Share

บทที่ 13

วันรุ่งขึ้นเช้าตรู มู่ซุ่นก็มามอบราชโองการ

พอหยุนเจิงได้ยินรชโองการ ในใจทั้งยินดีทั้งเศร้าหมอง

ที่ยินดีก็เพราะเขาไม่ต้องอยู่ในวังแล้ว สามารถทำอะไรในที่ลับได้บ้าง

แต่เขาก็กังวลว่าหากจู่ๆ จักรพรรดิเหวินรู้สึกผิดต่อตนเองขึ้นมา สมอเกิดทำงานผิดพลาด หลังพิธีสมรสก็ไม่ส่งตัวเขาไปซั่วเป่ยแล้ว

หากเป็นเช่นนั้น ก็แย่แล้วจริงๆ!

ทว่า ต่อให้ตอนนี้เขาจะกังวลใจก็ไม่มีประโยชน์ ทำได้เพียงรับราชโองการอย่างหน้าชื่นบาน

แม้ว่าหยุนเจิงจะอาศัยอยู่ในเรือนปี้ปัวมาหลายปี แต่ของของเขามีไม่มาก

แค่เก็บเพียงครู่ หยุนเจิงก็พาองครักษ์ทั้งคู่จากไป

พอมาถึงจวนอวี๋ เขาเพิ่งจะพบว่าป้ายจวนอวี๋ถูกแกะลงมาแล้ว

เปลี่ยนเป็นป้ายจวนองค์ชายหก

พอดูป้ายชื่อแล้ว ก็เห็นได้ชัดว่าเร่งทำขึ้นมาทั้งคืน ฝีมือไม่ประณีตเท่าไหร่ แม้แต่สีน้ำมันที่ลงทับยังไม่ทันแห้งดีเสียด้วยซำ!

“รับเสด็จองค์ชายหก!”

คนในจวนรีบทำการคาราวะ

ให้มันได้อย่างนี้สิ คนไม่น้อยเลย

หากรวมชายหญิงทั้งหมดแล้ว น่าจะมีสามสิบกว่าคน

ในคนพวกนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นสาวรับใช้กับคนสวน

ยังมีองครักษ์อีกหกนาย

ทว่า คนพวกนี้คงเป็นคนที่จักรพรรดิเหวินให้คนจัดหามาให้ ในใจหยุนเจิงเกิดความรู้สึกผิดแผก

มีแต่ผีสางเทวดาที่รู้ว่าในนี้มีสายของจักรพรรดิเหวินอยู่เท่าใด

“ตามสบาย!”

หยุนเจิงโบกมือ แต่กลับลอบตัดสินใจ

ต้องรีบหาคนรู้ใจที่สนิทกับตนให้ไว!

หลังจากเดินรอบจวนไปหนึ่งหน หยุนเจิงก็นำเกาเหอกับโจวมี่ออกจวนไป

“องค์ชาย จะประทับรถม้าไปหรือไม่?”

เกาเหอแนะนำว่า “แต่ก่อนองค์ชายคงไม่ค่อยได้ขี่ม้า หากเกิดข้อผิดพลาด พวกกระหม่อมรับโทษไม่ไหว”

“ขี่ม้าไปนี่แหละ!”

หยุนเจิงสูดจมูก “ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็เป็นคนที่กำลังจะเข้าสู่สนามรบแล้ว หากว่าแม้แต่ม้ายังขี่ไม่เป็น ไม่เป็นการเสียพระพักตร์เสด็จพ่อหรอกหรือ?”

พูดไป หยุนเจิงก็ขึ้นควบขี่ม้า

ก่อนที่เขาจะทะลุมิติม้าเขาไม่เคยขี่ม้าสักครั้งจริงๆ นี่เป็นการขี่ม้าครั้งแรก ทุลักทุเลไม่น้อย

เห็นท่าทางเงอะๆ งะๆ ของหยุนเจิงนี้ โจวมี่และเกาหออดไม่ได้ลอบส่ายหัวในใจ

เนี่ยนะ?

แค่ม้ายังขี่ไม่ค่อยเป็น ยังจะไปออกรบ?

นี่เป็นการส่งตัวเองไปตายในสนามรบชัดๆ!

ทั้งสองแม้ว่าจะดูถูกเขาแต่ก็ไม่ชักช้า คนหนึ่งซ้ายคนหนึ่งขวาขนาบข้างป้องกันหยุนเจิง กลัวว่าหยุนเจิงจะตกจากหลังม้า

พอขี่ม้าไปได้สักพัก หยุนเจิงก็คุ้นชิน

“องค์ชาย นี้พวกเราจะไปที่ใดกันหรือ”

โจวมี่สอบถาม

“จวนตระกูเสิ่น”

หยุนเจิงตอบกลับว่า “ข้าย้ายบ้าน อย่างไรก็ต้องแจ้งให้ตระกูลเสิ่นทราบ”

โจวมี่ยิ้มกล่าว “เรื่องเล็กเช่นนี้ องค์ชายสั่งให้พวกข้าน้อยไปแจ้งก็พอแล้ว ไม่ต้องไปด้วยตนเองก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”

“ถือเสียว่าเป็นการฝึกขี่ม้าก็แล้วกัน!”

หยุนเจิงหัวเราะขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ ถามโจวมี่เสียงค่อย “นี่ก็นับว่าข้าย้ายบ้านใหม่ ตามหลักแล้ว ข้าควรจัดงานเลี้ยงฉลองเชิญพวกขุนนางมาที่จวนหรือเปล่า”

“เรื่องนี้…”

โจวมี่ชะงักเพียงครู่แล้วยิ้มพลางกล่าว “ตามหลักแล้วก็ควรจะเป็นเช่นนั้น แต่องค์ชายหกหากเชิญพวกขุนนางในราชสำนักมา เกรงว่าจะ …”

คำพูดประโยคหลังโจวมี่ไม่ได้พูดต่อ

แต่ว่าหยุนเจิงกลับเข้าใจความหมายของเขา

ก็แค่กลัวว่าจะไม่มีคนมาแสดงความยินดีด้วยสินะ?

เขาก็หวังว่าจะไม่มีคนมาแสดงความยินดีนี่แหละ ขอแค่ของขวัญมาถึงบ้านก็พอ!

นี่มันเป็นโอกาสการหาเงินที่ดีมากเลยนะ!

ขอแค่มีทหาร มีเงิน มีเสบียง คอยดูว่าจะมาตีพวกลูกเต่าน้อยพวกนี้ให้ตายยังไง!

หยุนเจิงก้มหน้าแสร้งทำเป็นน้อยใจ

เพียงครู่ หยุนเจิงก็ถอนหายใจพูดว่า “ไม่ว่าจะมีคนมาหรือไม่ สิ่งที่ข้าควรทำก็ทำให้ถูกตามหลักเสีย จะมาให้คนอื่นกล่าวหาว่าเชื้อพระวงศ์ไม่มีกาลเทศะไม่ได้…”

พอกลับถึงจวนก็เขียนเทียบเชิญกองหนึ่งให้คนนำไปส่ง

สำหรับพวกขุนนางใหญ่พวกนั้น เขาถึงขึ้นไปส่งด้วยตนเอง!

บิดามามอบเทียบเชิญให้ด้วยตนเอง อย่างน้อยพวกเจ้าก็ต้องให้ของขวัญบ้างล่ะ?

ย้ายบ้านก็ล่อเงินมาครั้งหนึ่ง ตอนแต่งงานก็จะมาเอาอีกครั้งหนึ่ง แค่นี้ก็มีเงินแล้วมิใช่หรือ?

หวานเจี๊ยบ!

พอเห็นว่าหยุนเจิงยืนกรานจะทำเช่นนั้น ทั้งสองก็ไม่ได้เสนอความเห็นอะไรอีก

พอถึงเวลาหากไม่มีใครมาแสดงความยินดี เขาก็จะรู้ไงว่าการขายขี้หน้ามันเป็นอย่างไร

ไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงจวนเสิ่น

ขณะนี้ พวกฮูหยินเสิ่นกำลังต้อนรับแขกอยู่

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status