ฉินซูมองเห็นความกังวลในใจของพวกเขา จึงอธิบายว่า “พวกมันแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม ศัตรูด้านหน้าเป็นเพียงตัวล่อเท่านั้น กำลังรบมิได้แข็งแกร่ง พวกเราเพียงแต่สังหารพวกมัน ก็สามารถบุกตรงไปยังค่ายใหญ่ของพวกมันได้ตรง ๆ แล้ว!”“ท่านหมายความว่า... พวกเราจะไปบุกค่ายหรือ? แต่ถ้าแม่ทัพของพวกมันมิอยู่ในค่าย เช่นนั้นจะทำอย่างไรเล่า?”“ในค่ายของพวกมันยังมีคนบาดเจ็บอีกมากมาย ครั้นเห็นพวกเราไปบุกค่าย พวกมันย่อมต้องลงจากเขามาไล่ตามพวกเรา”“เช่นนั้นพวกเราก็จะไม่มีที่ซ่อนตัวเลยมิใช่หรือขอรับ?” เจี่ยเซิ่งถามด้วยความฉงนเต็มใบหน้าฉินซูชี้ไปที่ด้านหลังค่ายใหญ่ “เมื่อพวกเราบุกฝ่าค่ายใหญ่ของพวกมันไปได้แล้วก็จะเข้าไปในป่า จากนั้นก็อ้อมกลับมาที่นี่! ไปกลับเช่นนี้ เวลาก็ผ่านไปครึ่งวันแล้ว”เจี่ยเซิ่งได้ยินดังนั้น จึงเพิ่งจะเข้าใจ “ใช่แล้ว พวกเราแค่ถ่วงเวลาเท่านั้น มิจำเป็นต้องสู้กับพวกมันจนถึงแก่ชีวิต!”รองแม่ทัพนายหนึ่งเอ่ยถามอย่างสงสัย "เช่นนั้นหากพวกมันทิ้งกำลังพลส่วนหนึ่งไว้บนเขาเล่า? ลำพังพวกเราเพียงหยิบมือจะยึดที่นี่กลับมาได้หรือขอรับ?"เจี่ยเซิ่งก็ตระหนักถึงจุดนี้ จึงมองไปที่ฉินซูอีกฝ่ายกล่าวด้วยสีหน้า
เกาตงโบกมือสั่งการ “บุก! ตามข้าขึ้นเขาไป สับเจ้าคนสารเลวนั่นให้ตกตายเสีย!”“ท่านแม่ทัพเกา รอเดี๋ยว!” ไช่ซือรั้งเขาไว้เกาตงสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าจะขวางข้ารึ?”“ข้าน้อยมิกล้าขอรับ เพียงแต่เมื่อครู่นั้น เจ้าคนชั่วช้านั่นลงมาเพื่อยั่วยุชัด ๆ ขืนตอนนี้พวกเราผลีผลามบุกตามไป เกรงว่าจะตกหลุมพรางของพวกมัน ขอท่านแม่ทัพเกาโปรดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนด้วยขอรับ!”ได้ยินดังนั้น เกาตงก็สงบลงเล็กน้อยเขาหันกลับไปมองทหารที่บาดเจ็บล้มตาย แล้วจึงสั่งการ “พวกเจ้าจัดที่พักให้ผู้บาดเจ็บก่อน สวีฝูเจ้าพาทหารบางส่วนลอบขึ้นไปทางนั้น ตรวจตราการกระจายกำลังของทหารเป่ยเยี่ยนให้แน่ชัด!”“น้อมรับบัญชา!”ชายฉกรรจ์นามสวีฝูโบกมือแล้วนำกำลังพลหลายคนออกเดินทางเกาตงทอดสายตามองไปยังหุบเขาจากไกล ๆ แล้วกล่าว “เห็นได้ชัดว่าพวกเป่ยเยี่ยนพวกนั้นตั้งใจจะใช้ตำแหน่งที่ตั้งหุบเขาเพื่อลดทอนกำลังของเรา นอกจากหุบเขาแล้ว ยังมีทางอื่นที่สามารถอ้อมไปได้อีกหรือไม่?”ไช่ซือตอบ “มีขอรับ แต่หากต้องอ้อมไป อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาเพิ่มอีกสองถึงสามวัน อีกทั้งยังมิทราบว่ามีกองกำลังซุ่มโจมตีอยู่บนทางนั้นหรือไม่”“ดูท่าคงต้องหาวิธีจัดการพื้นที่เ
ไช่ซือได้สติ ก็แผดเสียงคำราม “พลโล่รีบจัดทัพ ล้อมมันไว้ อย่าให้มันหนีไปได้!”“เฮ!”ท่ามกลางเสียงคำรามกึกก้องนั้น พลโล่กรูเข้ามาตั้งวงล้อมรอบส่วนทหารที่เหลือก็รีบหลบไปอยู่ด้านหลังพลโล่ภายในวงล้อมนั้น ในมิช้าก็เหลือเพียงฉินซู เกาตงและไช่ซือซึ่งเป็นผู้มีวรยุทธ์สูงส่งกว่าใคร“เจ้าเป็นใคร จงเอ่ยนามมา!”เกาตงจ้องฉินซูอย่างดุดันแล้วตะโกนถามฉินซูยิ้มอย่างสุขุม มิได้ตอบคำถามของเขา แต่กลับหัวเราะเยาะ “แค่เศษเหล็กพวกนี้ คิดว่าจะขังข้าได้รึ? ช่างไร้เดียงสาเสียจริง!”สิ้นคำเขาก็กระโจนร่างขึ้นสูง!“แย่แล้ว เขากำลังจะหนี! รีบหยุดมันไว้!”เกาตงสั่งการ พลหอกที่อยู่ด้านหลังพลโล่ก็รีบยกหอกขึ้นสูงแทงใส่ฉินซูที่อยู่กลางอากาศกระบี่ยาวในมือของฉินซูสะบัดหนึ่งครั้ง หอกเหล่านั้นก็หักกลางลำทันที!หลังจากนั้น ฉินซูมิเพียงแต่มิหนีไปไหน แต่กลับร่อนลงด้านหลังพลโล่ และสะบัดกระบี่ยาวในมืออีกคราเริ่มการสังหารอย่างบ้าคลั่งครั้นเห็นการกระทำของเขา เกาตงแทบจะกระอักเลือดออกมาด้วยโทสะจนต้องคำรามลั่น “กระจายกำลัง! รีบกระจายกำลังออกไป!”ขณะกล่าว เขาก็สั่งให้ไช่ซือและคนอื่น ๆ ไล่ตามฉินซูไปติด ๆแต่ฉินซูก็หาไ
แต่ทันใดนั้นเอง!จู่ ๆ ก็มีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นจากที่ไกลออกไป!ตามด้วยเสียงคำรามโทสะ “ข้าศึกบุก! ข้าศึกบุก! รีบตั้งรับเร็วเข้า!!”เมื่อได้ยินดังนั้น เกาตงและไช่ซือก็ต่างหัวใจสั่นสะท้าน!เมื่อได้สติ เกาตงก็ยิ้มเหี้ยมเกรียม “โคตรแม่งมันสิ กล้าลอบเข้ามาโจมตีกลางวันแสก ๆ เตรียมอาวุธ อย่าให้พวกมันรอดกลับไปได้!”“ขอรับ! เร็วเข้า! รีบเตรียมอาวุธรับมือ!”ไช่ซือสั่งการ เหล่าทหารที่ยังหลับใหลอยู่ต่างกระโดดออกมาจากกระโจมอย่างรวดเร็ว เข้าสู่สภาวะพร้อมรบทันใดพวกเขาติดตามเกาตงและไช่ซือวิ่งไปยังทิศทางของเสียงที่ดังขึ้น ทว่าทุกคนกลับต้องตะลึงงัน!เห็นเพียงร่างหนึ่งอยู่มิไกลข้างหน้า กำลังพุ่งเข้าสังหารฝูงชน!นอกจากนี้ ยังไม่มีเงาร่างของศัตรูคนอื่นใดอีก!ไช่ซือมีสีหน้าตกตะลึง “เจ้าคนบ้าบิ่นคนเดียว กล้าบุกเข้าค่ายเราเชียวรึ?”“เจ้าคนสามานย์ คิดว่าค่ายทหารม้าหุ้มเกราะของเราจะยอมง่าย ๆ รึ นำดาบข้ามา ข้าจะลงมือสับมันเอง!”เกาตงรับดาบรบมาแล้วเตรียมจะลงมือด้วยตนเองไช่ซือรั้งตัวเขาไว้แล้วเอ่ยเตือน “ท่านแม่ทัพเกา อย่าใจร้อนนักเลยขอรับ ดูท่าทีไปก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด”เกาตงขมวดคิ้วพลางมองไปยังก
เกาตงเช็ดคราบเลือดที่มุมปากแล้วกัดฟันกรอด “วางใจเถิด ข้าตายมิได้ หนี้เลือดในวันนี้ วันพรุ่งข้าจะให้พวกมันชดใช้คืนร้อยเท่าพันทวี!”สายตาของเขาเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น ใบหน้ามืดครึ้มจนน่ากลัวหลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย เขาก็สั่งการ “ไช่ซือ เจ้าเกณฑ์คนไปซุ่มโจมตีรอบ ๆ ป้องกันมิให้พวกมันมาลอบโจมตีอีก! ส่วนคนอื่น ๆ ก็พักผ่อนอยู่ที่นี่ ฟื้นฟูพละกำลังให้เต็มที่ แล้ววันพรุ่งค่อยบุกขึ้นเขาไปล้างแค้นความอัปยศในวันนี้!”“น้อมรับบัญชา! ท่านแม่ทัพเกาวางใจได้ หากพวกมันกล้ามาอีก ข้าจะทำให้พวกมันมิได้กลับไปอีก!”ไช่ซือโบกมือแล้วนำทหารฝีมือดีหลายพันนายไปซุ่มโจมตี......เหนือหุบเขาเจี่ยเซิ่งมาหาฉินซูแล้วกล่าวอย่างกระตือรือร้น “บุตรแห่งนักปราชญ์ ตอนนี้ดึกมากแล้ว พวกเราควรนำคนลงจากเขาไปลอบโจมตีพวกมันดีหรือไม่ขอรับ?”เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ ดวงตาของทุกคนรอบข้างก็พลันสว่างไสวขึ้นมาทันที ต่างเตรียมพร้อมที่จะลงมือฉินซูถอนหายใจเหลือบตามองพวกเขา แล้วกล่าว “พวกมันเพิ่งจะประสบความสูญเสียใหญ่หลวงไปเมื่อครู่ ตอนนี้คงวางแผนซุ่มโจมตีรอเราตกหลุมพรางอยู่เป็นแน่!”เจี่ยเซิ่งคิดดูแล้วก็เห็นด้วย จึงจำใจยอมแพ้ฉินซ
“รองแม่ทัพของอ๋องเซียงหยางทุกคนล้วนเป็นผู้ที่สามารถนำทัพทำศึกได้ดีเยี่ยม เพียงแต่อ๋องเซียงหยางตั้งมั่นแน่วแน่ที่จะแก้แค้นให้บุตรชายของตน ดังนั้นเมื่อใดที่อาการบาดเจ็บของเขากำเริบขึ้นมาอีกครั้ง เขาย่อมต้องพักรบ ซึ่งจะทำให้พวกท่านเป่ยเยี่ยนมีเวลาเสริมสร้างปราการป้องกันเมือง!”“พูดง่ายนี่ ต่อให้อ๋องเซียงหยางมาถึงแนวหน้า เขาย่อมต้องปักหลักตั้งค่ายใหญ่โต คิดว่าลอบโจมตีเขาง่ายนักหรือ?”ชิวเจ๋อเอ่ยปาก “ข้าน้อยยินดีช่วยเหลือพวกท่าน ขอเพียงพวกท่านปล่อยข้ากลับไป ข้าจะลอบเข้าหาอ๋องเซียงหยาง แล้วลงมือโจมตีเขาให้บาดเจ็บ เช่นนี้เขาก็จำต้อง...”ยังมิทันกล่าวจบ เจี่ยเซิ่งก็แค่นยิ้มเย็นเอ่ย “ปล่อยเจ้ากลับไปรึ? เจ้าเห็นพวกข้าโง่เง่าเต่าตุ่นหรือไร? อีกอย่างวรยุทธ์ของเขาทั้งทรงพลังลึกล้ำจนมิอาจหยั่งถึง อย่างเจ้าน่ะหรือจะทำกระไรเขาได้?”ชิวเจ๋อหน้าซีดด้วยความอับอาย มิรู้จะพูดอย่างไรเจี่ยเซิ่งมิสนใจเขา หันไปทางฉินซูแล้วกล่าว “บุตรแห่งนักปราชญ์ อ๋องเซียงหยางมีวรยุทธ์แกร่งกล้า กวาดสายตาไปทั่วเป่ยเยี่ยน ผู้ที่สามารถทำร้ายเขาได้เห็นจะมีเพียงท่านเจ้าสำนักเท่านั้น ดังนั้นเก็บเจ้านี่ไว้ก็เปล่าประโยชน์ เชือดม