LOGINบทที่ 4
หญิงสาวค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมเข้มที่อยู่ไม่ห่าง ลมหายใจอุ่นวาบเป่าพ่นรดใส่หน้าผากมนเป็นระยะ หัวใจดวงน้อยเต้นตุบๆ ถี่รัวด้วยความหวาดหวั่นในขณะที่ตาสองคู่สบประสานสายตากันนิ่ง ยศสิตาเผลอจับจ้องอย่างลุ่มหลงในมนต์เสน่ห์ นี่เป็นครั้งแรกหลังจาก... ‘ครั้งนั้น’ ที่หล่อนได้เห็นหน้าเขาในระยะใกล้ชิดขนาดนี้
ดวงตากลมแป๋วยังคงจ้องมองเขาอยู่อย่างนั้นจนไม่อาจถอนสายตาได้ ใบหน้าคมคร้ามประดับด้วยดวงตาสีน้ำตาลเข้มซึ่งเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ชวนค้นหา จมูกเขาโด่งเป็นสันรับด้วยริมฝีปากหยักได้รูปแต่ทว่าบางสวยราวกับริมฝีปากผู้หญิง ช่วงบ่ากว้างผึ่งผาย ช่วงแขนแข็งแรงน่าสัมผัส หน้าอกกลัดแกร่งขวางเต็มไปด้วยมัดกล้ามหนั่นแน่น เอวสอบเพรียวไม่มีไขมันส่วนเกิน มันเป็นความหล่อเหลาในทุกมุมมองอย่างหาตัวจับยาก เขาช่างเต็มไปด้วยความเป็นบุรุษเพศสมชายชาตรี สามารถดึงดูดให้อิสสตรีเข้าใกล้ได้อย่างไม่ต้องใช้ความพยายามเลยสักนิด
“กลัวผมหรือกลัวใจตัวเอง?” เขาจงใจก้มลงมาถามด้วยเสียงชวนสยิวในระยะกระชั้นชิดจนปากแทบจะสัมผัสกับปาก น้ำเสียงนั้นแฝงไว้อะไรบางอย่างที่มีความหมายลึกซึ้งแล่นปลาบเข้าไปในขั้วหัวใจของหล่อนจนจังหวะของชีพจรไหวแกว่ง
“หลีกไปนะ ถอยไปห่างๆ เลย” หญิงสาวโวยวายอย่างกลบเกลื่อน ยกมือขึ้นดันไหล่หนาเอาไว้
“ขยันไล่จังเลยนะ” เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆ แทบจะเป็นกระซิบแต่ให้ความรู้สึกวาบหวามอย่างบอกไม่ถูก มืออุ่นจัดเลื่อนลงมากระชับที่เอวอ้อนแอ้นและกระตุกเข้าหาร่างหนาของเขาอย่างรวดเร็วจนหน้าท้องแบนราบถูกเบียดเข้ากับต้นขาแกร่ง
ยศสิตาดิ้นรนขัดขืนเต็มกำลังและผลักใสเพื่อให้หลุดออกจากพันธนาการอันแข็งแรงราวกับคีมเหล็กนั้นแต่ภูริภัชร์กลับรัดร่างอรชรเข้าหาแน่นกว่าเดิมจนทำให้ทรวงอกนุ่มหยุ่นดั่งเยนลี่จมหายวับเข้าไปกับอกแกร่งกว้าง
“ปล่อยนะ!” หญิงสาวร้อง “คุณมีสิทธิ์อะไรมากอดเอย คนฉวยโอกาส!”
“คำก็ฉวยโอกาส สองคำก็ฉวยโอกาส”
“ก็มันจริงๆ นี่”
ภูริภัชร์ไม่ปล่อยแต่กลับยิ้มกรุ้มกริ่มด้วยสายตาแสนเสน่หาชวนสะท้านจนเปลือกตาคู่สวยต้องหลุบมองต่ำอยู่แค่อกเขา
“ทำไมต้องกลัวที่จะอยู่ใกล้ๆ ผม...หือ?” มือหนาเชยคางมนขึ้น ตาสองคู่สบกันนิ่ง
“เพราะคุณชอบรังแกและฉวยโอกาสกับเอยอยู่ตลอดแบบนี้ไง” เสียงหวานตวัดใส่ทั้งที่หัวใจเต้นแรงระรัวราวกับจะทะลุออกมานอกอกสืบเนื่องจากการที่เขาเข้าประชิดตัว
ยศสิตากำลังโกรธตัวเองที่มีปฏิกิริยาบ้าๆ ทุกครั้งยามอยู่ใกล้ๆ เขา คำพูดนั้นชวนให้ร้อนรุ่ม สัมผัสของเขาชวนวาบหวาม แล้วถ้าเขาทำอย่างนั้นล่ะ... มันจะเร่าร้อนขนาดไหน... ไม่! หล่อนต้องไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น หญิงสาวพร่ำบอกตัวเองในใจ
“รังแกตอนไหนจำไม่ได้” เขาแสร้งทำเป็นลืม
“ก็ที่…” ยศสิตาอึกอักพูดไม่ออก ทั้งๆ ที่อยากจะเอากรงเล็บข่วนหน้าหล่อๆ นั่นเต็มทีกับการที่เขาทำให้หล่อนหน้าม้านม้วนต้วนแบบนี้
“ที่ผมจูบคุณเมื่อคราวก่อนโน่นเหรอ” ภูริภัชร์ตอบให้อย่างรู้ทัน ชายหนุ่มไม่พูดเปล่าแต่ดวงตาคู่นั้นยังจดจ้องมองที่ริมฝีปากอิ่มอย่างมีความหมาย
“ใช่! คุณมันพวกชอบเอาเปรียบผู้หญิง”
“ผมนึกว่าคุณชอบซะอีก ผมรู้นะว่านั่นเป็นจูบแรกของคุณ และคุณก็โหยหามันอยู่ตลอดเวลา”
“บ้า! ใครโหยหา...จูบที่ไร้รสชาติจืดชืดแบบนั้นเหรอ เอยไม่คิดจะจำมันหรอก” เสียงหวานตอกกลับ เชิดใบหน้าขึ้นมองเขาอย่างท้าทาย หล่อนรู้สึกเจ็บใจทุกครั้งเมื่อหวนคิดไปถึงตอนที่ตัวเองโดนภูริภัชร์ขโมยจูบ ซึ่งมันเป็นจูบแรกจากผู้ชายที่หล่อนพร่ำบอกกับตัวเองว่าเกลียดนักเกลียดหนา แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมรสจุมพิตนั้นถึงได้หอมหวานและตราตรึงใจอย่างประหลาดแบบนั้น ความรู้สึกวาบหวามเกิดขึ้นกับร่างกายหล่อนทุกครั้งยามเมื่อนึกถึงปลายลิ้นอุ่นจัดที่สอดแทรกดุนดันเข้ามาในโพรงปากนุ่มและตวัดลิ้นระริกไล้เลาะเล็มด้านในอย่างช่ำชอง
“งั้นเหรอ?” คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นเรามาลองพิสูจน์กันอีกรอบดีมั้ย”
สิ้นคำ...ริมฝีปากหยักก็ครอบลงกลีบปากแสนรั้นอย่างต้องการจะสั่งสอนคนปากดี ตาสวยเบิกโพลง! ตั้งตัวไม่ทัน การจู่โจมอย่างรวดเร็วนั้นราวกับอสรพิษฉกเหยื่อ...
สมองของยศสิตาหมุนเคว้ง หยุดสั่งการชั่วขณะ ม่านตาพร่าพราย หมดเรี่ยวแรง เพียงแค่จูบของเขาก็ทำให้หล่อนตัวอ่อนปวกเปียก มือเรียวบางไล้ไปตามอกกว้างก่อนจะไต่ขึ้นไปคล้องคอเขาไว้เพื่อยึดเป็นหลัก
ลิ้นสากระคายดุนดันเข้าไปเก็บเกี่ยวตักตวงเอาความหวานจากโพรงปากนุ่มราวกับภมรหนุ่มดูดดื่มเอาความหวานของน้ำผึ้งรสเลิศ จากความต้องการที่จะสั่งสอนคนปากแข็งในตอนแรก กลับทำให้เขาเตลิดเพริดกับความหวานล้ำที่ได้รับ ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้สำรวจไปตามเอวอรชร สะโพกกลมมน ก่อนจะสอดเข้าใต้ชายเสื้อยืดสีขาว เลื่อนไปตามเนื้อแท้และเข้ากอบกุมความนุ่มหยุ่นของเนินทรวงอวบอิ่มอย่างแผ่วเบา หญิงสาวแทบจะขาดใจตายยามเมื่อเขาเริ่มบีบคลึง ร่างบางสั่นระริก กายสาวตื่นเตลิด ช่องท้องขมวดเกร็งและวาบหวามไปหมดจากสิ่งที่ถูกกระทำอยู่ในตอนนี้
“ห...ห...หยุด...”
บทที่ 6“ขึ้นรถเดี๋ยวไปส่ง” “ไม่ไปค่ะ”“จะไปดีๆ หรือจะให้ใช้กำลัง”“อย่ามาวางอำนาจแถวนี้นะ”“ไหมคงอยากจะขายหน้าคนทั้งป้ายรถเมล์ใช่ไหม” เขาขู่“คนบ้า” เธอแหวใส่เขาก่อนจะหันไปมองที่ป้ายรถเมล์ ตอนนี้สายตาหลายๆ คู่กำลังจับจ้องมาที่เธอและเขาอย่างสนใจ“ผมเตือนเป็นครั้งสุดท้าย” เขาทำท่าจะประชิดตัวทำให้วราลีต้องรีบเดินไปขึ้นรถเขาเพื่อหลบให้พ้นสายตาอยากรู้อยากคนอื่นๆ“ทำไมเงียบจัง” เขาถามเมื่อขับรถออกมาได้สักพัก“ก็ไม่มีอะไรจะพูดนี่คะ” เธอยังคงหน้าบึ้งตึงเพราะไม่พอใจที่ถูกเขาบังคับแบบนั้น“กลัวผมเหรอ”“ไม่อยากเข้าใกล้” เธอสวนกลับไปทันที“กลัวอะไร กลัวใจตัวเองอย่างนั้นเหรอ” เขาพูดเหมือนรู้ทัน“ไหมไม่ใช่สาวๆ ของพี่จะได้กลัวใจตัวเอง”“หึ หึ แล้วเมื่อไหร่จะเลิกทำหน้าบึ้งๆ เสียที”“ทำไม”“ไม่ชอบ ถ้าไม่อยากเจอดีน่ะ เลิกหน้าบึ้งเสียที”“เจอดีอะไรไม่ทราบ”“ก็ลองไม่หายดูสิ เดี๋ยวก็รู้ ถ้าก่อนจะถึงบ้านยังหน้างออยู่ล่ะก็...” เขาไม่ยอมพูดต่อ“ก็อะไร”“ช่างเถอะ เดี๋ยวก็รู้เองแหละ”“ไม่ มีสิทธิ์อะไรมาสั่ง”“พูดอย่างนี้เหมือนท้าทาย”เขาหักพวงมาลัยรถเข้าข้างทาง วราลีมองอย่างระแวง“พี่เคนจะทำอะไร” เธอเริ่มโว
บทที่ 5ยศสิตาครางออกมาเหมือนคนละเมอเสียงดังเท่ากระซิบ และพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงที่มีผลักอกเขาไว้แต่ชายหนุ่มกลับยิ่งระดมจูบอย่างดูดดื่มจนหล่อนอ่อนระทวยไปทั้งร่าง ริมฝีปากหนาดูดเม้มกลีบปากอิ่มสลับบนล่างเบาๆ อยู่เป็นนานกว่าจะถอนจูบปากรูปกระจับกลายเป็นสีแดงจัด ใบหน้าหวานระเรื่อแดง ดวงตาหวานหยดกะพริบถี่ๆ จ้องมองหน้าเขาเขม็งเหมือนตื่นจากความฝัน...“คนบ้า คนฉวยโอกาส เกลียดที่สุด!”“บอกมาเป็นร้อยครั้งแล้ว ผมจำได้ขึ้นใจ” ภูริภัชร์อมยิ้ม“จะบอกอย่างนี้ตลอดไป”“หมายความว่าจะอยู่ทะเลาะกับผมไปตลอดชีวิตเลยใช่ไหม” เขาพูดด้วยอารมณ์ขบขัน หลิ่วตาให้อย่างล้อเลียน“บ้า!!!” หญิงสาวตวัดเสียงใส่ มองเขาตาเขียวปั๊ด!“ไม่อยากอยู่กับผมจริงๆ น่ะเหรอ” เขาจ้องหล่อนนิ่ง ใบหน้าแสนหวานที่เปล่งปลั่งด้วยเลือดสาว งดงามราวกับดอกกุหลาบแรกแย้ม ผมยาวปล่อยสลวยเต็มบ่า เวลานี้มันช่างชวนมองจนทำให้ชายหนุ่มจับจ้องไปอย่างลืมตัว“จ้องอะไร?”“อยากรู้ว่ารสจูบผมมันจืดชืดจริงหรือเปล่า”“ใช่! จืดชืด ไร้รสชาติและน่าขยะแขยงที่สุด” หญิงสาวหยีหน้า ตอบโต้ออกไปด้วยสิ่งที่ตรงข้ามกับความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง หล่อนไม่มีทางปฏิเสธได้เลยว่าจูบของเ
บทที่ 4หญิงสาวค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมเข้มที่อยู่ไม่ห่าง ลมหายใจอุ่นวาบเป่าพ่นรดใส่หน้าผากมนเป็นระยะ หัวใจดวงน้อยเต้นตุบๆ ถี่รัวด้วยความหวาดหวั่นในขณะที่ตาสองคู่สบประสานสายตากันนิ่ง ยศสิตาเผลอจับจ้องอย่างลุ่มหลงในมนต์เสน่ห์ นี่เป็นครั้งแรกหลังจาก... ‘ครั้งนั้น’ ที่หล่อนได้เห็นหน้าเขาในระยะใกล้ชิดขนาดนี้ดวงตากลมแป๋วยังคงจ้องมองเขาอยู่อย่างนั้นจนไม่อาจถอนสายตาได้ ใบหน้าคมคร้ามประดับด้วยดวงตาสีน้ำตาลเข้มซึ่งเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ชวนค้นหา จมูกเขาโด่งเป็นสันรับด้วยริมฝีปากหยักได้รูปแต่ทว่าบางสวยราวกับริมฝีปากผู้หญิง ช่วงบ่ากว้างผึ่งผาย ช่วงแขนแข็งแรงน่าสัมผัส หน้าอกกลัดแกร่งขวางเต็มไปด้วยมัดกล้ามหนั่นแน่น เอวสอบเพรียวไม่มีไขมันส่วนเกิน มันเป็นความหล่อเหลาในทุกมุมมองอย่างหาตัวจับยาก เขาช่างเต็มไปด้วยความเป็นบุรุษเพศสมชายชาตรี สามารถดึงดูดให้อิสสตรีเข้าใกล้ได้อย่างไม่ต้องใช้ความพยายามเลยสักนิด“กลัวผมหรือกลัวใจตัวเอง?” เขาจงใจก้มลงมาถามด้วยเสียงชวนสยิวในระยะกระชั้นชิดจนปากแทบจะสัมผัสกับปาก น้ำเสียงนั้นแฝงไว้อะไรบางอย่างที่มีความหมายลึกซึ้งแล่นปลาบเข้าไปในขั้วหัวใจของหล่อนจนจังหวะของชีพจรไห
บทที่ 3ใบหน้าแสนพยศเชิดขึ้นเมื่อถูกท้าทาย นึกอยากปฏิเสธนักแต่น้ำเสียงและแววตาหยามหยันเหมือนหล่อนเป็นพวกขี้กลัวทำให้ยศสิตาต้องขยับไปใกล้กับประตูอีกฝังของรถจี๊ปคั้นนั้นเพื่อขึ้นรถตามคำเชิญของเขา แต่รถดันสูงเกินไปทำให้หญิงสาวไม่สามารถก้าวขึ้นไปได้ง่ายๆภูริภัชร์กลั้นยิ้มบนใบหน้า พอยต์เท้าลงจากรถอย่างรวดเร็ว เดินอ้อมมาหา และโดยที่ยศสิตาไม่ทันได้ตั้งตัว มืออุ่นๆ ของเขาก็กระชับเข้าที่เอวอ้อนแอ้น แล้วส่งหล่อนขึ้นไปนั่งบนรถโดยใช้เวลาแค่เสี้ยวนาทีฝ่ายนั้นตวัดตามองขุ่น ใบหน้าแสนหวานง้ำงอแดงระเรื่อด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด รอยสัมผัสอุ่นๆ จากมือแกร่งเมื่อสักครู่ยังอบอวลอยู่ที่เอวหล่อนชายหนุ่มหัวเราะร่วน รู้สึกสนุกกับท่าทีพยศผยองของหล่อนยิ่งนัก ใบหน้าหล่อคมจึงจงใจโน้มลงมาใกล้ๆ อย่างอยากแกล้ง ก่อนจะกระซิบเสียงแหบพร่ารวยระรินลงบนใบหูขาวสะอาด“...หน้างอจังเลย...”“ใครหน้างอ!” เสียงหวานตวาดแว้ด มองเขาตาขวาง “พูดจาให้ดีๆ นะ”“จะมีใครเสียอีกล่ะ” เขากระดกคิ้วขึ้น ยิ้มร่าราวกับอ่านใจหล่อนได้“เอยคงเสียสติเป็นแน่ ถ้ายิ้มแย้มให้คนที่ฉวยโอกาสอย่างคุณ” ภูริภัชร์หัวเราะเบาๆ อย่างถูกใจ “ไม่ได้ฉวยโอกาสครับยาหยี
บทที่ 2หล่อนเอ่ยเพียงในใจ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นมาบนหน้าผากมนทันที และมีบางจังหวะที่นิ้วปลายนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ช่วยกันรุมจิก ตะบี้ตะบันบีบคลึงที่ปลายถันของหล่อน“ไม่นะ!” ยศสิตาอุทานออกมาเสียงดังอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเล่นเอาสายตาทุกคู่หันพรึบมองมายังหล่อนเป็นตาเดียวกัน วินาทีนั้นหญิงสาวจึงรู้ตัวว่าเผลอหลุดปากเพราะจินตนาการที่ไปไกลเหนือการควบคุม ใบหน้าหวานแดงแปร๊ดขึ้นด้วยความอับอาย‘เป็นอะไรของเขา’ ภูริภัชร์ขมวดคิ้วผูกเป็นปมอย่างสงสัย หากยังคงวางฟอร์มเก๊กหน้าขรึมตามแบบฉบับของตน“สวัสดีค่ะคุณลุง คุณป้า พี่พี”เสียงของอริสราราวกับระฆังช่วยชีวิต ยศสิตาจึงกลบเกลื่อนสถานการณ์อันน่าขายหน้า รีบกระวีกระวาดตามน้องสาวเข้าไปทำความเคารพผู้ใหญ่ทั้งสองคนและกล่าวทักทายตัวต้นเหตุอย่างไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้“ว่าไงเราสบายดีไหม” ภูริภัชร์กล่าวทักทายอริสราอย่างสนิทสนม เอื้อมมือมาขยี้ผมหล่อนเล่นอย่างเอ็นดูเช่นเคยภาพนั้นกระทบหัวใจที่กำลังวูบไหวส่งผลไปยังเปลือกตาคู่สวยต้องหลุบมองลงพื้นเพื่อบดบังรัศมีอันร้อนผะผ่าวของเปลวไฟริษยา ภูริภัชร์ให้ความเป็นกันเองสนิทสนิมกับอริสราแบบนี้มาตลอดแต่กับหล่อน... เขาจะ
บทที่ 1ปลายเดือนมกราคม...สายลมยามเช้าที่โชยมาเพียงแผ่วๆ พัดใบไม้ให้แกว่งไกว บ้างปลิดปลิวพลิ้วลอยไปตามกระแสลมเย็นอันสดชื่น หมู่ไม้ดอกหลากชนิดพากันชูช่อบานสะพรั่งอย่างมีชีวิตชีวา น้ำค้างสีใสสะท้อนแสงแดดเป็นประกายพราวระยับตามยอดหญ้า ท้องฟ้าที่เคยเต็มไปด้วยเงาดำทะมึนของหมู่มวลเมฆฝนกลับเปิดโล่งสว่างสดใส บ่งบอกให้คนที่มาเยือนรู้ว่านี่คือบรรยากาศหน้าหนาวของภาคเหนืออย่างแท้จริงรถสปอร์ตโฟร์วีลสมรรถนะสูงแบบเจ็ดที่นั่งกำลังแล่นออกจากสนามบินของจังหวัดเชียงใหม่ด้วยความเร็วคงที่ มุ่งหน้าไปยังอาณาเขตอันกว้างใหญ่ไพศาลของไร่ ‘วลีพรรณ’ทัศนียภาพสองข้างทางนั้นประดับไปด้วยภูเขาลูกย่อมๆ และต้นส้มที่ปลูกเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบซึ่งตอนนี้กำลังออกผลดกจนกลายเป็นสีเหลืองอร่ามสุดลูกหูลูกตาแสงแดดอ่อนยามเช้าเริ่มส่องแสงลงมากระทบกับน้ำค้างสะท้อนเป็นภาพระยิบวิบวับแวววาวหยอกล้อกับสายลมที่เคลื่อนไหวเพียงบางเบาเป็นระยะๆ คล้ายดั่งใครบางคนที่เคยฝากรอยยั่วเย้าเอาไว้บนเรียวปากนุ่มโดยที่เจ้าตัวไม่ได้เต็มใจสักนิดมือเรียวบางดั่งหยกสลักของ ‘ยศสิตา’ ขยับไปกดปุ่มข้างๆ ประตู ลดระดับกระจกลงมาเพื่อสัมผัสกับอากาศบริสุทธิ์แล







