Masukบทที่ 6
“ขึ้นรถเดี๋ยวไปส่ง”
“ไม่ไปค่ะ”
“จะไปดีๆ หรือจะให้ใช้กำลัง”
“อย่ามาวางอำนาจแถวนี้นะ”
“ไหมคงอยากจะขายหน้าคนทั้งป้ายรถเมล์ใช่ไหม” เขาขู่
“คนบ้า” เธอแหวใส่เขาก่อนจะหันไปมองที่ป้ายรถเมล์ ตอนนี้สายตาหลายๆ คู่กำลังจับจ้องมาที่เธอและเขาอย่างสนใจ
“ผมเตือนเป็นครั้งสุดท้าย” เขาทำท่าจะประชิดตัวทำให้วราลีต้องรีบเดินไปขึ้นรถเขาเพื่อหลบให้พ้นสายตาอยากรู้อยากคนอื่นๆ
“ทำไมเงียบจัง” เขาถามเมื่อขับรถออกมาได้สักพัก
“ก็ไม่มีอะไรจะพูดนี่คะ” เธอยังคงหน้าบึ้งตึงเพราะไม่พอใจที่ถูกเขาบังคับแบบนั้น
“กลัวผมเหรอ”
“ไม่อยากเข้าใกล้” เธอสวนกลับไปทันที
“กลัวอะไร กลัวใจตัวเองอย่างนั้นเหรอ” เขาพูดเหมือนรู้ทัน
“ไหมไม่ใช่สาวๆ ของพี่จะได้กลัวใจตัวเอง”
“หึ หึ แล้วเมื่อไหร่จะเลิกทำหน้าบึ้งๆ เสียที”
“ทำไม”
“ไม่ชอบ ถ้าไม่อยากเจอดีน่ะ เลิกหน้าบึ้งเสียที”
“เจอดีอะไรไม่ทราบ”
“ก็ลองไม่หายดูสิ เดี๋ยวก็รู้ ถ้าก่อนจะถึงบ้านยังหน้างออยู่ล่ะก็...” เขาไม่ยอมพูดต่อ
“ก็อะไร”
“ช่างเถอะ เดี๋ยวก็รู้เองแหละ”
“ไม่ มีสิทธิ์อะไรมาสั่ง”
“พูดอย่างนี้เหมือนท้าทาย”
เขาหักพวงมาลัยรถเข้าข้างทาง วราลีมองอย่างระแวง
“พี่เคนจะทำอะไร” เธอเริ่มโวยวาย
“ก็อยากจะทบทวนความจำให้ไหมหน่อย”
“ไม่นะ” เธอรีบระล่ำระลักปฏิเสธ
“ปากกล้าขนาดนี้ คงจะลืมไปแล้วล่ะสิว่ารสจูบของผมเป็นยังไง”
“ไหมขอโทษ” เสียงเธอเริ่มอ่อนลงเมื่อเขาทำท่าจะคุกคามเธอ
“ง่ายไปมั้ง มาบอกอะไรตอนนี้” เขายังคงไม่ยอม
“ไหมขอโทษจริงๆ”
“บอกมากี่ครั้งแล้วล่ะ รู้สึกยังไงเวลาพูดมา”
“พี่เคนอย่าทำท่าแบบนี้ได้ไหม ไหมกลัว”
“รู้จักกลัวบ้างก็ดีสาวน้อย คราวหลังจะได้ไม่ท้าทายผมอีก”
เขาทำท่าจะก้มลงจูบเธอ วราลีได้แต่หลับตานิ่งและเกร็งกับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อรู้สึกว่ารถเริ่มวิ่งอีกครั้ง เธอหันไปมองเขาอย่างงงๆ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้านิ่งๆ เธอก็แอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ถึงแล้ว” เสียงของภีรวัจน์ปลุกให้วราลีตื่นจากภวังค์
“ขอบคุณค่ะ” เธอผลักประตูรถให้เปิดออกแต่ก็เหมือนคราวที่แล้วคือเขาล็อกประตูเอาไว้
“เปิดประตูสิคะไหมจะลง” หญิงสาวหันไปบอกเขา
“กลัวใครเขาจะเข้าใจผิดนักหนาเหรอถึงต้องรีบลนลานขนาดนั้น”
“คนชอบหาเรื่อง” เธอบ่นพึมพำเบาๆ
“ว่าอะไรนะ”
“พี่เคนกำลังหาเรื่องไหม”
“อย่างงั้นเหรอ”
“สาวๆ ไม่สนใจหรือไงถึงได้พาลหาเรื่องไหม”
“พูดเหมือนหึง” เขาหันมาทางเธอพร้อมกับมองหน้าเธอนิ่งๆ
“โมเม หลงตัวเอง”
“หรือไม่จริง”
“ไม่จริง” เธอรีบปฏิเสธ
“ไม่คิดจะหึงผมเลยเหรอ” เขาถาม
“ไหมไม่บ้าขนาดนั้นหรอก”
“ปากแข็ง”
“ไหมไม่อยากเถียงด้วยแล้ว ไหมไปนะ ขอบคุณที่มาส่ง” มือบางเตรียมผลักประตู
“ผมขอเปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นได้ไหม”
“อะไรคะ” เธอเอียงคอถามเขาอย่างสงสัย
เขาไม่ตอบแต่เอื้อมมือมาจับมือของเธอไว้พร้อมกับยกมันขึ้นจูบ วราลีถึงกับหมดแรงเพราะรู้สึกเหมือนกับมีกระแสไฟแรงสูงแล่นผ่านริมฝีปากของเขามายังมือของเธอ แล้ววิ่งชนหัวใจอย่างจังจนหัวใจดวงน้อยเต้นผิดจังหวะ
ภีรวัจน์มองหน้าที่แดงเป็นลูกตำลึงของเธออย่างแทบจะอดใจไม่อยู่ เขาถอนลมหายใจออกมาน้อยๆ เพื่อระงับความปรารถนาของตัวเองที่กำลังเริ่มพลุ่งพล่าน
“ฝันดีนะ” เขาบอกอยู่ใกล้ๆ หู ในขณะที่เธอยังคงนั่งนิ่งเพราะยังไม่หายจากอาการตกตะลึง
“สาวน้อยถ้าคุณยังไม่ขยับภายในหนึ่งนาทีผมจูบคุณแน่”
เสียงของเขาทำให้วราลีได้สติ เธอรีบผลักอกเขาออกก่อนจะรีบเปิดประตูรถและเดินเข้าบ้านไปโดยไม่ได้หันกลับมามองเขาอีกเลย
ภีรวัจน์มองตามจนเธอเข้าบ้านเสร็จ เขายิ้มน้อยๆ กับตัวเองและรู้สึกอารมณ์ดีอย่างประหลาดเหมือนเช่นทุกครั้งที่ได้ใกล้ชิดกับยัยเชย
ภวินท์ต้องกลับมาสอนพิเศษให้แก่ภีรดาในวันหยุดอีกครั้ง นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เขามาที่นี่แล้วเกิดเรื่องคราวนั้นดูเหมือนภีรดาจะวางตัวห่างเหินเขามากขึ้นและเงียบลงไปกว่าเดิมแต่สิ่งที่มากขึ้นคือการดื้อดึงและเอาแต่ใจของภีรดาเธอจะรวนเขาทุกครั้งที่มีโอกาส
วันนี้ก็เช่นกันเขาสอนเธออยู่ดีๆ เธอก็ออกอาการ
“นี่นาย” ภีรดาเรียกเขาเมื่อเห็นเขากำลังตั้งหน้าตั้งตาสอนเธอ ภวินท์หยุดสอนแล้วมองเธอนิ่งๆ
“ฉันเป็นเหน็บมานวดให้หน่อยสิ”
ภวินท์รู้ว่าภีรดาจงใจแกล้งเขา เขาถอนหายใจยาวๆ หนึ่งครั้งก่อนขยับตัวลงไปนั่งกับพื้นและจับขาเรียวยาวของเธอไว้ก่อนจะกดคลึงไปตามเรียวขานั้น
เธอแอบยิ้มอย่างสมใจที่ทำให้คนจอมหยิ่งอย่างเขาคุกเข่าต่อหน้าเธอได้ แต่เมื่อถูกเขาสัมผัสได้เพียงไม่ถึงเสี้ยวนาทีอะไรบางอย่างในตัวเธอก็เริ่มผิดปกติ จากที่ตอนแรกที่เธอแค่คิดอยากจะแกล้งเขา แต่สัมผัสที่นุ่มนวลนั้นกลับชวนให้ขนลุกเกรียวเพราะมันมีความวาบหวิวที่เกิดขึ้นตามมา
กระแสไฟอ่อนๆ วิ่งพล่านไปทั่วร่างของภีรดาเพียงแค่ถูกปลายนิ้วเขาสัมผัส และมันยิ่งวิ่งพล่านมากขึ้นยามที่มือของเขาบีบเค้นและกดลงบนเรียวขาและฝ่าเท้าของเธอ
หญิงสาวกัดริมฝีปากเอาไว้แน่นเพื่อที่จะไม่ให้เสียงครางของตัวเองหลุดลอดผ่านริมฝีปากออกมา
ภวินท์เงยหน้าขึ้นมองคุณหนูขี้วีน เห็นหน้าของเธอแดงก่ำ เขานึกขำในใจโดนเขาจับต้องแค่นี้ยังหน้าแดงแล้วยังจะมาทำเก่งอวดดีอีก
ภวินท์จงใจให้สัมผัสของเขาปลุกเร้าไฟในตัวเธอให้ลุกโชนขึ้นมา เขาอยากสั่งสอนให้เธอรู้ว่าอย่าริเล่นกับไฟเพราะสุดท้ายไฟนั้นมันจะกลับไปเผาผลาญตัวเธอเอง
บทที่ 6“ขึ้นรถเดี๋ยวไปส่ง” “ไม่ไปค่ะ”“จะไปดีๆ หรือจะให้ใช้กำลัง”“อย่ามาวางอำนาจแถวนี้นะ”“ไหมคงอยากจะขายหน้าคนทั้งป้ายรถเมล์ใช่ไหม” เขาขู่“คนบ้า” เธอแหวใส่เขาก่อนจะหันไปมองที่ป้ายรถเมล์ ตอนนี้สายตาหลายๆ คู่กำลังจับจ้องมาที่เธอและเขาอย่างสนใจ“ผมเตือนเป็นครั้งสุดท้าย” เขาทำท่าจะประชิดตัวทำให้วราลีต้องรีบเดินไปขึ้นรถเขาเพื่อหลบให้พ้นสายตาอยากรู้อยากคนอื่นๆ“ทำไมเงียบจัง” เขาถามเมื่อขับรถออกมาได้สักพัก“ก็ไม่มีอะไรจะพูดนี่คะ” เธอยังคงหน้าบึ้งตึงเพราะไม่พอใจที่ถูกเขาบังคับแบบนั้น“กลัวผมเหรอ”“ไม่อยากเข้าใกล้” เธอสวนกลับไปทันที“กลัวอะไร กลัวใจตัวเองอย่างนั้นเหรอ” เขาพูดเหมือนรู้ทัน“ไหมไม่ใช่สาวๆ ของพี่จะได้กลัวใจตัวเอง”“หึ หึ แล้วเมื่อไหร่จะเลิกทำหน้าบึ้งๆ เสียที”“ทำไม”“ไม่ชอบ ถ้าไม่อยากเจอดีน่ะ เลิกหน้าบึ้งเสียที”“เจอดีอะไรไม่ทราบ”“ก็ลองไม่หายดูสิ เดี๋ยวก็รู้ ถ้าก่อนจะถึงบ้านยังหน้างออยู่ล่ะก็...” เขาไม่ยอมพูดต่อ“ก็อะไร”“ช่างเถอะ เดี๋ยวก็รู้เองแหละ”“ไม่ มีสิทธิ์อะไรมาสั่ง”“พูดอย่างนี้เหมือนท้าทาย”เขาหักพวงมาลัยรถเข้าข้างทาง วราลีมองอย่างระแวง“พี่เคนจะทำอะไร” เธอเริ่มโว
บทที่ 5ยศสิตาครางออกมาเหมือนคนละเมอเสียงดังเท่ากระซิบ และพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงที่มีผลักอกเขาไว้แต่ชายหนุ่มกลับยิ่งระดมจูบอย่างดูดดื่มจนหล่อนอ่อนระทวยไปทั้งร่าง ริมฝีปากหนาดูดเม้มกลีบปากอิ่มสลับบนล่างเบาๆ อยู่เป็นนานกว่าจะถอนจูบปากรูปกระจับกลายเป็นสีแดงจัด ใบหน้าหวานระเรื่อแดง ดวงตาหวานหยดกะพริบถี่ๆ จ้องมองหน้าเขาเขม็งเหมือนตื่นจากความฝัน...“คนบ้า คนฉวยโอกาส เกลียดที่สุด!”“บอกมาเป็นร้อยครั้งแล้ว ผมจำได้ขึ้นใจ” ภูริภัชร์อมยิ้ม“จะบอกอย่างนี้ตลอดไป”“หมายความว่าจะอยู่ทะเลาะกับผมไปตลอดชีวิตเลยใช่ไหม” เขาพูดด้วยอารมณ์ขบขัน หลิ่วตาให้อย่างล้อเลียน“บ้า!!!” หญิงสาวตวัดเสียงใส่ มองเขาตาเขียวปั๊ด!“ไม่อยากอยู่กับผมจริงๆ น่ะเหรอ” เขาจ้องหล่อนนิ่ง ใบหน้าแสนหวานที่เปล่งปลั่งด้วยเลือดสาว งดงามราวกับดอกกุหลาบแรกแย้ม ผมยาวปล่อยสลวยเต็มบ่า เวลานี้มันช่างชวนมองจนทำให้ชายหนุ่มจับจ้องไปอย่างลืมตัว“จ้องอะไร?”“อยากรู้ว่ารสจูบผมมันจืดชืดจริงหรือเปล่า”“ใช่! จืดชืด ไร้รสชาติและน่าขยะแขยงที่สุด” หญิงสาวหยีหน้า ตอบโต้ออกไปด้วยสิ่งที่ตรงข้ามกับความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง หล่อนไม่มีทางปฏิเสธได้เลยว่าจูบของเ
บทที่ 4หญิงสาวค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมเข้มที่อยู่ไม่ห่าง ลมหายใจอุ่นวาบเป่าพ่นรดใส่หน้าผากมนเป็นระยะ หัวใจดวงน้อยเต้นตุบๆ ถี่รัวด้วยความหวาดหวั่นในขณะที่ตาสองคู่สบประสานสายตากันนิ่ง ยศสิตาเผลอจับจ้องอย่างลุ่มหลงในมนต์เสน่ห์ นี่เป็นครั้งแรกหลังจาก... ‘ครั้งนั้น’ ที่หล่อนได้เห็นหน้าเขาในระยะใกล้ชิดขนาดนี้ดวงตากลมแป๋วยังคงจ้องมองเขาอยู่อย่างนั้นจนไม่อาจถอนสายตาได้ ใบหน้าคมคร้ามประดับด้วยดวงตาสีน้ำตาลเข้มซึ่งเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ชวนค้นหา จมูกเขาโด่งเป็นสันรับด้วยริมฝีปากหยักได้รูปแต่ทว่าบางสวยราวกับริมฝีปากผู้หญิง ช่วงบ่ากว้างผึ่งผาย ช่วงแขนแข็งแรงน่าสัมผัส หน้าอกกลัดแกร่งขวางเต็มไปด้วยมัดกล้ามหนั่นแน่น เอวสอบเพรียวไม่มีไขมันส่วนเกิน มันเป็นความหล่อเหลาในทุกมุมมองอย่างหาตัวจับยาก เขาช่างเต็มไปด้วยความเป็นบุรุษเพศสมชายชาตรี สามารถดึงดูดให้อิสสตรีเข้าใกล้ได้อย่างไม่ต้องใช้ความพยายามเลยสักนิด“กลัวผมหรือกลัวใจตัวเอง?” เขาจงใจก้มลงมาถามด้วยเสียงชวนสยิวในระยะกระชั้นชิดจนปากแทบจะสัมผัสกับปาก น้ำเสียงนั้นแฝงไว้อะไรบางอย่างที่มีความหมายลึกซึ้งแล่นปลาบเข้าไปในขั้วหัวใจของหล่อนจนจังหวะของชีพจรไห
บทที่ 3ใบหน้าแสนพยศเชิดขึ้นเมื่อถูกท้าทาย นึกอยากปฏิเสธนักแต่น้ำเสียงและแววตาหยามหยันเหมือนหล่อนเป็นพวกขี้กลัวทำให้ยศสิตาต้องขยับไปใกล้กับประตูอีกฝังของรถจี๊ปคั้นนั้นเพื่อขึ้นรถตามคำเชิญของเขา แต่รถดันสูงเกินไปทำให้หญิงสาวไม่สามารถก้าวขึ้นไปได้ง่ายๆภูริภัชร์กลั้นยิ้มบนใบหน้า พอยต์เท้าลงจากรถอย่างรวดเร็ว เดินอ้อมมาหา และโดยที่ยศสิตาไม่ทันได้ตั้งตัว มืออุ่นๆ ของเขาก็กระชับเข้าที่เอวอ้อนแอ้น แล้วส่งหล่อนขึ้นไปนั่งบนรถโดยใช้เวลาแค่เสี้ยวนาทีฝ่ายนั้นตวัดตามองขุ่น ใบหน้าแสนหวานง้ำงอแดงระเรื่อด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด รอยสัมผัสอุ่นๆ จากมือแกร่งเมื่อสักครู่ยังอบอวลอยู่ที่เอวหล่อนชายหนุ่มหัวเราะร่วน รู้สึกสนุกกับท่าทีพยศผยองของหล่อนยิ่งนัก ใบหน้าหล่อคมจึงจงใจโน้มลงมาใกล้ๆ อย่างอยากแกล้ง ก่อนจะกระซิบเสียงแหบพร่ารวยระรินลงบนใบหูขาวสะอาด“...หน้างอจังเลย...”“ใครหน้างอ!” เสียงหวานตวาดแว้ด มองเขาตาขวาง “พูดจาให้ดีๆ นะ”“จะมีใครเสียอีกล่ะ” เขากระดกคิ้วขึ้น ยิ้มร่าราวกับอ่านใจหล่อนได้“เอยคงเสียสติเป็นแน่ ถ้ายิ้มแย้มให้คนที่ฉวยโอกาสอย่างคุณ” ภูริภัชร์หัวเราะเบาๆ อย่างถูกใจ “ไม่ได้ฉวยโอกาสครับยาหยี
บทที่ 2หล่อนเอ่ยเพียงในใจ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นมาบนหน้าผากมนทันที และมีบางจังหวะที่นิ้วปลายนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ช่วยกันรุมจิก ตะบี้ตะบันบีบคลึงที่ปลายถันของหล่อน“ไม่นะ!” ยศสิตาอุทานออกมาเสียงดังอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเล่นเอาสายตาทุกคู่หันพรึบมองมายังหล่อนเป็นตาเดียวกัน วินาทีนั้นหญิงสาวจึงรู้ตัวว่าเผลอหลุดปากเพราะจินตนาการที่ไปไกลเหนือการควบคุม ใบหน้าหวานแดงแปร๊ดขึ้นด้วยความอับอาย‘เป็นอะไรของเขา’ ภูริภัชร์ขมวดคิ้วผูกเป็นปมอย่างสงสัย หากยังคงวางฟอร์มเก๊กหน้าขรึมตามแบบฉบับของตน“สวัสดีค่ะคุณลุง คุณป้า พี่พี”เสียงของอริสราราวกับระฆังช่วยชีวิต ยศสิตาจึงกลบเกลื่อนสถานการณ์อันน่าขายหน้า รีบกระวีกระวาดตามน้องสาวเข้าไปทำความเคารพผู้ใหญ่ทั้งสองคนและกล่าวทักทายตัวต้นเหตุอย่างไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้“ว่าไงเราสบายดีไหม” ภูริภัชร์กล่าวทักทายอริสราอย่างสนิทสนม เอื้อมมือมาขยี้ผมหล่อนเล่นอย่างเอ็นดูเช่นเคยภาพนั้นกระทบหัวใจที่กำลังวูบไหวส่งผลไปยังเปลือกตาคู่สวยต้องหลุบมองลงพื้นเพื่อบดบังรัศมีอันร้อนผะผ่าวของเปลวไฟริษยา ภูริภัชร์ให้ความเป็นกันเองสนิทสนิมกับอริสราแบบนี้มาตลอดแต่กับหล่อน... เขาจะ
บทที่ 1ปลายเดือนมกราคม...สายลมยามเช้าที่โชยมาเพียงแผ่วๆ พัดใบไม้ให้แกว่งไกว บ้างปลิดปลิวพลิ้วลอยไปตามกระแสลมเย็นอันสดชื่น หมู่ไม้ดอกหลากชนิดพากันชูช่อบานสะพรั่งอย่างมีชีวิตชีวา น้ำค้างสีใสสะท้อนแสงแดดเป็นประกายพราวระยับตามยอดหญ้า ท้องฟ้าที่เคยเต็มไปด้วยเงาดำทะมึนของหมู่มวลเมฆฝนกลับเปิดโล่งสว่างสดใส บ่งบอกให้คนที่มาเยือนรู้ว่านี่คือบรรยากาศหน้าหนาวของภาคเหนืออย่างแท้จริงรถสปอร์ตโฟร์วีลสมรรถนะสูงแบบเจ็ดที่นั่งกำลังแล่นออกจากสนามบินของจังหวัดเชียงใหม่ด้วยความเร็วคงที่ มุ่งหน้าไปยังอาณาเขตอันกว้างใหญ่ไพศาลของไร่ ‘วลีพรรณ’ทัศนียภาพสองข้างทางนั้นประดับไปด้วยภูเขาลูกย่อมๆ และต้นส้มที่ปลูกเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบซึ่งตอนนี้กำลังออกผลดกจนกลายเป็นสีเหลืองอร่ามสุดลูกหูลูกตาแสงแดดอ่อนยามเช้าเริ่มส่องแสงลงมากระทบกับน้ำค้างสะท้อนเป็นภาพระยิบวิบวับแวววาวหยอกล้อกับสายลมที่เคลื่อนไหวเพียงบางเบาเป็นระยะๆ คล้ายดั่งใครบางคนที่เคยฝากรอยยั่วเย้าเอาไว้บนเรียวปากนุ่มโดยที่เจ้าตัวไม่ได้เต็มใจสักนิดมือเรียวบางดั่งหยกสลักของ ‘ยศสิตา’ ขยับไปกดปุ่มข้างๆ ประตู ลดระดับกระจกลงมาเพื่อสัมผัสกับอากาศบริสุทธิ์แล







