องค์ชายสี่หลี่จือพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “เจ้าเก้า ในเมื่อเจ้ามั่นใจเช่นนั้น ก็ลองประลองกับท่านราชครูชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือดูสิ! ถ้าชนะได้ก็จะช่วยเชิดชูเกียรติให้ต้าเซี่ย!” หลี่หลงหลินปรายตามองหลี่จือแวบหนึ่ง “เหอะเหอะ!” เจ้าพูดว่าจะประลองบทกวี แล้วก็จะประลองเลยหรือ? ต่อหน้าฮ่องเต้ ฮองเฮา และไทฮองไทเฮา ตัวเจ้าถือเป็นใครกัน! ไทฮองไทเฮาค่อนข้างแปลกใจ จึงหันไปถามซูเฟิ่งหลิงที่อยู่ข้าง ๆ “เจ้าเก้ายังแต่งบทกวีเป็นด้วยหรือ? เหตุใดข้าถึงจำได้ว่าเขาเกลียดการอ่านหนังสือตั้งแต่เด็ก ไม่มีความรู้ ความสามารถ หรือขาดการศึกษา?” แม้บทกวีชายแดนสามบทของหลี่หลงหลินจะโด่งดังในเมืองหลวง แต่ไทฮองไทเฮาอยู่ในพระราชวังชั้นในมานาน ไม่เคยออกไปข้างนอกเลย และไม่ได้สนใจบทกวี จึงไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของเขา ซูเฟิ่งหลิงรีบพูด “เสด็จย่า! พระองค์คงยังไม่ทราบ หลี่หลงหลินนั้นมีพรสวรรค์อย่างล้นเหลือ บทกวีชายแดนสามบทของเขา ทำให้คนทั้งเมืองหลวงต้องตกตะลึง! โดยเฉพาะบทกวีหม่านเจียงหงที่ปลุกใจผู้คนได้อย่างมหัศจรรย์!” “นอกจากนี้ เขายังเคยสอนศิษย์ถึงสองคน คนหนึ่งได้ตำแหน่งจอหงวน อีกคนหนึ่งสอบติดบัณฑิตชั้นสูง!
บทกวีพันปี? เมื่อได้ยินคำนี้ ทั่วทั้งสวนหลวงพลันเงียบกริบ พระญาติในราชวงศ์ต่างงุนงง หลี่หลงหลินช่างกล้าพูดเหิมเกริมเสียจริง? บทกวียังไม่ได้แต่งด้วยซ้ำ แต่กลับกล้าประกาศว่าจะเป็นบทกวีพันปี? คิดว่าบทกวีพันปีนั้นหาง่ายเหมือนsy;ผักกาดหรือ? แต่ถึงกระนั้น... การเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่เช่นนี้ก็ช่วยเสริมความน่าเกรงขามได้ไม่น้อย! เซียวเซวียนเช่อหัวเราะเยาะ “บทกวีพันปี? อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดว่าบทกวีใด ๆ ที่เจ้าแต่งก็จะกลายเป็นพันปีได้? น่าขันสิ้นดี!” เซียวเม่ยเอ๋อร์เย้ยหยัน “ไม่นึกเลยว่า องค์ชายเก้าจะเป็นคนพูดจาพล่อยๆ และหยิ่งยโสเสียจริง! ข้าคงตาบอดเสียแล้วที่เคยคิดเลือกเจ้ามาเป็นราชบุตรเขย!” แม้หลี่หลงหลินจะถูกเยาะเย้ย ก็ยังคงสงบนิ่ง เพราะความจริงจะพิสูจน์ทุกอย่าง! รอให้ข้าท่องบทกวีนี้เสร็จ หวังว่าพวกเจ้าจะยังหัวเราะออกนะ! แต่ถึงอย่างนั้น หลี่หลงหลินก็ยังไม่รีบแต่งบทกวี เขาเอามือไพล่หลัง เงยหน้ามองพระจันทร์ที่สุกสกาวบนท้องฟ้า ราวกับกำลังครุ่นคิด การแต่งบทกวีนั้น! มักจะต้องมีการเก็บงำบางสิ่งบางอย่างไว้ เพื่อบ่มเพาะอารมณ์และสร้างบรรยากาศขึ้นมา! หากรีบเร่งจนเกินไป
ยอดเยี่ยมโดยแท้!กวีบทนี้ เทียบกับหม่านเจียงหงกวีบทนั้นแล้ว ยอดเยี่ยมไร้เทียมทาน!ฮองเฮาหลู่ หลินกุ้ยเฟย ไปจนถึงสนมในวังหลังทั้งหมด ทุกคนล้วนไม่สามารถรักษาความสุขุมเอาไว้ได้ สั่นสะท้านทั่วทั้งสรรพางค์กายดวงจันทราโคจรรอบหอสีชาด ดวงแขสาดประตูบานพระพร่างพราย แสงเพ็ญลอดหน้าต่างค่ำทำประกาย สาดแสงฉายผู้ใดเล่ามิเข้านอนพวกนางตราตรึงใจที่สุด กลับเป็นประโยคนี้!ความอยุติธรรมคือตนเองอยู่อย่างเดียวดายภายในวังหลัง เขียนพรรณนาความจริงต่อความอดกลั้นเพราะความเหงากระนั้นรึ?ถึงขั้นมีสนมยกมือปิดหน้า ร้องไห้ออกมาแล้วเซียวเม่ยเอ๋อร์ตกตะลึงเหม่อไป จับจ้องหลี่หลงหลินตาเขม็งนี่คือปีศาจอะไรกัน!เพียงออกจากปาก ก็คือบทกวีชั่วนิรันดร์!ความสามารถยอดเยี่ยมขั้นนี้ ตั้งแต่โบราณจนถึงตอนนี้ใครสามารถเทียบได้บ้างเล่า?องค์ชายไร้ประโยชน์ของต้าเซี่ยคนหนึ่ง ก็มีพรสวรรค์ความสามารถเพียงนี้เพียงคิดดูก็รู้ราษฎร์ของต้าเซี่ยคือเสือหมอบมังกรซ่อนเร้น มีคนมากความสามารถมากน้อยเพียงใด?ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือต้องการทำลายต้าเซี่ย ท้าทายอำนาจสามารถทำได้จริงหรือ?“ไม่ได้การ!”“องค์ชายเก้ามีความสามารถเกินไป!”
บทกวีของหลี่หลงหลินกลายเป็นบทกวีชั่วนิรันดร์!ดุจดาวล้อมเดือน กลายเป็นจุดสนใจของทุกคน!รอจนถึงวันพรุ่งนี้ บทกวีชั่วนิรันดร์นี้ จะต้องเผยแพร่ไปทั่วทั้งเมืองหลวง ทุกครอบครัวต่างรู้กันอย่างถ้วนทั่ว!เซียวเม่ยเอ๋อร์คล้ายถูกคนเหวี่ยงหมัดแรงๆ ใส่!เจ็บจนไม่สามารถหายใจได้!เดิมทีนางวางแผน ให้หลี่หลงหลินขายหน้า!สรุปคือ กลับช่วยสร้างชื่อเสียงให้เขา!ทว่าเพียงคิดดูก็รู้ หลังผ่านวันนี้ไป ชื่อเสียงของหลี่หลงหลินจะโด่งดังมากเพียงใด?ขโมยไก่ไม่สำเร็จยังเสียข้าวสารอีกด้วย!ตนเองกลับกลายเป็นหินรองเท้าขึ้นสู่ที่สูงของหลี่หลงหลินไปแล้ว!เซียวเม่ยเอ๋อร์คิดว่าตนเองใกล้ทุกข์ใจตายแล้ว พูดกับเซียวเซวียนเช่อน้ำตาคลอหน่วย “ราชครู! ท่านเร่งคิดหาทางเร็วเข้า!”ขณะเดียวกันเซียวเซวียนเช่อเกิดความคิดวู่วามอยากตายขึ้นมา เสียใจภายหลังอย่างมาก!ทั้งๆ ที่ตนเป็นเผ่าหมานอี๋เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้แต่กลับปาไข่กระทบหิน มีวัฒนธรรมเหนือกว่าต้าเซี่ย?นี่ยังมิใช่ว่าป่วยอีกหรือ?อันดับแรกมีตำราพิชัยยุทธ์ ต่อมามีบทกวีพ่ายแพ้อย่างอนาถทั้งสองสนาม!ต้นตอก็คือ ตนเองดูเบามรดกทางวัฒนธรรมของต้าเซี่ยต่ำเกินไป ดูเบาค
เพียงลงมือก็คือทองคำนับร้อยจิน!หนึ่งจินเท่ากับสิบตำลึง ขนมไหว้พระจันทร์ทองคำตรงหน้า มีมากถึงหนึ่งพันตำลึง?อิงตามราคาทองคำในตอนนี้ สามารถซื้อคฤหาสน์หรูหราไม่เลวหนึ่งหลังภายในเมืองหลวงได้!ของขวัญนี้ล้ำค่ามากจริงๆ!ฮองไทเฮากลับสบถเสียงเย็น พูดอย่างหมิ่นแคลน “เชย!”หลี่หลงหลินชะงัก จากนั้นหลุดหัวเราะเสด็จย่าของตนท่านนี้ แม้อายุมากแล้ว แต่มุมมองทั้งสามกลับมั่นคง ไม่ใช่ผู้ชราเลอะเลือน!ขนมไหว้พระจันทร์ทองคำ?เชยจนทนไม่ไหว!แต่หลี่หลงหลินไม่ยอมรับไม่ได้เชยก็เชยจริง แต่แท้จริงแล้วคือความเรียบง่ายแต่ได้ผลดี!ขอถามบนโลกนี้ ใครบ้างสามารถปฏิเสธขนมไหว้พระจันทร์ทองคำได้?ยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์การเงินของต้าเซี่ยในเวลานี้ ไม่สู้ดีมาโดยตลอดมิหนำซ้ำฮ่องเต้หวู่ยังเป็นคนหลงใหลในเงินทองคนหนึ่ง!ขนมไหวพระจันทร์ทองคำล้ำค่าเพียงนี้ ไม่เก็บก็เสียดาย ไม่ต้องการก็เสียเปล่า!ฮ่องเต้หวู่พยักหน้า “ขนมไหว้พระจันทร์ทองคำนี้ จริงใจมากเพียงพอ! แต่น่าเสียดาย ทำได้เพียงมอง ไม่สามารถกินได้! สหายเว่ย เจ้าเก็บแทนฮองไทเฮาเถอะ!”ไม่ว่าอย่างไร ขนมไหว้พระจันทร์ทองคำนี้ ฮ่องเต้หวู่ก็รับไว้แล้ว!เซียวเ
ฮองไทเฮาเข้าใจในทันใด ใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมา “ที่แท้ก็เป็นขนมไหว้พระจันทร์ที่หลานสะใภ้ทำด้วยตนเอง! ถึงขั้น...ถึงขั้น....”เซียวเม่ยเอ๋อร์ยิ้มเย็น พูดประชด “พูดหนึ่งพันชมหนึ่งหมื่น ก็แค่ขนมไหว้พระจันทร์มิใช่หรือ? ราคาแพงที่สุดก็แค่ยี่สิบสามสิบตำลึง มีอะไรให้เสียดายกัน!”ฮองไทเฮาไม่สบอารมณ์ ถลึงตาใส่เซียวเม่ยเอ๋อร์หนึ่งปราด “เผ่าป่าเถื่อนก็คือเผ่าป่าเถื่อน! แม้ของขวัญเบาแต่น้ำใจหนักหลักการนี้ ก็ไม่เข้าใจหรือ?”เซียวเม่ยเอ๋อร์สำลักจนพูดไม่ออกหลี่หลงหลินยิ้มน้อยๆ พูดว่า “เสด็จย่า ขนมไหว้พระจันทร์นี้ไม่เพียงเป็นน้ำใจของหลานและคนสกุลซู! ยิ่งไปกว่านั้น ราคาก็ไม่ธรรมดา! ขนมไหว้พระจันทร์ทุกอันอย่างน้อยก็ต้องจ่ายหนึ่งร้อยตำลึงพ่ะย่ะค่ะ!”หนึ่งร้อยตำลึง?ทุกคนล้วนสูดลมหายใจเย็นเฮือกหนึ่ง ใบหน้าเผยแววเหลือจะเชื่อนี่คือขนมไหว้พระจันทร์อะไร?หนึ่งอันต้องจ่ายหนึ่งร้อยตำลึง?ภายนอกมองไม่ออก หรือว่าไส้ภายในมีของดีอยู่ ซ่อนรังนกหูฉลาม ตับมังกรไขกระดูกหงส์กระนั้น?แต่ ขนมไว้พระจันทร์นี้มีขนาดเท่าฝ่ามือ ต่อให้เป็นรังนกหูฉลาม ก็จ่ายเพียงสามถึงห้าตำลึงเท่านั้น!ภายในขนมไหว้พระจันทร์มิได้ห่อทองเอ
ก็เหมือนอย่างที่ฮองไทเฮาพูด ความหวานพรรค์นี้ ต่อให้เป็นฮ่องเต้หวู่ ก็เพิ่งเคยสัมผัสเป็นครั้งแรก!ฮองเฮาหลู่ถือขนมไหว้พระจันทร์ไว้ในมือ อุทานอย่างตกตะลึง “ขนมไหว้พระจันทร์หวานยิ่งนัก! เทียบกับขนมไหว้พระจันทร์ที่ข้าเคยกินมาก่อนเหล่านั้น อร่อยยิ่งกว่า!”คนยุคสมัยโบราณ ทั้งหมดล้วนชอบกินของหวานยิ่งหวานยิ่งดี ไม่มีวันพูดว่าเลี่ยนหลังเหล่าสนมได้กินขนมไหว้พระจันทร์แล้ว ก็ประเมินออกมาเหมือนกันทั้งหมดองค์ชายสี่หลี่จือไม่ยอมรับ เกิดความคิดอคติอยู่ภายในใจ ชิมขนมไหว้พระจันทร์หนึ่งคำสรุปว่า เขาตกตะลึงพรึงเพริดพูดไม่ออกอยู่นานมีเพียงเซียวเม่ยเอ๋อร์และเซียวเซวียนเช่อสองคน แม้แปลกใจต่อขนมไหว้พระจันทร์นี้ ตกลงรสชาติเป็นเช่นไรแต่เพื่อรักษาหน้าตา พวกเขาทั้งสองทำเพียงแสร้งหมิ่นแคลน!โดยเฉพาะเซียวเม่ยเอ๋อร์ สีหน้าหยิ่งทะนง “ขนมไหว้พระจันทร์ห่วยๆ อะไร? ข้าไม่เสียดายหรอกนะ!”ทีแรกฮองไทเฮาอยากชิมเพียงคำเดียว สรุปคือมิอาจทนไหว กินขนมไหว้พระจันทร์เข้าไปทั้งหมด นี่ถึงพูดว่า “เจ้าเก้า เหตุใดขนมไหว้พระจันทร์หวานเพียงนี้?”“ตกลงเจ้าใส่อะไรลงไปกันแน่?”หลี่หลงหลินหัวเราะเบาๆ พูดว่า “เสด็จย่า อันที่จ
เซียวเซวียนเช่อขมวดคิ้วแน่น มือสองข้างสั่นเทิ้ม หยิบถุงขึ้นมา เปิดออกเบาๆอาศัยแสงจันทร์บนฟ้า ยังมีแสงโคมไฟในสวนหลวง เซียวเซวียนเช่อมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในถุงได้อย่างชัดเจน รูม่านตาหดลงเหลือเท่าหัวเข็มหมุด“นี่...ก็คือน้ำตาลทรายขาวรึ?”“น้ำตาลมีสีขาวจริงรึ?”เซียวเซวียนเช่อใช้นิ้วจิ้มน้ำตาลทรายขาวเล็กน้อย แตะเข้าปากเบาๆหวาน!หวานมาก!ไม่มีสิ่งใดเจือปน ไม่มีรสชาติอื่นแต่ เซียวเซวียนเช่อกลับอยากร้องไห้แพ้อีกแล้ว!ครั้งนี้ ไม่เพียงเสียหน้าจนหมดสิ้นยังเสียม้าศึกอีกหนึ่งร้อยตัว!แม้พูดว่า ม้าศึกหนึ่งร้อยตัวเดิมทีก็ไม่เพียงพอให้พลิกสถานการณ์ของสงครามได้แต่ทั้งสองแคว้นยังอยู่ในสภาวะสงคราม ม้าศึกเป็นทรัพยากรสำคัญที่สุดในการวางกลยุทธ์ ราคาสูงยิ่งนัก มีเงินก็ซื้อไม่ได้!เซียวเม่ยเอ๋อร์เห็นสีหน้าผิดปกติของเซียวเซวียนเช่อ รีบหยิบขนมไหว้พระจันทร์มากัดหนึ่งคำ“.....”ทันใดนั้นเซียวเม่ยเอ๋อร์เข้าใจแล้วสนมองค์ชายเหล่านั้น มิได้แสดงละคร!รสชาติของขนมไหว้พระจันทร์นี้ แตกต่างออกไปจริงๆนั่นก็หมายความว่าองค์ชายเก้าสามารถทำน้ำตาลทรายขาวออกมาได้จริง?“น่ารังเกียจนัก!”เซียวเม่ยเ
ความยินดีปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮ่องเต้หวู่ เปี่ยมด้วยความพอใจอย่างยิ่ง “เจ้าเก้านี่มักจะทำให้ข้าประหลาดใจได้เสมอจริงๆ”ฮ่องเต้หวู่ทรงยกน้ำแกงปลาเบื้องหน้าขึ้น ค่อยๆ ลิ้มรสความหวานละมุน รสชาติยังคงติดตรึง ยิ่งกว่าความอร่อยที่รับรู้ทางรสสัมผัสคือความรู้สึกอิ่มเอมในพระทัยเมื่อเห็นฝ่าบาททรงพอพระทัยยิ่งนัก ฮองเฮาหลินจึงรีบทูลว่า “ฝ่าบาท หากฝ่าบาททรงโปรด หม่อมฉันสามารถทำน้ำแกงปลาถวายฝ่าบาทได้ทุกวัน เพื่อบำรุงพระวรกายของฝ่าบาทเพคะ ยิ่งไปกว่านั้น แม้พระโอรสจะไม่ได้อยู่ใกล้ๆ นี่ก็เป็นความกตัญญูของเขาเพคะ”ฮ่องเต้หวู่ทรงดื่มน้ำแกงปลาในชามจนหมดสิ้น ก็รู้สึกสบายพระวรกาย “ข้าไม่เคยได้ลิ้มรสเนื้อปลาที่สดอร่อยถึงเพียงนี้ คาดไม่ถึงว่าที่ตงไห่จะมีปลาพันธุ์ดีรสเลิศเช่นนี้อยู่ด้วย วันนี้ข้าถือว่าได้อิ่มหนำสำราญแล้ว!”เมื่อเห็นฮ่องเต้หวู่ทรงสำราญพระทัย ก้อนหินที่ถ่วงอยู่ในใจของฮองเฮาหลินก็คลายลง นางกลัวว่าฮ่องเต้หวู่จะทรงลงพระอาญาแก่หลี่หลงหลิน ในความเห็นของฮองเฮาหลินแล้ว น้ำแกงปลาชามนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับชะตากรรมของหลี่หลงหลินทีเดียวฮ่องเต้หวู่มองไปที่เว่ยซวินอย่างสนพระทัยยิ่ง ตรัสว่า “สหาย เล่าให้ข้
เรื่องในราชสำนักล้อเล่นไม่ได้เป็นอันขาด มิเช่นนั้นจะต้องนำพาภัยพิบัติมาสู่บ้านเมืองและราษฎร ชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปชั่วกาลนาน!ฮ่องเต้ยืนเอามือไพล่หลัง ใบหน้าเคร่งขรึม “ข้าตั้งใจจะเรียกตัวองค์รัชทายาทเข้าเมืองหลวงมาพบข้าทันที ข้าจะถามเขาต่อหน้า ว่าไอ้ ‘เหตุใดไม่กินโจ๊กเนื้อเล่า’ นี่มันหมายความว่ากระไรกันแน่!”ทันใดนั้น ฮองเฮาหลินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะทูลว่า “ฝ่าบาท สิ่งที่พระโอรสพูด ดูเหมือนว่า...ก็ไม่ผิดนะเพคะ”“อะไรนะ?”ในแววตาของฮ่องเต้เต็มไปด้วยความเย็นชา “มิน่าเล่าหลี่หลงหลินถึงได้ทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าแม้แต่เจ้ายังเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา! เหลือเชื่อจริงๆ! มีแม่เช่นไรย่อมมีลูกเช่นนั้น!”เพียงชั่วพริบตา ความประทับใจดีๆ ที่ฮ่องเต้ทรงมีต่อฮองเฮาหลินมาตลอดหลายปีก็มลายหายไปสิ้นฮองเฮาหลินทูลเสียงหนักแน่น “ฝ่าบาท เกรงว่าพระองค์จะทรงเข้าพระทัยความหมายของหม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ”กล่าวจบ ฮองเฮาหลินก็ทรงหยิบสาส์นฉบับนั้นออกมา ถวายให้ฮ่องเต้ “ฝ่าบาท นี่คือลายมือขององค์รัชทายาทเพคะ ขอฝ่าบาททอดแววตาด้วยเพคะ”ฮ่องเต้ทรงเหลือบมอง ในแววตาเต็มไปด้วยโทสะ “ข้าไม่ดู! ต่อให้เป็นล
ฮองเฮาหลินทรงประหลาดพระทัยยิ่งนัก บนใบหน้าอันงดงามสมเป็นมารดาแห่งแผ่นดินปรากฏแววตกตะลึง “ฝ่าบาท เหตุใดฝ่าบาทจึงตรัสถึงพระโอรสเช่นนั้นเพคะ?”ฮองเฮาหลินไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแต่ทอดพระเนตรเห็นว่าฮ่องเต้หวู่ผู้ซึ่งปกติทรงโปรดปรานหลี่หลงหลินยิ่งนัก ยามนี้กลับเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ทรงแสดงท่าทีรังเกียจหลี่หลงหลินกระทั่งเมื่อทรงทราบว่าปลานี้หลี่หลงหลินส่งมาจากตงไห่ด้วยม้าเร็วแปดร้อยลี้ ก็ไม่ยอมเสวยน้ำแกงปลาต่อฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย พอนึกถึงหลี่หลงหลินขึ้นมา ก็รู้สึกเดือดดาลในท้อง ยิ่งไม่มีกะจิตกะใจจะเสวยน้ำแกงปลาใดๆ ทั้งสิ้น“ทำไม? ข้าต่างหากที่อยากจะถามเจ้าว่าเหตุใด! เหตุใดองค์รัชทายาทที่ปกติก็ดูดีๆ อยู่ พอไปถึงตงไห่จึงได้ทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้!”ฮ่องเต้หวู่กริ้วจนพระพักตร์แดงก่ำ แววตาลุกวาบด้วยโทสะขอบตาของฮองเฮาหลินแดงก่ำขึ้นทันที นางไม่เคยเห็นฮ่องเต้หวู่ทรงกริ้วถึงเพียงนี้มาก่อน ร่ำไห้สะอื้นไม่หยุด “ฝ่าบาท พระโอรสของหม่อมฉันเพียงแค่อยากจะบำรุงพระวรกายให้ฝ่าบาท เหตุใดจึงต้องทรงจ้องจับผิดเรื่องความเหลวไหลของเขาอยู่เรื่อย การส่งปลาด้วยม้าเร็วแปดร้อยลี้มันเหลวไหลมา
ฮ่องเต้หวู่ทอดพระเนตรไปรอบๆ พระตำหนัก แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของฮองเฮาหลิน ก็ยิ่งทำให้โทสะพุ่งขึ้น “ฮองเฮาหลินอยู่ไหน! ข้าต้องการพบนางเดี๋ยวนี้!”ขันทีน้อยประจำตำหนักฉางเล่อรีบหมอบราบกับพื้น “ทูลฝ่าบาท วันนี้ฮองเฮาเสด็จออกไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ออกไป? ไปไหน?”คิ้วของฮ่องเต้หวู่ขมวดแน่น โทสะยิ่งพลุ่งพล่าน เดิมทีก็ทรงกริ้วเรื่องของหลี่หลงหลินอยู่แล้ว พอมาถึงช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ กลับหาตัวฮองเฮาหลินไม่พบอีกขันทีน้อยกล่าวเสียงสั่น “กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นเพียงผู้รับใช้ดูแลกิจวัตรประจำวันของฮองเฮา มิกล้าสอดรู้เรื่องที่เสด็จไปพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้หวู่ทรงพระพิโรธอย่างยิ่ง ตรัสว่า “เว่ยซวิน ส่งคนไปตามหาฮองเฮาหลินกลับมาให้ข้าเดี๋ยวนี้! วันนี้ข้าจะต้องถามนางให้รู้เรื่องว่าอบรมสั่งสอนองค์รัชทายาทอย่างไร!”เว่ยซวินคิดในใจดูท่าครั้งนี้ฝ่าบาทจะทรงกริ้วจริงจัง แม้แต่ฮองเฮาก็คงยากจะรอดพ้นความผิดไปได้เว่ยซวินกล่าวเสียงหนัก “ฝ่าบาท กระหม่อมจะส่งคนไปตามหาเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”ทันใดนั้น กลิ่นหอมระลอกแล้วระลอกเล่าโชยมาปะทะจมูก ตามมาด้วยเสียงใสกังวานราวระฆังเงินเป็นระลอกเว่ยซวินก
เหล่าขุนนางในราชสำนักต่างส่งเสียงฮือฮาผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนหาใช่จำนวนน้อยๆ ไม่!ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้าเย็นชาเจ้ากรมกลาโหมเอ่ยเสียงเนิบนาบ “ฝ่าบาท ตามที่กระหม่อมเห็น ผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนนี้คือภัยร้ายที่ซ่อนอยู่ในเมืองหลวง หากจัดการไม่เหมาะสม ผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนก่อการจลาจลขึ้น เกรงว่า...”เจ้ากรมกลาโหมไม่กล้ากล่าวอะไรต่อหากเขากล่าวอะไรต่อไปอีก จะต้องทรงพระพิโรธเป็นแน่ แต่ก็จำเป็นต้องทูลเตือนฝ่าบาท ไม่ว่าก่อนหน้านี้หลี่หลงหลินจะเคยทูลรับรองสิ่งใดต่อหน้าฝ่าบาทก็ตาม ก็จำเป็นต้องทำให้ฝ่าบาททรงตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนส่วนใหญ่เป็นพวกที่ควบคุมได้ยาก คนเหล่านี้รวมตัวกันอยู่นอกเมืองหลวงได้สร้างผลกระทบเลวร้ายไม่น้อยแล้ว หากถูกผู้ไม่ประสงค์ดีปลุกปั่น ย่อมเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่เป็นแน่!แม้ว่าตอนนี้จางไป่เจิงจะนำทัพกลับราชสำนักแล้ว กำลังทหารในเมืองหลวงจะเข้มแข็ง ก็ยังคงเป็นปัญหาที่จัดการได้ยากอยู่ดีเหล่าขุนนางต่างเห็นพ้องต้องกัน“ฝ่าบาท เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชะตาของแคว้นต้าเซี่ย โปรดอย่าได้ทรงประมาทเป็นอันขาดพ่ะย่ะค่ะ!”“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ขณะนี้
“อะไรนะ!”ฮ่องเต้หวู่ทรงพระพิโรธอย่างยิ่ง!เขาไม่เคยคาดคิดว่าหลี่หลงหลินจะกล่าววาจาเหลวไหลถึงเพียงนี้ นี่มันยิ่งกว่าการเห็นชีวิตคนเป็นผักปลาเสียอีก! ยามนี้ราษฎรยากจนถึงขั้นไม่มีปัญญาซื้อหาธัญญาหาร แล้วจะมีเนื้อที่ไหนให้กินกัน?เจ้ากรมคลังลดเสียงลง กล่าวว่า “ฝ่าบาท วาจาเหลวไหลเช่นนี้ออกมาจากโอษฐ์ขององค์รัชทายาทจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ทีแรกกระหม่อมคิดว่าเป็นเพราะตนเองตาฝ้าฟางไป แต่ฎีกาหลายฉบับล้วนรายงานตรงกัน เกรงว่าวาจานี้คงเป็นสิ่งที่องค์รัชทายาทตรัสจริงๆ...”เหล่าขุนนางต่างส่งเสียงฮือฮาคาดไม่ถึงว่าหลี่หลงหลินจะทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้!ไม่เพียงแต่สร้างความเยือกเย็นในใจของราษฎร ยังสร้างความเยือกเย็นในใจของขุนนางในราชสำนักอีกด้วย นี่คือการกระทำชั่วร้ายที่ยากจะสาธยายให้หมดสิ้น อาลักษณ์จะต้องบันทึกเรื่องนี้ลงในพงศาวดารเป็นแน่ ทำให้ชื่อเสียงของหลี่หลงหลินฉาวโฉ่ไปชั่วกาลนาน!ฮ่องเต้หวู่ส่ายพระพักตร์ ทรงครุ่นคิดในพระทัยไม่ใช่ เจ้าเก้าไม่น่าจะทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้ อย่างน้อยในเมืองหลวง ราษฎรส่วนใหญ่ก็เคยได้รับความเมตตาจากเขา หรือว่าก่อนหน้านี้เป็นเพียงการแสดง?ฮ่องเต้หวู่ตรัสเสียงเย็น “
ณ ท้องพระโรงบรรดาขุนนางทั้งหลายต่างสงบเสงี่ยม ก้มหน้าคารวะถวายบังคมฮ่องเต้หวู่ทอดพระเนตรกวาดสายตาไปยังหมู่ขุนนาง พลางตรัสเรียบเรื่อย “เหล่าขุนนางทุกท่าน หากมีเรื่องก็กราบทูล หากไม่มีเรื่องก็เลิกประชุมเถิด”นับตั้งแต่หลี่หลงหลินเดินทางไปยังตงไห่ ราชสำนักก็ดูสงบขึ้นไม่น้อย ฮ่องเต้หวู่ซึ่งแต่เดิมก็เอนเอียงไปทางเก็บตัวเงียบๆ ก็เริ่มชินกับจังหวะสงัดเช่นนี้ ยิ่งตอนนี้จางไป่เจิงนำทัพกลับสู่เมืองหลวง ปัญหากำลังพลไม่พอในเมืองหลวงก็คลี่คลายลง บรรดาขุนนางที่เคยซ่องสุมคิดร้ายในเงามืด ก็พากันลดราวาศอกแต่แล้ว เจ้ากรมคลังก็ก้าวออกมา สีหน้าเคร่งเครียด “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้หวู่เห็นเป็นกรมคลัง จึงขมวดคิ้วเบาๆ กล่าวว่า “ว่ามา”แม้ปัญหาเรื่องทหารจะคลี่คลาย แต่เงินในท้องพระคลังก็ยังร่อยหรอ หากกรมคลังเสนอฎีกาเมื่อใด มักไม่พ้นเรื่องเงินไม่พอใช้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขากลัดกลุ้มมาเนิ่นนาน เจ้ากรมคลังกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น “ฝ่าบาท ขณะนี้เขตตงไห่ประสบภาวะขาดแคลนเสบียงจนเกิดทุพภิกขภัย ราษฎรอดอยากปากแห้ง ร้องทุกข์ระงม แต่ละเขตในตงไห่ต่างก็ส่งฎีกาขอความช่วยเหลือจากราชสำนัก...”ฮ
กงซูหว่านมองดูแบบร่าง โครงสร้างเรียบง่ายมาก แต่นางไม่รู้ว่าควรจะเรียกมันว่าอะไรหลี่หลงหลินเอ่ยเสียงเรียบ “นี่คือกระป๋อง”“กระป๋อง? มันสามารถถนอมอาหารได้หรือเพคะ?”หลี่หลงหลินยิ้มเล็กน้อย “แน่นอน หากสภาพแวดล้อมเหมาะสม แม้เวลาจะล่วงเลยไปแปดปี สิบปีก็ยังไม่เสีย”“นานขนาดนั้นเชียวหรือเพคะ?”กงซูหว่านเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง ราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินในความเข้าใจของกงซูหว่าน การเก็บรักษาอาหารได้นานสักไม่กี่เดือนก็ถือว่าน่าทึ่งแล้วหลี่หลงหลินยิ้มบางๆ “ยิ่งไปกว่านั้น ขนาดของกระป๋องยังเล็กกระทัดรัด เหมาะแก่การพกพาในยามออกศึกยิ่งนัก”“หากพี่สะใภ้รองสามารถทำมันขึ้นมาได้ ข้าก็ตั้งใจจะเปิดโรงงานกระป๋องที่ตงไห่ แปรรูปปลาหวงฮื้อใหญ่จำนวนมหาศาลที่จับขึ้นมาโดยเฉพาะ”หลี่หลงหลินยิ้มบาง หากผลิตกระป๋องได้สำเร็จ ก็ไม่ต้องหวั่นไหวต่อภัยแล้งและความอดอยากอีกต่อไปกงซูหว่านยังคงตกตะลึง “โรงงานกระป๋องหรือเพคะ? ถึงข้าจะทำตามแบบได้เป๊ะๆ แล้วจะไปหาคนงานจากที่ใด?”ยามนี้ชาวเมืองตงไห่ต่างก็แย่งกันออกทะเลหาปลา กำลังคนขาดแคลนเป็นอย่างยิ่งหลี่หลงหลินตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องห่วง ให้ชาวตงไห่เขาหาปลากันต่อไ
วันต่อมา ห้องหนังสือจวนอ๋องหลี่หลงหลินยกมือนวดหว่างคิ้ว มือวาดบางอย่างบนกระดาษกงซูหว่านขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง “องค์ชาย หม่อมฉันอิงตามวิธีของท่านแล้ว วันนี้ตั้งใจไปตั้งร้านแผงลอยในบริเวณคนพลุกพล่านเป็นพิเศษ เผยแพร่วิธีทำน้ำแข็งออกไป เหล่าราษฎร์สามารถใช้งานได้ ทุกคนต่างโห่ร้องด้วยความยินดี เพียงแต่บัดนี้เกลือหมางเซียวในร้านขายยาทุกแห่งของตงไห่ไม่เพียงพอ”หลี่หลงหลินพยักหน้า “เผยแพร่ออกไปก็ดีแล้ว เช่นนี้เนื้อปลาของเหล่าราษฎร์ก็สามารถเก็บรักษาได้นานขึ้น ไม่ต้องสิ้นเปลือง”“พี่สะใภ้รองเหนื่อยแล้ว หากนี่คือเมืองหลวง เพียงตีพิมพ์เรียงความในหนังสือพิมพ์ก็เพียงพอแล้ว แต่อยู่ที่ตงไห่ยังต้องให้พี่สะใภ้ออกแรงเหน็ดเหนื่อยด้วยตนเอง”ภายในคำพูดหลี่หลงหลินเปี่ยมความห่วงใย อย่างไรเสียกงซูหว่านก็เป็นสตรีมีพรสวรรค์ไม่ออกนอกบ้าน อยู่แต่ในห้องหอ จู่ๆ ขอให้นางไปสอนวิธีทำน้ำแข็งแก่ราษฎร์ ช่างทำให้อึดอัดคับข้องใจโดยแท้แต่หลี่หลงหลินคิดไปคิดมา ในบรรดาพี่สะใภ้มีเพียงพี่สะใภ้รองเข้าใจวิธีใช้เกลือหมางเซียวทำน้ำแข็ง ทำได้เพียงมอบหน้าที่สำคัญนี้ให้กงซูหว่านหัวเราะเบาๆ “ไม่ลำบากเพคะ จะ