนายหัว
"เด็กนี่อีกแล้วเหรอ"
เสียงห้าวพึมพำอย่างระอาปนหัวเสีย
"เรียกลงมา แล้วให้พ่อเขาพาไปหาฉันที่เรือนใหญ่"
นายหัวสั่งเสียงเข้ม แล้วก็เดินก้าวยาวดุ่มๆ จากไป พิณตะวันยิ้มแหยกับตาจั่น เพราะเมื่อกี้ไม่ได้ขว้างมะพร้าวใส่นายหัว แต่มันหลุดมือ!
หลังจากนั้น พอดีนายหัวมีแขกมาหาจากแผ่นดินใหญ่ พิณตะวันจึงรอดตัวไปอีกครั้งที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับนายฝรั่งหน้าดุ!
*****
เกาะรังนางถูกจัดระเบียบใหม่หลายด้านตั้งแต่นั้น เมื่อนายหัววิลเข้ามารับงานแทนนายหัววิพัฒน์ผู้เป็นบิดาอย่างเต็มตัว คนงานถูกเรียกประชุมเพื่อชี้แจงกฎระเบียบ และมีข้อหนึ่งที่นายหัวเน้นย้ำก็คือ ให้ห้ามไม่ให้เด็กๆ ปีนต้นไม้ โดยเฉพาะต้นมะพร้าว เพราะนายหัวเกรงจะพลาดตกลงมาเป็นอันตราย ถ้าหากลูกหลานใครดื้อไม่ฟัง จะถูกส่งไปเข้าโรงเรียนเพื่อดัดนิสัยที่แผ่นดินใหญ่!
นายหัวใช้มุกนี้เพราะทราบมาว่าเด็กๆ ที่นี่ไม่ต้องการไปเข้าโรงเรียนที่แผ่นดินใหญ่ เพราะความที่ติดเพื่อนและได้เล่นสนุกบนเกาะท่ามกลางธรรมชาติ การไปเรียนบนแผ่นดินใหญ่หมายถึงการที่จะต้องจากบ้าน จากพ่อแม่ และจากเพื่อนๆ จากที่เคยเห็นรุ่นพี่หลายคนไปเรียน ก็แทบจะไม่ได้กลับมาบ้าน กลับมาปีละสองครั้งตอนปิดเทอมเท่านั้นเอง ดังนั้นกฎข้อนี้จึงใช้ได้ผลในทันทีหลังจากประกาศออกไป
ใกล้สิ้นปีการศึกษา นายหัวได้คุยปรึกษากับครูใหญ่ที่โรงเรียนประถมประจำเกาะว่ามีเด็กนักเรียนคนไหนที่นายหัวควรจะให้ทุนการศึกษาเพื่อไปเรียนที่แผ่นดินใหญ่บ้าง
"ไอ้ตะวัน เอ๊ย หนูตะวันลูกหัวหน้าวัฒน์เรียนเก่งจริงๆ ครับนายหัว น่าจะส่งเสริมให้เรียนสูงๆ จบมาจะได้กลับมาช่วยกันพัฒนาหมู่บ้าน นานๆ จะมีเด็กฉลาดรอบตัวสักคน"
ครูใหญ่แสดงความคิดเห็น ไอลวิลรับฟังอย่างสนใจจริงจัง เพราะเขามีความตั้งใจจะให้ชาวบ้านซึ่งเป็นคนงานของอิสรีพัฒน์กรุ๊ปทั้งหมู่บ้าน ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งทุกอย่างจะต้องเริ่มที่การศึกษา
"ความจริงผมอยากจะส่งไปเรียนยกรุ่นเลยถ้าเป็นไปได้ มีกี่คนครับเด็กที่จบประถมปีนี้ เพราะยิ่งเด็กรุ่นใหม่ได้รับการศึกษามากเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น ให้ครูลองคุยกับเด็กๆ และผู้ปกครองดูหน่อยนะครับ ผมจะตั้งกองทุนขึ้น จะส่งให้จบสูงสุดที่พวกเขามีความสามารถจะเรียนได้"
เสียงห้าวเอ่ย ครูใหญ่มานพรู้สึกดีใจและซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก ที่นายหัววิลมีน้ำใจและคิดถึงคนระดับล่างไม่ต่างกับผู้เป็นบิดาเลย
"ปกติแล้ว เด็กๆ ที่นี่จะไม่อยากไปเรียนแผ่นดินใหญ่ เพราะเขารักชีวิตของพวกเขาที่นี่จริงๆ ครับ ที่ผ่านมาผมจึงส่งเสริมให้เรียนแบบการศึกษาผู้ใหญ่และเรียนทางไกล ถึงเวลาก็ไปสอบ ก็จบกันหลายรุ่น แต่พวกที่ไปเรียนบนฝั่งนั้น กลับกลายเป็นว่าไม่มีใครกลับมาอยู่หมู่บ้านเลย เพราะพอไปอยู่ในเมืองก็ชักเริ่มเคยชินกับความสะดวกสบายและความทันสมัยของที่โน่น เลยอยู่เกาะไม่ติดไปซะงั้น"
ครูใหญ่เอ่ยเล่าจากประสบการณ์
"นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคต พวกเขามีอิสระเสรีในการเลือกอยู่แล้ว ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ที่ไหนเมื่อโตขึ้น แต่ช่วงวัยศึกษาเล่าเรียนแบบนี้ ก็อยากจะเปิดโอกาสให้เขาได้เรียนกันอย่างเต็มความสามารถ แล้วถ้าใครมีใจรักท้องถิ่นบ้านเกิด ก็กลับมาอยู่ด้วยกันต่อไป"
นายหัวเอ่ย ครูใหญ่รับคำและรู้สึกชื่นชมในความตั้งใจและน้ำใจของนายหัวเป็นอย่างยิ่ง เพราะตั้งแต่นายหัววิลมาอยู่ประจำแทนคุณท่านเป็นเวลาหลายเดือนแล้วนี้ คนงานก็เกรงกลัวมาก เพราะนายหัวเป็นคนนิ่ง เอาจริงและดุ หากใครทำอะไรผิด จะโดนเรียกไปไถ่ถามและตักเตือนทันที เหล่าพวกผู้หญิงที่เคยกระดี๊กระด๊า ทิ้งหูทิ้งตาให้ท่านก็กลัวหัวหดกันหมด
***
"ไม่ไป... ตะวันไม่ไปเรียนที่แผ่นดินใหญ่เด็ดขาด พ่อจ๋าแม่จ๋า...ตะวันจะอยู่กับพ่อแม่ที่นี่ ไม่ไปไหนทั้งนั้น!"
วัฒน์กับจินดาฟังแล้วก็มองหน้ากันและถอนหายใจ ลูกสาวจะจบประถมและครูใหญ่ก็แนะนำให้ไปเรียนที่โรงเรียนมัธยมบนแผ่นดินใหญ่ แต่เจ้าตัวแผลงฤทธิ์ดิ้นพล่านๆ ไม่ยอมไปท่าเดียว
ความจริง จิตใจของวัฒน์กับจินดาเองนั้น ก็ไม่อยากให้ลูกไปจากอก เพราะกลัวหลายสิ่งหลายอย่าง เวลานี้พิณตะวันเริ่มโต อายุย่างสิบสามปี ร่างกายเริ่มมีความเปลี่ยนแปลง ร่างสูงโปร่งกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน ผิวนวลละเอียดแม้จะไม่ขาวเท่าเมื่อก่อนเพราะวิ่งเล่นตากแดดและดำผุดดำว่ายในน้ำตอนตะวันจ้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ก็ยังดูผิวผ่องลออกว่าเด็กคนอื่นๆ อยู่ดี ซึ่งวัฒน์กับจินดาสังเกตเห็นว่า ช่วงระยะหลังมานี้ลูกสาวมักชอบเอายางไม้ผสมผงหินสีน้ำตาล ที่เจ้าตัวฝนเองมาทาผิว จนแลดูกระดำกระด่าง เด็กน้อยพยายามจะทำให้มีสีผิวสีน้ำตาลเข้มเหมือนคนอื่นๆ และเหมือนพ่อกับแม่นั่นเอง
พิณตะวันเป็นเด็กฉลาด... ไม่ต้องให้สอนอะไรมากเพราะเป็นพวกสมองลิงคิดได้เร็วและช่างสังเกต บางทีดูละครก็จะซักถาม แล้วทำหน้าครุ่นคิดไปด้วย... จินดาพอจะรู้ว่า ลูกสาวกำลังพยายามอำพรางรูปลักษณะที่แท้จริงของตนเอง ไม่ให้เป็นจุดเด่นจนเกินไป เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา หากคนแปลกหน้าที่มาเห็น มักจะทักเสมอว่าทำไมหน้าตาถึงไม่เหมือนเด็กคนอื่นๆ
จินดาจึงไม่ได้ว่าอะไรที่เห็นลูกทาเนื้อทาตัวมอมแมมเป็นแมวคราวแบบนั้น และเล่นซุกซนแก่นแก้วแบบที่เป็นอยู่...
"เฮ้ย...ร้องไห้ทำไมกัน ไม่เอา... ห้ามร้อง ตะวันไม่ใช่คนอ่อนแอและร้องไห้ง่ายสักหน่อย...หยุดร้องเดี๋ยวนี้เลย"เขาทั้งปลอบและทั้งสั่ง...แต่ร่างบางก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่ยอมหยุด ชายหนุ่มชักเริ่มใจไม่ดี ไม่อยากเห็นน้ำตาของยัยตัวดี เขาล้มตัวลงไปนอน ดึงร่างบางให้นอนซบหน้าอก ลูบแผ่นหลังบางเบาๆ"ไม่เอาน่า...หยุดร้องก่อน...คืนนี้จะเลี้ยงฉลองความสำเร็จของตะวัน แล้วมาร้องไห้แบบนี้ ตาบวม หมดสวยกันพอดี"เขาแกล้งแหย่"ไม่อยากสวย! ฮือๆ "คนไม่อยากสวยส่งเสียงโต้ตอบ กอดเอวเขาไว้แน่นแล้วก็ร้องไห้จนเสื้อเขาเปียก"เอาล่ะ...หยุดร้องก่อน... นะ""ตะวันมะโห! ฮือๆ และก็น้อยใจด้วย! นายหัวจะใจร้ายกับตะวันไปถึงไหน"เสียงสะอื้นเอ่ยตัดพ้อต่อว่า"มะโห แต่ไม่ร้องได้ไหม ฉันไม่ชอบเห็นน้ำตาของตะวัน"เสียงห้าวเอ่ยแล้ว ผลักร่างบางให้นอนหงายไปกับที่นอน จากนั้นก็ค่อยใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน พิณตะวันร้องไห้จนพอใจก็หยุด... นอนซุกหน้ากับอกกว้าง รู้สึกอบอุ่นในหัวใจที่ได้อยู่กับเขาอีกครั้ง..."หายมะโหหรือยังหือ..." เขาแกล้งถาม พลางก้มไปหอมแก้มที่เปียกด้วยน้ำตา พิณตะวันค้อนคว่ำให้เขา"ตบหัวแล้วลูบหลังเหรอ...จะมะโหต่อถ้
****พิณตะวันจัดการเก็บข้าวของที่คอนโด คุยกับวายุแล้วว่าจะย้ายออก ของใช้ส่วนตัวก็ไม่มีอะไรมาก วายุจึงให้ขนไปไว้ที่บ้านอิสรีพัฒน์ แล้วก็คืนคอนโดไปไอลวิลเดินทางมาถึงบ้านที่กรุงเทพฯ ในเวลาบ่ายคล้อย ร่างเพรียวระหงนั่งรออยู่แล้วที่สวนหย่อมหลังบ้าน พอเฮลิคอปเตอร์ลงจอด เจ้าหล่อนก็ลุกขึ้นยืนทำหน้าตื่นเต้น เมื่อไอลวิลลงจากเครื่อง ร่างเพรียวก็วิ่งเข้าไปหาทันทีจนเขาแทบจะเปิดอ้อมแขนกางรับไม่ทัน เจ้าตัวโผเข้ากอดอย่างเต็มที่และเต็มแรง โดยไม่กลัวว่าจะพากันล้ม เขาต้องตั้งหลักยืนให้มั่น"เบาๆ หน่อย จะพากันล้มกลิ้งเอา"เสียงห้าวเอ่ย รู้สึกขำที่เวลาผ่านไปสี่ปี คนในอ้อมแขนอายุย่างยี่สิบสองปีแล้ว แต่กับเขาก็ยังคงทำตัวเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง..."ดีใจที่สุด ตะวันรอนายหัวมาสองวันเต็มๆ ตะวันขนของจากคอนโดมาไว้ที่นี่หมดแล้ว ของไม่มีแยะหรอก แค่สองกระเป๋าเอง คุณท่านจัดห้องให้ตะวันห้องหนึ่ง อยู่ติดกะห้องของนายหัวด้วยล่ะ"เสียงแจ๋วเอ่ยรายงานยาวเหยียด...เงยหน้าขึ้นยิ้มกระจ่าง ใบหน้านวลปลั่งมีสีเรื่อด้วยเลือดฝาดแห่งวัยสาว ดวงตาคู่กลมโตเปล่งประกายวาวระยับเต็มไปด้วยความสุข"ตะวันช่วยแม่ครัวเตรียมอาหารสำหรับคืนน
เจ้าของวันเกิดกำลังยืนหลับตาอธิษฐานเสียงดัง"ขอให้นายหัวมีสุขภาพกายและใจแข็งแรง ขอให้นายหัวมีความสุขมากๆ ขอให้พระคุ้มครองให้นายหัวปลอดภัย ขอให้นายหัวจงเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป สาธุ๊..."เสียงแจ๋วเอ่ยขอพร"อ้าว แล้วกัน วันเกิดเรา ก็ขอให้ตัวเองสิ มาขอให้ฉันทำไม"เสียงห้าวเอ่ยทักท้วงอย่างรู้สึกขำเจ้าหล่อน"ก็นั่นแหละเป็นสิ่งที่ตะวันต้องการที่สุดสำหรับวันเกิด ถ้านายหัวมีความสุขและสุขภาพดี ตะวันก็มีความสุขยิ่งกว่าไง"คนอธิษฐานเอ่ยโต้ตอบบอกเหตุผล ไอลวิลจึงพยักหน้ายอมๆ ให้ทำตามอำเภอใจ จากนั้นเจ้าตัวก็เป่าเทียนวันเกิดที่ปักอยู่เพียงเล่มเดียวตรงกลางเค้ก มือบางจัดการตัดเค้กแล้วใส่จานเดียวกับช้อนสองคัน นั่งกินด้วยกันที่โซฟา เปิดทีวีรายการการ์ตูนคลอเป็นแบ็กไปด้วยไอลวิลมองดูคนที่กินเค้กจนพุงกาง แถมเจ้าหล่อนยังคะยั้นคะยอบังคับเขา พอเขาหยุดตักกิน ก็ลงมือป้อนให้ถึงปาก ไอลวิลรู้ทันเจ้าตัวดีที่ทำท่ากินช้าลงอย่างเห็นได้ชัด"ถ้าอิ่มแล้ว ก็เก็บไว้ในตู้เย็นดีไหม ไม่ต้องฝืนหรอกมั้ง" เขาเอ่ยอย่างรู้ทัน คนอิ่มทำหน้ายิ้มแหยให้"ก็ตะวันกลัวนายหัวเสียน้ำใจนี่นา"เจ้าตัวพูดเสียงอ่อย เพราะเมื่อครู่ก่อนได้ประกาศปาวๆ ว่าจ
พิณตะวันหันไปมองลริณา"เอาไงดีริณา...จะให้คุณวาไปส่งไหม คุณแม่ของริณาจะว่าหรือเปล่าที่มีหนุ่มไปส่งแบบนี้"พิณตะวันเอ่ยอย่างที่ไม่ได้คิดอะไร แต่ทำให้ลริณาหน้าแดง และวายุก็เลิกคิ้วสูงกับคำพูดของเจ้าหล่อน"เอ่อ...ไม่เป็นไรค่ะ คุณแม่รู้จักพี่ตะวันนี่คะ"สาวน้อยเอ่ยตอบน้ำเสียงอ่อน วายุไม่เข้าใจว่าเด็กสองคนนี้มาคบหาเป็นเพื่อนกันได้อย่างไร คนหนึ่งห้าวสุดห้าว กล้าแกร่งก็ปานนั้น อีกคนก็หวานสุดหวานและเรียบร้อยสุดบรรยายแบบนี้"แต่พี่เพิ่งเคยเห็นท่านครั้งเดียวและคุยโทรศัพท์ด้วยหนหนึ่ง ก็เท่านั้นเอง แต่ก็ลองไปดู ไปเลยๆ คุณวา"คนกลางตัดสินใจทันที คนขับรถก็ทำตามโดยมีคนที่นั่งเบาะหลังเป็นคนบอกทาง วายุเอาที่อยู่ใส่ใน GPS ให้ช่วยบอกทางให้ จากนั้นก็ขับรถไปยังบ้านของลริณาคฤหาสน์หลังใหญ่มีบริเวณกว้างขวาง สมกับเป็นครอบครัวที่ทำเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ จากประตูรั้วต้องขับรถเข้าไปอีกประมาณร้อยเมตรเลยทีเดียว"อยู่กันกี่คนนี่ริณา"พิณตะวันถามสาวน้อย แต่ไม่ได้ทำตาโต เพราะพิณตะวันเห็นบ้านอิสรีพัฒน์จนชินซึ่งก็ใหญ่โตพอกัน แต่ที่สำคัญพิณตะวันไม่ตาโตกับสมบัติของใคร บ้านของพิณตะวันที่เกาะคือสวรรค์ที่สุดแล้วสำหรับพิณ
"หือ..."ทำเอาคนฟังต้องนิ่งชะงักไม่แน่ใจว่าเจ้าหล่อนหมายถึงอะไร"อยากเห็นนาย ... ความจริงตะวันก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับวันเกิดหรอกนะ นายหัวไม่ต้องเข้ามาวันเกิดก็ได้ เพราะมันตั้งสิ้นปีโน่นแน่ะ นายหัวยกยอดมาอาทิตย์หน้าก็ได้ ตะวันไม่ถือหรอก ฉลองวันเกิดล่วงหน้าไง"คนอยากเจอเอ่ยโน้มน้าว ไอลวิลยิ้มขำ"ก็ถ้าว่าง จะเข้าไป ช่วงนี้ต้องอยู่เกาะ ตอนนี้ไม่เหมือนตอนที่ตะวันอยู่ มันมีคนแปลกถิ่นและแปลกหน้าเข้ามา พวกต่างชาติ เพื่อนบ้านไทยนี่แหละ แอบเข้ามาป้วนเปี้ยน เราเลยต้องวางเวรยามที่เกาะรังนกทุกเกาะของเรา"เขาเอ่ยเล่าความเป็นไปให้เจ้าของเกาะตัวจริงฟังนิดหนึ่ง"จริงเหรอ...ตะวันอยากกลับไปช่วยนายเร็วๆ มาเรียนทำไมก็ไม่รู้ ไม่เห็นมีประโยชน์เลย ถ้าตะวันอยู่ที่โน่นกับนายคงจะมีประโยชน์กว่านี้"เจ้าตัวดีได้โอกาสก็บ่นใส่ทันที"งานพวกดูแลเกาะ ให้พวกผู้ชายเขาทำ เราเรียนบัญชีก็ดีแล้ว ต่อไปจะได้ช่วยวายุที่สำนักงานใหญ่ นั่นก็เป็นงานสำคัญ""แต่ตะวันอยากช่วยนายมากกว่านะ...อะไรกัน ไหนว่าเรียนจบแล้วจะให้กลับไงเล่า"น้ำเสียงเริ่มขุ่นและงอน"ฉันแค่เกริ่นให้ฟัง จบแล้วค่อยว่ากันอีกทีว่าตะวันอยากจะอยู่ไหนและทำอะไร คิดว่าอยากจ
การเรียนเป็นไปอย่างราบรื่นและเรียบร้อย พิณตะวันเป็นคนที่ถ้าหากตั้งใจจะทำสิ่งใดแล้วก็จะมีความมุ่งมั่นพยายามและไม่ไขว้เขวกับสิ่งยั่วยุ สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสิ่งล่อหลอกให้คนในวัยศึกษาเล่าเรียนเป๋มีมากมายในเมืองกรุง แต่พิณตะวันไม่เคยเป๋เหมือนเด็กในวัยเดียวกันอีกหลายคนผู้ที่ไม่มีจุดยืนและไม่มีเป้าหมายที่แน่นอนในชีวิตนั้น สามารถตกเป็นเหยื่อของสังคมแห่งวัตถุนิยมได้ง่ายๆ ดังนั้นพิณตะวันจึงรู้สึกขอบคุณบิดามารดาและสิ่งแวดล้อมที่ทำให้พิณตะวันได้รู้จักโลกที่เป็นธรรมชาติของชีวิตที่แท้จริง ไม่ใช่โลกจอมปลอมของมหานครกรุงเทพฯ ที่เต็มไปด้วยสิ่งล่อใจว่าสวยงาม แต่เบื้องหลังเบื้องลึกนั้นกลับสกปรกโสมมสำหรับพิณตะวันแล้ว ถ้าให้เปรียบเทียบกรุงเทพฯ เป็นผู้หญิง เมืองฟ้าอมรแห่งนี้ก็เปรียบเสมือนหญิงสาวที่ไม่ได้อาบน้ำ แต่พยายามห่อหุ้มร่างด้วยเสื้อผ้าสวยงามและฉีดพรมน้ำหอมเพื่อดับกลิ่นอย่างเต็มที่ แต่งหน้าแต่งตัวเริดหรูอลังการ ทำให้คนที่ไม่รู้เบื้องลึกหลงคิดว่าสวยงามและหอมหวนทวนลมเสียเหลือทน แต่ความจริง ถ้าเปลื้องผ้าออกจะรู้ว่าร่างนั้นเหม็นสางสกปรกและหมักหมมด้วยเชื้อโรคแค่ไหน... ดังนั้นคนอย่างพิณตะวันไม่ยอมหลงเ







