Share

บทที่ 12 ถูกลอบทำร้าย

Penulis: sanvittayam
last update Terakhir Diperbarui: 2025-07-05 17:58:09

บทที่ 12 ถูกลอบทำร้าย

เสวี่ยเยวียนสือหลับตาลงอย่างเหนื่อยใจ ความทรงจำในอดีตก็แทรกเข้ามาในหัวอย่างห้ามไม่ได้ ซึ่งภาพนั้นเป็นตอนที่เขายังเป็นเด็ก และอยู่กับครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

เวลานั้นเขากำลังวิ่งเล่นอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งผู้คนล้วนแล้วแต่ยิ้มให้กันอย่างมีความสุข ครอบครัวของเขาคือผู้นำหมู่บ้าน ที่ชื่อว่าเสิ่นจง

สถานที่ตั้งของหมู่บ้านอยู่กลางหุบเขาแห่งหนึ่ง รอบหมู่บ้านเต็มไปด้วยป่าไม้ ภูเขา ลำธารและสัตว์ป่าที่อุดมสมบูรณ์

และสิ่งหนึ่งที่หมู่บ้านแห่งนี้มีอยู่มากมายเป็นพิเศษ นั่นก็คืออัญมณีหยกและทองคำ จึงทำให้พวกที่ละโมบจากทั่วทุกสารทิศ ต่างหมายปองและต้องการครอบครองหมู่บ้านแห่งนี้

หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ อยู่ตรงกลางระหว่าง   ห้าแคว้นใหญ่ ทำให้เป็นที่หมายตาของเหล่าผู้มีอำนาจจากทุกสารทิศ และถึงแม้ว่าผู้คนอยากจะแย่งชิงความมั่งคั่งไปมากเพียงใด แต่การบุกโจมตีเพื่อยึดครองหมู่บ้านแห่งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องด้วยที่นี่มีปราการธรรมชาติที่แข็งแกร่ง หมู่บ้านเสิ่นจงจึงได้รับการปกป้องอย่างเหนียวแน่นจากธรรมชาติโดยรอบ

แต่แล้ววันหนึ่งกลับมีกลุ่มคนที่สามารถฝ่าปราการธรรมชาติเหล่านั้นเข้ามาได้ คนกลุ่มนั้นได้ฉกชิงอัญมณีและทองคำบางส่วนจากชาวบ้านไป

เมื่อพวกมันเอาอัญมณีเหล่านี้และทองคำไปขาย เรื่องราวของหมู่บ้านเสิ่นจงได้แพร่กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว

ความโลภได้ครอบงำผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ พวกเขาจึงรวมกลุ่มกัน เพื่อหวังที่จะบุกฝ่าปราการธรรมชาติมาชิงทรัพย์เอาสมบัติอันล้ำค่านี้ไป

แต่แล้วภาพในหัวของเสวี่ยเยวียนสือก็เปลี่ยนไป เนื่องจากครั้งนี้ภาพที่ปรากฏขึ้นมา กลับกลายเป็นหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงโหมกระหน่ำ

บิดามารดาและเหล่าพี่ ๆ ของเขา รวมถึงชาวบ้าน ต่างก็พากันหนีออกจากหมู่บ้านเพื่อเอาชีวิตรอด โดยได้นำเขาไปซ่อนไว้ที่ถ้ำแห่งหนึ่ง

ในเวลานั้นตัวของเขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย เพราะแขนขาไม่มีเรี่ยวแรง เด็กน้อยจึงทำได้เพียงนั่งมองพ่อแม่และพี่ ๆ ด้วยสายตาที่สิ้นหวัง ที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา

“ลูกแม่ เจ้าจะต้องปลอดภัย แม่ขอให้หลังจากนี้ เจ้ามีแต่ความสุขและได้พบเจอคนรักที่ดี แม่รักลูกนะ” แม่เอ่ยกับเขาอย่างอ่อนโยน จนเด็กน้อยผวาจะตามไปด้วย แต่ไร้เรี่ยวแรง

“ลูกไม่ต้องกังวล ยานี้แค่ทำให้เจ้าหมดแรงไปชั่วคราวเท่านั้น หลังจากนี้อีกห้าชั่วยาม เจ้าก็จะขยับได้อีกครั้ง พอถึงเวลานั้น เรื่องราวทุกอย่างก็คงจบสิ้นแล้ว” แม่ของเขาเอ่ยขึ้นมาราวกับรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

ทันทีที่นางกล่าวจบ ผู้เป็นบิดาและเหล่าพี่ชายก็ดันหินมาปิดปากถ้ำทันที

เมื่อเด็กน้อยได้เห็นเช่นนั้น ใบหน้าของเขาก็อาบย้อมไปด้วยหยาดน้ำตา ความเจ็บปวดที่ท่วมท้นจิตใจนั้น ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำกล่าวใดได้ อีกทั้งร่างกายยังไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะส่งเสียงใดออกมา ทำได้เพียงนั่งเงียบ เพื่อฟังเสียงอ้อนวอน และเสียงกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมานของผู้คนจากภายนอก ที่ดังแว่วเข้ามาให้ได้ยิน นั่นทำให้จิตใจของเขาเหมือนถูกกดทับเอาไว้ เนื่องจากไม่สามารถทำอะไรได้เลย

เมื่อสามารถออกไปยังนอกถ้ำได้แล้ว ภาพที่เห็นเบื้องหน้าก็คือ ซากศพของผู้คนในหมู่บ้าน ที่นอนกองเกลื่อนกันเป็นภูเขา ไม่ว่าจะเป็นเด็ก คนชราหรือสตรี ทุกคนต่างก็ต้องตายอย่างอนาถ โดยที่เสื้อผ้าของพวกเขาเหล่านั้น ต่างก็ถูกฉีกกระชากและเผาทำลาย

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าที่มันเป็นเช่นนี้ เพราะพวกคนที่บุกเข้ามาต้องการค้นหาอัญมณีและทองคำ ที่อาจจะถูกซุกซ่อนอยู่ภายในร่างกายของผู้คน

เด็กชายตัวน้อยเดินไปเรื่อย ๆ ก่อนที่จะพบเข้ากับสิ่งที่ทำให้สะเทือนใจ จนอยากจะกรีดร้องออกมา

นั่นคือร่างของพ่อ แม่ และพี่ ๆ ที่ถูกมัดตรึงไว้กับเสาไม้ เสื้อผ้าของพวกเขาไม่หลงเหลือแม้ชิ้นเดียว สภาพที่เห็นนั้นน่าเวทนาจนเกินจะบรรยายได้

ร่างกายของพวกเขามีแต่รอยกรีดลึก และมีบาดแผลทั่วร่าง เหมือนกับว่ารอยพวกนั้นถูกสร้างขึ้นอย่างจงใจ เพื่อระบายเลือดไปใช้ทำอะไรบางอย่าง

ภาพอันโหดร้ายนี้ ทำให้หัวใจของเด็กน้อยแตกสลาย และน้ำตาก็ไม่อาจหยุดไหลได้ เขาได้แต่จ้องมองร่างที่ไร้ชีวิตของครอบครัวอย่างทุกข์ใจ

และนี่คืออีกหนึ่งความลับของสายเลือดตระกูลเสิ่นจง เนื่องจากสายเลือดของตระกูลนี้ มีความพิเศษอย่างหนึ่งก็คือ เลือดของพวกเขาสามารถนำไปกลั่นเป็นยาอายุวัฒนะได้

ผู้ใดหากได้ดื่มมันเข้าไปแล้ว ก็จะสามารถคงรูปลักษณ์ที่เยาว์วัยเอาไว้ได้ อีกทั้งยังมีสรรพคุณในการรักษาโรคได้เกือบทุกโรคอีกด้วย

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ค่อย ๆ เลือนหายไป เสวี่ยเยวียนสือค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ยามนี้แววตาของเขาอัดแน่นไปด้วยเจ็บแค้น

ส่วนทางด้านองค์หญิงใหญ่ หลังจากได้รับมอบหมายหน้าที่ของตนแล้ว นางจึงได้ออกไปสำรวจแถวพื้นที่โดยรอบกำแพงเมืองทันที

ระหว่างนั้นนางสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ที่มันผิดปกติได้จากนายทหารกลุ่มหนึ่ง เห็นว่าทหารกลุ่มนั้นแอบซุ่มอยู่และกำลังเทอะไรบางอย่างลงไปในอาหารและน้ำดื่มสำหรับทหารที่ถูกส่งมาเฝ้ารักษาการณ์รอบกำแพงเมือง

หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว พวกเขาก็รีบออกไปจากบริเวณนั้นด้วยความลุกลี้ลุกลนทันที

หลินซูมี่ได้เห็นเช่นนั้นก็ไม่รอช้า นางรีบเดินเข้าไปสำรวจ พร้อมกับรีบตักน้ำขึ้นมา เพื่อดมหาสิ่งแปลกปลอมทันที

จากนั้นนางก็พบว่าในน้ำและอาหารพวกนี้ มีตัวยาที่ส่งผลทำให้ร่างกายอ่อนแรงผสมอยู่

หญิงสาวรีบหันหลังกลับไปทางเดิม เพื่อที่จะไปแจ้งเรื่องนี้แก่แม่ทัพใหญ่ แต่แล้วกลับมีวัตถุปริศนาฟาดลงมาที่ศีรษะของนางอย่างแรง จากนั้นสติของนางจะดับวูบไป

“อืมมม”

เสียงอ่อนเบาครางขึ้นมาในลำคอ พร้อมกับที่เจ้าของร่างค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา ภาพแรกที่เห็นก็คือสถานที่อันรกร้างแห่งหนึ่ง และเมื่อนางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก็พบว่าบัดนี้รอบตัวของนางมีบุรุษอยู่ไม่ต่ำกว่าสิบคนกำลังส่งสายตามองมาที่นาง

แต่ก่อนที่นางจะปรับสายตาให้ชัดขึ้นกว่าเดิม เสียงของคนผู้หนึ่งก็ดังขึ้นมา

“ลูกพี่ นางตื่นแล้ว”

ทันทีที่หลินซูมี่หันไปมองชายผู้นั้น ก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังยืนเท้าเอวและจ้องมาที่นาง ด้วยใบหน้าที่ไม่เป็นมิตรนัก

“สาวน้อย ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าเป็นใคร แต่เจ้าล่วงรู้แผนของพวกข้าแล้ว ข้าคงปล่อยให้เจ้ารอดชีวิตกลับไปไม่ได้”

น้ำเสียงทุ้มต่ำของชายร่างใหญ่ดังขึ้นมา นั่นทำให้บรรยากาศรอบตัวนาง ยิ่งหนักอึ้งมากเข้าไปอีก

“แต่ไม่ต้องห่วง ถ้าเจ้าทำตัวดี ๆ อยู่แต่ที่นี่อย่างเงียบ ๆ ไม่ทำให้เสียเรื่อง หลังจากที่ข้าทำการตีเมืองนี้แตกแล้ว ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป ว่าแต่เจ้าเป็นใคร”

ชายคนที่ถูกเรียกว่าลูกพี่เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะเดินมาหาด้วยท่าทางที่เป็นมิตรกว่าอีกคน

แม้จะเอ่ยถามเช่นนั้น แต่หลินซูมี่ไม่ได้เอ่ยหรือตอบอะไรออกไป เนื่องจากนางกำลังพยายามจะตัดเชือกที่มัดมือออกด้วยกริชสั้นที่นางมักจะพกเอาไว้ติดกายเสมอ

“ลูกพี่ ท่านจะใจดีเกินไปแล้ว ดูก็รู้ว่านางต้องเป็นคนใหญ่คนโตทางฝั่งนั้นแน่”

“ใช่ ท่านใจดีเกินไป ข้าคิดว่าเราฆ่านางแล้วตัดหัวไปให้พวกมัน ก็น่าจะสะใจกว่าไม่ใช่หรือ” ชายอีกคนเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง ดวงตาของเขาจ้องมองสตรีตรงหน้าอย่างเหี้ยมเกรียม พร้อมจะสังหารนางได้ทุกเมื่อ

“เจ้าก็น่าจะรับรู้ว่านายท่านเป็นคนเช่นไร ท่านจะไม่สังหารสตรี เด็ก และคนชราถ้าไม่จำเป็น” คนที่เป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้นมาอย่างแข็งกร้าว

“แล้วอีกอย่าง ดูก็รู้ว่านางน่าจะยังไม่ถึงสิบห้า ยังไม่ได้ปักปิ่นเลยด้วยซ้ำ ละเว้นชีวิตนางไว้ให้นางเติบโตก่อน แล้วค่อยนำมาปรนเปรอนายท่านก็ได้ เจ้าไม่เห็นหรือว่านางมีใบหน้าที่งดงามเพียงใด ผิวพรรณของนางดูก็รู้ว่าเป็นคนชั้นสูงจากแคว้นนี้ ถ้าเราเลี้ยงนางจนถึงวัยปักปิ่น แล้วนำไปมอบให้กับนายท่าน ความดีความชอบที่เราจะได้รับ มันจะมหาศาลสักเพียงใด”

ชายคนที่ถูกเรียกว่าหัวหน้าได้เอ่ยถึงแผนการของตนออกมา เพราะคิดเอาไว้แล้วว่า เมื่อเด็กคนนี้ถึงวัยปักปิ่น เขาก็จะส่งมอบให้กับนายท่านเพื่อรับรางวัลก้อนใหญ่

“สมแล้วที่ท่านเป็นหัวหน้าของพวกเรา ความคิดท่านช่างลึกซึ้งจริง ๆ” ชายคนหนึ่งในกลุ่มเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะหันมามองหลินซูมี่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความละโมบ

ระหว่างนั้นหลินซูมี่ก็ได้ตัดเชือกที่พันธนาการตนเองไว้เสร็จแล้ว แต่ยังแกล้งทำเป็นถูกมัดเอาไว้อยู่ เพื่อรอเวลาที่จะหนีออกไป

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • องค์หญิงใหญ่ดวงใจท่านแม่ทัพทมิฬ   ตอนพิเศษที่ 2

    ตอนพิเศษที่ 2นับตั้งแต่ได้รับพระราชทานฐานันดรศักดิ์อ๋อง ทั้งสองก็ได้กลับไปยังหมู่บ้านที่เคยพำนักอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ต่างออกไป เพราะพวกเขากลับมาพร้อมอำนาจเต็มมือหลินซูมี่ได้จัดสร้างจวนอ๋องขึ้นในหมู่บ้าน และยกให้ที่นี่เป็นศูนย์กลางในการว่าราชการของเขตปกครอง ทำให้หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ได้กลายเป็นเมืองหลวงของเขตปกครองเจียงซานและตงตู่นอกจากนี้ ทั้งสองยังได้ประกาศยกย่องสุสานของราชวงศ์เป่ยโจวให้เป็นสุสานหลวง เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อราชวงศ์เก่าแก่ในอดีตเขตปกครองแห่งใหม่นั้น มีการละเว้นการเก็บภาษีในหลายด้าน นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งโรงทานและสร้างที่อยู่ที่กิน ให้แก่เหล่าผู้สูงวัยที่ไร้ผู้คนดูแล เพื่อให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และได้รับการรักษาในยามเจ็บป่วยอย่างทั่วถึงอีกทั้งยังมีการสร้างสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และให้การศึกษาที่ดีต่อเด็ก ๆ เพื่อให้เติบโตไปทำคุณต่อบ้านเมืองทางด้านการขยายอาณาเขต ก็มีการออกปราบปรามชนเผ่าต่าง ๆ โดยรอบเมืองทางเหนืออยู่เนือง ๆทำให้ยามนี้ชนเผ่าเร่ร่อนอีกกว่าสี่สิบแปดชนเผ่า ได้เข้าร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับแคว้นหลิน โดยอยู่ภายใต้การปกครองของเขตปกครองตนเองเจ

  • องค์หญิงใหญ่ดวงใจท่านแม่ทัพทมิฬ   ตอนพิเศษที่ 1

    ตอนพิเศษที่ 1นับตั้งแต่ที่ฮ่องเต้ได้ปลดองค์หญิงใหญ่ออกจากตำแหน่งให้เป็นเพียงสามัญชน ตัวของนางและเสวี่ยเยวียนสือ ก็ได้เดินทางกลับมาที่หมู่บ้านที่หลินซูมี่เคยหลบหนีมาอยู่อีกครั้ง โดยในครั้งนี้มันแตกต่างออกไป เพราะนางไม่ต้องหลบซ่อนจากผู้ใดทั้งสิ้น อีกทั้งยังกำลังตั้งครรภ์“คารวะท่านผู้อาวุโส”เมื่อนั่งเรือข้ามฟากมาแล้ว หญิงสาวก็ทำความเคารพชายสูงวัยทันที เพราะนางไม่คิดมาก่อนเลยว่า ผู้อาวุโสจะมารับนางด้วยตนเอง“เจ้ากลับมาจนได้ ที่ผ่านมาข้าได้ให้คนคอยดูแลบ้านของเจ้าไว้อย่างดี รีบไปพักผ่อนเถิด” ชายชรากล่าวออกมาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะสั่งให้คนของเขามาช่วยทั้งสองขนข้าวของ“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ” หลินซูมี่กล่างอย่างนอบน้อม“แล้วเป็นเช่นไรบ้าง ไปอยู่เมืองหลวงเสียพักใหญ่ สบายดีใช่หรือไม่ กลับมาคราวนี้ท้องก็ใหญ่ขึ้นแล้วสินะ” ผู้อาวุโสอินหยอกล้อด้วยรอยยิ้มที่เอ็นดู“ก็สบายดีเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ได้ติดตามท่านพี่ไปชายแดนด้วย กว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง ก็กินเวลาไปเสียนาน” หลินซูมี่กล่าวกับชายชราอย่างสนิทสนม“เช่นนั้นก็พักผ่อนเถิด เดินทางกันมาไกลคงเหน็ดเหนื่อยไม่ใช่น้อย เอาไว้พอตกเย็นค่อยมาร่วมงานเลี้ยงต้อนรั

  • องค์หญิงใหญ่ดวงใจท่านแม่ทัพทมิฬ   บทส่งท้าย คืนตำแหน่งให้องค์หญิงใหญ่

    บทส่งท้าย คืนตำแหน่งให้องค์หญิงใหญ่“ครั้งหนึ่งเขาปรารถนาจะยึดเมืองหมิงตี้ เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าเขาทำเช่นไร เขาจับบุตรีของเจ้าเมืองมาข่มเหงจนย่อยยับ จากนั้นก็ประกาศว่านางเป็นภรรยา แล้วใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างรวบรวมเมืองเข้ามาอยู่ในอาณัติของตน เมื่อเจ้าเมืองไม่ยินยอม เขาก็ยกทัพไปโจมตีจนแตกพ่าย และไม่ใช่แค่เพียงเมืองหมิงตี้ เมืองอื่นก็ประสบชะตากรรมไม่ต่างกันบุรุษผู้นั้นเอาแต่ใช้อำนาจที่มีทำลายชีวิตผู้คน เพื่อสนองความทะเยอทะยานของตนเอง ทำให้มีสตรีมากมายต้องจบชีวิตลงด้วยความอัปยศเพราะเขา!” นางหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างเหี้ยมเกรียม “ในวันนี้ที่เขาต้องนอนป่วยไร้เรี่ยวแรง ข้าว่ามันก็เป็นผลกรรมที่คนเช่นนั้นสมควรได้รับแล้วมิใช่หรือ ฮ่าๆ”กล่าวจบหนิงอี้เสียนหวงกุ้ยเฟยก็หัวเราะอย่างสะใจ รอยยิ้มของนางเต็มไปด้วยความคั่งแค้น ที่ระบายออกมาราวกับเขื่อนแตก เสียงหัวเราะนั้นดังก้องไปทั่วบริเวณ ราวกับต้องการให้ทุกผู้คนได้รับรู้ถึงความเจ็บลึกในใจของนางถ้อยคำของนางนั้นไม่เพียงกระทบใจผู้ที่อยู่ตรงหน้า แต่ยังแทรกซึมเข้าสู่จิตใจของเหล่าขุนนางอาวุโสที่ยืนรายล้อมอยู่ไม่ไกลเมื่อคำกล่าวเหล่านั้นจบลง ความเ

  • องค์หญิงใหญ่ดวงใจท่านแม่ทัพทมิฬ   บทที่ 56 ปราบกบฎ

    บทที่ 56 ปราบกบฎทางด้านกองทัพนอกเมืองหลวง เมื่อเสวี่ยเยวียนสือได้เห็นการจัดขบวนทัพที่อยู่บนกำแพงเขาก็รู้ได้ในทันทีว่าทหารเหล่านั้นไม่ปรารถนาที่จะต่อสู้ เพราะพวกเขาเหล่านั้นล้วนแล้วแต่แอบแสดงท่าทียอมจำนน “ท่านแม่ทัพใหญ่...ข้าว่าเวลาแห่งการชำระล้างความชั่วได้มาถึงแล้ว!” เสียงของแม่ทัพอุดรเหออี้ดังขึ้นด้วยความเคียดแค้น เขาจ้องมองไปยังเบื้องหน้า แววตาเต็มไปด้วยเพลิงแห่งโทสะที่ลุกโชนไม่สิ้นสุดเสวี่ยเยวียนสือก้าวขึ้นมายืนตรงหน้ากองทัพของตน ก่อนจะออกคำสั่งอย่างหนักแน่น “ทหารเตรียมพร้อม!” จากนั้นเพียงครู่เดียว เขาก็เปล่งเสียงสั่งการดังกึกก้อง “บุกได้!”เหล่าทหารที่รอคอยเพียงแค่คำนี้ ต่างตะโกนก้องพร้อมพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างดุดันและพร้อมรบ ทว่าก่อนที่แม่ทัพอุดรเหออี้จะสั่งให้กระแทกประตูบานใหญ่เบื้องหน้า เสียงของการปลดกลอนประตูก็ดังขึ้นแทน จากนั้นประตูเมืองก็ค่อย ๆ แง้มเปิดออกจากด้านใน จนทำให้ทุกคนประหลาดใจ“ขอเชิญทุกท่านผ่านเข้ามาเถิดขอรับ พวกข้าต่างเฝ้ารอการมาถึงของท่านด้วยใจจดใจจ่อ!” เสียงของนายทหารที่เปิดประตูดังขึ้นด้วยความเคารพ แววตาสะท้อนทั้งความดีใจและความภักดีอย่างเหลือล้น“ขอบใจ

  • องค์หญิงใหญ่ดวงใจท่านแม่ทัพทมิฬ   บทที่ 55 ช่วยฮ่องเต้

    บทที่ 55 ช่วยฮ่องเต้จากนั้นองค์รัชทายาทรีบเขียนจดหมายฉบับหนึ่งส่งไปยังสถานที่ที่น้องหญิงของตนพำนักอยู่ ก่อนที่วังหลวงจะถูกทหารของปิงตี้เข้าควบคุมอย่างแน่นหนา ภายในเวลาเพียงเสี้ยวลมหายใจ ทางออกทุกเส้นทางถูกปิดตาย สิ้นไร้การเชื่อมโยงกับโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง“ปิงตี้ นี่เจ้ากำลังคิดจะทำอะไรอยู่ เจ้าจะทำก่อกบฏอย่างนั้นหรือ” หลินเฟยหลงเอ่ยขึ้นมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะกล้าลงมือเช่นนี้“หึ! หลินเฟยหลง ตัวของเจ้าถ้าหากขาดน้องสาวที่เป็นมันสมองและแม่ทัพใหญ่ผู้ควบคุมกำลังทหาร เจ้าก็จะนับว่าทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง” ปิงตี้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเยาะเย้ย“หลินเฟยหลง หลินเฟยหมิง หลินต้าเหนิง ข้ายังไม่คิดลงมือกับพวกเจ้าตอนนี้หรอก เอาไว้ให้พวกเจ้ารวมตัวกันครบก่อน แล้วข้าค่อยพิจารณาอีกทีว่า จะจัดการเช่นไร ยามนี้ก็อยู่กับพ่อแม่ของพวกเจ้า และเป็นเด็กดีไปก่อนก็แล้วกัน”ปิงตี้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น ก่อนจะสั่งให้นำทั้งสามไปคุมขังรวมกับผู้เป็นมารดาและฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ซึ่งในยามนี้อาการทรุดหนักจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้อีกแล้ว“ท่านแม่ ท่านพ่อ พวกท่านเป็นอย่างไรบ้าง ข้าขอโทษที่ไม่อาจร

  • องค์หญิงใหญ่ดวงใจท่านแม่ทัพทมิฬ   บทที่ 54 หวงกุ้ยเฟยก่อกบฏ

    บทที่ 54 หวงกุ้ยเฟยก่อกบฏเมื่อผู้เป็นบิดาได้ยินเช่นนั้น ก็มองไปที่บุตรสาวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรัก“เสวี่ยเยวียนสือ อย่างไรเสียข้าก็ขอฝากบุตรสาวของข้าให้เจ้าดูแลด้วย มี่เอ๋อร์นับว่าถูกข้าตามใจมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ถูกเจ้าอบรมสั่งสอนมาแต่เด็กเช่นกัน ดังนั้นถ้าหากว่านางมีอะไรที่ประพฤติตนไม่เหมาะสม เจ้าก็ค่อย ๆ สั่งสอนนางต่อไปก็แล้วกัน”ฮ่องเต้ได้หันไปตรัสกับศิษย์น้องของตนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ศิษย์พี่ไม่ต้องเป็นกังวล ข้าขอสาบานด้วยชีวิตของข้า ข้าจะดูแลมี่เอ๋อร์ให้ดีที่สุด ชีวิตของนางหลังจากนี้ จะต้องมีแต่ความสุขไร้ซึ่งความทุกข์ใด ๆ ทั้งสิ้น หากข้าผิดคำสาบาน ขอให้ข้าไม่ตายดีในสามวันเจ็ดวัน” เสวี่ยเยวียนสือยกมือขึ้นแล้วเอ่ยคำสาบานออกไปด้วยน้ำเสียงที่เข้มแข็งและห้าวหาญ เมื่อฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก“เอาล่ะ แม้ว่าข้าอยากจะรั้งพวกเจ้าเอาไว้ให้นานกว่านี้ แต่ข้าคิดว่าเหล่าขุนนางทั้งหลายก็คงจะกดดันข้าไม่เลิก ในวันพรุ่งนี้ข้าจะให้คนส่งเจ้าออกนอกเมืองหลวง และส่งเจ้าไปในที่ที่เจ้าอยากจะไป” พระองค์ตรัสออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน ก่อนจะหันไปทางขันทีข้างกาย “อู่กงกง เจ้าจง

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status