กลับมาทางด้านแม่ทัพใหญ่เสวี่ย เมื่อกลับมาถึงที่พักแล้วไม่พบองค์หญิงใหญ่อยู่ในเรือนรับรอง ใจของเขาก็เริ่มวิตกกังวลขึ้นมาทันที ก่อนจะรีบออกไปตามหา แต่แล้วขณะนั้นเองก็มีทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามารายงานเรื่องด่วน
“แย่แล้วขอรับท่านแม่ทัพ! ทหารรักษาเมืองทั้งสองหมื่นนาย ต่างพากันล้มพับไปนอนกับพื้นราวกับคนไม่มีเรี่ยวแรง ทางเราได้ส่งคนไปตรวจสอบอาหารและน้ำ แล้วพบว่าในอาหารและน้ำมีบางสิ่งบางอย่างเจือปนอยู่ แต่ก็ยังไม่แน่ชัดว่าคือยาพิษชนิดใดขอรับ”
ทันทีที่ได้รับรายงาน ใบหน้าของเสวี่ยเยวียนสือก็มืดครึ้มด้วยความกังวล ก่อนจะออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด
“ไป! พวกเจ้าจงเร่งออกตามหาองค์หญิงใหญ่เดี๋ยวนี้ ส่วนเรื่องอื่น ๆ เดี๋ยวข้าจะจัดการเอง”
บัดนี้แม่ทัพใหญ่สูญสิ้นแล้วซึ่งความเยือกเย็น เมื่อเหตุการณ์ทั้งหมดได้บานปลายมาถึงขั้นนี้
พอคิดถึงองค์หญิงใหญ่ที่น่าจะถูกลักพาตัวไป ใจของเขาก็ยิ่งปั่นป่วน ความหวาดหวั่นแล่นไหลราวกระแสธารอันไม่รู้จบ ความกังวลเกาะกินในอก จนมิอาจสลัดให้พ้นไปจากใจได้
“ใครก็ตามที่มันกล้าทำอะไรนาง ข้าผู้นี้จะทำให้พวกมันทุกข์ทรมานยิ่งกว่าตายทั้งเป็น พวกมันต้องร่ำไห้ร้องขอความตายจากข้า” แม่ทัพใหญ่ประกาศออกไปเสียงดังก้อง
น้ำเสียงของเสวี่ยเยวียนสือเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหาร รังสีความอำมหิตแผ่กระจาย จนทุกคนรอบข้างรู้สึกหนาวยะเยือก
ก่อนที่เขาจะเร่งเดินทางไปยังสถานที่ตั้งของกองทัพปกป้องเมือง และทำการตรวจสอบถึงสิ่งแปลกปลอม ที่เจือปนอยู่ในน้ำและอาหารทันที
“ผงสลายวิญญาณ นี่เป็นแค่ยาที่ทำให้หมดเรี่ยวแรงเท่านั้น พวกเจ้าทั้งหมดจงไปหาสมุนไพรตามนี้ มีหญ้าสิบตำลึง ดอกเสน่ห์แดง ว่านชักราก ผลมะเดื่อคราม ให้นำมาพวกนี้มาต้มในปริมาณที่เท่า ๆ กัน จากนั้นก็ให้พวกเขาดื่มคนละหนึ่งจอก เดี๋ยวก็จะดีขึ้นเอง”
เมื่อสั่งการจบแล้วเขาก็รีบออกไปตามหาองค์หญิงใหญ่ทันที
“หวังว่าเจ้าจะไม่เป็นอะไรนะมี่เอ๋อร์”
เสียงของเขาแผ่วเบาและเต็มไปด้วยความห่วงใย แม้จะพยายามสงบจิตใจ แต่แล้วกลิ่นอันคุ้นเคยบางอย่างก็ลอยมาเตะจมูก นั่นทำให้เขาต้องรีบติดตามไปในทันที
“แย่แล้วลูกพี่! พวกมันรู้ตัวแล้ว เราต้องรีบออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด” หนึ่งในลูกสมุนของพวกมัน ได้วิ่งเข้ามารายงานหัวหน้าอย่างเร่งด่วน
เพียงสิ้นเสียงรายงานของเขา สายตาทุกคู่ก็จับจ้องมาที่สตรีเพียงหนึ่งเดียวภายในสถานที่แห่งนี้
“แล้วเราจะจัดการนางอย่างไรดีหัวหน้า ถ้าจะให้นำนางไปด้วย ก็เกรงว่าเราจะหนีไม่ทัน”
“ฆ่านางทิ้งเสีย พวกเราไม่มีเวลาแล้ว” คนเป็นหัวหน้าได้เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“เจ้าคิดจะฆ่าข้า ถามข้าหรือยัง ว่าข้ายอมหรือไม่”
หลินซูมี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างสง่า จากนั้นนางก็สะบัดเส้นผมอย่างแรง จนเกิดเป็นละอองผงแปลกประหลาดฟุ้งกระจายไปทั่ว
ในตอนที่พวกมันต่างพากันปัดป้องสิ่งที่ลอยมากระทบตัว นางฉวยโอกาสดึงกริชสั้นที่ซ่อนอยู่ ออกมากรีดเส้นเอ็นข้อมือและข้อเท้าของศัตรูที่อยู่ใกล้ที่สุด
ทุกการเคลื่อนไหวของนางรวดเร็วดั่งสายลม ร่างเล็กอันคล่องแคล่วนั้น ใช้ความได้เปรียบของสรีระในการเคลื่อนที่ตัดข้อเท้าศัตรูได้ถึงหกคนในพริบตา เหลือเพียงอีกห้าคนที่ยังยืนหยัดต่อสู้ได้ โดยแต่ละคนแค่มอง ก็รู้ว่าไม่สามารถจัดการได้ง่าย ๆ
แต่ถึงมันจะเป็นเช่นนั้น นางก็ยังคงสู้โดยไม่ยอมแพ้ เพราะได้อาศัยในจังหวะที่คนเหล่านั้นยังมึนงงกับผงที่นางโปรยออกไปอยู่
หลินซูมี่ได้ใช้กริชแทงไปที่ชายร่างกำยำคนหนึ่งตรงบริเวณหัวใจ จนเขาสิ้นใจตายในทันที เลือดที่พุ่งสาดกระเซ็นได้ชะล้างผงพิษ จนทำให้คนที่เหลือเริ่มฟื้นกำลังได้อีกครา
“ร้ายกาจไม่เบานะ เจ้าตายเสียเถอะ!”
ชายผู้เป็นหัวหน้าคำรามลั่น ขณะยกดาบยักษ์ในมือขึ้นฟาดฟันใส่นางอย่างเต็มกำลัง
เคร้ง!
เสียงโลหะปะทะกันดังสนั่น โดยนางได้ฉวยกระบี่ของคนร้ายที่เพิ่งตายไป มาตั้งรับการจู่โจมไว้ได้ทัน แม้กระบี่จะเอนลงไปจนเกือบชิดติดกับหน้าอก แต่สุดท้ายก็ออกแรงดีดแรงสะท้อนดาบยักษ์นั่นออกไปได้
หลินซูมี่ใช้โอกาสนี้เหวี่ยงกระบี่เป็นวงกลมรอบตัว พลางฟาดฟันศัตรูที่พยายามเข้าประชิด นางค่อย ๆ โจมตีพร้อมถอยหลังอย่างมีชั้นเชิง รักษาระยะห่างจากศัตรูและก้าวถอยไปทีละก้าว เพื่อหนีออกไปจากที่แห่งนี้ จนเท้านางใกล้จะถึงทางออกแล้ว
แต่ก็เหมือนดั่งสวรรค์กลั่นแกล้ง เพราะที่หน้าประตูทางออก มีร่างบุรุษสูงใหญ่อีกคนหนึ่งเดินเข้ามาปิดกั้นเอาไว้
ยามนี้เท่ากับว่าตัวของนางได้ถูกศัตรูล้อมไว้ทุกด้านแล้ว
“หึ! มาดูกันสิว่า เจ้าจะหนีจากข้าไปได้ยังไง”
ผู้เป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้นมาด้วยความแค้นอย่างเต็มเปี่ยม ก่อนที่เขาจะเหวี่ยงดาบยักษ์ในมืออีกครั้ง และในครั้งนี้ตัวของหลินซูมี่ ก็ได้สะบัดกระบี่ในมือออกไปเพื่อปัดดาบที่พุ่งเข้ามา
แล้วมันก็ได้ผล เพราะนางสามารถปลดอาวุธของอีกฝ่ายได้สำเร็จ โดยที่คนที่โดนปลดอาวุธทำสีหน้าตกตะลึงกับภาพตรงหน้า
ก่อนที่ผู้ใดจะเคลื่อนไหว ได้มีหอกขนาดใหญ่พุ่งเข้ามาจากทางหน้าประตู และแทงทะลุศีรษะของหัวหน้าทันที
จากนั้นร่างสูงใหญ่ของบุรุษผู้หนึ่งก็กระโจนเข้ามา แล้วทำการฟาดฟันกับศัตรูอย่างดุดัน
บุรุษร่างสูงใหญ่ฟาดฟันเหล่าศัตรูอย่างคั่งแค้น เลือดสาดซัดทั่วบริเวณ ทำให้กลุ่มคนร้ายที่ยังเหลือรอดต่างบาดเจ็บถ้วนหน้า ก่อนที่เขาจะเอ่ยออกมา
“นำพวกมันที่เหลือไปประหาร ด้วยห้าม้าแยกร่าง!”
เสวี่ยเยวียนสือกล่าวออกมาอย่างโหดเหี้ยม
ทหารที่ยืนเรียงแถวอยู่ด้านหลัง เมื่อได้ยินคำสั่ง ต่างรีบเข้าไปจับตัวศัตรูที่ยังดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น
เมื่อกลับมาถึงที่พักในกองบัญชาการ หลินซูมี่ก็ได้พักผ่อนเพียงไม่นาน ชายที่ไปช่วยนางเอาไว้ก็มาหาที่ห้องพัก
“มี่เอ๋อร์ พวกเราไปดูตอนพวกมันถูกประหารกันเถอะ”
เสวี่ยเยวียนสือเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่บอกอารมณ์ไม่ถูก แต่ที่แน่ ๆ มันเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและชั่วร้ายอย่างที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน
หลังจากนั้นชายหนุ่มจูงมือนางออกไปยังลานประหารหน้าประตูเมือง เพื่อเฝ้ามองบุคคลเหล่านั้นที่ยามนี้ถูกเชือกมัดตึงแขนขาและคอเอาไว้ เพื่อรอคำสั่งประหารจากแม่ทัพใหญ่เสวี่ย
“พวกเจ้าทั้งหลายจงจดจำเอาไว้ว่า การที่พวกเจ้าต้องตายอย่างทุกข์ทรมานเช่นนี้ เกิดจากการที่พวกเจ้าแตะต้องคนที่ไม่ควรแตะต้อง” เสวี่ยเยวียนสือกล่าวออกมาเสียงดังก้อง หลังจากนั้นเขาก็ได้โยนไม้ที่เขียนคำว่า ตาย ลงไปบนพื้นตรงหน้าทันที
ผู้ควบคุมม้าก็ได้ทำการสั่งให้ม้าวิ่งไปข้างหน้า ทำให้ร่างของกลุ่มคนร้ายที่ยังไม่ถูกสังหารดิ้นทุรนทุรายด้วยความทรมาน จนในที่สุดอวัยวะของมันก็ค่อย ๆ หลุดออกจากตัวไปทีละส่วน โดยสิ่งที่ขาดออกไปก่อนก็คือบริเวณขาและแขนทั้งสองข้าง จนสุดท้ายศีรษะก็หลุดตามออกตามมา
เมื่อหลินซูมี่ได้เห็นภาพอันน่าสยดสยองนี้ ทำให้นางอาเจียนออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เพราะภาพที่เห็นคือการประหารที่ทรมานและโหดร้ายที่สุด อีกทั้งยังมีเศษชิ้นเนื้อกระจายบนพื้นไปทั่ว
“นำเศษชิ้นเนื้อของพวกมันไปสับให้ละเอียด แล้วส่งเศษเนื้อเหล่านี้ไปให้กับค่ายของศัตรู” เสวี่ยเยวียนสือสั่งออกมาเสียงดัง
เมื่อหลินซูมี่ได้ฟังในประโยคนี้ ทำให้หญิงสาวหันมามองแม่ทัพใหญ่อย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองว่า เขาจะอำมหิตได้ถึงขั้นนี้
ทางด้านของคนที่ถูกจ้องมอง กลับไม่มีทีท่าหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังแสยะยิ้มออกมา ราวกับกำลังมองดูเรื่องสนุกอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ตอนพิเศษที่ 2นับตั้งแต่ได้รับพระราชทานฐานันดรศักดิ์อ๋อง ทั้งสองก็ได้กลับไปยังหมู่บ้านที่เคยพำนักอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ต่างออกไป เพราะพวกเขากลับมาพร้อมอำนาจเต็มมือหลินซูมี่ได้จัดสร้างจวนอ๋องขึ้นในหมู่บ้าน และยกให้ที่นี่เป็นศูนย์กลางในการว่าราชการของเขตปกครอง ทำให้หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ได้กลายเป็นเมืองหลวงของเขตปกครองเจียงซานและตงตู่นอกจากนี้ ทั้งสองยังได้ประกาศยกย่องสุสานของราชวงศ์เป่ยโจวให้เป็นสุสานหลวง เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อราชวงศ์เก่าแก่ในอดีตเขตปกครองแห่งใหม่นั้น มีการละเว้นการเก็บภาษีในหลายด้าน นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งโรงทานและสร้างที่อยู่ที่กิน ให้แก่เหล่าผู้สูงวัยที่ไร้ผู้คนดูแล เพื่อให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และได้รับการรักษาในยามเจ็บป่วยอย่างทั่วถึงอีกทั้งยังมีการสร้างสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และให้การศึกษาที่ดีต่อเด็ก ๆ เพื่อให้เติบโตไปทำคุณต่อบ้านเมืองทางด้านการขยายอาณาเขต ก็มีการออกปราบปรามชนเผ่าต่าง ๆ โดยรอบเมืองทางเหนืออยู่เนือง ๆทำให้ยามนี้ชนเผ่าเร่ร่อนอีกกว่าสี่สิบแปดชนเผ่า ได้เข้าร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับแคว้นหลิน โดยอยู่ภายใต้การปกครองของเขตปกครองตนเองเจ
ตอนพิเศษที่ 1นับตั้งแต่ที่ฮ่องเต้ได้ปลดองค์หญิงใหญ่ออกจากตำแหน่งให้เป็นเพียงสามัญชน ตัวของนางและเสวี่ยเยวียนสือ ก็ได้เดินทางกลับมาที่หมู่บ้านที่หลินซูมี่เคยหลบหนีมาอยู่อีกครั้ง โดยในครั้งนี้มันแตกต่างออกไป เพราะนางไม่ต้องหลบซ่อนจากผู้ใดทั้งสิ้น อีกทั้งยังกำลังตั้งครรภ์“คารวะท่านผู้อาวุโส”เมื่อนั่งเรือข้ามฟากมาแล้ว หญิงสาวก็ทำความเคารพชายสูงวัยทันที เพราะนางไม่คิดมาก่อนเลยว่า ผู้อาวุโสจะมารับนางด้วยตนเอง“เจ้ากลับมาจนได้ ที่ผ่านมาข้าได้ให้คนคอยดูแลบ้านของเจ้าไว้อย่างดี รีบไปพักผ่อนเถิด” ชายชรากล่าวออกมาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะสั่งให้คนของเขามาช่วยทั้งสองขนข้าวของ“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ” หลินซูมี่กล่างอย่างนอบน้อม“แล้วเป็นเช่นไรบ้าง ไปอยู่เมืองหลวงเสียพักใหญ่ สบายดีใช่หรือไม่ กลับมาคราวนี้ท้องก็ใหญ่ขึ้นแล้วสินะ” ผู้อาวุโสอินหยอกล้อด้วยรอยยิ้มที่เอ็นดู“ก็สบายดีเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ได้ติดตามท่านพี่ไปชายแดนด้วย กว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง ก็กินเวลาไปเสียนาน” หลินซูมี่กล่าวกับชายชราอย่างสนิทสนม“เช่นนั้นก็พักผ่อนเถิด เดินทางกันมาไกลคงเหน็ดเหนื่อยไม่ใช่น้อย เอาไว้พอตกเย็นค่อยมาร่วมงานเลี้ยงต้อนรั
บทส่งท้าย คืนตำแหน่งให้องค์หญิงใหญ่“ครั้งหนึ่งเขาปรารถนาจะยึดเมืองหมิงตี้ เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าเขาทำเช่นไร เขาจับบุตรีของเจ้าเมืองมาข่มเหงจนย่อยยับ จากนั้นก็ประกาศว่านางเป็นภรรยา แล้วใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างรวบรวมเมืองเข้ามาอยู่ในอาณัติของตน เมื่อเจ้าเมืองไม่ยินยอม เขาก็ยกทัพไปโจมตีจนแตกพ่าย และไม่ใช่แค่เพียงเมืองหมิงตี้ เมืองอื่นก็ประสบชะตากรรมไม่ต่างกันบุรุษผู้นั้นเอาแต่ใช้อำนาจที่มีทำลายชีวิตผู้คน เพื่อสนองความทะเยอทะยานของตนเอง ทำให้มีสตรีมากมายต้องจบชีวิตลงด้วยความอัปยศเพราะเขา!” นางหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างเหี้ยมเกรียม “ในวันนี้ที่เขาต้องนอนป่วยไร้เรี่ยวแรง ข้าว่ามันก็เป็นผลกรรมที่คนเช่นนั้นสมควรได้รับแล้วมิใช่หรือ ฮ่าๆ”กล่าวจบหนิงอี้เสียนหวงกุ้ยเฟยก็หัวเราะอย่างสะใจ รอยยิ้มของนางเต็มไปด้วยความคั่งแค้น ที่ระบายออกมาราวกับเขื่อนแตก เสียงหัวเราะนั้นดังก้องไปทั่วบริเวณ ราวกับต้องการให้ทุกผู้คนได้รับรู้ถึงความเจ็บลึกในใจของนางถ้อยคำของนางนั้นไม่เพียงกระทบใจผู้ที่อยู่ตรงหน้า แต่ยังแทรกซึมเข้าสู่จิตใจของเหล่าขุนนางอาวุโสที่ยืนรายล้อมอยู่ไม่ไกลเมื่อคำกล่าวเหล่านั้นจบลง ความเ
บทที่ 56 ปราบกบฎทางด้านกองทัพนอกเมืองหลวง เมื่อเสวี่ยเยวียนสือได้เห็นการจัดขบวนทัพที่อยู่บนกำแพงเขาก็รู้ได้ในทันทีว่าทหารเหล่านั้นไม่ปรารถนาที่จะต่อสู้ เพราะพวกเขาเหล่านั้นล้วนแล้วแต่แอบแสดงท่าทียอมจำนน “ท่านแม่ทัพใหญ่...ข้าว่าเวลาแห่งการชำระล้างความชั่วได้มาถึงแล้ว!” เสียงของแม่ทัพอุดรเหออี้ดังขึ้นด้วยความเคียดแค้น เขาจ้องมองไปยังเบื้องหน้า แววตาเต็มไปด้วยเพลิงแห่งโทสะที่ลุกโชนไม่สิ้นสุดเสวี่ยเยวียนสือก้าวขึ้นมายืนตรงหน้ากองทัพของตน ก่อนจะออกคำสั่งอย่างหนักแน่น “ทหารเตรียมพร้อม!” จากนั้นเพียงครู่เดียว เขาก็เปล่งเสียงสั่งการดังกึกก้อง “บุกได้!”เหล่าทหารที่รอคอยเพียงแค่คำนี้ ต่างตะโกนก้องพร้อมพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างดุดันและพร้อมรบ ทว่าก่อนที่แม่ทัพอุดรเหออี้จะสั่งให้กระแทกประตูบานใหญ่เบื้องหน้า เสียงของการปลดกลอนประตูก็ดังขึ้นแทน จากนั้นประตูเมืองก็ค่อย ๆ แง้มเปิดออกจากด้านใน จนทำให้ทุกคนประหลาดใจ“ขอเชิญทุกท่านผ่านเข้ามาเถิดขอรับ พวกข้าต่างเฝ้ารอการมาถึงของท่านด้วยใจจดใจจ่อ!” เสียงของนายทหารที่เปิดประตูดังขึ้นด้วยความเคารพ แววตาสะท้อนทั้งความดีใจและความภักดีอย่างเหลือล้น“ขอบใจ
บทที่ 55 ช่วยฮ่องเต้จากนั้นองค์รัชทายาทรีบเขียนจดหมายฉบับหนึ่งส่งไปยังสถานที่ที่น้องหญิงของตนพำนักอยู่ ก่อนที่วังหลวงจะถูกทหารของปิงตี้เข้าควบคุมอย่างแน่นหนา ภายในเวลาเพียงเสี้ยวลมหายใจ ทางออกทุกเส้นทางถูกปิดตาย สิ้นไร้การเชื่อมโยงกับโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง“ปิงตี้ นี่เจ้ากำลังคิดจะทำอะไรอยู่ เจ้าจะทำก่อกบฏอย่างนั้นหรือ” หลินเฟยหลงเอ่ยขึ้นมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะกล้าลงมือเช่นนี้“หึ! หลินเฟยหลง ตัวของเจ้าถ้าหากขาดน้องสาวที่เป็นมันสมองและแม่ทัพใหญ่ผู้ควบคุมกำลังทหาร เจ้าก็จะนับว่าทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง” ปิงตี้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเยาะเย้ย“หลินเฟยหลง หลินเฟยหมิง หลินต้าเหนิง ข้ายังไม่คิดลงมือกับพวกเจ้าตอนนี้หรอก เอาไว้ให้พวกเจ้ารวมตัวกันครบก่อน แล้วข้าค่อยพิจารณาอีกทีว่า จะจัดการเช่นไร ยามนี้ก็อยู่กับพ่อแม่ของพวกเจ้า และเป็นเด็กดีไปก่อนก็แล้วกัน”ปิงตี้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น ก่อนจะสั่งให้นำทั้งสามไปคุมขังรวมกับผู้เป็นมารดาและฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ซึ่งในยามนี้อาการทรุดหนักจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้อีกแล้ว“ท่านแม่ ท่านพ่อ พวกท่านเป็นอย่างไรบ้าง ข้าขอโทษที่ไม่อาจร
บทที่ 54 หวงกุ้ยเฟยก่อกบฏเมื่อผู้เป็นบิดาได้ยินเช่นนั้น ก็มองไปที่บุตรสาวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรัก“เสวี่ยเยวียนสือ อย่างไรเสียข้าก็ขอฝากบุตรสาวของข้าให้เจ้าดูแลด้วย มี่เอ๋อร์นับว่าถูกข้าตามใจมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ถูกเจ้าอบรมสั่งสอนมาแต่เด็กเช่นกัน ดังนั้นถ้าหากว่านางมีอะไรที่ประพฤติตนไม่เหมาะสม เจ้าก็ค่อย ๆ สั่งสอนนางต่อไปก็แล้วกัน”ฮ่องเต้ได้หันไปตรัสกับศิษย์น้องของตนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ศิษย์พี่ไม่ต้องเป็นกังวล ข้าขอสาบานด้วยชีวิตของข้า ข้าจะดูแลมี่เอ๋อร์ให้ดีที่สุด ชีวิตของนางหลังจากนี้ จะต้องมีแต่ความสุขไร้ซึ่งความทุกข์ใด ๆ ทั้งสิ้น หากข้าผิดคำสาบาน ขอให้ข้าไม่ตายดีในสามวันเจ็ดวัน” เสวี่ยเยวียนสือยกมือขึ้นแล้วเอ่ยคำสาบานออกไปด้วยน้ำเสียงที่เข้มแข็งและห้าวหาญ เมื่อฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก“เอาล่ะ แม้ว่าข้าอยากจะรั้งพวกเจ้าเอาไว้ให้นานกว่านี้ แต่ข้าคิดว่าเหล่าขุนนางทั้งหลายก็คงจะกดดันข้าไม่เลิก ในวันพรุ่งนี้ข้าจะให้คนส่งเจ้าออกนอกเมืองหลวง และส่งเจ้าไปในที่ที่เจ้าอยากจะไป” พระองค์ตรัสออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน ก่อนจะหันไปทางขันทีข้างกาย “อู่กงกง เจ้าจง