ในช่วงเวลาเย็นดวงอาทิตย์เริ่มอ่อนแสงลงสาดเเสงสีทองเป็นช่วงผีตากผ้าอ้อม ร่างสูงสง่าของท่านขุนศรีอิศราและร่างบางอ้อนแอ้นน่าทะนุถนอมของนลินญาก็พากันกลับมาที่บ้านของพ่อเฒ่าผินนายบ้านที่ให้ที่พักพิงแก่นลินญาและเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ของนลินญาในตอนนี้ ทั้งสองกลับมาเพื่อพักผ่อนก่อนที่จะมื้อค่ำ พ่อเฒ่าผินและแม่เเย้มผู้เป็นภรรยาให้การต้อนรับทั้งสองด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น และเตรียมสำรับอาหารไว้ให้เต็มที่ ในใจของพ่อเฒ่าผินมองดูก็เห็นความเหมาะสมของคนทั้งคู่ที่เคียงข้างกัน
“วันนี้เป็นวันพิเศษที่ท่านขุนศรีมาเยี่ยมเยียนที่เรือน ข้าจึงเตรียมสำรับกับข้าวคาวหวานไว้หลายอย่างที่อยากให้ท่านได้ลิ้มลอง” ผู้เฒ่าผินนายบ้านพูดอย่างภูมิใจ
นลินญาและท่านขุนศรีอิศรานั่งลงบนพื้นเสื่อในห้องโถงที่ทำไว้รับแขกที่มีการจัดวางสำรับกับข้าวไว้อย่างประณีต อาหารหลากหลายเมนูถูกจัดเรียงไว้บนสำรับไม้เตี้ยๆ ทั้งแกงเลียง แกงปลา แกงแฟง ข้าวเหนียวปิ้ง น้ำพริก ผักต้ม ข้าวตอกน้ำผึ้ง และผลไม้สดหลากหลายชนิด บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความสุข
ขณะที่นลินญาตักอาหารเข้าปาก เธอรู้สึกถึงรสชาติที่อร่อยและกลมกล่อมของอาหารท้องถิ่นที่เธอเพิ่งได้เรียนรู้วิธีทำในวันนี้ เธอหันไปยิ้มให้แม่แย้มภรรยาของนายบ้าน
“กับข้าวอร่อยมากเลยค่ะ ฉันรู้สึกดีใจที่ได้มีโอกาสเรียนรู้การทำอาหารจากท่าน”
แม่แย้มส่งยิ้มกลับมาให้ลูกศิษย์ของตน “ข้าก็รู้สึกยินดีที่ได้สอนแม่หญิงเช่นกัน หากแม่หญิงอยากเรียนรู้อะไรเพิ่มเติม ก็บอกหรือถามเอากับข้าหรือพวกบ่าวได้เสมอนะจ๊ะ ข้ายินดีจะสอน”
ในขณะนั้นเอง ท่านขุนศรีอิศราซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนลินญาก็มองเธอด้วยสายตาอบอุ่นและส่งรอยยิ้มมาให้ “แม่หญิงนลินญา ดูเหมือนว่าท่านจะเริ่มปรับตัวเข้ากับชีวิตที่นี่ได้ดีแล้ว ข้ารู้สึกดีใจที่เห็นท่านมีความสุขกับการอยู่ที่นี่”
นลินญายิ้มรับอย่างอ่อนโยน “ฉันต้องขอบคุณท่านขุนศรีและทุกคนที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ทำให้ฉันไม่รู้สึกโดดเดี่ยว และอยู่ที่นี่อย่างมีความสุข”
ดวงตาของท่านขุนศรีอิศราแฝงด้วยความชื่นชมในความกล้าหาญและความเข้มแข็งของนลินญา แม้เธอจะอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย แต่เธอก็ไม่ได้เศร้าโศกเสียใจมาก
หลังอาหารมื้อค่ำผ่านพ้นไป ตอนนี้แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ได้ลาลับขอบฟ้าไปนานแล้ว และแทนที่ด้วยแสงสว่างจากดวงจันทร์บนท้องฟ้า อากาศในยามเย็นเริ่มเย็นลงเล็กน้อย แต่บรรยากาศรอบบ้านของพ่อเฒ่าผินกลับอบอุ่นด้วยแสงจากตะเกียงน้ำมันที่วางเรียงรายอยู่รอบ ๆ ลานบ้าน นลินญาและท่านขุนศรีอิศรานั่งพักอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ที่ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ข้าง ๆ กันคือท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ
ท่านขุนศรีอิศราเหลือบมองนลินญาที่กำลังจ้องมองท้องฟ้าเบื้องบน ดวงตาของเธอเป็นประกายสดใสภายใต้แสงดาวที่ส่องผ่านยอดไม้ที่ปลิวไสว ใบหน้างดงามของเธอดูผ่อนคลายและสงบ ราวกับว่าเธอได้พบสถานที่ที่เธอรู้สึกสบายใจแม้จะอยู่ห่างไกลจากโลกที่เธอเคยรู้จัก
“แม่หญิงนลินญา” ท่านขุนศรีอิศราเอ่ยเรียกขึ้นเบา ๆ ขณะที่สายตาคมของเขายังคงจ้องมองมาที่เธอ
“ท่านคิดถึงบ้านหรือไม่”
นลินญาหันมามองใบหน้าหล่อเหลาของเขา ดวงตาสีดำสนิทของเธอสบกับดวงตาคมของท่านขุนศรี “บางครั้งฉันก็คิดถึงค่ะ แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะกลับไปได้อย่างไร บางทีคิดถึงไปก็เท่านั้นเพราะจะมีก็แต่ความว้าวุ่นที่หาหนทางไม่ได้ แต่ที่นี่ก็ทำให้ฉันรู้สึกสงบอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนนะคะ”
คำตอบของหญิงสาวทำให้ท่านขุนศรีอิศราพยักหน้าเล็กน้อย “สุโขทัยเป็นสถานที่ที่สงบและงดงาม แม้ว่าจะเต็มไปด้วยความเรียบง่าย แต่ก็มีความลึกซึ้งในทุก ๆ สิ่ง ข้าดีใจที่แม่หญิงเริ่มรู้สึกเช่นนั้น ข้าอยากเห็นท่านอยู่ที่นี่อย่างมีความสุข”
นลินญายิ้มบาง ๆ กับเสียงทุ้มๆ ที่ท่านขุนศรีได้เอ่ยออกมา เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ค่อย ๆ แผ่ซ่านเข้าไปภายในหัวใจ
“ฉันเองต้องขอบคุณท่านขุนที่ทำให้ฉันรู้สึกเช่นนี้ ท่านให้การต้อนรับฉันอย่างดีมาตั้งแต่วันแรกที่พบกัน ฉันจะพยายามใช้ชีวิตที่อยู่ที่นี่ให้มีความสุขในทุกๆ วัน”
ใบหน้าคร้ามของท่านขุนศรียิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความเอ็นดู
“ข้าเพียงแค่ทำตามหน้าที่ของขุนนางที่ต้องดูแลทุกคนในอาณาจักร แต่กับท่าน...ข้ารู้สึกว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น”
นลินญารู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น เธอหันมองท่านขุนศรีอิศราอีกครั้ง ดวงตาคมของเขาฉายแววจริงจังและอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน ราวกับว่าคำพูดของเขาไม่ใช่เพียงแค่คำพูดที่สุภาพ แต่เป็นสิ่งที่ออกมาจากใจจริง
“ท่านขุนศรีหมายความว่าอย่างไรหรือคะ” นลินญาถามด้วยความสงสัยและหัวใจที่เต้นระรัวอย่างห้ามไม่ได้
ท่านขุนศรีอิศราเอนตัวเข้ามาใกล้เล็กน้อย ใบหน้าของเขาอยู่ห่างจากนลินเพียงไม่กี่คืบ “ข้าหมายถึง...ข้ารู้สึกถึงความผูกพันที่แปลกประหลาดระหว่างเราสองคนตั้งแต่แรกพบ ราวกับว่าเราเคยพบกันมาก่อน ราวกับว่าเรามีชะตาที่ต้องมาพบกันในที่แห่งนี้ ข้ารู้สึกถึงความคุ้นเคยและข้าก็อยากที่จะมาเห็นหน้าแม่หญิงในทุกๆ วัน”
นลินญารู้สึกถึงลมหายใจของท่านขุนศรีอิศราที่อุ่นและอ่อนโยนเมื่ออยู่ใกล้ ๆ เธอ ความใกล้ชิดนี้ทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นจนเธอไม่สามารถควบคุมได้ ราวกับว่ามีแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานได้ระหว่างทั้งสองคน
“เอ่อ คือ ฉันก็รู้สึกอย่างนั้นเช่นนั้นค่ะ” นลินญาตอบด้วยเสียงที่เบาและแผ่วเบา ราวกับว่าเธอกำลังเผยความในใจที่ลึกซึ้งที่สุดออกมา
ทำเอาชายที่หาญกล้าอย่างท่านขุนศรีอิศราเงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับว่ากำลังไตร่ตรองคำพูดที่เขากำลังจะเอ่ยออกมา จากนั้นเขาจึงเอื้อมมือไปจับมือของนลินญาเบา ๆ นิ้วมือของเขาใหญ่และแข็งแรง แต่สัมผัสนั้นกลับอ่อนโยนและอบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ
“แม่หญิงนลินญา ข้าว่าท่านอาจรู้สึกสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ข้าอยากให้ท่านรู้ว่าข้าจะอยู่เคียงข้างท่าน ไม่ว่าท่านจะตัดสินใจอย่างไร ข้าก็จะไม่ปล่อยให้ท่านเผชิญกับสิ่งใดเพียงลำพัง”
นลินญามองลึกเข้าไปในดวงตาของท่านขุนศรีอิศรา ความจริงใจในคำพูดของเขาทำให้เธอรู้สึกถึงความมั่นคงและปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เธอรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เพียงแค่คำพูดของขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ แต่เป็นคำสัญญาของผู้ชายคนหนึ่งที่พร้อมจะปกป้องและดูแลเธอมากกว่า
“ฉันขอบคุณท่านขุนศรีมากค่ะ” นลินญาตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย “ฉันไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปข้างหน้า แต่ฉันก็รู้สึกมั่นใจมากขึ้นเมื่อรู้ว่าฉันจะมีท่านคอยอยู่ข้าง ๆ”
ท่านขุนศรีอิศรายกยิ้มเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เอียงหน้าเข้ามาใกล้นลินญา ใบหน้าของเขาใกล้จนเธอสามารถมองเห็นรายละเอียดทุกอย่างบนใบหน้าที่คมสันของเขา กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของไม้จันทน์จากตัวเขาทำให้นลินรู้สึกหลงใหลและวาบหวามไปทั้งใจ
และในขณะนั้นเอง ท่านขุนศรีผู้กล้าแกร่งก็ค่อย ๆ ก้มลงจุมพิตเบา ๆ บนหน้าผากมนของนลินญา เป็นจุมพิตที่อ่อนโยนและเต็มไปด้วยความห่วงใย ราวกับเป็นสัญญาว่าจะปกป้องและอยู่เคียงข้างเธอเสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
นลินญาหลับตาลงชั่วขณะ หัวใจของเธอพองโตด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ ราวกับว่าความใกล้ชิดนี้ได้เชื่อมโยงเธอกับท่านขุนศรีอิศราไว้อย่างลึกซึ้ง
เมื่อท่านขุนศรีอิศราถอยห่างออกมาเล็กน้อย ดวงตาคมของเขามองลึกเข้าไปในดวงตากลมโตของนลินญา “ตัวข้าหวังว่าเราจะมีเวลาได้รู้จักกันมากขึ้น และหากชะตาฟ้าลิขิตให้เราต้องอยู่ร่วมกัน ข้าก็จะถือว่าเป็นเกียรติยิ่งที่ได้อยู่เคียงข้างท่านแม่หญิงของข้า”
นลินญารู้สึกอบอุ่นในใจอย่างลึกซึ้ง เธอไม่เคยคาดคิดว่าจะพบความรู้สึกเช่นนี้ในที่ที่เธอไม่คุ้นเคย แต่ทว่าทุกอย่างกลับดูถูกต้องและเป็นธรรมชาติ ราวกับว่าเธอได้พบกับสิ่งที่เธอตามหามาตลอดชีวิต
“ฉันเองก็หวังเช่นนั้นค่ะ ท่านขุนศรี” นลินญาตอบเบา ๆ ขณะที่เธอมองไปยังดวงดาวบนท้องฟ้า รู้สึกได้ว่าชะตาของเธอกำลังถูกเขียนใหม่ โดยมีท่านขุนศรี อิศรา เป็นส่วนสำคัญในชีวิตของเธอ
ในยามค่ำคืนเมื่อทุกสิ่งเงียบงัน นลินญามักจะเผลอคิดไปว่า ท่านขุนศรีกำลังทำอะไรอยู่ เขาจะปลอดภัยหรือไม่ เขาจะคิดถึงเธอเหมือนที่เธอคิดถึงเขาหรือเปล่าเธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นห่วง ในขณะที่ท่านขุนศรีออกไปรบ เธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่เพียงแค่การห่างไกลกันชั่วคราว แต่มันอาจหมายถึงการเสี่ยงชีวิต นั่นทำให้เธออดที่จะกังวลไม่ได้ หลายครั้งที่นลินญาหลับตาลง เธอเฝ้าฝันเห็นท่านขุนศรีกลับมาหาเธอในยามค่ำคืน เธอมองเห็นเขาในชุดรบที่สง่างาม แต่ใบหน้าของเขายังคงอ่อนโยนเช่นเดิม รอยยิ้มที่เธอคิดถึง และอ้อมแขนที่อบอุ่น เมื่อเธอเอื้อมมือออกไปหาเขา ความฝันนั้นกลับเลือนหายไป กลายเป็นเพียงความว่างเปล่าที่ทำให้เธอต้องตื่นขึ้นมาพร้อมกับหัวใจที่เจ็บปวด แต่ในขณะเดียวกัน นลินญาก็รู้ว่าเธอไม่สามารถปล่อยให้ความคิดถึงนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เธออ่อนแอได้ เธอต้องเข้มแข็งเพื่อท่านขุนศรีอิศราและเพื่อครอบครัวที่พวกเขาหวังจะสร้างร่วมกัน นลินญารู้ดีว่าท่านขุนศรีออกไปรบเพื่อปกป้องผู้คนในหมู่บ้าน และเธอเองก็ต้องดูแลบ้านและครอบครัวในช่วงที่เขาไม่อยู่ เธอรู้ว่าการรอคอยนั้นเป็นสิ่งที่ยาก แต่เธอก็เชื่อมั่นในความรักและคำมั่นสัญญาที่พวกเข
เวลาผ่านไปหลายวันแล้วหลังจากที่ท่านขุนศรีอิศราต้องเดินทางไปยังสนามรบเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในการปกป้องบ้านเมืองของชายชาตินักรบ นลินญาใช้ชีวิตด้วยความว้าเหว่อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ทุกอย่างรอบตัวเงียบเหงาและว่างเปล่า ในแต่ละวันเธอต้องเผชิญกับความรู้สึกที่หลากหลายถาโถมเข้ามา ตอนนี้ในห้วงความคิดและห้องหัวใจของเธอ มีทั้งความรู้สึกห่วงใย ความคิดถึงที่มีต่อใบหน้าคมและรูปร่างท่าทางอันสง่างามของท่านขุนศรีอิศรา รวมถึงความกลัวว่าคนที่ไปทำหน้าที่นำทัพไปต่อสู้กับข้าศึกจะไม่ปลอดภัย ความรู้สึกต่างๆ ที่ซ่อนอยู่ในหัวใจทำให้เธอไม่ค่อยมีความสุขเท่าไรนัก ในแต่ละวันแต่ละนาทีที่ผ่านพ้นไปเธอรู้สึกว่าชีวิตของเธอช่างไม่มีความสุขเอาเสียเลย เหมือนกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไป การที่ท่านขุนศรีไม่อยู่ มันไม่มีรอยยิ้มของท่านขุน ไม่มีเสียงหัวเราะของเขา ทุกอย่างที่เคยดูสดใสกลายเป็นเงียบงัน เมื่อท่านขุนไม่อยู่ทำให้หมู่บ้านดูเงียบเหงาไปมากในสายตาของนลินญา ถึงแม้นว่าจะมีชาวบ้านรายล้อมและมีงานที่ต้องทำมากมายเหมือนเช่นเดิม แต่เธอก็ไม่สามารถหยุดคิดถึงท่านขุนศรีชายที่ทำให้เธอได้ใช้เวลาในแต่ละวันอย่างมีความสุขได้เลย ใน
หลายวันก่อนที่ท่านขุนศรีอิศราจะได้กลับมาพบกับนลินญา เขาต้องออกเดินทางไปยังราชสำนักในเมืองสุโขทัยเพื่อรายงานสถานการณ์ฉุกเฉินเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกองทัพจากเมืองอื่นที่เข้ามาใกล้ชายแดน อาณาจักรสุโขทัยต้องเตรียมการป้องกันอย่างเร่งด่วน ท่านขุนศรีอิศราถูกมอบหมายให้นำทัพไปยังชายแดนเพื่อสกัดกั้นกองกำลังที่อาจรุกรานการออกรบครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่หน้าที่ของท่านขุนศรี แต่เป็นการปกป้องบ้านเมืองที่เขารัก เขารู้ว่าความปลอดภัยของสุโขทัยและชาวบ้านทุกคน รวมถึงนลินญา ขึ้นอยู่กับความสำเร็จของภารกิจนี้ขณะที่ท่านขุนศรีอิศราเป็นผู้นำทัพเข้าสู่สนามรบ ความคิดถึงแม่หญิงนลินญาอันเป็นที่รักก็ไม่เคยห่างหายไปจากใจของเขา แม้ท่านขุนศรีอิศราจะเป็นขุนศึกที่มีกล้าแกร่งมากประสบการณ์และเข้มแข็ง แต่ความรักที่เขามีต่อแม่หญิงนลินญากลับทำให้เขารู้สึกอ่อนไหวในแบบที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนในคืนแรกของการเดินทัพ ท่านขุนศรีอิศราได้แต่นั่งอยู่ข้างกองไฟในค่ายทหาร แสงไฟส่องใบหน้าหล่อคมของเขาให้ดูเคร่งขรึมและมุ่งมั่น แม้ว่าทหารคนอื่นจะหลับไปแล้ว แต่ท่านขุนศรีอิศรายังคงตื่นและมองขึ้นไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ราวกับว่ากำลังส
หลังค่ำคืนที่งดงามในวันลอยกระทง ความสัมพันธ์ระหว่างนลินญาและท่านขุนศรีอิศราก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ ความรู้สึกที่เคยเป็นเพียงแค่ความเคารพและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ได้กลายเป็นความผูกพันที่ลึกซึ้งขึ้นทีละน้อย แม้ทั้งสองจะไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน แต่การกระทำและความใส่ใจที่มีให้กันก็ชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดใด ๆ วันเวลาผ่านไป นลินญาได้ปรับตัวและเรียนรู้การใช้ชีวิตในยุคสุโขทัยได้อย่างสมบูรณ์แบบ เธอได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนในหมู่บ้าน ผู้คนต่างก็ให้ความรักและความเคารพเธอเหมือนกับสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน ทุก ๆ วันนลินญาจะได้พบกับท่านขุนศรีอิศรา ไม่ว่าจะเป็นการร่วมงานในหมู่บ้าน การเยี่ยมเยียนชาวบ้าน หรือการพูดคุยกันใต้ต้นไม้ใหญ่ในช่วงเย็น ความรักของทั้งสองคนเริ่มงอกงามขึ้นในบรรยากาศที่เรียบง่ายของสุโขทัย ความรักนี้ไม่ได้เกิดจากการปรุงแต่งหรือการแสวงหา แต่เป็นความรักที่เติบโตขึ้นจากการที่ได้อยู่ร่วมกันและผ่านประสบการณ์ต่าง ๆ มาด้วยกัน นลินญาและท่านขุนศรีมักจะใช้เวลาร่วมกันในงานของชาวบ้าน เมื่อใดก็ตามที่หมู่บ้านมีงานใหญ่ เช่น การเก็บเกี่ยวข้าวหรือการสร้างบ้านใหม่สำหรับครอบครัวในหมู่บ้านที่ยา
ค่ำคืนแห่งเทศกาลประเพณีลอยกระทงในอาณาจักรสุโขทัยมาถึงแล้ว บรรยากาศทั่วหมู่บ้านเต็มไปด้วยความคึกคัก ผู้คนต่างพากันเตรียมตัวเพื่อเข้าร่วมพิธีสำคัญนี้ หญิงสาวและเด็ก ๆ นั่งประดิษฐ์กระทงจากใบตองและดอกไม้อย่างประณีต โดยแต่ละคนต่างตั้งใจทำกระทงของตัวเองให้สวยงามที่สุด ส่วนพวกผู้ชายก็ช่วยกันเตรียมไฟและจัดพื้นที่ริมแม่น้ำให้พร้อมสำหรับการลอยกระทง นลินญานั่งอยู่ลานหน้าบ้านพ่อเฒ่าผิน พลางช่วยแม่แย้มภรรยาของพ่อเฒ่าผินประดิษฐ์กระทงใบตอง เธอรู้สึกตื่นเต้นกับเทศกาลที่เธอเคยได้ยินมาแต่ในตำรา และไม่เคยคิดว่าจะได้มีโอกาสมาสัมผัสด้วยตัวเองเช่นนี้ ขณะที่นลินญากำลังจัดดอกไม้ใส่ในกระทงใบตอง ท่านขุนศรีอิศราก็เดินเข้ามาหาเธอ เขาสวมชุดผ้าไหมสีดำปักทองดูสง่างาม แต่เรียบง่าย ร่างสูงของท่านขุนศรีอิสราหยุดยืนอยู่ตรงหน้านลินญา พร้อมกับส่งยิ้มบาง ๆ ให้เธอ “แม่หญิงนลินญา คืนนี้ท่านมีแผนจะไปลอยกระทงที่ใดหรือยัง” นลินญาเงยหน้าขึ้นมองท่านขุนศรีอิศรา ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาคมของเขา พลางรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงขึ้นเเละสั่นไหวเล็กน้อย “ฉันยังไม่มีแผนอะไรเลยค่ะ กำลังคิดว่าจะไปกับชาวบ้านที่ริมแม่น้ำใกล้ ๆ นี้เท่
วันเวลาผ่านไป นลินญาเริ่มปรับตัวและเรียนรู้การดำเนินชีวิตในยุคสุโขทัยมากขึ้นเรื่อย ๆ จากการเป็นหญิงสาวในยุคปัจจุบันที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีและความสะดวกสบาย สมัยใหม่ นลินญาจำต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ทั้งหมดเพื่อให้เข้ากับวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีของยุคนี้ หนึ่งในเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของยุคสุโขทัยคือวิถีชีวิตที่เรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความลึกซึ้งและความเชื่อที่ฝังรากลึกในทุกกิจกรรมประจำวัน ชาวสุโขทัยที่นลินญาได้เห็นทุกคนมีความเชื่อมั่นในพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ซึ่งสะท้อนให้เห็นในทุก ๆ การกระทำ ตั้งแต่การเริ่มต้นวันใหม่จนถึงการปฏิบัติหน้าที่ในแต่ละวัน ในทุกๆ เช้า นลินญาจะตื่นขึ้นพร้อมกับแสงแรกของวัน ทันทีที่เธอลุกจากที่นอน นลินญาจะเริ่มวันใหม่ด้วยการกราบพระพุทธรูปในบ้านของพ่อเฒ่าผินผู้มีตำแหน่งนายบ้าน ตามแบบแผนที่ได้รับการถ่ายทอดจากแม่แย้มภรรยาของนายบ้าน การสวดมนต์เป็นสิ่งที่เธอเรียนรู้ที่จะทำทุกวัน เพื่อเริ่มต้นวันด้วยจิตใจที่สงบและพร้อมรับมือกับสิ่งต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น นลินญาได้เรียนรู้ว่าชาวสุโขทัยมีวิถีชีวิตที่ผสมผสานระหว่างความเรียบง่ายและความเคารพต่อธรรมชาติ ทุกกิจกรรมประจำวันไ