Share

บทที่ 15

Author: ใบไม้ร่วงในเมืองร้าง
เหลยเจิ้นอธิบายว่า “ข้าน้อยเพียงรู้สึกว่า องค์รัชทายาทสามารถหาวิธีที่จะควบคุมเป่ยเยี่ยนได้ ดังนั้นพระองค์อาจมีความคิดเกี่ยวกับการค้นหาผู้มีความสามารถจากทั่วใต้หล้าพ่ะย่ะค่ะ"

ฉินอู๋ต้าวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นส่ายหัวเล็กน้อย

“ข้าควรถามเว่ยเจิงก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ ส่งคนไปจับตาดูเป่ยเยี่ยนอย่างใกล้ชิดด้วย ตอนนี้แม้ว่ามู่หรงฟู่จะถูกกักขังอยู่ที่นี่ แต่เราต้องระวังการเคลื่อนไหวที่เป็นอันตรายจากฝั่งเป่ยเยี่ยนด้วย”

“ข้าน้อยน้อมรับสั่งฝ่าบาท!”

เหลยเจิ้นโค้งคำนับเล็กน้อยแล้วถอยกลับเดินออกไป

……

ทางด้านของฉินซู

หลังจากที่เขาออกจากจวนตระกูลหลิน เขามิได้กลับไปที่ตำหนักบูรพา แต่มาที่โรงน้ำชาใกล้กับตลาดที่พลุกพล่านแทน

เมื่อพูดถึงการรวบรวมข้อมูล ไม่มีที่ไหนจะดีไปกว่านี้แล้ว

เขาพบที่นั่งริมหน้าต่างและนั่งลง ขณะดื่มชาเขาก็ตั้งใจฟังบทสนทนาที่ค่อนข้างมีเสียงดังในโรงน้ำชาด้วย

เนื่องจากเขาปลอมตัวออกมาประหนึ่งสามัญชนจึงไม่มีใครจำเขาได้

ในเวลานี้ ชายคนหนึ่งที่อยู่โต๊ะถัดไปถามสหายของเขาว่า “นี่ ๆ พวกเจ้าเคยได้ยินหรือไม่ เมื่อสองวันก่อนมีใครบางคนทำลายปราการเฮยเฟิงในคราวเดียว พวกผู้นำหัวหน้าต่างหนีกันกระเจิง!”

“ใช่รึ? ผู้ใดเป็นคนบอกเจ้า?”

อีกคนพูดด้วยความสงสัย “ไยข้ามิอยากจะเชื่อเรื่องนี้เลย! หัวหน้าของปราการเฮยเฟิงเป็นนักรบระดับซวนของแท้ เขาอยู่ในระดับสูงสุดแล้ว ในระดับเดียวกันถือว่าไร้คู่ต่อสู้ ใครจะจัดการเขาได้ หรือแม้กระทั่งทำลายปราการเฮยเฟิงก็เถอะ เจ้าโม้หรือไร?”

“เจ้าจะไปรู้อะไร? เท่าที่ข้ารู้ คนที่ทำลายปราการเฮยเฟิงคือ ศิษย์คนที่สามของสำนักหอดูดาวหลวง ตู๋กูโฉ่วเยวี่ย!”

“โอ้ ท่านจอมยุทธ์ตู๋กูเองรึ เช่นนั้นก็มิน่าแปลกใจแล้ว”

“ข้าคิดมิถึงเลยว่า ท่านจอมยุทธ์ตู๋กูจะลงมือด้วยตัวเอง กรณีนี้ที่ปราการเฮยเฟิงจะพังทลายลงมันก็สมเหตุสมผลแล้ว”

หลังจากได้ยินการสนทนาของพวกเขาฉินซูก็ถามอย่างสงสัย “พวกเจ้า ที่พวกเจ้าพูดถึงตู๋กูโฉ่วเยวี่ยอะไรนั่น แข็งแกร่งมากเลยหรือ?”

ในความทรงจำของเขา พูดได้ว่าเขาไม่มีความประทับใจต่อตู๋กูโฉ่วเยวี่ยเลย

คนเหล่านั้นมองดูฉินซูด้วยความประหลาดใจ จากนั้นถามว่า “พี่ชาย ท่านนี่มีความรู้แค่หางอึ่งรึ มาจากชนบทหรืออย่างไร? มิเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านจอมยุทธ์ตู๋กูมาก่อนเลยรึ?”

“ใช่แล้ว ในหลงเฉิง มีผู้ใดมิรู้บ้างว่าท่านจอมยุทธ์ตู๋กูแข็งแกร่งแค่ไหน?”

"แน่นอนว่า ท่านจอมยุทธ์ตู๋กูแข็งแกร่ง เขาคือผู้ที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสามในบรรดาผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของหลงเฉิง!"

“ใช่แล้ว เขาลงมือด้วยตัวเอง มิต้องพูดถึงปราการเฮยเฟิงเลย แม้แต่สำนักใหญ่ ๆ เหล่านั้นก็ยังต้องยอมจำนน”

ทันทีที่เขาพูดจบก็มีเสียงเย็นชาดังมาจากทางเดิน

“ใครบอกว่าข้าเป็นผู้แข็งแกร่งเป็นอันดับสามในหลงเฉิง?”

เมื่อสิ้นประโยค บุรุษรูปหล่อวัยสามสิบก็เดินเข้ามา

เขาสวมอาภรณ์สีขาว บนเสื้อคลุมของเขามีการปักรูปดาวหมีใหญ่ส่องแสงประกายราวกับเกล็ดหิมะ

มีรอยแผลเป็นที่ยาวประมาณหนึ่งนิ้วบนใบหน้าของเขา เขาแบกดาบขนาดใหญ่ไว้บนหลัง

ผมยาวของเขาปลิวไสวได้อย่างอิสระไปตามสายลม

เส้นผมสยายกระจาย

ชายที่กำลังพูดเหลือบมองบุรุษรูปงามแล้วขมวดคิ้วถามว่า “พี่ชาย เรากำลังพูดถึงตู๋กูโฉ่วเยวี่ย อยากจะร่วมวงด้วยคนหรือไม่?"

ชายหนุ่มจับมือของเขาไว้หน้าหน้าอก ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดด้วยความภาคภูมิใจ “บังเอิญจริง ๆ ข้านี่แหละ ตู๋กูโฉ่วเยวี่ย!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้คนเหล่านั้นก็ตกตะลึง!

แล้วก็มีคนหัวเราะออกมา

“พรวด! ฮ่าฮ่าฮ่า... นี่เจ้าแอบอ้างเป็นท่านจอมยุทธ์ตู๋กูรึ? ข้าคิดว่าคงเหนื่อยกับการใช้ชีวิตแล้วกระมัง”

“ถูกต้อง มันเป็นแค่ขี้โม้คุยโวต่อหน้าเรา หากข่าวไปถึงสำนักหอดูดาว เจ้าคงมิรู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองตายอย่างไร”

ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยคร้านเกินกว่าจะใส่ใจเรื่องไร้สาระ เขาชักดาบใหญ่บนหลังออกมาจากปลอก

(เสียงชักดาบ)

เสียงดาบราวกับเสียงมังกรคำราม แสงเย็นเยียบประกายส่อง น่าเกรงขามสะกดใจยิ่ง!

ที่โดดเด่นที่สุดคือมีลวดลายของกลุ่มดาวหมีใหญ่สลักอยู่บนหน้าดาบ

“ดาบเจ็ดดาว! ท่านคือท่านจอมยุทธ์ตู๋กูจริง ๆ!”

หลังจากที่คนเหล่านั้นรู้สึกตัวแล้ว พวกเขาก็รีบลุกขึ้นยืนพร้อมประสานมือโค้งคำนับด้วยความเคารพ

“ข้ามีตาแต่หาได้มองเห็นผู้ยิ่งใหญ่มิ หวังว่าท่านจอมยุทธ์ตู๋กูจะให้อภัยขอรับ”

ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยเลื่อนนิ้วสัมผัสดาบอันคมกริบ และถามอย่างสบาย ๆ “เมื่อครู่ เจ้าบอกว่าข้าแข็งแกร่งอันดับที่เท่าใดในหลงเฉิงนะ?”

ทั้งกลุ่มได้สบตากันและตอบอย่างลังเลว่า “ที่… ที่สาม”

ดวงตาของตู๋กูโฉ่วเยวี่ยเปลี่ยนเป็นเย็นชาและเขาพูดอย่างเคร่งขรึม “ผิด! อันดับที่สอง ภายใต้การดูแลของผู้ชอบธรรม ไร้คู่ต่อสู้!”

“แต่…แม่ทัพฉงเป็นอันดับที่สองมิใช่หรือขอรับ?”

“ตอนนี้นางมิได้อยู่ในหลงเฉิงเช่นนั้นข้าจึงเป็นอันดับสอง เจ้ามีข้อโต้แย้งใดหรือไม่?” ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยกล่าวพลางจ้องมองพวกเขาอย่างเย็นชา

คนเหล่านั้นตกใจจนตัวสั่น พลันฝืนยิ้ม

“ท่านจอมยุทธ์ตู๋กูล้อเล่นแล้ว เราจะกล้าคัดค้านได้อย่างไรขอรับ”

“ใช่แล้ว ท่านจอมยุทธ์ตู๋กู แข็งแกร่งเป็นอันดับสอง เป็นที่ยอมรับ”

"เมื่อเวลาผ่านไป เราเชื่อว่าท่านจอมยุทธ์ตู๋กูจะเหนือกว่าท่านใต้เท้าหัวหน้าโหรหลวง และกลายเป็นอันดับหนึ่งอย่างแน่นอนขอรับ”

เมื่อฟังคำพูดที่สรรเสริญเยินยอของพวกเขา ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยก็ยิ้มกว้างและพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว!”

เขาหันไปหาเสี่ยวเอ้อร์(1)ที่อยู่ด้านข้างแล้วพูดว่า “ค่าชาของคนพวกนี้มาเก็บที่ข้า!”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ คนเหล่านั้นก็ดูประหลาดใจทันทีและพูดซ้ำไปซ้ำมาว่ามิเป็นไร

ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยขมวดคิ้วและพูดอย่างมิพอใจอย่างมาก “เหตุใดเล่า เจ้าคิดว่าข้า ตู๋กูโฉ่วเยวี่ย ไม่มีเงินจ่ายค่าชาหรือไร?”

“หามิได้ ๆ ขอรับ เราแค่มิอยากให้ท่านจอมยุทธ์ตู๋กูต้องเสียเงินให้เราขอรับ”

ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยโบกมือแล้วพูดอย่างเย่อหยิ่ง "มิต้องพูดอะไรแล้ว วันนี้ข้ามีความสุข ข้าจะจ่ายให้ทั้งโรงน้ำชา!"

“เอ่อ นี่…”

“พวกเจ้ามึนอยู่หาปะไร? รีบขอบคุณมากครับท่านจอมยุทธ์ตู๋กูเร็วเข้าสิ!”

หลังจากที่แขกโรงน้ำชาทุกคนได้สติแล้ว พวกเขาทั้งหมดก็โค้งคำนับให้ตู๋กูโฉ่วเยวี่ย และพูดพร้อมกัน “ขอบคุณท่านจอมยุทธ์ตู๋กู!”

เมื่อได้รับความชื่นชมจากผู้คนมากมายเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของตู๋กูโฉ่วเยวี่ยก็สดใสยิ่งขึ้น

เขากำลังจะหาที่นั่งลง เมื่อเขาดูเหมือนว่าจะมองเห็นอะไรบางอย่างจากหางตาจึงรีบหันไปมอง

เมื่อเขาเห็นฉินซูรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็แข็งทื่อ จากนั้นเขาก็พูดกับฉินซูอย่างเชื่องช้า “องค์...“

ก่อนที่เขาจะพูดจบฉินซูก็ขมวดคิ้วพร้อมกับแสดงความตำหนิในสายตา

ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยเข้าใจทันทีและเปลี่ยนคำพูดอย่างรวดเร็ว “องค์เทพเจ้า! ขอบคุณท่านแล้ว โชคชะตาฟ้าลิขิต ฮ่าฮ่า บังเอิญนักที่เจอเจ้าที่นี่”

“หา? พี่ชาย ท่านเป็นสหายของท่านจอมยุทธ์ตู๋กูหรือ?”

“ฮ่าฮ่า เมื่อครู่เราคงทำให้ท่านมิพอใจเสียแล้ว เรายังบอกกับท่านด้วยว่าท่านมาจากชนบท”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ มุมปากของตู๋กูโฉ่วเยวี่ยก็กระตุกสองสามครั้ง และหน้าผากของเขาขึ้นเป็นรอยเส้น

จากชนบทหรือ?

หากพวกเขารู้ว่าบุรุษผู้นี้คือองค์รัชทายาทคงกลัวแทบตาย จะมิกลัวจนปัสสาวะรั่วเลยหรือ

เขาเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับองค์รัชทายาทมาก่อน จึงอดมิได้ที่จะกังวลเกี่ยวกับคนเหล่านี้

โชคดีที่ฉินซูเพิ่งโบกมือ และมิได้สนใจอะไรมาก

ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยรีบตะโกนบอกเสี่ยวเอ้อร์ “เสี่ยวเอ้อร์ เตรียมห้องส่วนตัวให้ข้าและคุณชายคนนี้ด้วย แล้วนำชาเหลืองเข็มเงินที่ดีที่สุดมาสองหม้อ!”

“ขอรับ ท่านจอมยุทธ์ตู๋กูเชิญทางนี้ขอรับ”

เสี่ยวเอ้อร์นำตู๋กูโฉ่วเยวี่ยและฉินซูเข้าไปในห้องส่วนตัวแล้วลงไปชั้นล่างเพื่อชงชา

จากนั้นตู๋กูโฉ่วเยวี่ยก็โค้งคำนับฉินซูแล้วพูดว่า “ถวายบังคมองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!”

“มิจำเป็นต้องเป็นทางการ นั่งลงเถอะ ข้ามีเรื่องจะถาม”

หลังจากพูดจบฉินซูก็นำนั่งลงก่อน

ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยนั่งลงอย่างทำอะไรมิถูกและถามอย่างระมัดระวัง "องค์รัชทายาท ท่านทรงต้องการถามสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

เสี่ยวเอ้อร์ หมายถึง บริกรหรือพนักงานในร้านอาหาร

Continue to read this book for free
Scan code to download App
Comments (1)
goodnovel comment avatar
Nath Akara
อ่านต่อๆๆๆๆๆๆๆ
VIEW ALL COMMENTS

Latest chapter

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 865

    จวนอ๋องฉู่องครักษ์คนหนึ่งคุกเข่าข้างเดียวอยู่เบื้องหน้าฉินอวี่"ทูลท่านอ๋องฉู่ ฝ่าบาทมิทรงเห็นด้วยที่จะส่งทัพไปช่วยเป่ยเยี่ยน อีกทั้งยังทรงส่งแม่ทัพฉงไปประจำการที่ชายแดนเหนือพ่ะย่ะค่ะ""เจ้าแน่ใจหรือว่าเสด็จพ่อปฏิเสธชัดเจน?" ฉินอวี่ถามย้ำ"พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง การที่ฝ่าบาททรงส่งแม่ทัพฉงไปชายแดนเหนือ น่าจะประสงค์ฉวยโอกาสโจมตี""ดูเหมือนว่าเสด็จพ่อต้องการฉวยโอกาสโจมตีตลบหลังเป่ยเยี่ยน ขณะที่พวกเขากำลังสู้กับแคว้นฉี"พูดถึงตรงนี้ ฉินอวี่ขมวดคิ้วแล้วกล่าว "แล้วแคว้นฉีจะรับมืออย่างไร? เสด็จพ่อทรงส่งหัวหน้าโหรหลวงไปเกลี้ยกล่อมหรือไม่?"องครักษ์พยักหน้า "ส่งไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ และตามรายงานข่าวที่น่าเชื่อถือ หัวหน้าโหรหลวงเดินทางขึ้นเหนือไปแล้ว น่าจะไปเจรจากับอ๋องเซียงหยางพ่ะย่ะค่ะ""ดี! ดีมาก! การกระทำของเสด็จพ่อเช่นนี้ มิต่างกระไรกับการประกาศให้ใต้หล้ารู้ว่าต้าเหยียนของเราละทิ้งฉินซูองค์รัชทายาทผู้นี้ไปแล้ว!""ขอแสดงความยินดีกับท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ เมื่อองค์รัชทายาทถูกละทิ้ง เขาก็ทำได้แค่รอความตายเท่านั้น เมื่อถึงเวลาที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งรัชทายาทองค์ใหม่ ก็ไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าท่านอ๋องอีกแล้

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 864

    ฉงชูโม่ชะงักไป แล้วถามย้ำ “เจ้าแน่ใจนะว่าหัวหน้าโหรหลวงขึ้นเหนือไปเพื่อช่วยองค์รัชทายาท?”“อืม อาจารย์พูดเองว่าจะมิทอดทิ้งองค์รัชทายาท”“แต่เขาไปเพียงลำพัง จะมีประโยชน์กระไรมากมาย?”กู้เสวี่ยเจี้ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อันที่จริงอาจารย์ก็ลำบากใจเช่นกัน หากเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทให้ทรงออกทัพไปช่วยเป่ยเยี่ยน สุดท้ายต้าเหยียนของเราก็คงหนีมิพ้นเคราะห์กรรม ราษฎรในแผ่นดินก็จะต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย เพราะอาจารย์คำนึงถึงจุดนี้ เขาจึงมิได้เตือนฝ่าบาทอย่างตรงไปตรงมา”ได้ยินดังนั้น ฉงชูโม่ก็ขมวดคิ้วแล้วเงียบไปเพราะระหว่างทางที่กลับมา นางได้ลองประมาณกำลังพลทั้งสามฝ่ายดูแล้วกำลังพลของเป่ยเยี่ยนและต้าเหยียนรวมกันอย่างมากก็มีประมาณเก้าแสนถึงหนึ่งล้านนาย ส่วนแคว้นฉีลำพังแค่กองทัพทหารม้าหุ้มเกราะก็มีจำนวนคนถึงหนึ่งล้านนายแล้ว นี่ยังมิรวมทัพอื่น ๆ อีกอีกทั้งแคว้นฉียังมีรากฐานที่มั่นคง อาวุธยุทโธปกรณ์ที่เหล่าทหารใช้ก็เป็นของชั้นเลิศหากเกิดสงครามขึ้นจริง ๆ แม้เป่ยเยี่ยนและต้าเหยียนจะร่วมมือกัน ก็ยากที่จะเอาชนะได้ที่นางมาหาหัวหน้าโหรหลวง ก็เพียงแต่หวังว่าอีกฝ่ายจะคิดหาทางออกที่ดีต่อทั้งสองฝ่าย

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 863

    เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปาก “ฝ่าบาท หากหัวหน้าโหรหลวงสามารถเกลี้ยกล่อมอ๋องเซียงหยางได้ เมื่อเขากลับมาแล้ว ค่อยให้เขาคิดหาทางแก้ไขก็แล้วกันพ่ะย่ะค่ะ”“ก็คงต้องเป็นเช่นนั้น หึ! เดิมทีตัวข้ายังปวดหัวอยู่ว่าจะลดทอนความดีความชอบขององค์รัชทายาทลงอย่างไร เจ้านั่นก็เหลือเกิน ใจกล้าสังหารบุตรชายอ๋องเซียงหยาง นี่ถือว่าเขาก่อเรื่องเอง แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เบาแรงข้าลงไปได้มากโขเลยทีเดียว”เฉาฉุนหัวเราะแห้ง ๆ มิได้ตอบกระไรฉินอู๋ต้าวยืดเส้นยืดสาย แล้วหันกลับไปยังห้องบรรทมภายในสำนักหอดูดาวหลวงทันทีที่เหลยเจิ้นกลับมา กู้เสวี่ยเจี้ยนก็ถามอย่างใจร้อน “อาจารย์ ฝ่าบาททรงรับสั่งว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ จะส่งทัพไปช่วยเหลือเป่ยเยี่ยนเมื่อใด?”“ฝ่าบาทจะมิส่งทัพไป” เหลยเจิ้นตอบสั้น ๆ“ว่ากระไรนะ?! มิส่งทัพไปช่วยหรือ หากเป่ยเยี่ยนถูกทำลาย กองทัพแคว้นฉีก็จะหันคมดาบมายังต้าเหยียนของเรามิใช่หรือ หลักการง่าย ๆ แค่นี้ฝ่าบาทมิได้ทรงคำนึงถึงหรือเจ้าคะ?”“ใช่ว่าฝ่าบาทมิได้คำนึงถึง เพียงแต่หากส่งทัพไปช่วยเป่ยเยี่ยน ก็เท่ากับการประกาศสงครามกับแคว้นฉี ด้วยกำลังของแคว้นฉี แม้ต้าเหยียนกับเป่ยเยี่ยนจะร่วมมือกัน

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 862

    เว่ยเจิงมีสีหน้าประหลาดใจอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าเขามิคาดคิดว่าฉินอู๋ต้าวตั้งใจจะสละองค์รัชทายาทจริง ๆเหลยเจิ้นขมวดคิ้วเล็กน้อย มองฉินอู๋ต้าวอย่างลึกซึ้งผาดหนึ่งแล้วส่ายหน้าช้า ๆ“เกรงว่ามิง่ายนัก เมื่ออ๋องเซียงหยางทำลายเป่ยเยี่ยนลงแล้ว เก้าในสิบส่วนย่อมต้องบุกเข้ามา และฉวยโอกาสยึดต้าเหยียนของเราไปด้วย”เว่ยเจิงเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฝ่าบาท องค์รัชทายาทได้สร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่มากมายในช่วงหลังมานี้ หนานเยวี่ยก็เป็นองค์รัชทายาทที่ยึดครองมาได้ หากสละองค์รัชทายาทไป เกรงว่าจะถูกคนทั่วหล้าวิพากษ์วิจารณ์เอาได้พ่ะย่ะค่ะ”“คนทั่วหล้าจะวิพากษ์วิจารณ์ข้าอย่างไร ข้ามิสน! สิ่งที่ข้าใส่ใจคือชีวิตของราษฎรนับล้านในแผ่นดินต้าเหยียนของข้า!”ฉินอู๋ต้าวลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวต่อ “ท้ายที่สุดแล้วหายนะครั้งนี้ก็เป็นสิ่งที่รัชทายาทก่อขึ้น ในฐานะจักรพรรดิแห่งต้าเหยียน ข้าย่อมมิอาจปล่อยราษฎรในแผ่นดินต้องพลอยรับเคราะห์กรรมไปด้วย ดังนั้น ขุนนางเหลย ข้าอยากจะขอให้เจ้าเดินทางขึ้นเหนือด้วยตนเอง ไปเกลี้ยกล่อมอ๋องเซียงหยาง ตราบใดที่เขามิระบายโทสะกับต้าเหยียนของเรา องค์รัชทายาทจะเป็นอย่างไรก็ให้เขาจัดการ

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 861

    หวังฉือตุลาการศาลต้าหลี่ก้าวออกมากล่าวว่า "ฝ่าบาท ข้าน้อยเห็นว่าการที่องค์รัชทายาทสังหารบุตรชายของอ๋องเซียงหยางเป็นการกระทำที่บีบบังคับยิ่ง มิอาจตำหนิพระองค์ได้ หากมิส่งกำลังไปช่วยเหลือเป่ยเยี่ยน เกรงว่าในภายภาคหน้าภัยจะมาถึงตัว ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาไตร่ตรองด้วยพ่ะย่ะค่ะ!"ตาเฒ่าเนี่ยหงสนับสนุน "ข้าน้อยก็เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ แม้ว่าเป่ยเยี่ยนกับต้าเหยียนของเราจะขัดแย้งกันมาโดยตลอด แต่ยามนี้หากมิร่วมมือกันต่อต้านแคว้นฉี หลังจากที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ ต้าเหยียนของเราก็จะไม่มีกำลังต่อต้านอีกต่อไป ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาไตร่ตรองด้วยพ่ะย่ะค่ะ!"หลินซีเสนาบดีกรมพระคลังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ก้าวออกมา "ฝ่าบาท ข้าน้อยก็เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ การร่วมมือกับเป่ยเยี่ยนยังพอเห็นโอกาสเอาชนะได้บ้าง หากปฏิเสธที่จะส่งกำลังไปช่วยเหลือ หลังจากเป่ยเยี่ยนถูกทำลาย พวกเราก็จะต้องเผชิญหน้ากับคมดาบของกองทัพทหารม้าหุ้มเกราะนับล้านของแคว้นฉีโดยตรง""ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท การช่วยเหลือเป่ยเยี่ยน จะทำให้ภายในต้าเหยียนของเรามิได้รับผลกระทบจากไฟสงคราม มิฉะนั้นหากวันใดทัพใหญ่ของแคว้นฉีบุกเข้ามา ต้าเหยียนของเราย่อมต้องประสบกับ

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 860

    ฉินซูกำชับ "แม่ทัพใหญ่ ท่านควรส่งคนกลับไปเสริมกำลังป้องกันเมืองเจียหยางก่อน หากอ๋องเซียงหยางบุกโต้กลับ เมืองเจียหยางก็คือแนวป้องกันสุดท้ายของเรา""ก่อนมา ข้าได้สั่งให้คนเสริมกำลังป้องกันเมืองไว้แล้ว เรื่องนี้บุตรแห่งนักปราชญ์วางใจได้เลย!""เช่นนั้นก็ยอดเยี่ยม"ฉินซูพูดจบ ก็จ้องมองแผนที่ทรายตามิกะพริบ ความคิดในสมองแล่นอย่างรวดเร็วเห็นดังนั้น ลู่อวี้และมู่หรงอวิ๋นเจิงก็ฉลาดพอที่จะมิส่งเสียงรบกวน......แคว้นต้าเหยียนท้องพระโรงของพระราชวังเมืองหลงเฉิงเมื่อฉงชูโม่เห็นฉินอู๋ต้าวก็รีบเล่าเรื่องราวคร่าว ๆ ให้ฟังทันทีฉินอู๋ต้าวเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม "เจ้าว่ากระไรนะ? รัชทายาทกล้าสังหารบุตรชายอ๋องเซียงหยางแห่งแคว้นฉีเชียวหรือ?!"ขุนนางทั้งราชสำนักต่างก็ตกใจหน้าซีดเซียว และต่างมองไปที่ฉงชูโม่เป็นตาเดียว!แม้แต่เหลยเจิ้นยังมีสีหน้าประหลาดใจฉงชูโม่พยักหน้าช้า ๆ "เพคะฝ่าบาท หยวนหัวคิดจะทำเรื่องต่ำช้ากับกู้เสวี่ยเจี้ยน หลังจากองค์รัชทายาทเสด็จไปถึง ก็ได้สังหารเขาทันที"ได้ยินดังนั้น บรรดาขุนนางระดับสูงที่ต้องการตำหนิฉินซูเกิดความกระดากทันทีด้วยกู้เสวี่ยเจี้ยนเป็นศิษย์ของหัวหน้

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status