วันเวลาผ่านไป นลินญาเริ่มปรับตัวและเรียนรู้การดำเนินชีวิตในยุคสุโขทัยมากขึ้นเรื่อย ๆ จากการเป็นหญิงสาวในยุคปัจจุบันที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีและความสะดวกสบาย สมัยใหม่ นลินญาจำต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ทั้งหมดเพื่อให้เข้ากับวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีของยุคนี้
หนึ่งในเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของยุคสุโขทัยคือวิถีชีวิตที่เรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความลึกซึ้งและความเชื่อที่ฝังรากลึกในทุกกิจกรรมประจำวัน ชาวสุโขทัยที่นลินญาได้เห็นทุกคนมีความเชื่อมั่นในพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ซึ่งสะท้อนให้เห็นในทุก ๆ การกระทำ ตั้งแต่การเริ่มต้นวันใหม่จนถึงการปฏิบัติหน้าที่ในแต่ละวัน
ในทุกๆ เช้า นลินญาจะตื่นขึ้นพร้อมกับแสงแรกของวัน ทันทีที่เธอลุกจากที่นอน นลินญาจะเริ่มวันใหม่ด้วยการกราบพระพุทธรูปในบ้านของพ่อเฒ่าผินผู้มีตำแหน่งนายบ้าน ตามแบบแผนที่ได้รับการถ่ายทอดจากแม่แย้มภรรยาของนายบ้าน การสวดมนต์เป็นสิ่งที่เธอเรียนรู้ที่จะทำทุกวัน เพื่อเริ่มต้นวันด้วยจิตใจที่สงบและพร้อมรับมือกับสิ่งต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น
นลินญาได้เรียนรู้ว่าชาวสุโขทัยมีวิถีชีวิตที่ผสมผสานระหว่างความเรียบง่ายและความเคารพต่อธรรมชาติ ทุกกิจกรรมประจำวันไม่ว่าจะเป็นการทำอาหาร การทำนา หรือแม้แต่การปั้นหม้อ ล้วนถูกทำด้วยความใส่ใจและตั้งใจในรายละเอียด ทุกการกระทำถูกนำด้วยหลักการของพุทธศาสนา เน้นไปที่การทำสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
การทำอาหารในยุคสุโขทัยเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความเชื่อและวัฒนธรรมอย่างชัดเจน อาหารไม่ได้เป็นเพียงแค่การบริโภคเพื่อดำรงชีวิต แต่ยังเป็นการเชื่อมโยงระหว่างครอบครัวและชุมชน อาหารทุกจานถูกปรุงด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติที่ปลูกและเก็บเกี่ยวเองในท้องถิ่น
นลินญาได้เรียนรู้การทำอาหารจากแม่เเย้มและบ่าวในบ้าน เธอได้เห็นกระบวนการทำงานพร้อมทั้งการทดลองทำเองตั้งแต่การเตรียมวัตถุดิบ การเลือกใช้สมุนไพรและเครื่องเทศที่มีสรรพคุณในการรักษาโรค เช่น ขิง ตะไคร้ ใบมะกรูด ซึ่งนอกจากจะเพิ่มรสชาติแล้วยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกด้วย
ในทุก ๆ เช้า นลินญาจะมาช่วยแม่แย้มตระเตรียมข้าวปลาอาหาร เพื่อถวายพระที่มาบิณฑบาตผ่านหมู่บ้าน และแจกจ่ายให้กับคนในครอบครัวและชาวบ้านที่ช่วยเหลือกันในการทำงานต่าง ๆ ข้าวที่ใช้หุงเป็นข้าวเจ้าเมล็ดสั้น มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ซึ่งเป็นข้าวพื้นเมืองที่ปลูกกันเองในหมู่บ้าน นลินญาได้สัมผัสถึงการทำอาหารที่ไม่ได้เน้นความรวดเร็ว แต่เน้นความพิถีพิถันความใส่ใจและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
นอกจากนั้นนลินญายังได้เรียนรู้การทำนา การทำนาเป็นหัวใจสำคัญของชาวสุโขทัย ข้าวถือเป็นอาหารหลักและเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ นลินญาได้เรียนรู้การปลูกข้าวจากชาวบ้าน ทั้งการไถนา ปลูกข้าว และการเกี่ยวข้าว ทุกขั้นตอนเต็มไปด้วยความร่วมมือร่วมใจกันของคนในชุมชน ไม่มีใครทำงานเพียงลำพัง ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันทำงานหนักเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีที่สุด
นลินญาเองยังแอบรู้สึกทึ่งในความรู้และภูมิปัญญาของชาวสุโขทัย พวกเขารู้จักดิน น้ำ และฤดูกาลเป็นอย่างดี ทุกการปลูกข้าวมีการวางแผนล่วงหน้า ไม่ใช่เพียงเพื่อการเก็บเกี่ยวในปีนั้น ๆ แต่ยังเพื่อให้แน่ใจว่าดินจะยังคงมีความอุดมสมบูรณ์สำหรับการเพาะปลูกในอนาคต
นลินญาเองก็ได้ลงไปทำงานในนา รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าจากการใช้แรงงาน แต่ก็รู้สึกภาคภูมิใจเมื่อได้เห็นผลผลิตที่งอกงามขึ้นมาจากแรงงานของตนเอง การทำนาสอนให้นลินญาเข้าใจถึงคุณค่าของความอดทนและความพากเพียร และเธอเริ่มเข้าใจว่าทำไมชาวสุโขทัยจึงมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับผืนดินและธรรมชาติ
นอกจากการทำนาแล้ว นลินญายังได้เรียนรู้การทำหัตถกรรม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตในยุคสุโขทัย การปั้นหม้อเป็นหนึ่งในศิลปะที่โดดเด่น ชาวบ้านที่นี่มีความสามารถในการสร้างสรรค์เครื่องปั้นดินเผาที่งดงามและคงทน หม้อ ไห และเครื่องใช้ต่าง ๆ ถูกปั้นด้วยมืออย่างประณีต แล้วนำไปเผาในเตาเผาดินเหนียวที่สร้างขึ้นเอง
นลินญารู้สึกทึ่งในความชำนาญของชาวบ้านที่สามารถสร้างสรรค์งานศิลปะที่งดงามจากวัสดุธรรมชาติที่หาได้ในท้องถิ่น เธอได้ลองปั้นหม้อด้วยตนเอง แม้จะไม่ง่าย แต่ก็ทำให้เธอได้เรียนรู้ถึงความอดทนและความละเอียดอ่อนที่ต้องใช้ในการสร้างงานศิลปะเหล่านี้เธอสนุกกับมันมาก
หนึ่งในประสบการณ์ที่ลึกซึ้งที่สุดที่นลินญาได้รับคือการเข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนาและเทศกาลสำคัญของชาวสุโขทัย ชาวบ้านที่นี่มีความศรัทธาแรงกล้าต่อพระพุทธศาสนา และพิธีกรรมเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญของชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการเข้าวัดทำบุญในวันพระ การถวายสังฆทาน หรือการเข้าร่วมเทศกาลต่าง ๆ เช่น เทศกาลลอยกระทง และพิธีแห่เทียนพรรษา
ในช่วงเทศกาลลอยกระทง นลินญาได้มีโอกาสประดิษฐ์กระทงจากใบตองและดอกไม้ร่วมกับชาวบ้าน และนำไปลอยในแม่น้ำในคืนพระจันทร์เต็มดวง กระทงที่ลอยไปพร้อมกับแสงเทียนที่ส่องสว่างเป็นสัญลักษณ์ของการปล่อยทุกข์โศกและการขอพรจากพระแม่คงคา นลินญารู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์และความสงบสุขในค่ำคืนนั้น เธอเข้าใจแล้วว่าชาวสุโขทัยไม่ได้แค่เพียงแค่ดำรงชีวิตอยู่เท่านั้น แต่ยังดำรงชีวิตด้วยความหมายและความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์
สิ่งหนึ่งที่นลินญาประทับใจมากคือความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างคนในชุมชน ทุกคนที่นี่รู้จักกันหมด และต่างก็ดูแลช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เมื่อใครมีปัญหาหรือขาดแคลนสิ่งใด ชาวบ้านจะมาช่วยกันโดยไม่ต้องร้องขอ ไม่มีใครถูกทอดทิ้งหรือถูกมองข้าม ความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ทำให้นลินญารู้สึกว่าชีวิตในยุคนี้มีความสุขและความพึงพอใจอย่างแท้จริง
การปรับตัวของนลินญาให้เข้ากับในยุคสุโขทัยก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ทุกวันเธอก็ได้เรียนรู้และเติบโตขึ้นจากประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่เธอได้รับ วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวสุโขทัยสอนให้เธอเข้าใจถึงคุณค่าของความเรียบง่าย ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นในชุมชน ทุก ๆ วันในสุโขทัยทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้กลับไปสู่จุดเริ่มต้นของชีวิตที่เรียบ
ขณะที่นลินญายืนอยู่ในอ้อมกอดของท่านขุนศรีอิศรา ความรู้สึกอันอบอุ่นและความรักที่เธอมีต่อเขาก็ไหลกลับมาอย่างเต็มเปี่ยม ความคิดถึงที่เธอเคยเก็บงำไว้อย่างยาวนานถูกปลดปล่อยออกมา น้ำตาแห่งความสุขและการรอคอยที่สิ้นสุดในที่สุดทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้กลับบ้านอย่างแท้จริง เมื่ออ้อมกอดคลายลง นลินญาเห็นลูกชายตัวน้อยที่เธอเคยจากมา กำลังเดินเข้ามาหาเธอ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสงสัยและความตื่นเต้น ดวงตาที่สุกใสของเขามองดูแม่ของเขาอย่างอ้อนวอน “แม่จ๋า” เด็กน้อยพูดขึ้นเบา ๆ ราวกับกลัวว่าสิ่งที่เขาเห็นอาจเป็นเพียงความฝัน นลินญาทรุดตัวลงบนเข่าและยื่นแขนออกไปหาลูกชาย น้ำตาแห่งความสุขไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย “แม่อยู่นี่แล้วจ้ะลูก แม่กลับมาแล้ว” อิศเรศเด็กชายตัวน้อยรีบวิ่งเข้ามากอดนลินญาแนบแน่น ขณะที่นลินญากอดลูกไว้ในอ้อมแขน เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นและความสุขที่เธอคิดว่าจะไม่เคยได้รับอีกต่อไป การได้พบลูกอีกครั้งทำให้เธอรู้สึกว่าการตัดสินใจกลับมาในยุคสุโขทัยเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ท่านขุนศรีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็มองดูภาพนั้นด้วยรอยยิ้มและน้ำตา “ข้าดีใจเหลือเกินที่ครอบครัวของเรากลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้ง” นลิน
หลังจากค้นพบจดหมายจากท่านขุนศรีอิศรา นลินญารู้สึกว่าหัวใจของเธอยังคงผูกพันกับยุคสุโขทัยอย่างลึกซึ้ง แม้ว่าเธอจะพยายามสร้างชีวิตใหม่ในยุคปัจจุบัน แต่หญิงสาวก็ยังความรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ยังไม่สมบูรณ์ทำให้เธอไม่สามารถลืมอดีตได้ ความรักและความคิดถึงท่านขุนศรีและลูกชายยังคงแทรกซึมอยู่ในทุกส่วนของชีวิตเธอ แม้ว่าตอนนี้เธอจะมีตัวแทนความรักของเธอกับท่านขุนศรีอยู่ในครรภ์แล้วก็ตาม วันนี้ช่วงขณะที่นลินญากำลังทำงานที่ศูนย์วิจัย ดร. ปกรณ์ได้เดินเข้ามาหาเธอด้วยท่าทีที่รีบเร่งและดูตื่นเต้น “คุณนลิน ผมมีข่าวที่น่าตื่นเต้นที่จะมาบอกคุณ” “มีอะไรหรือเปล่าคะด๊อกเตอร์ ดูท่าทางคุณจะดีใจมากๆ” “ผมค้นพบหลักฐานใหม่ที่อาจเกี่ยวข้องกับการเดินทางข้ามกาลเวลา ในระหว่างการขุดค้นที่แหล่งโบราณคดี” ระหว่างที่ฟัง ดร.ปกรณ์พูด หัวใจของนลินญาเต้นตึกตักด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน “ทีมของพวกเราได้ค้นพบเครื่องรางโบราณที่ถูกกล่าวถึงในตำนานว่าเป็น กุญแจแห่งกาลเวลา ที่สามารถเปิดประตูสู่ยุคต่าง ๆ ได้ นี่ไงข่าวนี้มันน่าตื่นเต้นไหมนลิน นี่อาจจะเป็นโอกาสที่เรารอคอย มันอาจเป็นวิธีที่สามารถเชื่อมต่อกับห้วงกาลเวลาได้จริง ๆ”
ชีวิตใหม่ในยุคปัจจุบันของนลินญาค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาพปกติ แม้ว่าเธอจะยังคงคิดถึงครอบครัวในยุคสุโขทัยอยู่เสมอ แต่เธอก็เริ่มเข้าใจว่าการกลับมาของเธอในยุคนี้มีความหมายมากกว่าที่เธอคิด ชีวิตของเธอในสุโขทัยไม่ใช่แค่ความทรงจำที่สวยงาม แต่มันได้หล่อหลอมให้เธอกลายเป็นคนที่เข้มแข็งและเต็มไปด้วยความเข้าใจในชีวิตและกาลเวลาวันหนึ่งขณะที่นลินญากำลังทำงานที่ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัย เธอได้พบกับนักวิจัยด้านโบราณคดีคนหนึ่งที่มาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ยุคสุโขทัย นักวิจัยคนนั้นเป็นคนหนุ่มชื่อว่า ดร. ปกรณ์ ผู้ซึ่งสนใจในวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ไทยโบราณอย่างลึกซึ้งระหว่างการสนทนา นลินญาเริ่มเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับยุคสุโขทัยจากความทรงจำของเธอ แม้ว่าเธอจะไม่สามารถบอกความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับการเดินทางข้ามเวลาของเธอได้ แต่เธอก็แบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับวิถีชีวิต ประเพณี และความเป็นอยู่ของคนในยุคนั้นได้อย่างละเอียด จน ดร. ปกรณ์เองก็แปลกใจในความรู้ลึกซึ้งที่นลินญามี“คุณนลินญา คุณมีความรู้เกี่ยวกับยุคสุโขทัยมากกว่าที่ผมเคยพบเจอมาก่อน คุณศึกษาเรื่องนี้มานานหรือครับ” ดร. ปกรณ์ถามด้วยความสงสัย ขณะที่เขามองดูนล
นลินญารู้สึกและรับรู้ได้ถึงแรงดึงดูดมหาศาลที่ดึงดูพาเธอผ่านห้วงกาลเวลา ทุกอย่างรอบตัวของเธอหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะค่อยๆ ช้าลงและสลายหายไปในที่สุด เมื่อหญิงสาวลืมตาขึ้นอีกครั้ง เธอพบว่าตัวเองกลับมาอยู่ในยุคปัจจุบัน ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวคุ้นเคยแต่นลินญากลับรู้สึกถึงความแปลกแยกในเวลาเดียวกัน หญิงสาวยังอยู่ในที่เดิมและชุดเดิมที่เธอใส่ในวันที่เธอได้หายตัวไป เธอยืนอยู่ ณ ที่ตรงนี้ แต่คราวนี้ไม่มีท่านขุนศรีชายที่เธอรักและรักเธอมาก ไม่มีอิศเรศลูกรักของเธอ ไม่มีบ้านเรือนในยุคสุโขทัยที่เธอได้อาศัยอยู่มาหลายปี และไม่มีครอบครัวที่เธอรักเหลืออยู่ นลินญารู้สึกถึงความว่างเปล่าในใจ แต่มันก็มาพร้อมกับความรู้สึกของความสำเร็จที่เธอได้ช่วยชีวิตอิศเรศลูกชายคนเดียวของเธอเอาไว้ เธอยืนอยู่คนเดียวในยุคปัจจุบัน ท่ามกลางเสียงจอแจของเมืองและผู้คนที่เดินผ่านไปมา แต่ในใจของเธอเต็มไปด้วยความทรงจำและความรักที่เธอมีต่อครอบครัวในยุคสมัยสุโขทัย “ท่านขุนศรีของนลิน นลินจะไม่ลืมท่าน นลินจะอยู่ที่นี่และจดจำทุกอย่างไว้ในใจ อิศเรศลูกแม่ แม่ขอให้ลูกสุขภาพแข็งแรงโตขึ้นเป็นคนดีแข็งแกร่งเหมือนท่านพ่อนะลูกรักของแม่” นลินญา
หลังจากได้รับคำเตือนและคำแนะนำจากท่านนักปราชญ์ นลินญากับท่านขุนศรีก็เดินทางกลับมายังเรือนของพวกเขาที่มีลูกน้อยคอยอยู่กับบ่าวไพร่ เมื่อกลับมาถึงเรือน นลินญารู้ว่าถึงเวลาแล้วที่เธอต้องเปิดใจคุยกับท่านขุนศรีอิศราผู้เป็นสามีที่เธอรักยิ่ง ร่างสูงดูเงียบไปไม่ค่อยพูดและเหมือนมีเรื่องที่ทำให้ต้องคิดตั้งแต่อยู่ที่อาศรมท่านนักปราชญ์แล้ว นลินญารู้ว่าเธอต้องเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากที่สุดในชีวิต ถึงสิ่งที่เธอค้นพบและความจริงที่โหดร้ายที่เธอต้องเผชิญ ผลกระทบจากการแยกห้วงกาลเวลาทั้งสองยุคออกจากกัน คำแนะนำของท่านนักปราชญ์อาจเป็นทางเดียวที่จะรักษาชีวิตอิศเรศลูกชายของเธอได้ แต่นั่นหมายความว่าเธอจะต้องกลับไปยังยุคปัจจุบันและจากครอบครัว ผู้ชายที่เธอรักและลูกชายของเธอในยุคสุโขทัยไปอย่างถาวร ในคืนนั้น ขณะที่ท้องฟ้าสุโขทัยเต็มไปด้วยดวงดาว นลินญานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่กับท่านขุนศรีผู้เป็นสามี และมีอิศเรศลูกชายของพวกเขานอนหลับอยู่ในอ้อมแขนของเธอ ท่านขุนศรีมองดูภรรยาและลูกชายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่านลินญามีบางสิ่งที่ต้องการพูด เขาจึงถามอย่างอ่อนโยน “แม่หญิงนลินญาเมียข้า ท่า
หลายเดือนผ่านไปหลังจากพิธีกรรมโบราณเชื่อมห้วงกาลเวลาเพื่อเชื่อมโยงสองยุคเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ นลินญาและท่านขุนศรีอิศราพยายามใช้ชีวิตอย่างปกติ ทั้งสองต่างรู้สึกโล่งใจที่เหตุการณ์แปลก ๆ ที่เคยเกิดขึ้นได้หยุดลง นลินญาไม่เห็นภาพลวงตาจากยุคปัจจุบันอีกต่อไป และเสียงที่เคยลอยเข้ามาในโสตประสาทของเธอก็หายไปหมด ความรู้สึกไม่เสถียรที่เคยครอบงำจิตใจนลินญาก็จางหายไป ทำให้เธอสามารถกลับมามีสมาธิกับการดูแลครอบครัวและใช้ชีวิตในยุคสุโขทัยได้อีกครั้ง แต่ทว่าลึก ๆ ในใจของนลินญาและท่านขุนศรี พวกเขาต่างก็รู้ในใจดีว่าความสงบสุขนี้อาจเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น พวกเขาไม่รู้ว่าผลของการเชื่อมโยงสองยุคจะส่งผลอย่างไรในระยะยาว และสิ่งที่ต้องเสียสละเพื่อให้สองยุคสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุลคืออะไร คืนหนึ่ง ขณะที่นลินญากำลังนั่งเย็บผ้าอยู่ใต้แสงตะเกียง อิศเรศลูกชายของเธอที่เคยหลับอยู่ก็เริ่มร้องไห้เสียงดัง นลินญารีบวางงานในมือและวิ่งไปดู แต่เมื่อเธออุ้มลูกชายขึ้นมา ทันทีที่อ้อมแขนของเธอได้สัมผัสกับลูกน้อยนลินญาก็รู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่เปลี่ยนไป เธอสัมผัสได้ถึงความร้อนของอุณหภูมิในร่างกายของลูกชาย ราวกับว่าเขาม