“นี่มันเติบโตขึ้นมาจากดินจริงๆ!”“ฝ่าบาท!”“นี่คือสิ่งมงคลพ่ะย่ะค่ะ!” เสนาบดีคลังและเกษตร ถึงกับร้องไห้ด้วยความปลื้มปีติ เขาชูมันเทศไว้ในมือ ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าฮ่องเต้หวู่ ฮ่องเต้หวู่พยายามเก็บอาการตื่นเต้นไว้ในใจ พลางหันไปมองหลี่หลงหลิน “เจ้าเก้า มันเทศนี่ให้ผลผลิตสูงขนาดนี้ หมู่ละมากกว่าพันชั่ง การปลูกมันจะต้องยุ่งยากมากแน่เลยใช่หรือไม่? ต้องรดน้ำและใส่ปุ๋ยบ่อยๆ เลยใช่หรือไม่?”เหล่าขุนนางที่ได้ยินต่างเงยหน้าขึ้นมองหลี่หลงหลินด้วยความสนใจ ทุกคนล้วนคิดว่า แปลงมันเทศนี้ที่ให้ผลผลิตมหาศาลเช่นนี้ คงเป็นเพราะหลี่หลงหลินทุ่มเทแรงกายแรงใจ ดูแลอย่างพิถีพิถันแน่นอน การรดน้ำคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่พวกเขากังวลว่า หลี่หลงหลินอาจใช้ปุ๋ยราคาแพงบางอย่างเพื่อให้ได้ผลผลิตสูงขนาดนี้! หลี่หลงหลินอธิบายว่า “เสด็จพ่อ มันเทศชอบความแห้งและกลัวน้ำขัง จึงไม่จำเป็นต้องรดน้ำบ่อยๆ! สำหรับพื้นที่ปลูกก็ไม่ต้องเป็นพื้นที่ดีๆ อะไร! แค่เนินเขาที่หันเข้าหาแสงอาทิตย์และระบายน้ำได้ดีก็เพียงพอแล้ว” “แม้ว่าจะไม่ได้ปลูกในที่ที่รับแสงได้เต็มที่ ก็ไม่เป็นไร แค่โตช้าลงเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังเติบโตได้
ฮ่องเต้หวู่พยักหน้า “เพียงสามถึงห้าปีเท่านั้น ข้ารอได้!” แต่หลี่หลงหลินกลับส่ายหน้า พลางยิ้มอย่างขมขื่น “เสด็จพ่อ แม้ท่านจะรอได้ แต่ราษฎรกลับรอไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ! น้ำที่อยู่ไกลไม่อาจดับกระหายใกล้ได้ มีประชาชนสักกี่คนที่จะสามารถรอดพ้นวิกฤติข้าวยากหมากแพงในครั้งนี้ได้!” คำพูดของหลี่หลงหลินเหมือนกับสายฟ้าฟาดใส่ฮ่องเต้หวู่ จนนิ่งไปกับที่มันเทศ แม้จะเป็นสิ่งดีเลิศ แต่การส่งเสริมการปลูกให้แพร่หลาย ย่อมต้องใช้เวลา! ขณะที่วิกฤติขาดแคลนเสบียงอาหารในเมืองหลวงนั้นใกล้เข้ามาทุกขณะ! มันไม่ใช่เรื่องที่จะรอได้ในเวลาสามหรือห้าปี เกรงว่าสามถึงห้าวันอาจเริ่มมีประชาชนที่อดอยากจนล้มตายแล้วก็ได้! จะทำอย่างไรดี?จิตใจของฮ่องเต้หวู่ปั่นป่วนไปหมด “แม้สวรรค์จะประทานสิ่งมงคลอย่างมันเทศอันน่าอัศจรรย์นี้ให้! แต่ต้าเซี่ยก็ยังหนีไม่พ้นชะตากรรมการล่มสลายกระนั้นหรือ? สวรรค์ เหตุใดต้องทำเช่นนี้กับข้าด้วย...” “แล้วก็เจ้า...เจ้าเก้า!” ฮ่องเต้หวู่จ้องมองหลี่หลงหลินด้วยสายตาแดงก่ำ “เจ้ารู้ทั้งรู้ว่ามันเทศไม่มีประโยชน์ แล้วทำไมถึงยังนำมันออกมา! ให้ข้ามีความหวัง! แล้วก็มาทำลายมัน นี่มันโหดร้ายเกินไป
ราชสำนักทำได้เพียงเท่านี้! “พี่สะใภ้ใหญ่!” หลี่หลงหลินเรียกลั่วอวี้จู๋ให้เข้ามาหา ก่อนจะถามว่า “ช่วงนี้ที่ท่าเรือ มีอะไรผิดปกติบ้างหรือไม่?” ลั่วอวี้จู๋ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะตอบว่า “ถ้าจะให้พูดจริงๆ ก็มีอยู่! ช่วงนี้มีเรือบรรทุกข้าวจากต่างถิ่นจำนวนไม่น้อยมาจอดอยู่ที่ท่าเรือ แต่ที่น่าสงสัยคือ พวกเขามาที่นี่ทำไม?” ต้องรู้ว่า ก่อนหน้านี้ลั่วอวี้จู๋เคยส่งจดหมายไปถึงบิดาของนาง ขอให้พวกเขาส่งข้าวมาที่เมืองหลวง แต่บิดาของนางกลับปฏิเสธ อ้างว่าทางน้ำมีอุปสรรค ไม่สามารถขนส่งได้ พูดให้ชัดเจนก็คือ พ่อค้าข้าวทางใต้กลัวว่าวิกฤติขาดข้าวในเมืองหลวงจะลุกลาม ดังนั้นจึงเลือกที่จะกักตุนข้าวเพื่อปั่นราคา แทนที่จะขนส่งมายังเมืองหลวง นี่คือนิสัยของพ่อค้า เห็นแก่กำไรเป็นหลัก แต่สิ่งที่ลั่วอวี้จู๋ไม่เข้าใจคือ เหตุใดจึงมีเรือบรรทุกข้าวจากทางใต้มากมายมาที่เมืองหลวงในช่วงเวลานี้ และที่น่าสงสัยยิ่งกว่านั้นคือ พวกเขาเพียงแต่จอดเรืออยู่ที่ท่าเรือ แต่ไม่ขายข้าว พวกเขาต้องการทำอะไรกันแน่? หลี่หลงหลินยิ้มบางๆ คิ้วของเขายกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า “เป็นอย่างที่ข้าคิดไว้จริงๆ!” ลั่วอวี้จู๋รู
ลั่วอวี้จู๋จ้องมองหลี่หลงหลินด้วยดวงตาคู่งาม หัวใจของนางปั่นป่วนราวกับคลื่นทะเลที่โหมกระหน่ำ ไม่อาจสงบได้เป็นเวลานานที่แท้ ตั้งแต่แรกหลี่หลงหลินก็วางแผนการนี้ไว้แล้ว ค่อยๆ เพิ่มราคาข้าวทีละน้อย!ไม่แปลกเลยที่หลี่หลงหลินจะปิดบังทุกคน ไม่ยอมอธิบายแผนการใดๆเพราะแผนการนี้ แม้จะยอดเยี่ยมไร้ที่ติ แต่หากเผยแพร่ออกไป ย่อมไร้ผลในทันที!“องค์ชายเก้า...”“ช่วงนี้ ลำบากเจ้าแล้ว” ลั่วอวี้จู๋ พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอย่างซาบซึ้งนางถามตัวเองในใจ หากต้องเป็นเหมือนหลี่หลงหลิน ผู้ที่ต้องอยู่คนเดียวและเผชิญหน้ากับทั้งโลกเช่นนี้ นางคงอึดอัดจนตายไปนานแล้ว!ทันใดนั้น หลี่หลงหลินก็คว้ามือหยกเรียวยาวของลั่วอวี้จู๋ ไว้ ยิ้มพลางพูดว่า “มีพี่สะใภ้อยู่ข้างกาย เช่นนี้จะเหนื่อยได้อย่างไร”ลั่วอวี้จู๋ตกใจและเขินอายจนใบหูแดงระเรื่อแม้ลั่วอวี้จู๋จะตอบตกลงกับหลี่หลงหลินแล้วว่า หลังจากงานแต่งงานของซูเฟิ่งหลิง นางจะยอมเป็นอนุของเขาแต่ตอนนี้ นางยังคงเป็นพี่สะใภ้ของเขาอยู่ เหตุใดเขาถึงกล้าทำเช่นนี้!หากมีใครมาเห็นเข้า นางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!ลั่วอวี้จู๋ยิ่งคิดก็ยิ่งเขินอาย รีบสะบัดมือของหลี่หลงหลินออก แล้
มันเทศสามารถให้ผลผลิตได้ถึงพันจินต่อหมู่จริงๆ หรือ?นี่เป็นสิ่งมงคลจากฟ้าจริงๆ ใช่ไหม?แล้วจะทำอย่างไรดี?หรือว่าจะรีบขายข้าวบางส่วนออกไปก่อนที่ราคาข้าวจะต่ำลงกว่านี้...พ่อค้าข้าวหลายคนเริ่มลังเล สวีเหล่ากลับหัวเราะเยาะเบาๆ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “ดูพวกเจ้าสิ ช่างไร้ความสามารถเสียจริง! ก็แค่มันเทศไม่ใช่รึไง จะกลัวอะไรนักหนา! ต่อให้ฮ่องเต้มีราชโองการให้ทุกเขตการปกครองส่งเสริมการปลูกมันเทศ กว่าจะได้ผลผลิตที่เป็นรูปเป็นร่างก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามถึงห้าปี!”“แล้วในช่วงสามถึงห้าปีนั้นล่ะ จะทำอย่างไร?”“หรือประชาชนจะไม่กินข้าว หรือจะให้พึ่งพาลมตะวันตกเฉียงเหนือประทังชีวิต?”“ถึงตอนนั้น พวกเราคงเปลี่ยนทรัพย์สินเป็นเงินสดถอนตัวออกจากตลาดไปแล้ว พร้อมกับกอบโกยกำไรจนเต็มไม้เต็มมือ ชีวิตนี้คงไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้องแล้ว!”เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหล่าพ่อค้าข้าวก็พลันเข้าใจ ต่างพากันหัวเราะออกมา“ถ้าคิดแบบนี้ ดูเหมือนว่าราชสำนักเองก็คงจนปัญญาแล้ว จึงต้องประกาศพระราชโองการถึงสิ่งมงคลจากฟ้า!”“ชัดเจนเลยว่าต้องดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง!”“มันเทศที่จะปลูกได้ผลอีกสามถึงห้าปีหลังจากนี้ พวกเรามี
พวกพ่อค้าข้าวต่างเคลื่อนไหวตามผลประโยชน์ เดิมทีก็ไม่ได้เป็นกลุ่มที่สามัคคีกันอยู่แล้วแต่ในสถานการณ์ตอนนี้ พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น ทำได้เพียงร่วมมือกันชั่วคราว เพียงเพื่อยื้อเวลาไปเท่าที่ทำได้ในพริบตา เวลาก็ล่วงเลยไปอีกครึ่งเดือนข้าวจากเขาทิศประจิม ดูเหมือนไม่มีวันหมดสิ้น ยังคงถูกปล่อยออกมาในราคาเดิมประชาชนมีข้าวกิน ไม่ต้องทนหิวอีกต่อไปความไม่พอใจที่เคยพุ่งสูงในหมู่ประชาชนก็สงบลงอย่างรวดเร็วชื่อเสียงของหลี่หลงหลิน ค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆแม้แต่ฉายาหลี่ปี่เซียะที่เคยถูกใช้เรียกเขา ก็ค่อยๆ เลือนหายไปอย่างไรเสีย ปี่เซียะเป็นสัตว์ที่กินเข้าไปแต่ไม่ถ่ายออกมา แต่องค์ชายเก้ากลับมีจิตใจห่วงใยประชาชน ซึ่งแตกต่างจากปี่เซียะโดยสิ้นเชิงซูเฟิ่งหลิงเองก็เริ่มเปลี่ยนท่าทีต่อหลี่หลงหลิน จากความเย็นชา กลายเป็นพูดคุยหยอกล้อด้วยรอยยิ้มบรรดาสตรีตระกูลซู มีเพียงลั่วอวี้จู๋ที่ยังคงขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล“องค์ชายเก้า!” ลั่วอวี้จู๋เข้ามาหาหลี่หลงหลิน แล้วพูดว่า “ข้าวในเขาทิศประจิมเหลือไม่มากแล้ว! หากปล่อยออกมาเช่นนี้ เกรงว่าก่อนสิ้นเดือนนี้ ทั้งยุ้งฉางจะว่างเปล่าแน่นอน!”หล
“ท่านพ่อ... ทำไมเขาถึงทำเช่นนี้ได้!”ลั่วอวี้จู๋ไม่เพียงไม่มีความยินดี กลับมีแววตาเศร้าหมอง ราวกับถูกปกคลุมด้วยเงาหมอกก่อนหน้านี้ลั่วอวี้จู๋เคยส่งจดหมายด้วยนกพิราบ ขอให้ตระกูลลั่วส่งข้าวมาที่เมืองหลวง เพื่อช่วยราชสำนักบรรเทาวิกฤตเฉพาะหน้าแต่นายท่านผู้เฒ่าลั่วกลับปฏิเสธทันที อ้างว่าคลองใหญ่กำลังจะขุดลอกแต่ตอนนี้ ท่านพ่อกลับนำข้าวมาที่เมืองหลวงด้วยตัวเองโดยไม่บอกกล่าวพูดให้ชัดเจนก็คือเพราะโลภอยากได้กำไรจากการค้าข้าวในราคาสูงลิ่ว!“ในใจของเขา ยังมีข้าเป็นลูกสาวอยู่บ้างหรือไม่!”ลั่วอวี้จู๋ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ น้ำตาเอ่อคลอจนไหลอาบแก้ม นางหมุนตัวจะเดินออกไปทันทีหลี่หลงหลินรีบยื่นมือมาคว้าแขนของลั่วอวี้จู๋ไว้ “พี่สะใภ้ นายท่านผู้เฒ่าลั่วอุตส่าห์มาถึงเมืองหลวงด้วยความยากลำบาก! เจ้าจะไม่ไปพบเขาหน่อยหรือ?”ลั่วอวี้จู๋น้ำตาไหลพราก กล่าวด้วยความเศร้า “ไปพบหรือ? จะพบไปทำไม? ลูกสาวที่แต่งออกไปก็เหมือนน้ำที่สาดทิ้งไปแล้ว! ยังไงเขาก็คงไม่อยากพบหน้าข้าอยู่ดี...”หลี่หลงหลินยิ้มบางๆ ก่อนจะกล่าว “นั่นอาจจะไม่จริงเสมอไป! ข้าเชื่อ นายท่านผู้เฒ่าลั่วอยากพบเจ้ามาก เพียงแต่เขารู้สึกเสียหน้าเกิ
ที่ท่าเรือลั่วอวี้จู๋พยายามรักษาระยะห่างจากหลี่หลงหลิน พร้อมเตือนว่า “องค์ชายเก้า เวลาอยู่ต่อหน้าท่านพ่อของข้า อย่าได้ทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมเกินไป! ต้องรักษาระยะห่างเอาไว้!”หลี่หลงหลินยิ้ม ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธตอนนี้ชายชราผมขาวในชุดยาวสีเขียวเดินออกมาจากห้องโดยสารบนเรือ พร้อมรอยยิ้มชายชราคนนั้นก็คือลั่วชิงซานลั่วอวี้จู๋ที่ไม่ได้พบกับบิดามาหลายปี รู้สึกตื่นเต้นจนอดไม่ได้ที่จะก้าวเข้าไปหา “ท่านพ่อ...”ลั่วชิงซานเพียงพยักหน้าเล็กน้อย สีหน้าดูเย็นชาและห่างเหินกลับกัน เมื่อเขาหันไปหาหลี่หลงหลิน กลับโค้งตัวลงด้วยความนอบน้อม พูดด้วยใบหน้าประจบเอาใจ “องค์ชายเก้าเสด็จมาเยือนถือเป็นเกียรติอย่างสูง ข้าน้อยมิได้ออกมาต้อนรับล่วงหน้า โปรดอภัยด้วย! บนดาดฟ้าลมแรง เชิญองค์ชายเข้าไปพูดคุยในห้องโดยสารเรือเถิด!”หลี่หลงหลินพยักหน้า ก่อนเดินเข้าไปในห้องโดยสารพร้อมกับลั่วชิงซานเพียงแค่ติดต่อสั้นๆ หลี่หลงหลินก็มองออกทันทีว่าลั่วชิงซานเป็นพ่อค้าในแบบฉบับดั้งเดิม!เขาเป็นคนเฉลียวฉลาด เน้นผลประโยชน์ หากไร้ผลกำไร ย่อมไม่คิดลุกจากที่นอน และยังถือชายเป็นใหญ่สำหรับลั่วอวี้จู๋ลูกสาวของเขา เขาไม่
เหล่าขุนนางในราชสำนักต่างส่งเสียงฮือฮาผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนหาใช่จำนวนน้อยๆ ไม่!ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้าเย็นชาเจ้ากรมกลาโหมเอ่ยเสียงเนิบนาบ “ฝ่าบาท ตามที่กระหม่อมเห็น ผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนนี้คือภัยร้ายที่ซ่อนอยู่ในเมืองหลวง หากจัดการไม่เหมาะสม ผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนก่อการจลาจลขึ้น เกรงว่า...”เจ้ากรมกลาโหมไม่กล้ากล่าวอะไรต่อหากเขากล่าวอะไรต่อไปอีก จะต้องทรงพระพิโรธเป็นแน่ แต่ก็จำเป็นต้องทูลเตือนฝ่าบาท ไม่ว่าก่อนหน้านี้หลี่หลงหลินจะเคยทูลรับรองสิ่งใดต่อหน้าฝ่าบาทก็ตาม ก็จำเป็นต้องทำให้ฝ่าบาททรงตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนส่วนใหญ่เป็นพวกที่ควบคุมได้ยาก คนเหล่านี้รวมตัวกันอยู่นอกเมืองหลวงได้สร้างผลกระทบเลวร้ายไม่น้อยแล้ว หากถูกผู้ไม่ประสงค์ดีปลุกปั่น ย่อมเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่เป็นแน่!แม้ว่าตอนนี้จางไป่เจิงจะนำทัพกลับราชสำนักแล้ว กำลังทหารในเมืองหลวงจะเข้มแข็ง ก็ยังคงเป็นปัญหาที่จัดการได้ยากอยู่ดีเหล่าขุนนางต่างเห็นพ้องต้องกัน“ฝ่าบาท เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชะตาของแคว้นต้าเซี่ย โปรดอย่าได้ทรงประมาทเป็นอันขาดพ่ะย่ะค่ะ!”“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ขณะนี้
“อะไรนะ!”ฮ่องเต้หวู่ทรงพระพิโรธอย่างยิ่ง!เขาไม่เคยคาดคิดว่าหลี่หลงหลินจะกล่าววาจาเหลวไหลถึงเพียงนี้ นี่มันยิ่งกว่าการเห็นชีวิตคนเป็นผักปลาเสียอีก! ยามนี้ราษฎรยากจนถึงขั้นไม่มีปัญญาซื้อหาธัญญาหาร แล้วจะมีเนื้อที่ไหนให้กินกัน?เจ้ากรมคลังลดเสียงลง กล่าวว่า “ฝ่าบาท วาจาเหลวไหลเช่นนี้ออกมาจากโอษฐ์ขององค์รัชทายาทจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ทีแรกกระหม่อมคิดว่าเป็นเพราะตนเองตาฝ้าฟางไป แต่ฎีกาหลายฉบับล้วนรายงานตรงกัน เกรงว่าวาจานี้คงเป็นสิ่งที่องค์รัชทายาทตรัสจริงๆ...”เหล่าขุนนางต่างส่งเสียงฮือฮาคาดไม่ถึงว่าหลี่หลงหลินจะทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้!ไม่เพียงแต่สร้างความเยือกเย็นในใจของราษฎร ยังสร้างความเยือกเย็นในใจของขุนนางในราชสำนักอีกด้วย นี่คือการกระทำชั่วร้ายที่ยากจะสาธยายให้หมดสิ้น อาลักษณ์จะต้องบันทึกเรื่องนี้ลงในพงศาวดารเป็นแน่ ทำให้ชื่อเสียงของหลี่หลงหลินฉาวโฉ่ไปชั่วกาลนาน!ฮ่องเต้หวู่ส่ายพระพักตร์ ทรงครุ่นคิดในพระทัยไม่ใช่ เจ้าเก้าไม่น่าจะทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้ อย่างน้อยในเมืองหลวง ราษฎรส่วนใหญ่ก็เคยได้รับความเมตตาจากเขา หรือว่าก่อนหน้านี้เป็นเพียงการแสดง?ฮ่องเต้หวู่ตรัสเสียงเย็น “
ณ ท้องพระโรงบรรดาขุนนางทั้งหลายต่างสงบเสงี่ยม ก้มหน้าคารวะถวายบังคมฮ่องเต้หวู่ทอดพระเนตรกวาดสายตาไปยังหมู่ขุนนาง พลางตรัสเรียบเรื่อย “เหล่าขุนนางทุกท่าน หากมีเรื่องก็กราบทูล หากไม่มีเรื่องก็เลิกประชุมเถิด”นับตั้งแต่หลี่หลงหลินเดินทางไปยังตงไห่ ราชสำนักก็ดูสงบขึ้นไม่น้อย ฮ่องเต้หวู่ซึ่งแต่เดิมก็เอนเอียงไปทางเก็บตัวเงียบๆ ก็เริ่มชินกับจังหวะสงัดเช่นนี้ ยิ่งตอนนี้จางไป่เจิงนำทัพกลับสู่เมืองหลวง ปัญหากำลังพลไม่พอในเมืองหลวงก็คลี่คลายลง บรรดาขุนนางที่เคยซ่องสุมคิดร้ายในเงามืด ก็พากันลดราวาศอกแต่แล้ว เจ้ากรมคลังก็ก้าวออกมา สีหน้าเคร่งเครียด “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้หวู่เห็นเป็นกรมคลัง จึงขมวดคิ้วเบาๆ กล่าวว่า “ว่ามา”แม้ปัญหาเรื่องทหารจะคลี่คลาย แต่เงินในท้องพระคลังก็ยังร่อยหรอ หากกรมคลังเสนอฎีกาเมื่อใด มักไม่พ้นเรื่องเงินไม่พอใช้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขากลัดกลุ้มมาเนิ่นนาน เจ้ากรมคลังกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น “ฝ่าบาท ขณะนี้เขตตงไห่ประสบภาวะขาดแคลนเสบียงจนเกิดทุพภิกขภัย ราษฎรอดอยากปากแห้ง ร้องทุกข์ระงม แต่ละเขตในตงไห่ต่างก็ส่งฎีกาขอความช่วยเหลือจากราชสำนัก...”ฮ
กงซูหว่านมองดูแบบร่าง โครงสร้างเรียบง่ายมาก แต่นางไม่รู้ว่าควรจะเรียกมันว่าอะไรหลี่หลงหลินเอ่ยเสียงเรียบ “นี่คือกระป๋อง”“กระป๋อง? มันสามารถถนอมอาหารได้หรือเพคะ?”หลี่หลงหลินยิ้มเล็กน้อย “แน่นอน หากสภาพแวดล้อมเหมาะสม แม้เวลาจะล่วงเลยไปแปดปี สิบปีก็ยังไม่เสีย”“นานขนาดนั้นเชียวหรือเพคะ?”กงซูหว่านเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง ราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินในความเข้าใจของกงซูหว่าน การเก็บรักษาอาหารได้นานสักไม่กี่เดือนก็ถือว่าน่าทึ่งแล้วหลี่หลงหลินยิ้มบางๆ “ยิ่งไปกว่านั้น ขนาดของกระป๋องยังเล็กกระทัดรัด เหมาะแก่การพกพาในยามออกศึกยิ่งนัก”“หากพี่สะใภ้รองสามารถทำมันขึ้นมาได้ ข้าก็ตั้งใจจะเปิดโรงงานกระป๋องที่ตงไห่ แปรรูปปลาหวงฮื้อใหญ่จำนวนมหาศาลที่จับขึ้นมาโดยเฉพาะ”หลี่หลงหลินยิ้มบาง หากผลิตกระป๋องได้สำเร็จ ก็ไม่ต้องหวั่นไหวต่อภัยแล้งและความอดอยากอีกต่อไปกงซูหว่านยังคงตกตะลึง “โรงงานกระป๋องหรือเพคะ? ถึงข้าจะทำตามแบบได้เป๊ะๆ แล้วจะไปหาคนงานจากที่ใด?”ยามนี้ชาวเมืองตงไห่ต่างก็แย่งกันออกทะเลหาปลา กำลังคนขาดแคลนเป็นอย่างยิ่งหลี่หลงหลินตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องห่วง ให้ชาวตงไห่เขาหาปลากันต่อไ
วันต่อมา ห้องหนังสือจวนอ๋องหลี่หลงหลินยกมือนวดหว่างคิ้ว มือวาดบางอย่างบนกระดาษกงซูหว่านขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง “องค์ชาย หม่อมฉันอิงตามวิธีของท่านแล้ว วันนี้ตั้งใจไปตั้งร้านแผงลอยในบริเวณคนพลุกพล่านเป็นพิเศษ เผยแพร่วิธีทำน้ำแข็งออกไป เหล่าราษฎร์สามารถใช้งานได้ ทุกคนต่างโห่ร้องด้วยความยินดี เพียงแต่บัดนี้เกลือหมางเซียวในร้านขายยาทุกแห่งของตงไห่ไม่เพียงพอ”หลี่หลงหลินพยักหน้า “เผยแพร่ออกไปก็ดีแล้ว เช่นนี้เนื้อปลาของเหล่าราษฎร์ก็สามารถเก็บรักษาได้นานขึ้น ไม่ต้องสิ้นเปลือง”“พี่สะใภ้รองเหนื่อยแล้ว หากนี่คือเมืองหลวง เพียงตีพิมพ์เรียงความในหนังสือพิมพ์ก็เพียงพอแล้ว แต่อยู่ที่ตงไห่ยังต้องให้พี่สะใภ้ออกแรงเหน็ดเหนื่อยด้วยตนเอง”ภายในคำพูดหลี่หลงหลินเปี่ยมความห่วงใย อย่างไรเสียกงซูหว่านก็เป็นสตรีมีพรสวรรค์ไม่ออกนอกบ้าน อยู่แต่ในห้องหอ จู่ๆ ขอให้นางไปสอนวิธีทำน้ำแข็งแก่ราษฎร์ ช่างทำให้อึดอัดคับข้องใจโดยแท้แต่หลี่หลงหลินคิดไปคิดมา ในบรรดาพี่สะใภ้มีเพียงพี่สะใภ้รองเข้าใจวิธีใช้เกลือหมางเซียวทำน้ำแข็ง ทำได้เพียงมอบหน้าที่สำคัญนี้ให้กงซูหว่านหัวเราะเบาๆ “ไม่ลำบากเพคะ จะ
ทุกคนสูดลมหายใจเย็นเฮือกหนึ่งโจรสลัดแคว้นโวกั๋วและชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือเป็นปัญหาแถบชายแดนต้าเซี่ยมานานนับร้อยปี ไม่ใช่ปัญหาที่สามารถจัดการได้อย่างง่ายดายมองออกว่าครั้งนี้เจตจำนงของหลี่หลงหลินยิ่งใหญ่อย่างมาก!หลี่หลงหลินพูดเรียบๆ “หากต้องการกำจัดปัญหาภายนอกจะต้องกำจัดปัญหาภายในก่อน หากต้องการเดินทางบนมหาสมุทร จะต้องจัดการปัญหาตรงหน้าให้เรียบร้อย หาไม่แล้วแผนการเดินเรือจะต้องได้รับผลกระทบแน่”“เป้าหมายสำคัญในการมาตงไห่ครั้งนี้คือพัฒนาศาสตร์ต่อเรือของต้าเซี่ย บัดนี้เรือเหล่านี้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการการเดินทางไกลได้ ความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอของเรือต้าเซี่ยก็เป็นเหตุผลที่โจรสลัดแคว้นโวกั๋วตงไห่สร้างความวุ่นวาย ได้รับผลประโยชน์มากมายในสงครามทางทะเล ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่สามารถกวาดล้างโจรสลัดแคว้นโวกั๋วที่บุกมาในคราวเดียวได้”“หากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป โจรสลัดแคว้นโวกั๋วก็จะยิ่งกำเริบเสิบสาน อาละวาดอย่างไร้ขอบเขตในทะเลตงไห่ ราษฎร์ตงไห่ก็จะได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก!”“ดังนั้นตราบใดที่สามารถเพิ่มระดับการต่อเรือของต้าเซี่ยได้ โจรสลัดแคว้นโวกั๋วย่อมหายไป ชนิดที่ว่าปราบตงอิ๋
ปากแดงของเหล่าสะใภ้ขยับเบาๆ ดวงตาสะท้อนความแปลกใจ “เป้าหมายคือมหาสมุทรอันกว้างใหญ่?”แม้เหล่าสะใภ้ไม่รู้ว่ามหาสมุทรอันกว้างใหญ่คือที่ใด แต่ได้ยินหลี่หลงหลินอธิบาย จะต้องเป็นสถานที่อันงดงามแน่!ซูเฟิ่งหลิงเอ่ยถาม “องค์ชาย มหาสมุทรกว้างใหญ่มากถึงเพียงนี้ เป้าหมายของพวกเราคือที่ใด?”กงซูหว่านพยักหน้า “ใช่แล้วองค์ชาย ยิ่งไปกว่านั้นระดับการเดินเรือในตอนนี้มากที่สุดก็ไปได้ถึงตงอิ๋ง หากยังไปทางทิศตะวันออก กลับยังไม่มีตัวอย่างมาก่อน”หลี่หลงหลินหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “เป้าหมายของพวกเราก็คือทวีปใหม่! ต้าเซี่ยและทวีปใหม่ห่างกันเพียงมหาสมุทรกั้น ลักษณะทางภูมิศาสตร์ได้เปรียบโดยธรรมชาติ สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือคิดหาทางพัฒนาเรือของต้าเซี่ย ขนวัวม้าสัตว์ใช้แรงงานจำนวนมากเพียงพอไปยังทวีปใหม่”“ขอเพียงมีวัวม้าสัตว์ใช้แรงงาน ต้องการผืนดินมากน้อยเพียงใดก็ย่อมได้ มีผืนดินนับพันลี้ให้ราษฎร์ได้ใช้!”เหล่าสะใภ้ได้ยินภาพที่หลี่หลงหลินอธิบาย ใบหน้าเผยรอยยิ้มเปี่ยมความหวังออกมาสถานที่ที่ไม่มีสงครามและไม่มีความหิวโหยอยู่ห่างเพียงมหาสมุทรกั้น กำลังโบกมือต้อนรับตนเองหลี่หลงหลินเปล่งเสียงเคร่งขรึม “ขอเพียง
“เป็นไปไม่ได้! ดินแดนที่ดีถึงเพียงนี้ ไฉนเลยจะไม่มีคน?”หลี่หลงหลินหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “เหตุที่มีคนน้อยมีเพียงข้อเดียว ตอนนี้พวกเขายังกินไม่อิ่ม”ถ้อยคำนี้ของหลี่หลงหลินดุจฟ้าผ่ากลางวันแสกๆเหล่าพี่สะใภ้ได้ฟังแล้ว คิดว่านี่คล้ายเรื่องเพ้อฝันยามราตรี ดินแดนอุดมสมบูรณ์ถึงเพียงนี้ ถึงขั้นยังมีคนกินข้าวไม่อิ่มท้องอีกหรือ?กงซูหว่านมองหลี่หลงหลินด้วยความตกตะลึง เอ่ยถามว่า “องค์ชาย ท่านไม่ได้กำลังล้อพวกเราเล่นหรอกกระมัง? อิงตามคำพูดของท่าน ทวีปใหม่จะต้องอุดมสมบูรณ์อย่างมากแน่ เหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์คนกินข้าวไม่อิ่มท้องได้เล่า?”“ใช่แล้วองค์ชาย หม่อมฉันไม่เชื่อ”“หรือว่าดินแดนที่ดีถึงเพียงนี้ พวกเขาไม่สามารถเพาะปลูกได้กันเล่า?”เหล่าพี่สะใภ้ฟังจนอารมณ์ดำดิ่งลงไป ต่างขอให้หลี่หลงหลินพูดออกมาให้ชัดเจน หลี่หลงหลินพูดเรียบๆ “ไม่ใช่พวกเขาไม่เพาะปลูก ทวีปใหม่ดีมากเยี่ยงไร มีเพียงข้อเดียวที่ไม่ดี ก็คือไม่มีวัวไม่มีม้า ไม่มีสัตว์ใช้แรงงาน”ดวงตาของเหล่าสะใภ้ทอประกายระยับ ประคองใบหน้างดงามรับฟังเงียบๆ“ดังนั้นตอนนี้พวกเขายังหยุดอยู่ที่ใช้มีดถางป่าเผาไร่เพาะปลูก ใช้วิธีการพื้นฐานที่สุดในการ
“ตงอิ๋ง? ก็แค่แคว้นเล็กๆ เท่านั้น ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง!”สายตาหลี่หลงหลินเผยแววหมิ่นแคลน“ตงอิ๋งเล็กๆ เป็นเพียงเกาะแห่งหนึ่งเท่านั้น เดิมทีก็ไม่คู่ควรต่อคำว่าทวีปใหม่สองคำนี้”ทุกคนตกตะลึงภายในความรู้ของเหล่าสะใภ้ ตงอิ๋งก็คือจุดสิ้นสุดของมหาสมุทรอันเวิ้งว้าง เหนือตงอิ๋งก็ไม่มีอันใดอีกคำพูดของหลี่หลงหลินทำให้ความรู้ที่พวกนางมีอยู่เปลี่ยนไปทั้งหมด!กงซูหว่านพูดเสียงสั่นๆ “องค์ชาย ความนัยของท่านคือนอกจากตงอิ๋งแล้วยังมีทวีปใหญ่อีกหรือ?”หลี่หลงหลินพยักหน้าและพูดว่า “ไม่เพียงมีทวีปใหญ่ แต่ยังเป็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์อย่างมากอีกด้วย!”พูดไป สายตาหลี่หลงหลินก็ทอดมองไปยังทิศทางหนึ่งกงซูหว่านพูดด้วยความแปลกใจ “อุดมสมบูรณ์อย่างมาก? อุดมสมบูรณ์มากเพียงใด เทียบกับต้าเซี่ยแล้วเป็นเช่นไร?”สายตาทุกคนล้วนเปี่ยมความแปลกใจ วางตะเกียบและชามข้าวในมือลงรับฟังหลี่หลงหลินเล่าเรื่องทวีปใหม่เงียบๆหลี่หลงหลินส่ายหน้าและพูดว่า “แผ่นดินต้าเซี่ยกว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์ มีผลผลิตและทรัพยากรมากมาย เป็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่ง แต่ทวีปใหม่มีที่ราบมาก แผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ทอดยาวนับพันลี้ ทุกหนแห่งล้วนค