ในช่วงเวลาเย็นดวงอาทิตย์เริ่มอ่อนแสงลงสาดเเสงสีทองเป็นช่วงผีตากผ้าอ้อม ร่างสูงสง่าของท่านขุนศรีอิศราและร่างบางอ้อนแอ้นน่าทะนุถนอมของนลินญาก็พากันกลับมาที่บ้านของพ่อเฒ่าผินนายบ้านที่ให้ที่พักพิงแก่นลินญาและเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ของนลินญาในตอนนี้ ทั้งสองกลับมาเพื่อพักผ่อนก่อนที่จะมื้อค่ำ พ่อเฒ่าผินและแม่เเย้มผู้เป็นภรรยาให้การต้อนรับทั้งสองด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น และเตรียมสำรับอาหารไว้ให้เต็มที่ ในใจของพ่อเฒ่าผินมองดูก็เห็นความเหมาะสมของคนทั้งคู่ที่เคียงข้างกัน
“วันนี้เป็นวันพิเศษที่ท่านขุนศรีมาเยี่ยมเยียนที่เรือน ข้าจึงเตรียมสำรับกับข้าวคาวหวานไว้หลายอย่างที่อยากให้ท่านได้ลิ้มลอง” ผู้เฒ่าผินนายบ้านพูดอย่างภูมิใจ
นลินญาและท่านขุนศรีอิศรานั่งลงบนพื้นเสื่อในห้องโถงที่ทำไว้รับแขกที่มีการจัดวางสำรับกับข้าวไว้อย่างประณีต อาหารหลากหลายเมนูถูกจัดเรียงไว้บนสำรับไม้เตี้ยๆ ทั้งแกงเลียง แกงปลา แกงแฟง ข้าวเหนียวปิ้ง น้ำพริก ผักต้ม ข้าวตอกน้ำผึ้ง และผลไม้สดหลากหลายชนิด บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความสุข
ขณะที่นลินญาตักอาหารเข้าปาก เธอรู้สึกถึงรสชาติที่อร่อยและกลมกล่อมของอาหารท้องถิ่นที่เธอเพิ่งได้เรียนรู้วิธีทำในวันนี้ เธอหันไปยิ้มให้แม่แย้มภรรยาของนายบ้าน
“กับข้าวอร่อยมากเลยค่ะ ฉันรู้สึกดีใจที่ได้มีโอกาสเรียนรู้การทำอาหารจากท่าน”
แม่แย้มส่งยิ้มกลับมาให้ลูกศิษย์ของตน “ข้าก็รู้สึกยินดีที่ได้สอนแม่หญิงเช่นกัน หากแม่หญิงอยากเรียนรู้อะไรเพิ่มเติม ก็บอกหรือถามเอากับข้าหรือพวกบ่าวได้เสมอนะจ๊ะ ข้ายินดีจะสอน”
ในขณะนั้นเอง ท่านขุนศรีอิศราซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนลินญาก็มองเธอด้วยสายตาอบอุ่นและส่งรอยยิ้มมาให้ “แม่หญิงนลินญา ดูเหมือนว่าท่านจะเริ่มปรับตัวเข้ากับชีวิตที่นี่ได้ดีแล้ว ข้ารู้สึกดีใจที่เห็นท่านมีความสุขกับการอยู่ที่นี่”
นลินญายิ้มรับอย่างอ่อนโยน “ฉันต้องขอบคุณท่านขุนศรีและทุกคนที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ทำให้ฉันไม่รู้สึกโดดเดี่ยว และอยู่ที่นี่อย่างมีความสุข”
ดวงตาของท่านขุนศรีอิศราแฝงด้วยความชื่นชมในความกล้าหาญและความเข้มแข็งของนลินญา แม้เธอจะอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย แต่เธอก็ไม่ได้เศร้าโศกเสียใจมาก
หลังอาหารมื้อค่ำผ่านพ้นไป ตอนนี้แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ได้ลาลับขอบฟ้าไปนานแล้ว และแทนที่ด้วยแสงสว่างจากดวงจันทร์บนท้องฟ้า อากาศในยามเย็นเริ่มเย็นลงเล็กน้อย แต่บรรยากาศรอบบ้านของพ่อเฒ่าผินกลับอบอุ่นด้วยแสงจากตะเกียงน้ำมันที่วางเรียงรายอยู่รอบ ๆ ลานบ้าน นลินญาและท่านขุนศรีอิศรานั่งพักอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ที่ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ข้าง ๆ กันคือท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ
ท่านขุนศรีอิศราเหลือบมองนลินญาที่กำลังจ้องมองท้องฟ้าเบื้องบน ดวงตาของเธอเป็นประกายสดใสภายใต้แสงดาวที่ส่องผ่านยอดไม้ที่ปลิวไสว ใบหน้างดงามของเธอดูผ่อนคลายและสงบ ราวกับว่าเธอได้พบสถานที่ที่เธอรู้สึกสบายใจแม้จะอยู่ห่างไกลจากโลกที่เธอเคยรู้จัก
“แม่หญิงนลินญา” ท่านขุนศรีอิศราเอ่ยเรียกขึ้นเบา ๆ ขณะที่สายตาคมของเขายังคงจ้องมองมาที่เธอ
“ท่านคิดถึงบ้านหรือไม่”
นลินญาหันมามองใบหน้าหล่อเหลาของเขา ดวงตาสีดำสนิทของเธอสบกับดวงตาคมของท่านขุนศรี “บางครั้งฉันก็คิดถึงค่ะ แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะกลับไปได้อย่างไร บางทีคิดถึงไปก็เท่านั้นเพราะจะมีก็แต่ความว้าวุ่นที่หาหนทางไม่ได้ แต่ที่นี่ก็ทำให้ฉันรู้สึกสงบอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนนะคะ”
คำตอบของหญิงสาวทำให้ท่านขุนศรีอิศราพยักหน้าเล็กน้อย “สุโขทัยเป็นสถานที่ที่สงบและงดงาม แม้ว่าจะเต็มไปด้วยความเรียบง่าย แต่ก็มีความลึกซึ้งในทุก ๆ สิ่ง ข้าดีใจที่แม่หญิงเริ่มรู้สึกเช่นนั้น ข้าอยากเห็นท่านอยู่ที่นี่อย่างมีความสุข”
นลินญายิ้มบาง ๆ กับเสียงทุ้มๆ ที่ท่านขุนศรีได้เอ่ยออกมา เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ค่อย ๆ แผ่ซ่านเข้าไปภายในหัวใจ
“ฉันเองต้องขอบคุณท่านขุนที่ทำให้ฉันรู้สึกเช่นนี้ ท่านให้การต้อนรับฉันอย่างดีมาตั้งแต่วันแรกที่พบกัน ฉันจะพยายามใช้ชีวิตที่อยู่ที่นี่ให้มีความสุขในทุกๆ วัน”
ใบหน้าคร้ามของท่านขุนศรียิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความเอ็นดู
“ข้าเพียงแค่ทำตามหน้าที่ของขุนนางที่ต้องดูแลทุกคนในอาณาจักร แต่กับท่าน...ข้ารู้สึกว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น”
นลินญารู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น เธอหันมองท่านขุนศรีอิศราอีกครั้ง ดวงตาคมของเขาฉายแววจริงจังและอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน ราวกับว่าคำพูดของเขาไม่ใช่เพียงแค่คำพูดที่สุภาพ แต่เป็นสิ่งที่ออกมาจากใจจริง
“ท่านขุนศรีหมายความว่าอย่างไรหรือคะ” นลินญาถามด้วยความสงสัยและหัวใจที่เต้นระรัวอย่างห้ามไม่ได้
ท่านขุนศรีอิศราเอนตัวเข้ามาใกล้เล็กน้อย ใบหน้าของเขาอยู่ห่างจากนลินเพียงไม่กี่คืบ “ข้าหมายถึง...ข้ารู้สึกถึงความผูกพันที่แปลกประหลาดระหว่างเราสองคนตั้งแต่แรกพบ ราวกับว่าเราเคยพบกันมาก่อน ราวกับว่าเรามีชะตาที่ต้องมาพบกันในที่แห่งนี้ ข้ารู้สึกถึงความคุ้นเคยและข้าก็อยากที่จะมาเห็นหน้าแม่หญิงในทุกๆ วัน”
นลินญารู้สึกถึงลมหายใจของท่านขุนศรีอิศราที่อุ่นและอ่อนโยนเมื่ออยู่ใกล้ ๆ เธอ ความใกล้ชิดนี้ทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นจนเธอไม่สามารถควบคุมได้ ราวกับว่ามีแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานได้ระหว่างทั้งสองคน
“เอ่อ คือ ฉันก็รู้สึกอย่างนั้นเช่นนั้นค่ะ” นลินญาตอบด้วยเสียงที่เบาและแผ่วเบา ราวกับว่าเธอกำลังเผยความในใจที่ลึกซึ้งที่สุดออกมา
ทำเอาชายที่หาญกล้าอย่างท่านขุนศรีอิศราเงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับว่ากำลังไตร่ตรองคำพูดที่เขากำลังจะเอ่ยออกมา จากนั้นเขาจึงเอื้อมมือไปจับมือของนลินญาเบา ๆ นิ้วมือของเขาใหญ่และแข็งแรง แต่สัมผัสนั้นกลับอ่อนโยนและอบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ
“แม่หญิงนลินญา ข้าว่าท่านอาจรู้สึกสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ข้าอยากให้ท่านรู้ว่าข้าจะอยู่เคียงข้างท่าน ไม่ว่าท่านจะตัดสินใจอย่างไร ข้าก็จะไม่ปล่อยให้ท่านเผชิญกับสิ่งใดเพียงลำพัง”
นลินญามองลึกเข้าไปในดวงตาของท่านขุนศรีอิศรา ความจริงใจในคำพูดของเขาทำให้เธอรู้สึกถึงความมั่นคงและปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เธอรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เพียงแค่คำพูดของขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ แต่เป็นคำสัญญาของผู้ชายคนหนึ่งที่พร้อมจะปกป้องและดูแลเธอมากกว่า
“ฉันขอบคุณท่านขุนศรีมากค่ะ” นลินญาตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย “ฉันไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปข้างหน้า แต่ฉันก็รู้สึกมั่นใจมากขึ้นเมื่อรู้ว่าฉันจะมีท่านคอยอยู่ข้าง ๆ”
ท่านขุนศรีอิศรายกยิ้มเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เอียงหน้าเข้ามาใกล้นลินญา ใบหน้าของเขาใกล้จนเธอสามารถมองเห็นรายละเอียดทุกอย่างบนใบหน้าที่คมสันของเขา กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของไม้จันทน์จากตัวเขาทำให้นลินรู้สึกหลงใหลและวาบหวามไปทั้งใจ
และในขณะนั้นเอง ท่านขุนศรีผู้กล้าแกร่งก็ค่อย ๆ ก้มลงจุมพิตเบา ๆ บนหน้าผากมนของนลินญา เป็นจุมพิตที่อ่อนโยนและเต็มไปด้วยความห่วงใย ราวกับเป็นสัญญาว่าจะปกป้องและอยู่เคียงข้างเธอเสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
นลินญาหลับตาลงชั่วขณะ หัวใจของเธอพองโตด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ ราวกับว่าความใกล้ชิดนี้ได้เชื่อมโยงเธอกับท่านขุนศรีอิศราไว้อย่างลึกซึ้ง
เมื่อท่านขุนศรีอิศราถอยห่างออกมาเล็กน้อย ดวงตาคมของเขามองลึกเข้าไปในดวงตากลมโตของนลินญา “ตัวข้าหวังว่าเราจะมีเวลาได้รู้จักกันมากขึ้น และหากชะตาฟ้าลิขิตให้เราต้องอยู่ร่วมกัน ข้าก็จะถือว่าเป็นเกียรติยิ่งที่ได้อยู่เคียงข้างท่านแม่หญิงของข้า”
นลินญารู้สึกอบอุ่นในใจอย่างลึกซึ้ง เธอไม่เคยคาดคิดว่าจะพบความรู้สึกเช่นนี้ในที่ที่เธอไม่คุ้นเคย แต่ทว่าทุกอย่างกลับดูถูกต้องและเป็นธรรมชาติ ราวกับว่าเธอได้พบกับสิ่งที่เธอตามหามาตลอดชีวิต
“ฉันเองก็หวังเช่นนั้นค่ะ ท่านขุนศรี” นลินญาตอบเบา ๆ ขณะที่เธอมองไปยังดวงดาวบนท้องฟ้า รู้สึกได้ว่าชะตาของเธอกำลังถูกเขียนใหม่ โดยมีท่านขุนศรี อิศรา เป็นส่วนสำคัญในชีวิตของเธอ
ขณะที่นลินญายืนอยู่ในอ้อมกอดของท่านขุนศรีอิศรา ความรู้สึกอันอบอุ่นและความรักที่เธอมีต่อเขาก็ไหลกลับมาอย่างเต็มเปี่ยม ความคิดถึงที่เธอเคยเก็บงำไว้อย่างยาวนานถูกปลดปล่อยออกมา น้ำตาแห่งความสุขและการรอคอยที่สิ้นสุดในที่สุดทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้กลับบ้านอย่างแท้จริง เมื่ออ้อมกอดคลายลง นลินญาเห็นลูกชายตัวน้อยที่เธอเคยจากมา กำลังเดินเข้ามาหาเธอ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสงสัยและความตื่นเต้น ดวงตาที่สุกใสของเขามองดูแม่ของเขาอย่างอ้อนวอน “แม่จ๋า” เด็กน้อยพูดขึ้นเบา ๆ ราวกับกลัวว่าสิ่งที่เขาเห็นอาจเป็นเพียงความฝัน นลินญาทรุดตัวลงบนเข่าและยื่นแขนออกไปหาลูกชาย น้ำตาแห่งความสุขไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย “แม่อยู่นี่แล้วจ้ะลูก แม่กลับมาแล้ว” อิศเรศเด็กชายตัวน้อยรีบวิ่งเข้ามากอดนลินญาแนบแน่น ขณะที่นลินญากอดลูกไว้ในอ้อมแขน เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นและความสุขที่เธอคิดว่าจะไม่เคยได้รับอีกต่อไป การได้พบลูกอีกครั้งทำให้เธอรู้สึกว่าการตัดสินใจกลับมาในยุคสุโขทัยเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ท่านขุนศรีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็มองดูภาพนั้นด้วยรอยยิ้มและน้ำตา “ข้าดีใจเหลือเกินที่ครอบครัวของเรากลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้ง” นลิน
หลังจากค้นพบจดหมายจากท่านขุนศรีอิศรา นลินญารู้สึกว่าหัวใจของเธอยังคงผูกพันกับยุคสุโขทัยอย่างลึกซึ้ง แม้ว่าเธอจะพยายามสร้างชีวิตใหม่ในยุคปัจจุบัน แต่หญิงสาวก็ยังความรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ยังไม่สมบูรณ์ทำให้เธอไม่สามารถลืมอดีตได้ ความรักและความคิดถึงท่านขุนศรีและลูกชายยังคงแทรกซึมอยู่ในทุกส่วนของชีวิตเธอ แม้ว่าตอนนี้เธอจะมีตัวแทนความรักของเธอกับท่านขุนศรีอยู่ในครรภ์แล้วก็ตาม วันนี้ช่วงขณะที่นลินญากำลังทำงานที่ศูนย์วิจัย ดร. ปกรณ์ได้เดินเข้ามาหาเธอด้วยท่าทีที่รีบเร่งและดูตื่นเต้น “คุณนลิน ผมมีข่าวที่น่าตื่นเต้นที่จะมาบอกคุณ” “มีอะไรหรือเปล่าคะด๊อกเตอร์ ดูท่าทางคุณจะดีใจมากๆ” “ผมค้นพบหลักฐานใหม่ที่อาจเกี่ยวข้องกับการเดินทางข้ามกาลเวลา ในระหว่างการขุดค้นที่แหล่งโบราณคดี” ระหว่างที่ฟัง ดร.ปกรณ์พูด หัวใจของนลินญาเต้นตึกตักด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน “ทีมของพวกเราได้ค้นพบเครื่องรางโบราณที่ถูกกล่าวถึงในตำนานว่าเป็น กุญแจแห่งกาลเวลา ที่สามารถเปิดประตูสู่ยุคต่าง ๆ ได้ นี่ไงข่าวนี้มันน่าตื่นเต้นไหมนลิน นี่อาจจะเป็นโอกาสที่เรารอคอย มันอาจเป็นวิธีที่สามารถเชื่อมต่อกับห้วงกาลเวลาได้จริง ๆ”
ชีวิตใหม่ในยุคปัจจุบันของนลินญาค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาพปกติ แม้ว่าเธอจะยังคงคิดถึงครอบครัวในยุคสุโขทัยอยู่เสมอ แต่เธอก็เริ่มเข้าใจว่าการกลับมาของเธอในยุคนี้มีความหมายมากกว่าที่เธอคิด ชีวิตของเธอในสุโขทัยไม่ใช่แค่ความทรงจำที่สวยงาม แต่มันได้หล่อหลอมให้เธอกลายเป็นคนที่เข้มแข็งและเต็มไปด้วยความเข้าใจในชีวิตและกาลเวลาวันหนึ่งขณะที่นลินญากำลังทำงานที่ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัย เธอได้พบกับนักวิจัยด้านโบราณคดีคนหนึ่งที่มาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ยุคสุโขทัย นักวิจัยคนนั้นเป็นคนหนุ่มชื่อว่า ดร. ปกรณ์ ผู้ซึ่งสนใจในวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ไทยโบราณอย่างลึกซึ้งระหว่างการสนทนา นลินญาเริ่มเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับยุคสุโขทัยจากความทรงจำของเธอ แม้ว่าเธอจะไม่สามารถบอกความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับการเดินทางข้ามเวลาของเธอได้ แต่เธอก็แบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับวิถีชีวิต ประเพณี และความเป็นอยู่ของคนในยุคนั้นได้อย่างละเอียด จน ดร. ปกรณ์เองก็แปลกใจในความรู้ลึกซึ้งที่นลินญามี“คุณนลินญา คุณมีความรู้เกี่ยวกับยุคสุโขทัยมากกว่าที่ผมเคยพบเจอมาก่อน คุณศึกษาเรื่องนี้มานานหรือครับ” ดร. ปกรณ์ถามด้วยความสงสัย ขณะที่เขามองดูนล
นลินญารู้สึกและรับรู้ได้ถึงแรงดึงดูดมหาศาลที่ดึงดูพาเธอผ่านห้วงกาลเวลา ทุกอย่างรอบตัวของเธอหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะค่อยๆ ช้าลงและสลายหายไปในที่สุด เมื่อหญิงสาวลืมตาขึ้นอีกครั้ง เธอพบว่าตัวเองกลับมาอยู่ในยุคปัจจุบัน ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวคุ้นเคยแต่นลินญากลับรู้สึกถึงความแปลกแยกในเวลาเดียวกัน หญิงสาวยังอยู่ในที่เดิมและชุดเดิมที่เธอใส่ในวันที่เธอได้หายตัวไป เธอยืนอยู่ ณ ที่ตรงนี้ แต่คราวนี้ไม่มีท่านขุนศรีชายที่เธอรักและรักเธอมาก ไม่มีอิศเรศลูกรักของเธอ ไม่มีบ้านเรือนในยุคสุโขทัยที่เธอได้อาศัยอยู่มาหลายปี และไม่มีครอบครัวที่เธอรักเหลืออยู่ นลินญารู้สึกถึงความว่างเปล่าในใจ แต่มันก็มาพร้อมกับความรู้สึกของความสำเร็จที่เธอได้ช่วยชีวิตอิศเรศลูกชายคนเดียวของเธอเอาไว้ เธอยืนอยู่คนเดียวในยุคปัจจุบัน ท่ามกลางเสียงจอแจของเมืองและผู้คนที่เดินผ่านไปมา แต่ในใจของเธอเต็มไปด้วยความทรงจำและความรักที่เธอมีต่อครอบครัวในยุคสมัยสุโขทัย “ท่านขุนศรีของนลิน นลินจะไม่ลืมท่าน นลินจะอยู่ที่นี่และจดจำทุกอย่างไว้ในใจ อิศเรศลูกแม่ แม่ขอให้ลูกสุขภาพแข็งแรงโตขึ้นเป็นคนดีแข็งแกร่งเหมือนท่านพ่อนะลูกรักของแม่” นลินญา
หลังจากได้รับคำเตือนและคำแนะนำจากท่านนักปราชญ์ นลินญากับท่านขุนศรีก็เดินทางกลับมายังเรือนของพวกเขาที่มีลูกน้อยคอยอยู่กับบ่าวไพร่ เมื่อกลับมาถึงเรือน นลินญารู้ว่าถึงเวลาแล้วที่เธอต้องเปิดใจคุยกับท่านขุนศรีอิศราผู้เป็นสามีที่เธอรักยิ่ง ร่างสูงดูเงียบไปไม่ค่อยพูดและเหมือนมีเรื่องที่ทำให้ต้องคิดตั้งแต่อยู่ที่อาศรมท่านนักปราชญ์แล้ว นลินญารู้ว่าเธอต้องเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากที่สุดในชีวิต ถึงสิ่งที่เธอค้นพบและความจริงที่โหดร้ายที่เธอต้องเผชิญ ผลกระทบจากการแยกห้วงกาลเวลาทั้งสองยุคออกจากกัน คำแนะนำของท่านนักปราชญ์อาจเป็นทางเดียวที่จะรักษาชีวิตอิศเรศลูกชายของเธอได้ แต่นั่นหมายความว่าเธอจะต้องกลับไปยังยุคปัจจุบันและจากครอบครัว ผู้ชายที่เธอรักและลูกชายของเธอในยุคสุโขทัยไปอย่างถาวร ในคืนนั้น ขณะที่ท้องฟ้าสุโขทัยเต็มไปด้วยดวงดาว นลินญานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่กับท่านขุนศรีผู้เป็นสามี และมีอิศเรศลูกชายของพวกเขานอนหลับอยู่ในอ้อมแขนของเธอ ท่านขุนศรีมองดูภรรยาและลูกชายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่านลินญามีบางสิ่งที่ต้องการพูด เขาจึงถามอย่างอ่อนโยน “แม่หญิงนลินญาเมียข้า ท่า
หลายเดือนผ่านไปหลังจากพิธีกรรมโบราณเชื่อมห้วงกาลเวลาเพื่อเชื่อมโยงสองยุคเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ นลินญาและท่านขุนศรีอิศราพยายามใช้ชีวิตอย่างปกติ ทั้งสองต่างรู้สึกโล่งใจที่เหตุการณ์แปลก ๆ ที่เคยเกิดขึ้นได้หยุดลง นลินญาไม่เห็นภาพลวงตาจากยุคปัจจุบันอีกต่อไป และเสียงที่เคยลอยเข้ามาในโสตประสาทของเธอก็หายไปหมด ความรู้สึกไม่เสถียรที่เคยครอบงำจิตใจนลินญาก็จางหายไป ทำให้เธอสามารถกลับมามีสมาธิกับการดูแลครอบครัวและใช้ชีวิตในยุคสุโขทัยได้อีกครั้ง แต่ทว่าลึก ๆ ในใจของนลินญาและท่านขุนศรี พวกเขาต่างก็รู้ในใจดีว่าความสงบสุขนี้อาจเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น พวกเขาไม่รู้ว่าผลของการเชื่อมโยงสองยุคจะส่งผลอย่างไรในระยะยาว และสิ่งที่ต้องเสียสละเพื่อให้สองยุคสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุลคืออะไร คืนหนึ่ง ขณะที่นลินญากำลังนั่งเย็บผ้าอยู่ใต้แสงตะเกียง อิศเรศลูกชายของเธอที่เคยหลับอยู่ก็เริ่มร้องไห้เสียงดัง นลินญารีบวางงานในมือและวิ่งไปดู แต่เมื่อเธออุ้มลูกชายขึ้นมา ทันทีที่อ้อมแขนของเธอได้สัมผัสกับลูกน้อยนลินญาก็รู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่เปลี่ยนไป เธอสัมผัสได้ถึงความร้อนของอุณหภูมิในร่างกายของลูกชาย ราวกับว่าเขาม