LOGINบทที่ 5
ยศสิตาครางออกมาเหมือนคนละเมอเสียงดังเท่ากระซิบ และพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงที่มีผลักอกเขาไว้แต่ชายหนุ่มกลับยิ่งระดมจูบอย่างดูดดื่มจนหล่อนอ่อนระทวยไปทั้งร่าง ริมฝีปากหนาดูดเม้มกลีบปากอิ่มสลับบนล่างเบาๆ อยู่เป็นนานกว่าจะถอนจูบ
ปากรูปกระจับกลายเป็นสีแดงจัด ใบหน้าหวานระเรื่อแดง ดวงตาหวานหยดกะพริบถี่ๆ จ้องมองหน้าเขาเขม็งเหมือนตื่นจากความฝัน...
“คนบ้า คนฉวยโอกาส เกลียดที่สุด!”
“บอกมาเป็นร้อยครั้งแล้ว ผมจำได้ขึ้นใจ” ภูริภัชร์อมยิ้ม
“จะบอกอย่างนี้ตลอดไป”
“หมายความว่าจะอยู่ทะเลาะกับผมไปตลอดชีวิตเลยใช่ไหม” เขาพูดด้วยอารมณ์ขบขัน หลิ่วตาให้อย่างล้อเลียน
“บ้า!!!” หญิงสาวตวัดเสียงใส่ มองเขาตาเขียวปั๊ด!
“ไม่อยากอยู่กับผมจริงๆ น่ะเหรอ” เขาจ้องหล่อนนิ่ง ใบหน้าแสนหวานที่เปล่งปลั่งด้วยเลือดสาว งดงามราวกับดอกกุหลาบแรกแย้ม ผมยาวปล่อยสลวยเต็มบ่า เวลานี้มันช่างชวนมองจนทำให้ชายหนุ่มจับจ้องไปอย่างลืมตัว
“จ้องอะไร?”
“อยากรู้ว่ารสจูบผมมันจืดชืดจริงหรือเปล่า”
“ใช่! จืดชืด ไร้รสชาติและน่าขยะแขยงที่สุด” หญิงสาวหยีหน้า ตอบโต้ออกไปด้วยสิ่งที่ตรงข้ามกับความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง หล่อนไม่มีทางปฏิเสธได้เลยว่าจูบของเขาช่างหวานหวามตรึงใจยิ่งนัก
“เพราะผมมันเป็นแค่ชาวไร่ต่ำต้อยใช่ไหม ไหนจะไปเทียบชั้นคุณหนูเอยลูกสาวเจ้าของโรงแรมชื่อดังได้” พูดจบเขาก็หันหลังเดินไปหยุดตรงหน้าต่าง ยืนกอดอกมองสายฝนที่กำลังตกพรำๆ อยู่ข้างนอก อย่างไม่คิดจะสนใจหล่อนอีก
หญิงสาวสะอึก คำพูดนั้นทำให้คนฟังคอแข็งทันที นึกอยากจะตะโกนใส่หน้านักว่าหล่อนไม่เคยคิดรังเกียจที่เขามีอาชีพอะไร คนอะไรช่างสรรหาคำพูดมาประชดประชันเก่งนัก จะว่าไปแล้วสถานะทางการเงินของครอบครัวเขาก็มั่งคั่งและมั่นคงกว่าครอบครัวหล่อนด้วยซ้ำ แต่เหตุผลที่หล่อนตั้งป้อมกับเขาก็เพราะ... กลัวใจตัวเองต่างหาก ภูริภัชร์เป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ หล่อนเองก็ประจักษ์ต่อสายตามาแล้ว ยศสิตาเกลียดความเป็นผู้ชายเจ้าเสน่ห์ของเขา!
ร่างอรชรเดินไปนั่งลงที่อีกมุมหนึ่งและไม่ยอมปริปากพูดอะไรเช่นกัน ต่างคนต่างเงียบตามแบบฉบับของตัวเอง ห้องทั้งห้องจึงตกอยู่ในสภาวะที่น่าอึดอัดชั่วขณะ
“จะไปฝรั่งเศสเมื่อไหร่?” ชายหนุ่มเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา
หญิงสาวมองไปทางภูริภัชร์อย่างแปลกใจ เขารู้เรื่องที่หล่อนกำลังจะไปเรียนต่อด้วยเหรอ?
“เดือนหน้าค่ะ...” เสียงหวานตอบเรียบๆ “...แล้วคุณจะแต่งงานกับคุณอิงฟ้าเมื่อไหร่?” ไม่รู้อะไรทำให้ยศสิตาถามโพล่งออกไปอย่างนั้น แล้วก็นึกอยากจะกัดลิ้นตัวเองเมื่อเขาหันมาจ้องหล่อนอย่างค้นคว้าราวกับกำลังจับพิรุธ
“อยากให้แต่งจริงๆ น่ะเหรอ?” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ดวงตาที่นิ่งเฉยกลับมาแพรวพราวระยับอีกครั้ง
“มันเรื่องของคุณนี่”
“แน่ใจนะว่าถ้าผมแต่งกับคนอื่นจริงๆ แล้วจะไม่ร้องไห้ขี้มูกโป่ง”
“แน่ใจสิ ทำไมเอยจะต้องร้องไห้ด้วย” ยศสิตาย่นจมูกใส่และโต้เสียงแข็งก่อนจะสะบัดตัวฟึดฟัดลุกขึ้นหันหลังให้เขาอย่างรวดเร็วเพื่อซ่อนอะไรหลายอย่างที่อาจจะเผยให้อีกฝ่ายได้สังเกตเห็น
รอยยิ้มแสนเสน่ห์ผุดขึ้นที่มุมปากของชายหนุ่มแต่ก็ไม่ตอบโต้อะไร ร่างสูงสง่าก็เดินไปเปิดประตูกระท่อมออก ตอนนี้ฝนเริ่มซาลงเหลือเพียงละอองเม็ดเล็กๆ เขาจึงหันไปคว้าข้อมือบางให้เดินตามและพากลับไปยังรถ หลังจากนั้นรถจี๊ปคันเดิมก็แล่นช้าๆ จากท้ายไร่มุ่งหน้ากลับไปยังบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าของไร่
ตลอดทางยศสิตานั่งคอแข็งและถ้าจะมองอะไรสักอย่างก็คงเป็นวิวทิวทัศน์ข้างทาง ยกเว้นสิ่งเดียวที่หล่อนไม่มองก็คือใบหน้าหล่อคมคร้ามของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ หากชายหนุ่มก็ไม่คิดจะตอแยนอกจากอมยิ้มเป็นระยะๆ เมื่อปรายตามองเสี้ยวหน้าสวยหวานที่ขยันทำหน้าบูดบึ้งใส่เขา
ภูริภัชร์ใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีรถจี๊ปคันนั้นก็ตีวงเข้ามาจอดอย่างนิ่มนวลบริเวณลานจอดรถหน้าบ้านวลีพรรณ หญิงสาวไม่เสียเวลาคิด รีบก้าวพรวดลงจากรถด้วยความรวดเร็วและเดินฉับๆ เข้าบ้านอย่างไม่เหลียวหลัง
สายตาคู่คมได้แต่มองตามแผ่นหลังหล่อนแล้วส่ายหัวยิ้มๆ
‘งอนอีกตามเคย’ เขารำพึงในใจกับตัวเอง
ส่วนอีกคนเมื่อปิดประตูห้องแล้วก็รีบตรงเข้าห้องน้ำ ไปหยุดยืนทำหน้าบึ้งตึงอยู่หน้ากระจกพลางย่นจมูกใส่ตัวเอง เมื่อคิดถึงรสจูบที่ซาบซ่านหวานระรื่นและแสนอบอุ่นของเขาใบหน้าขาวเนียนก็แดงซ่านขึ้นมาอีกทันที
“เผลอให้คนขี้เก๊กนั่นจูบอีกจนได้” เสียงหวานบ่นพึมพำแต่ริมฝีปากเย้ายวนกลับเผลอยิ้มเขินๆ ออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ตอนค่ำ
หลังอาทิตย์อัสดงลาลับขอบฟ้า บ้านไม้ทรงไทยหลังใหญ่กลางไร่วลีพรรณเปิดไฟสว่างไสว โต๊ะอาหารถูกจัดอย่างสวยงามและพิถีพิถันเป็นพิเศษราวกับปาร์ตี้เล็กๆ กำลังจะเกิดขึ้นเพื่อเลี้ยงต้อนรับครอบครัวของเพื่อนสนิท
สมาชิกทั้งสองครอบครัวนั่งรายล้อมรวมกันยังโต๊ะอาหารตัวนั้นโดยมีพ่อเลี้ยงใหญ่ของไร่วลีพรรณนั่งที่หัวโต๊ะ
“คราวนี้จะมาอยู่สักกี่วันล่ะดนัย” พ่อเลี้ยงภูชิตเอ่ยถามเพื่อนรักหลังจากทุกคนเริ่มลงมือรับประทานอาหาร
“กะว่าจะมาเที่ยวสักอาทิตย์หนึ่ง แต่ฉันอยากพาลูกๆ ไปเที่ยวดอยตุงกับยอดภูสูงๆ ที่เชียงราย” ดนัยบอกถึงแผนการคร่าวๆ ให้กับพ่อเลี้ยงภูชิตฟัง
“อืม... น่าสนใจนะ”
“ไปด้วยกันมั้ยล่ะ” ดนัยเอ่ยชวน “ฉันจะได้โทรบอกเลขาฯ ให้จองที่พักเผื่อด้วยเลย”
“ไปกันมั้ยคุณ?” พ่อเลี้ยงภูชิตหันมาถามภรรยาที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ก็ดีเหมือนกันนะคะ” แม่เลี้ยงวลีพรรณเห็นด้วย “เราไม่ได้ไปเที่ยวเชียงรายตั้งนานแล้ว”
“งั้นเอาเป็นว่าฉันกับไหมขอไปด้วยนะดนัย...”
“ดีเลย…ไปด้วยกันมั้ยพี?” ดนัยหันมาชวนภูริภัชร์บ้าง
บทที่ 6“ขึ้นรถเดี๋ยวไปส่ง” “ไม่ไปค่ะ”“จะไปดีๆ หรือจะให้ใช้กำลัง”“อย่ามาวางอำนาจแถวนี้นะ”“ไหมคงอยากจะขายหน้าคนทั้งป้ายรถเมล์ใช่ไหม” เขาขู่“คนบ้า” เธอแหวใส่เขาก่อนจะหันไปมองที่ป้ายรถเมล์ ตอนนี้สายตาหลายๆ คู่กำลังจับจ้องมาที่เธอและเขาอย่างสนใจ“ผมเตือนเป็นครั้งสุดท้าย” เขาทำท่าจะประชิดตัวทำให้วราลีต้องรีบเดินไปขึ้นรถเขาเพื่อหลบให้พ้นสายตาอยากรู้อยากคนอื่นๆ“ทำไมเงียบจัง” เขาถามเมื่อขับรถออกมาได้สักพัก“ก็ไม่มีอะไรจะพูดนี่คะ” เธอยังคงหน้าบึ้งตึงเพราะไม่พอใจที่ถูกเขาบังคับแบบนั้น“กลัวผมเหรอ”“ไม่อยากเข้าใกล้” เธอสวนกลับไปทันที“กลัวอะไร กลัวใจตัวเองอย่างนั้นเหรอ” เขาพูดเหมือนรู้ทัน“ไหมไม่ใช่สาวๆ ของพี่จะได้กลัวใจตัวเอง”“หึ หึ แล้วเมื่อไหร่จะเลิกทำหน้าบึ้งๆ เสียที”“ทำไม”“ไม่ชอบ ถ้าไม่อยากเจอดีน่ะ เลิกหน้าบึ้งเสียที”“เจอดีอะไรไม่ทราบ”“ก็ลองไม่หายดูสิ เดี๋ยวก็รู้ ถ้าก่อนจะถึงบ้านยังหน้างออยู่ล่ะก็...” เขาไม่ยอมพูดต่อ“ก็อะไร”“ช่างเถอะ เดี๋ยวก็รู้เองแหละ”“ไม่ มีสิทธิ์อะไรมาสั่ง”“พูดอย่างนี้เหมือนท้าทาย”เขาหักพวงมาลัยรถเข้าข้างทาง วราลีมองอย่างระแวง“พี่เคนจะทำอะไร” เธอเริ่มโว
บทที่ 5ยศสิตาครางออกมาเหมือนคนละเมอเสียงดังเท่ากระซิบ และพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงที่มีผลักอกเขาไว้แต่ชายหนุ่มกลับยิ่งระดมจูบอย่างดูดดื่มจนหล่อนอ่อนระทวยไปทั้งร่าง ริมฝีปากหนาดูดเม้มกลีบปากอิ่มสลับบนล่างเบาๆ อยู่เป็นนานกว่าจะถอนจูบปากรูปกระจับกลายเป็นสีแดงจัด ใบหน้าหวานระเรื่อแดง ดวงตาหวานหยดกะพริบถี่ๆ จ้องมองหน้าเขาเขม็งเหมือนตื่นจากความฝัน...“คนบ้า คนฉวยโอกาส เกลียดที่สุด!”“บอกมาเป็นร้อยครั้งแล้ว ผมจำได้ขึ้นใจ” ภูริภัชร์อมยิ้ม“จะบอกอย่างนี้ตลอดไป”“หมายความว่าจะอยู่ทะเลาะกับผมไปตลอดชีวิตเลยใช่ไหม” เขาพูดด้วยอารมณ์ขบขัน หลิ่วตาให้อย่างล้อเลียน“บ้า!!!” หญิงสาวตวัดเสียงใส่ มองเขาตาเขียวปั๊ด!“ไม่อยากอยู่กับผมจริงๆ น่ะเหรอ” เขาจ้องหล่อนนิ่ง ใบหน้าแสนหวานที่เปล่งปลั่งด้วยเลือดสาว งดงามราวกับดอกกุหลาบแรกแย้ม ผมยาวปล่อยสลวยเต็มบ่า เวลานี้มันช่างชวนมองจนทำให้ชายหนุ่มจับจ้องไปอย่างลืมตัว“จ้องอะไร?”“อยากรู้ว่ารสจูบผมมันจืดชืดจริงหรือเปล่า”“ใช่! จืดชืด ไร้รสชาติและน่าขยะแขยงที่สุด” หญิงสาวหยีหน้า ตอบโต้ออกไปด้วยสิ่งที่ตรงข้ามกับความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง หล่อนไม่มีทางปฏิเสธได้เลยว่าจูบของเ
บทที่ 4หญิงสาวค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมเข้มที่อยู่ไม่ห่าง ลมหายใจอุ่นวาบเป่าพ่นรดใส่หน้าผากมนเป็นระยะ หัวใจดวงน้อยเต้นตุบๆ ถี่รัวด้วยความหวาดหวั่นในขณะที่ตาสองคู่สบประสานสายตากันนิ่ง ยศสิตาเผลอจับจ้องอย่างลุ่มหลงในมนต์เสน่ห์ นี่เป็นครั้งแรกหลังจาก... ‘ครั้งนั้น’ ที่หล่อนได้เห็นหน้าเขาในระยะใกล้ชิดขนาดนี้ดวงตากลมแป๋วยังคงจ้องมองเขาอยู่อย่างนั้นจนไม่อาจถอนสายตาได้ ใบหน้าคมคร้ามประดับด้วยดวงตาสีน้ำตาลเข้มซึ่งเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ชวนค้นหา จมูกเขาโด่งเป็นสันรับด้วยริมฝีปากหยักได้รูปแต่ทว่าบางสวยราวกับริมฝีปากผู้หญิง ช่วงบ่ากว้างผึ่งผาย ช่วงแขนแข็งแรงน่าสัมผัส หน้าอกกลัดแกร่งขวางเต็มไปด้วยมัดกล้ามหนั่นแน่น เอวสอบเพรียวไม่มีไขมันส่วนเกิน มันเป็นความหล่อเหลาในทุกมุมมองอย่างหาตัวจับยาก เขาช่างเต็มไปด้วยความเป็นบุรุษเพศสมชายชาตรี สามารถดึงดูดให้อิสสตรีเข้าใกล้ได้อย่างไม่ต้องใช้ความพยายามเลยสักนิด“กลัวผมหรือกลัวใจตัวเอง?” เขาจงใจก้มลงมาถามด้วยเสียงชวนสยิวในระยะกระชั้นชิดจนปากแทบจะสัมผัสกับปาก น้ำเสียงนั้นแฝงไว้อะไรบางอย่างที่มีความหมายลึกซึ้งแล่นปลาบเข้าไปในขั้วหัวใจของหล่อนจนจังหวะของชีพจรไห
บทที่ 3ใบหน้าแสนพยศเชิดขึ้นเมื่อถูกท้าทาย นึกอยากปฏิเสธนักแต่น้ำเสียงและแววตาหยามหยันเหมือนหล่อนเป็นพวกขี้กลัวทำให้ยศสิตาต้องขยับไปใกล้กับประตูอีกฝังของรถจี๊ปคั้นนั้นเพื่อขึ้นรถตามคำเชิญของเขา แต่รถดันสูงเกินไปทำให้หญิงสาวไม่สามารถก้าวขึ้นไปได้ง่ายๆภูริภัชร์กลั้นยิ้มบนใบหน้า พอยต์เท้าลงจากรถอย่างรวดเร็ว เดินอ้อมมาหา และโดยที่ยศสิตาไม่ทันได้ตั้งตัว มืออุ่นๆ ของเขาก็กระชับเข้าที่เอวอ้อนแอ้น แล้วส่งหล่อนขึ้นไปนั่งบนรถโดยใช้เวลาแค่เสี้ยวนาทีฝ่ายนั้นตวัดตามองขุ่น ใบหน้าแสนหวานง้ำงอแดงระเรื่อด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด รอยสัมผัสอุ่นๆ จากมือแกร่งเมื่อสักครู่ยังอบอวลอยู่ที่เอวหล่อนชายหนุ่มหัวเราะร่วน รู้สึกสนุกกับท่าทีพยศผยองของหล่อนยิ่งนัก ใบหน้าหล่อคมจึงจงใจโน้มลงมาใกล้ๆ อย่างอยากแกล้ง ก่อนจะกระซิบเสียงแหบพร่ารวยระรินลงบนใบหูขาวสะอาด“...หน้างอจังเลย...”“ใครหน้างอ!” เสียงหวานตวาดแว้ด มองเขาตาขวาง “พูดจาให้ดีๆ นะ”“จะมีใครเสียอีกล่ะ” เขากระดกคิ้วขึ้น ยิ้มร่าราวกับอ่านใจหล่อนได้“เอยคงเสียสติเป็นแน่ ถ้ายิ้มแย้มให้คนที่ฉวยโอกาสอย่างคุณ” ภูริภัชร์หัวเราะเบาๆ อย่างถูกใจ “ไม่ได้ฉวยโอกาสครับยาหยี
บทที่ 2หล่อนเอ่ยเพียงในใจ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นมาบนหน้าผากมนทันที และมีบางจังหวะที่นิ้วปลายนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ช่วยกันรุมจิก ตะบี้ตะบันบีบคลึงที่ปลายถันของหล่อน“ไม่นะ!” ยศสิตาอุทานออกมาเสียงดังอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเล่นเอาสายตาทุกคู่หันพรึบมองมายังหล่อนเป็นตาเดียวกัน วินาทีนั้นหญิงสาวจึงรู้ตัวว่าเผลอหลุดปากเพราะจินตนาการที่ไปไกลเหนือการควบคุม ใบหน้าหวานแดงแปร๊ดขึ้นด้วยความอับอาย‘เป็นอะไรของเขา’ ภูริภัชร์ขมวดคิ้วผูกเป็นปมอย่างสงสัย หากยังคงวางฟอร์มเก๊กหน้าขรึมตามแบบฉบับของตน“สวัสดีค่ะคุณลุง คุณป้า พี่พี”เสียงของอริสราราวกับระฆังช่วยชีวิต ยศสิตาจึงกลบเกลื่อนสถานการณ์อันน่าขายหน้า รีบกระวีกระวาดตามน้องสาวเข้าไปทำความเคารพผู้ใหญ่ทั้งสองคนและกล่าวทักทายตัวต้นเหตุอย่างไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้“ว่าไงเราสบายดีไหม” ภูริภัชร์กล่าวทักทายอริสราอย่างสนิทสนม เอื้อมมือมาขยี้ผมหล่อนเล่นอย่างเอ็นดูเช่นเคยภาพนั้นกระทบหัวใจที่กำลังวูบไหวส่งผลไปยังเปลือกตาคู่สวยต้องหลุบมองลงพื้นเพื่อบดบังรัศมีอันร้อนผะผ่าวของเปลวไฟริษยา ภูริภัชร์ให้ความเป็นกันเองสนิทสนิมกับอริสราแบบนี้มาตลอดแต่กับหล่อน... เขาจะ
บทที่ 1ปลายเดือนมกราคม...สายลมยามเช้าที่โชยมาเพียงแผ่วๆ พัดใบไม้ให้แกว่งไกว บ้างปลิดปลิวพลิ้วลอยไปตามกระแสลมเย็นอันสดชื่น หมู่ไม้ดอกหลากชนิดพากันชูช่อบานสะพรั่งอย่างมีชีวิตชีวา น้ำค้างสีใสสะท้อนแสงแดดเป็นประกายพราวระยับตามยอดหญ้า ท้องฟ้าที่เคยเต็มไปด้วยเงาดำทะมึนของหมู่มวลเมฆฝนกลับเปิดโล่งสว่างสดใส บ่งบอกให้คนที่มาเยือนรู้ว่านี่คือบรรยากาศหน้าหนาวของภาคเหนืออย่างแท้จริงรถสปอร์ตโฟร์วีลสมรรถนะสูงแบบเจ็ดที่นั่งกำลังแล่นออกจากสนามบินของจังหวัดเชียงใหม่ด้วยความเร็วคงที่ มุ่งหน้าไปยังอาณาเขตอันกว้างใหญ่ไพศาลของไร่ ‘วลีพรรณ’ทัศนียภาพสองข้างทางนั้นประดับไปด้วยภูเขาลูกย่อมๆ และต้นส้มที่ปลูกเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบซึ่งตอนนี้กำลังออกผลดกจนกลายเป็นสีเหลืองอร่ามสุดลูกหูลูกตาแสงแดดอ่อนยามเช้าเริ่มส่องแสงลงมากระทบกับน้ำค้างสะท้อนเป็นภาพระยิบวิบวับแวววาวหยอกล้อกับสายลมที่เคลื่อนไหวเพียงบางเบาเป็นระยะๆ คล้ายดั่งใครบางคนที่เคยฝากรอยยั่วเย้าเอาไว้บนเรียวปากนุ่มโดยที่เจ้าตัวไม่ได้เต็มใจสักนิดมือเรียวบางดั่งหยกสลักของ ‘ยศสิตา’ ขยับไปกดปุ่มข้างๆ ประตู ลดระดับกระจกลงมาเพื่อสัมผัสกับอากาศบริสุทธิ์แล







