หากเช้าตรู่ได้รู้แจ้งในวิถีแห่งเต๋า แม้ตายตอนเย็นก็ไม่เสียดายเพียงแค่ “รู้แล้วลงมือทำ” สี่คำนี้ ก็ทำให้หนิงชิงโหวมองเห็นมุมหนึ่งของวิถีแห่งนักปราชญ์ ในชั่วพริบตาราวกับช่วงเวลาที่ความโกลาหลเพิ่งแยกออกจากกัน สายฟ้าแรกได้พลันฟาดลงมาฉีกกระชากความมืดมิดอันเป็นนิรันดร์“รัชทายาท...”“การรู้แล้วลงมือทำ จะทำได้อย่างไร?”“ในปรัชญาแห่งจิตใจ มีคำอธิบายหรือไม่?”หนิงชิงโหวสูดหายใจเข้าลึกๆ ถามอย่างระมัดระวังความรู้ส่วนใหญ่ในโลกนี้ล้วนเป็นแบบแผนเช่นสี่ตำราห้าคัมภีร์ แก่นแท้อยู่ที่คำว่าเมตตา!แต่ทำไมต้องเมตตา?ในหนังสือไม่ได้บอกเจ้าต้องศึกษาเอง ค่อยๆ ทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งด้วยตัวเองอ่านหนังสือร้อยรอบ ความหมายก็จะปรากฏเองถ้าตระหนักรู้ไม่ได้ล่ะ?แบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากคนหัวทึบ ความสำเร็จในชีวิตมีจำกัด อย่างมากก็เป็นได้แค่ทงเซิงเท่านั้นเปรียบเสมือนว่าหลักธรรมในสี่ตำราห้าคัมภีร์ คือหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสองแต่ทำไมถึงเท่ากับสองในหนังสือไม่ได้บอก ต้องตระหนักรู้เองหากใครเข้าใจแจ่มแจ้ง ก็สามารถก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและรุ่งเรืองถึงขีดสุดบางคนตระหนักรู้ไม่ได้ ก็เสียเวลาไปตลอดชี
รากฐานอันลึกล้ำของสำนักปราชญ์ ยังคงมีพลังในการโต้กลับ เมื่อใดก็ตามที่หลี่หลงหลินเผยช่องโหว่ สำนักปราชญ์ก็จะกัดไม่ปล่อยแน่นอน หนิงชิงโหวเอ่ยอย่างลำบากใจ: “แต่ว่าองค์รัชทายาท คดีที่จดหมายนิรนามเหล่านี้กล่าวหานั้น ล้วนเป็นเรื่องเก่าแก่ยาวนาน ไม่ใช่ว่าไม่อาจพิสูจน์ได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาและกำลังคนจำนวนมาก...” หลี่หลงหลินเอ่ยด้วยยิ้ม: “คนธรรมดาทั่วไป ตรวจสอบคดีเหล่านี้ ย่อมยากลำบาก! แต่อย่าลืมไปว่า ยังมีองครักษ์เสื้อแพร! ท่านเอาจดหมายเหล่านี้มอบให้ข้า ให้องครักษ์เสื้อแพรไปตรวจสอบ!” “รับรองว่าก่อนวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนอ้าย จะต้องกระจ่างชัด” หนิงชิงโหวตาเป็นประกาย: “จริงด้วย ยังมีองครักษ์เสื้อแพร! ให้พวกเขาไปตรวจสอบ จะต้องได้ผลลัพธ์รวดเร็วแน่นอน” หลิ่วหรูเยียนถามด้วยดวงตาเป็นประกาย: “หนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยฉบับต่อไป จะต้องเว้นหน้ากระดาษไว้ เพื่อตีพิมพ์เนื้อหาในจดหมายเหล่านี้หรือไม่?” หนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ย เป็นดั่งกระบี่วิเศษ! ที่หลี่หลงหลินกล้าต่อกรกับสำนักปราชญ์ ก็เพราะอาศัยหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยนี้ มิฉะนั้น... หลี่หลงหลินไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของสำนักป
กลองร้องทุกข์ กลองนี้คือกลองที่ฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งต้าเซี่ยทรงประดิษฐานไว้หน้าประตูอู่เหมิน หากชาวบ้านได้รับความอยุติธรรม ก็สามารถมาตีกลองร้องทุกข์นี้ เพื่อเป็นการยื่นฎีกา ให้เรื่องราวไปถึงเบื้องพระยุคลบาทได้ ทว่า... นับตั้งแต่ก่อตั้งต้าเซี่ยมา จำนวนครั้งที่กลองร้องทุกข์ถูกตีนั้น แทบนับครั้งได้ และล้วนเกิดขึ้นในช่วงต้นของการก่อตั้งอาณาจักร ร้อยปีให้หลังมานี้ กลองร้องทุกข์ไม่เคยถูกตีแม้แต่ครั้งเดียว กลายเป็นเพียงของประดับ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? สาเหตุก็แสนง่ายดาย ทุกครั้งที่กลองร้องทุกข์ดังขึ้น หมายความว่ามีคดีใหญ่สะเทือนฟ้าดินอุบัติขึ้น ฮ่องเต้จะต้องเสด็จมาไต่สวนคดีนี้ด้วยพระองค์เอง ทั้งยังมีชาวบ้านและขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ร่วมเป็นสักขีพยาน เพื่อแสดงถึงความยุติธรรม นั่นก็หมายความว่า... เมื่อใดก็ตามที่กลองร้องทุกข์ถูกตี ไม่รู้ว่าจะมีขุนนางกี่คนที่ต้องหัวหลุดจากบ่า เลือดนองแผ่นดิน ดังนั้น... เหล่าขุนนางจึงคิดหาวิธี โดยอ้างว่ากลองร้องทุกข์จะรบกวนเบื้องพระยุคลบาท ไม่เพียงแต่ส่งคนไปเฝ้ากลอง ยังซ่อนไม้ตีกลองเอาไว้ นอกเหนือจากนี้ ไม่ว่าผู้ใด หากตีกลองร้องทุกข
เจิ้งถูฮู่ดวงตาเป็นประกาย หัวเราะเสียงดัง: “ไม่มีประโยชน์หรือ? เจ้าจะไปรู้อะไร! พิธีสักการะฟ้าดิน ไม่มีประโยชน์อะไรจริงๆ แต่ตอนนี้มีคนตีกลองร้องทุกข์ ร้องฎีกา!” “เจ้ารู้กฎของกลองร้องทุกข์หรือไม่?” เจิ้งเทียนฉินส่ายหน้า สีหน้ามึนงง พูดตามตรง เขาไม่รู้จริงๆ ในสำนักศึกษา สอนแต่สี่ตำราห้าคัมภีร์ เรียงความของนักปราชญ์ ไม่สอนเรื่องพวกนี้เลย ที่จริง ตอนเด็กเจิ้งเทียนฉินก็เคยถามอาจารย์ว่า กลองร้องทุกข์มีไว้ทำอะไร ผลก็คือ อาจารย์สีหน้ามืดมน แล้วเอาไม้เรียวมาตีมือเขา การตีกลองร้องทุกข์ ในสายตาของสำนักปราชญ์ คือการที่ไพร่ก่อเรื่อง ในสำนักศึกษา สอนวิถีแห่งปราชญ์ ไม่ใช่สอนให้คนเป็นไพร่ เจิ้งถูฮู่ยิ้มพลางอธิบาย: “ตามกฎที่ฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งต้าเซี่ยตั้งไว้! ไม่ว่าผู้ใด หากตีกลองร้องทุกข์ ร้องฎีกา ฮ่องเต้จะต้องเสด็จมาไต่สวนคดีนี้ด้วยพระองค์เอง!” “ยิ่งไปกว่านั้น ชาวบ้านมีสิทธิ์เข้าไปในพระราชวังต้องห้าม เพื่อชมการไต่สวน เป็นการแสดงถึงความยุติธรรม!” เจิ้งเทียนฉินตกตะลึง พระราชวังต้องห้าม สำหรับชาวบ้านทุกคนแล้ว เป็นสถานที่ลึกลับและศักดิ์สิทธิ์ เขาก็เช่นกัน ตอนเด็ก เจิ้งเทียนฉ
ประตูอู่เหมิน ข้างกลองร้องทุกข์ ภายใต้สายตาของชาวบ้านนับพันนับหมื่น หลี่หลงหลินส่งไม้ตีกลองให้ซูเฟิ่งหลิงที่อยู่ข้างๆ สองมือไพล่หลัง เอ่ยด้วยท่าทางหยิ่งผยอง: “เว่ยกงกง พูดอะไรเช่นนี้ ชาวบ้านตีกลองร้องทุกข์ได้ เหตุใดองค์รัชทายาทจะตีไม่ได้?” เว่ยซวินพูดไม่ออก ยืนงงในสายลม จู่ๆ เขาก็คิดถึงองค์ชายเก้าในอดีต กินดื่มเที่ยวเล่น ฟังดนตรีในหอนางโลม ซ่อนคมอย่างสงบ เป็นขยะที่รอวันตาย แล้วตอนนี้ล่ะ? เรื่องที่หลี่หลงหลินทำ ช่างถี่กระชั้น! จากงานเลี้ยงชมดอกไม้ร้อยบุปผาในคืนส่งท้ายปีเก่า ถึงพิธีสักการะฟ้าดินในวันขึ้นปีใหม่ ช่วงปียังไม่ทันผ่านพ้น หลี่หลงหลินก็มาตีกลองร้องทุกข์ ร้องฎีกา! นี่จะไม่ให้ใครได้พักผ่อนกันสักวันเลยหรือ ยิ่งไปกว่านั้น... จุดประสงค์แรกเริ่มของการตั้งกลองร้องทุกข์นี้ ฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งต้าเซี่ยทรงตั้งไว้ให้ชาวบ้านที่สิ้นไร้หนทาง ท่านเป็นถึงองค์รัชทายาท จะมีเรื่องอยุติธรรมใด? พระองค์จะมาสร้างเรื่องวุ่นวายอะไร! แม้ในใจเว่ยซวินจะบ่นพึมพำ แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม: “องค์รัชทายาท บ่าวพูดผิดไป! กลองร้องทุกข์นี้ ชาวบ้านตีได้ พระองค์ก็ย่อมตีได้ บ่าวจะกลับ
เหตุใดเขาจึงตีกลองร้องทุกข์ และเหตุใดจึงพาประชาชนมากมายขนาดนี้เข้ามา หรือว่า... ในสมองของหลายคน ปรากฏภาพที่คุ้นเคย ภาพและบรรยากาศตรงหน้า เหมือนกับตอนที่องค์ชายหกหลี่เซวียนนำทหารก่อกบฏ บุกเข้าวังหลวง ต่างกันตรงที่... ตอนที่หลี่เซวียนก่อกบฏ ยังมีหลี่หลงหลิน ซูเฟิ่งหลิง นำทหารพ่ายศึกของตระกูลซูมาพลิกสถานการณ์! แต่ตอนนี้... หลี่หลงหลินกลับพาชาวบ้านบุกเข้าวังหลวง หมายจะก่อกบฏ! ผู้พิชิตมังกร ในที่สุดก็กลายเป็นมังกรเสียเอง! หลี่เทียนฉี่เป็นคนแรกที่ตอบสนอง จึงตะโกนด่า: “องค์รัชทายาท นี่จะก่อกบฏ! เสด็จพ่อ นี่เป็นการกบฏ ถือเป็นความผิดร้ายแรง ไม่อาจให้อภัยได้! ขอเสด็จพ่อทรงมีราชโองการ ปลดหลี่หลงหลินจากตำแหน่งองค์รัชทายาท!” ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ต่างเห็นพ้อง: “ฝ่าบาท การกระทำขององค์รัชทายาท เกินไปแล้ว!” “ที่องค์รัชทายาทเหิมเกริมเช่นนี้ เป็นเพราะฝ่าบาททรงโปรดปรานและตามใจ จนเกิดเรื่องในวันนี้!” “ใช่แล้ว ฝ่าบาท! ครั้งนี้ ต้องลงโทษองค์รัชทายาทอย่างหนัก!” ฮ่องเต้หวู่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร สีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยด้วยเสียงดังกึกก้อง: “พวกเจ้าทุกคนจงเงียบ! พวกเจ้านี่ช่างด่วนส
“เสด็จพ่อ!” หลี่หลงหลินถอนหายใจ: “ลูก ตีกลองร้องทุกข์ เป็นเรื่องที่จำใจต้องทำ! เพราะผู้ที่ลูกจะร้องฎีกานั้น แม้แต่เสด็จพ่อก็ไม่อาจทำอะไรได้ ยากจะรับมือ” คำพูดนี้ ทำให้ทั่วทั้งลานหยกขาวเกิดความโกลาหล สีหน้าของฮ่องเต้หวู่มืดครึ้ม อัปลักษณ์ถึงขีดสุด เป็นผู้ใด? ที่ทำให้ข้าไม่อาจทำอะไรได้? เจ้าเก้า เจ้ากำลังทำให้ข้าเสียหน้าต่อหน้าประชาชน และเหล่าขุนนาง!ฮ่องเต้หวู่สูดลมหายใจลึก: “องค์รัชทายาท! เจ้าพูดให้ชัดเจน ว่าจะร้องฎีกาผู้ใด และข้าจะรับมือไม่ได้อย่างไร!” หลี่หลงหลินพูดอย่างหนักแน่น: “ผู้ที่ลูกจะร้องฎีกา คือสำนักปราชญ์!” สำนักปราชญ์? ทุกคนมองหน้ากันอย่างตื่นตระหนก แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองหลี่หลงหลินพูดชัดเจน เขาไม่ได้มุ่งเป้าไปที่คนหนึ่งหรือสองคน ไม่ใช่เสิ่นชิงโจว ไม่ใช่บัณฑิตทรงคุณวุฒิที่นำโดยฉินฮั่นหยาง แต่เป็นทั้งสำนักปราชญ์ กล่าวคือ... หลี่หลงหลินต้องการสั่นคลอนรากฐานของสำนักปราชญ์! นี่คือการเป็นศัตรูกับบัณฑิตทั้งใต้ทั่วหล้า เป็นศัตรูกับวิถีแห่งปราชญ์! เขาเสียสติไปแล้วหรือ? ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้ว: “องค์รัชทายาท เจ้า...เจ้าพูดให้ชัดเจน! เจ้าจะร้องฎีกาบั
“แต่ไม่ใช่ตอนนี้...” หลี่หลงหลินส่ายหน้า ยิ้มอย่างขมขื่น: “เสด็จพ่อ ลูกยังเยาว์วัย รอได้! แต่ต้าเซี่ยรอได้หรือ? ชาวบ้านที่ตกอยู่ในความทุกข์ยาก รอได้หรือ?” ฮือ! ประชาชนแตกตื่น! ดังที่ฮ่องเต้หวู่เอ่ย หลี่หลงหลินเป็นองค์รัชทายาท ถูกกำหนดให้สืบทอดราชบัลลังก์ ขึ้นครองราชย์ เขาจะรีบร้อนไปไย? เหตุใดเขาจึงต้องกำจัดสำนักปราชญ์? เหตุใดต้องเป็นศัตรูกับคนทั้งใต้หล้า? หลี่หลงหลินไม่ได้ทำเพื่อตนเอง แต่เพื่อพวกเรา ประชาชนทุกคน! ใบหน้าแต่ละคนต่างตกตะลึง ดวงตาแต่ละคู่ เต็มไปด้วยความซาบซึ้งและตื้นตัน ผู้มีอำนาจมักเห็นแก่ตัว ผู้สูงศักดิ์ ล้วนมีนิสัยเหมือนกัน มักจะคำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเองก่อน ใครจะมาเห็นอกเห็นใจชาวบ้าน แม้แต่ขุนนางที่เรียกตัวเองว่าขุนนางตงฉิน อ้างตนว่าเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์สุจริต มักจะออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้ประชาชน แท้จริงแล้ว พวกเขาก็ทำเพื่อตนเอง คนเราเกิดมา ก็หนีไม่พ้นชื่อเสียงและลาภยศ ขุนนางตงฉินเหล่านี้ ไม่ได้ต้องการลาภยศ แต่ต้องการชื่อเสียง กล่าวโดยสรุป... ประชาชนสำหรับพวกเขา เป็นเพียงเครื่องมือในการแสวงหาชื่อเสียงและลาภยศ เมื่อผลประ
เหล่าขุนนางในราชสำนักต่างส่งเสียงฮือฮาผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนหาใช่จำนวนน้อยๆ ไม่!ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้าเย็นชาเจ้ากรมกลาโหมเอ่ยเสียงเนิบนาบ “ฝ่าบาท ตามที่กระหม่อมเห็น ผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนนี้คือภัยร้ายที่ซ่อนอยู่ในเมืองหลวง หากจัดการไม่เหมาะสม ผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนก่อการจลาจลขึ้น เกรงว่า...”เจ้ากรมกลาโหมไม่กล้ากล่าวอะไรต่อหากเขากล่าวอะไรต่อไปอีก จะต้องทรงพระพิโรธเป็นแน่ แต่ก็จำเป็นต้องทูลเตือนฝ่าบาท ไม่ว่าก่อนหน้านี้หลี่หลงหลินจะเคยทูลรับรองสิ่งใดต่อหน้าฝ่าบาทก็ตาม ก็จำเป็นต้องทำให้ฝ่าบาททรงตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนส่วนใหญ่เป็นพวกที่ควบคุมได้ยาก คนเหล่านี้รวมตัวกันอยู่นอกเมืองหลวงได้สร้างผลกระทบเลวร้ายไม่น้อยแล้ว หากถูกผู้ไม่ประสงค์ดีปลุกปั่น ย่อมเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่เป็นแน่!แม้ว่าตอนนี้จางไป่เจิงจะนำทัพกลับราชสำนักแล้ว กำลังทหารในเมืองหลวงจะเข้มแข็ง ก็ยังคงเป็นปัญหาที่จัดการได้ยากอยู่ดีเหล่าขุนนางต่างเห็นพ้องต้องกัน“ฝ่าบาท เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชะตาของแคว้นต้าเซี่ย โปรดอย่าได้ทรงประมาทเป็นอันขาดพ่ะย่ะค่ะ!”“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ขณะนี้
“อะไรนะ!”ฮ่องเต้หวู่ทรงพระพิโรธอย่างยิ่ง!เขาไม่เคยคาดคิดว่าหลี่หลงหลินจะกล่าววาจาเหลวไหลถึงเพียงนี้ นี่มันยิ่งกว่าการเห็นชีวิตคนเป็นผักปลาเสียอีก! ยามนี้ราษฎรยากจนถึงขั้นไม่มีปัญญาซื้อหาธัญญาหาร แล้วจะมีเนื้อที่ไหนให้กินกัน?เจ้ากรมคลังลดเสียงลง กล่าวว่า “ฝ่าบาท วาจาเหลวไหลเช่นนี้ออกมาจากโอษฐ์ขององค์รัชทายาทจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ทีแรกกระหม่อมคิดว่าเป็นเพราะตนเองตาฝ้าฟางไป แต่ฎีกาหลายฉบับล้วนรายงานตรงกัน เกรงว่าวาจานี้คงเป็นสิ่งที่องค์รัชทายาทตรัสจริงๆ...”เหล่าขุนนางต่างส่งเสียงฮือฮาคาดไม่ถึงว่าหลี่หลงหลินจะทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้!ไม่เพียงแต่สร้างความเยือกเย็นในใจของราษฎร ยังสร้างความเยือกเย็นในใจของขุนนางในราชสำนักอีกด้วย นี่คือการกระทำชั่วร้ายที่ยากจะสาธยายให้หมดสิ้น อาลักษณ์จะต้องบันทึกเรื่องนี้ลงในพงศาวดารเป็นแน่ ทำให้ชื่อเสียงของหลี่หลงหลินฉาวโฉ่ไปชั่วกาลนาน!ฮ่องเต้หวู่ส่ายพระพักตร์ ทรงครุ่นคิดในพระทัยไม่ใช่ เจ้าเก้าไม่น่าจะทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้ อย่างน้อยในเมืองหลวง ราษฎรส่วนใหญ่ก็เคยได้รับความเมตตาจากเขา หรือว่าก่อนหน้านี้เป็นเพียงการแสดง?ฮ่องเต้หวู่ตรัสเสียงเย็น “
ณ ท้องพระโรงบรรดาขุนนางทั้งหลายต่างสงบเสงี่ยม ก้มหน้าคารวะถวายบังคมฮ่องเต้หวู่ทอดพระเนตรกวาดสายตาไปยังหมู่ขุนนาง พลางตรัสเรียบเรื่อย “เหล่าขุนนางทุกท่าน หากมีเรื่องก็กราบทูล หากไม่มีเรื่องก็เลิกประชุมเถิด”นับตั้งแต่หลี่หลงหลินเดินทางไปยังตงไห่ ราชสำนักก็ดูสงบขึ้นไม่น้อย ฮ่องเต้หวู่ซึ่งแต่เดิมก็เอนเอียงไปทางเก็บตัวเงียบๆ ก็เริ่มชินกับจังหวะสงัดเช่นนี้ ยิ่งตอนนี้จางไป่เจิงนำทัพกลับสู่เมืองหลวง ปัญหากำลังพลไม่พอในเมืองหลวงก็คลี่คลายลง บรรดาขุนนางที่เคยซ่องสุมคิดร้ายในเงามืด ก็พากันลดราวาศอกแต่แล้ว เจ้ากรมคลังก็ก้าวออกมา สีหน้าเคร่งเครียด “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้หวู่เห็นเป็นกรมคลัง จึงขมวดคิ้วเบาๆ กล่าวว่า “ว่ามา”แม้ปัญหาเรื่องทหารจะคลี่คลาย แต่เงินในท้องพระคลังก็ยังร่อยหรอ หากกรมคลังเสนอฎีกาเมื่อใด มักไม่พ้นเรื่องเงินไม่พอใช้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขากลัดกลุ้มมาเนิ่นนาน เจ้ากรมคลังกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น “ฝ่าบาท ขณะนี้เขตตงไห่ประสบภาวะขาดแคลนเสบียงจนเกิดทุพภิกขภัย ราษฎรอดอยากปากแห้ง ร้องทุกข์ระงม แต่ละเขตในตงไห่ต่างก็ส่งฎีกาขอความช่วยเหลือจากราชสำนัก...”ฮ
กงซูหว่านมองดูแบบร่าง โครงสร้างเรียบง่ายมาก แต่นางไม่รู้ว่าควรจะเรียกมันว่าอะไรหลี่หลงหลินเอ่ยเสียงเรียบ “นี่คือกระป๋อง”“กระป๋อง? มันสามารถถนอมอาหารได้หรือเพคะ?”หลี่หลงหลินยิ้มเล็กน้อย “แน่นอน หากสภาพแวดล้อมเหมาะสม แม้เวลาจะล่วงเลยไปแปดปี สิบปีก็ยังไม่เสีย”“นานขนาดนั้นเชียวหรือเพคะ?”กงซูหว่านเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง ราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินในความเข้าใจของกงซูหว่าน การเก็บรักษาอาหารได้นานสักไม่กี่เดือนก็ถือว่าน่าทึ่งแล้วหลี่หลงหลินยิ้มบางๆ “ยิ่งไปกว่านั้น ขนาดของกระป๋องยังเล็กกระทัดรัด เหมาะแก่การพกพาในยามออกศึกยิ่งนัก”“หากพี่สะใภ้รองสามารถทำมันขึ้นมาได้ ข้าก็ตั้งใจจะเปิดโรงงานกระป๋องที่ตงไห่ แปรรูปปลาหวงฮื้อใหญ่จำนวนมหาศาลที่จับขึ้นมาโดยเฉพาะ”หลี่หลงหลินยิ้มบาง หากผลิตกระป๋องได้สำเร็จ ก็ไม่ต้องหวั่นไหวต่อภัยแล้งและความอดอยากอีกต่อไปกงซูหว่านยังคงตกตะลึง “โรงงานกระป๋องหรือเพคะ? ถึงข้าจะทำตามแบบได้เป๊ะๆ แล้วจะไปหาคนงานจากที่ใด?”ยามนี้ชาวเมืองตงไห่ต่างก็แย่งกันออกทะเลหาปลา กำลังคนขาดแคลนเป็นอย่างยิ่งหลี่หลงหลินตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องห่วง ให้ชาวตงไห่เขาหาปลากันต่อไ
วันต่อมา ห้องหนังสือจวนอ๋องหลี่หลงหลินยกมือนวดหว่างคิ้ว มือวาดบางอย่างบนกระดาษกงซูหว่านขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง “องค์ชาย หม่อมฉันอิงตามวิธีของท่านแล้ว วันนี้ตั้งใจไปตั้งร้านแผงลอยในบริเวณคนพลุกพล่านเป็นพิเศษ เผยแพร่วิธีทำน้ำแข็งออกไป เหล่าราษฎร์สามารถใช้งานได้ ทุกคนต่างโห่ร้องด้วยความยินดี เพียงแต่บัดนี้เกลือหมางเซียวในร้านขายยาทุกแห่งของตงไห่ไม่เพียงพอ”หลี่หลงหลินพยักหน้า “เผยแพร่ออกไปก็ดีแล้ว เช่นนี้เนื้อปลาของเหล่าราษฎร์ก็สามารถเก็บรักษาได้นานขึ้น ไม่ต้องสิ้นเปลือง”“พี่สะใภ้รองเหนื่อยแล้ว หากนี่คือเมืองหลวง เพียงตีพิมพ์เรียงความในหนังสือพิมพ์ก็เพียงพอแล้ว แต่อยู่ที่ตงไห่ยังต้องให้พี่สะใภ้ออกแรงเหน็ดเหนื่อยด้วยตนเอง”ภายในคำพูดหลี่หลงหลินเปี่ยมความห่วงใย อย่างไรเสียกงซูหว่านก็เป็นสตรีมีพรสวรรค์ไม่ออกนอกบ้าน อยู่แต่ในห้องหอ จู่ๆ ขอให้นางไปสอนวิธีทำน้ำแข็งแก่ราษฎร์ ช่างทำให้อึดอัดคับข้องใจโดยแท้แต่หลี่หลงหลินคิดไปคิดมา ในบรรดาพี่สะใภ้มีเพียงพี่สะใภ้รองเข้าใจวิธีใช้เกลือหมางเซียวทำน้ำแข็ง ทำได้เพียงมอบหน้าที่สำคัญนี้ให้กงซูหว่านหัวเราะเบาๆ “ไม่ลำบากเพคะ จะ
ทุกคนสูดลมหายใจเย็นเฮือกหนึ่งโจรสลัดแคว้นโวกั๋วและชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือเป็นปัญหาแถบชายแดนต้าเซี่ยมานานนับร้อยปี ไม่ใช่ปัญหาที่สามารถจัดการได้อย่างง่ายดายมองออกว่าครั้งนี้เจตจำนงของหลี่หลงหลินยิ่งใหญ่อย่างมาก!หลี่หลงหลินพูดเรียบๆ “หากต้องการกำจัดปัญหาภายนอกจะต้องกำจัดปัญหาภายในก่อน หากต้องการเดินทางบนมหาสมุทร จะต้องจัดการปัญหาตรงหน้าให้เรียบร้อย หาไม่แล้วแผนการเดินเรือจะต้องได้รับผลกระทบแน่”“เป้าหมายสำคัญในการมาตงไห่ครั้งนี้คือพัฒนาศาสตร์ต่อเรือของต้าเซี่ย บัดนี้เรือเหล่านี้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการการเดินทางไกลได้ ความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอของเรือต้าเซี่ยก็เป็นเหตุผลที่โจรสลัดแคว้นโวกั๋วตงไห่สร้างความวุ่นวาย ได้รับผลประโยชน์มากมายในสงครามทางทะเล ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่สามารถกวาดล้างโจรสลัดแคว้นโวกั๋วที่บุกมาในคราวเดียวได้”“หากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป โจรสลัดแคว้นโวกั๋วก็จะยิ่งกำเริบเสิบสาน อาละวาดอย่างไร้ขอบเขตในทะเลตงไห่ ราษฎร์ตงไห่ก็จะได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก!”“ดังนั้นตราบใดที่สามารถเพิ่มระดับการต่อเรือของต้าเซี่ยได้ โจรสลัดแคว้นโวกั๋วย่อมหายไป ชนิดที่ว่าปราบตงอิ๋
ปากแดงของเหล่าสะใภ้ขยับเบาๆ ดวงตาสะท้อนความแปลกใจ “เป้าหมายคือมหาสมุทรอันกว้างใหญ่?”แม้เหล่าสะใภ้ไม่รู้ว่ามหาสมุทรอันกว้างใหญ่คือที่ใด แต่ได้ยินหลี่หลงหลินอธิบาย จะต้องเป็นสถานที่อันงดงามแน่!ซูเฟิ่งหลิงเอ่ยถาม “องค์ชาย มหาสมุทรกว้างใหญ่มากถึงเพียงนี้ เป้าหมายของพวกเราคือที่ใด?”กงซูหว่านพยักหน้า “ใช่แล้วองค์ชาย ยิ่งไปกว่านั้นระดับการเดินเรือในตอนนี้มากที่สุดก็ไปได้ถึงตงอิ๋ง หากยังไปทางทิศตะวันออก กลับยังไม่มีตัวอย่างมาก่อน”หลี่หลงหลินหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “เป้าหมายของพวกเราก็คือทวีปใหม่! ต้าเซี่ยและทวีปใหม่ห่างกันเพียงมหาสมุทรกั้น ลักษณะทางภูมิศาสตร์ได้เปรียบโดยธรรมชาติ สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือคิดหาทางพัฒนาเรือของต้าเซี่ย ขนวัวม้าสัตว์ใช้แรงงานจำนวนมากเพียงพอไปยังทวีปใหม่”“ขอเพียงมีวัวม้าสัตว์ใช้แรงงาน ต้องการผืนดินมากน้อยเพียงใดก็ย่อมได้ มีผืนดินนับพันลี้ให้ราษฎร์ได้ใช้!”เหล่าสะใภ้ได้ยินภาพที่หลี่หลงหลินอธิบาย ใบหน้าเผยรอยยิ้มเปี่ยมความหวังออกมาสถานที่ที่ไม่มีสงครามและไม่มีความหิวโหยอยู่ห่างเพียงมหาสมุทรกั้น กำลังโบกมือต้อนรับตนเองหลี่หลงหลินเปล่งเสียงเคร่งขรึม “ขอเพียง
“เป็นไปไม่ได้! ดินแดนที่ดีถึงเพียงนี้ ไฉนเลยจะไม่มีคน?”หลี่หลงหลินหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “เหตุที่มีคนน้อยมีเพียงข้อเดียว ตอนนี้พวกเขายังกินไม่อิ่ม”ถ้อยคำนี้ของหลี่หลงหลินดุจฟ้าผ่ากลางวันแสกๆเหล่าพี่สะใภ้ได้ฟังแล้ว คิดว่านี่คล้ายเรื่องเพ้อฝันยามราตรี ดินแดนอุดมสมบูรณ์ถึงเพียงนี้ ถึงขั้นยังมีคนกินข้าวไม่อิ่มท้องอีกหรือ?กงซูหว่านมองหลี่หลงหลินด้วยความตกตะลึง เอ่ยถามว่า “องค์ชาย ท่านไม่ได้กำลังล้อพวกเราเล่นหรอกกระมัง? อิงตามคำพูดของท่าน ทวีปใหม่จะต้องอุดมสมบูรณ์อย่างมากแน่ เหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์คนกินข้าวไม่อิ่มท้องได้เล่า?”“ใช่แล้วองค์ชาย หม่อมฉันไม่เชื่อ”“หรือว่าดินแดนที่ดีถึงเพียงนี้ พวกเขาไม่สามารถเพาะปลูกได้กันเล่า?”เหล่าพี่สะใภ้ฟังจนอารมณ์ดำดิ่งลงไป ต่างขอให้หลี่หลงหลินพูดออกมาให้ชัดเจน หลี่หลงหลินพูดเรียบๆ “ไม่ใช่พวกเขาไม่เพาะปลูก ทวีปใหม่ดีมากเยี่ยงไร มีเพียงข้อเดียวที่ไม่ดี ก็คือไม่มีวัวไม่มีม้า ไม่มีสัตว์ใช้แรงงาน”ดวงตาของเหล่าสะใภ้ทอประกายระยับ ประคองใบหน้างดงามรับฟังเงียบๆ“ดังนั้นตอนนี้พวกเขายังหยุดอยู่ที่ใช้มีดถางป่าเผาไร่เพาะปลูก ใช้วิธีการพื้นฐานที่สุดในการ
“ตงอิ๋ง? ก็แค่แคว้นเล็กๆ เท่านั้น ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง!”สายตาหลี่หลงหลินเผยแววหมิ่นแคลน“ตงอิ๋งเล็กๆ เป็นเพียงเกาะแห่งหนึ่งเท่านั้น เดิมทีก็ไม่คู่ควรต่อคำว่าทวีปใหม่สองคำนี้”ทุกคนตกตะลึงภายในความรู้ของเหล่าสะใภ้ ตงอิ๋งก็คือจุดสิ้นสุดของมหาสมุทรอันเวิ้งว้าง เหนือตงอิ๋งก็ไม่มีอันใดอีกคำพูดของหลี่หลงหลินทำให้ความรู้ที่พวกนางมีอยู่เปลี่ยนไปทั้งหมด!กงซูหว่านพูดเสียงสั่นๆ “องค์ชาย ความนัยของท่านคือนอกจากตงอิ๋งแล้วยังมีทวีปใหญ่อีกหรือ?”หลี่หลงหลินพยักหน้าและพูดว่า “ไม่เพียงมีทวีปใหญ่ แต่ยังเป็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์อย่างมากอีกด้วย!”พูดไป สายตาหลี่หลงหลินก็ทอดมองไปยังทิศทางหนึ่งกงซูหว่านพูดด้วยความแปลกใจ “อุดมสมบูรณ์อย่างมาก? อุดมสมบูรณ์มากเพียงใด เทียบกับต้าเซี่ยแล้วเป็นเช่นไร?”สายตาทุกคนล้วนเปี่ยมความแปลกใจ วางตะเกียบและชามข้าวในมือลงรับฟังหลี่หลงหลินเล่าเรื่องทวีปใหม่เงียบๆหลี่หลงหลินส่ายหน้าและพูดว่า “แผ่นดินต้าเซี่ยกว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์ มีผลผลิตและทรัพยากรมากมาย เป็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่ง แต่ทวีปใหม่มีที่ราบมาก แผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ทอดยาวนับพันลี้ ทุกหนแห่งล้วนค