Share

บทที่ 14 ปีศาจแห่งกองทัพ

Author: sanvittayam
last update Last Updated: 2025-07-05 17:59:37

บทที่ 14 ปีศาจแห่งกองทัพ

หลังจากที่ทุกอย่างผ่านพ้นไปแล้ว เสวี่ยเยวียนสือก็เอ่ยกับคนข้าง ๆ ด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย “เอาล่ะ เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ วันนี้เจ้าน่าจะเหนื่อยมาไม่น้อย”

ซึ่งหลินซูมี่ก็รีบทำตามทันที เพราะในใจของนางเวลานี้นอกจากความรัก ความชื่นชมแล้ว ยังมีความหวาดกลัวชายผู้นี้หลงเหลืออยู่ในใจด้วย

“ดีแล้วที่ใจของเจ้ามีความหวาดกลัวข้าอยู่ เจ้าจะได้ตัดรักจากข้าได้ง่าย ๆ”

หลังจากที่หลินซูมี่เดินจากไปได้สักพัก เขาจึงได้เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด ก่อนที่สายตาจะเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างอีกครั้ง พลางมองไปยังทิศทางซึ่งเป็นที่ตั้งของกองทัพศัตรู

“เจ้ากล้าแตะต้องนาง พวกเจ้าทั้งหมดจะต้องไม่ตายดี”    

เสวี่ยเยวียนสือเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ก่อนจะไปตรวจสอบความเรียบร้อยของกองทัพ ที่วางแผนเข้าโจมตีฝ่ายตรงข้ามในวันพรุ่งนี้

เมื่อทหารทุกนายได้เห็นแม่ทัพใหญ่มาตรวจตราด้วยตนเองก็ยิ่งมีความฮึกเหิม

“พวกเจ้าจงเตรียมตัวให้ดี พรุ่งนี้เราจะทำการปราบพวกมันให้สิ้นซาก สตรี เด็ก และคนชรา ถ้าหากไม่จำเป็นก็ไม่ต้องสังหาร แต่ถ้าจำเป็นก็สังหารได้ทันที ส่วนพวกสตรีที่พยายามต่อสู้ ถ้าพวกเจ้าอยากจะเล่นสนุกกับพวกนาง ข้าก็ไม่ว่าอะไร”

เสวี่ยเยวียนสือสั่งการออกไปอย่างเยือกเย็น จากแต่เดิมที่เขาตั้งใจจะปรานีพวกกลุ่มคนเหล่านี้ แต่เมื่อบังอาจแตะต้องของหวงของเขา พวกมันก็ย่อมต้องได้รับบทเรียนอันสาสมกัน

น้ำเสียงอันเรียบนิ่งของแม่ทัพใหญ่ ทำให้ผู้คนที่ได้ยินต่างก็ขนลุกไปทั้งตัว เพราะน้ำเสียงนั้นฟังดูเยือกเย็นและไร้ความรู้สึกอย่างน่าหวาดหวั่น

อีกอารมณ์หนึ่งที่แทรกเข้ามา คือความตื่นเต้น รอยยิ้มชั่วร้ายเริ่มประดับบนใบหน้าของเหล่าทหาร พวกเขาต่างรู้ดีว่าหญิงสาวจากชนเผ่าเหล่านั้น ทั้งงดงามและมีรูปร่างสมบูรณ์เพียงใด

ความคิดชั่ววูบที่อยากจะจับพวกนางมาเล่นสนุกก่อนจะสังหาร ทำให้พวกเขายิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ ยิ่งได้รับอนุญาตจากท่านแม่ทัพใหญ่ด้วยแล้ว พวกเขาก็ไม่ต้องหวาดกลัวต่อความผิดใด ๆ อีกต่อไป

ทางฝั่งศัตรูก็มีความเคลื่อนไหวอย่างแตกตื่น กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนของพวกมันไม่น้อย

“แย่แล้วขอรับหัวหน้า คนของเราที่แฝงตัวเข้าไป ถูกจับกุมและประหารจนสิ้นแล้วขอรับ นอกจากนั้นแล้ว...เอ่อ...” ชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามารายงานอย่างร้อนรน และลังเลในตอนท้าย

“แล้วอะไร ก็บอกมาสิวะ!” ผู้นำกลุ่มโจรตะโกนขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่อ้ำอึ้ง

“เอ่อ...ศพของคนที่ตาย...พวกมันได้ทำการ....แล่เป็นชิ้น ๆ แล้วสับให้ละเอียด ก่อนจะลอบส่งออกมาปะปนกับเสบียงอาหารของพวกเราขอรับ แหวะ!” ชายผู้นั้นรายงานด้วยน้ำเสียงอ้ำอึ้ง ก่อนจะอาเจียนออกมาทันทีหลังจากรายงานจบ

เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น ความสะอิดสะเอียนก็ถาโถมเข้ามา ต่างคนต่างอาเจียนเอาอาหารที่กินเข้าไปออกมาพร้อมกัน ใบหน้าของพวกเขาต่างบิดเบี้ยวด้วยความขยะแขยง

“ไอ้พวกชั่วช้าสารเลว ไป! พวกเจ้ารีบไปจัดเตรียมกองทัพ! วันนี้ข้าจะกวาดล้างพวกมันทั้งหมด”

ผู้นำได้ตะโกนขึ้นมาสุดเสียงเพราะความโกรธแค้น ก่อนคนที่เหลือจะรีบไปจัดเตรียมกองทัพ เพื่อบุกโจมตีอีกฝ่ายทันที

นายทหารได้รีบวิ่งเข้ามารายงานแม่ทัพใหญ่เสวี่ยทันที เมื่อได้เห็นถึงความผิดปกติ “ท่านแม่ทัพขอรับ พวกมันเริ่มเคลื่อนไหวแล้วขอรับ”

“หึ! ดี ถ้าเช่นนั้นก็ดี พวกเราเคลื่อนทัพได้”

แม่ทัพใหญ่เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่แฝงไปด้วยพลังสังหาร ที่ทำให้ทั้งกองทัพรับรู้ถึงอำนาจอันยิ่งใหญ่ คำสั่งนั้นทำให้ขบวนทัพที่มีทหารหลายหมื่นนาย เริ่มเคลื่อนไหวทันที

โดยขบวนทัพเป็นรูปคันศร พลหอกโล่และพลเกราะหนักประจำอยู่บริเวณหน้าทัพ ส่วนพลม้าธนูและพลธนู จัดอยู่บริเวณด้านหลัง ที่วางแนวรบให้มีลักษณะคล้ายสายธนูที่ถูกง้างเตรียมพร้อมโจมตี ส่วนลูกศรนั้นเป็นพลทหารเกราะหนักกับพลทหารหอก

การจัดกระบวนทัพเช่นนี้ นับว่าเป็นการจัดขบวนทัพที่สมบูรณ์แบบ เพราะให้พลทหารทั้งสองกอง เป็นผู้บุกทะลวงนำไปก่อน ก่อนที่จะให้พลทหารม้าออกโจมตี แล้วค่อยปิดท้ายด้วยพลธนูและพลทหารม้าธนู ในการยิงจากด้านหลังเพื่อสนับสนุน

เมื่อกองทัพเคลื่อนขบวน ทุกสรรพสิ่งที่อยู่เบื้องหน้านั้น ต่างก็ถูกทำลายจนราบเป็นหน้ากลอง

ในเวลาไม่นาน ทั้งสองฝ่ายก็เผชิญหน้ากันในสนามรบ

“ฆ่าให้หมด!”

ทั้งสองฝ่ายตะโกนขึ้นมาพร้อมกันอย่างฮึกเหิม ก่อนที่กลองสงครามจะเริ่มตีกระหน่ำจนดังไปทั่วทั้งบริเวณ

เสียงกระบี่กระทบเข้ากับโล่ป้องกันจนสนั่นหวั่นไหว จากนั้นพลทหารทั้งหลาย ก็เข้าจู่โจมศัตรูอย่างองอาจ

หลังจากโจมตีไปได้สักพักจนศัตรูอ่อนกำลังลง พลธนูและพลทหารม้าธนูก็ได้ยิงธนูไฟเข้าใส่ศัตรูที่อยู่เบื้องหน้า ทำให้พื้นที่ตรงหน้ากลายเป็นทะเลเพลิงขนาดย่อม

“ใครสามารถเด็ดหัวของแม่ทัพฝ่ายศัตรูมาได้ ข้าจะมีรางวัลให้อย่างงาม” เสวี่ยเยวียนสือประกาศก้อง เพื่อปลุกความฮึกเหิมให้กับทหารทุกนายที่อยู่ใต้การบังคับบัญชาของเขา

เมื่อเหล่าทหารได้ยินเช่นนั้น พวกเขาก็เต็มไปด้วยพลังความกล้าหาญและมีความฮึกเหิมปะทุเต็มที่ ทุกคนต่างคุมบังเหียนม้าเพื่อห้อตะบึงไปข้างหน้า ทุกคนต่างพุ่งเข้าหาศัตรูด้วยความดุร้ายและโหดเหี้ยมโดยไม่ลังเล สมกับที่ถูกขนานนามว่าเป็น ‘กองทัพพยัคฆ์แห่งแคว้นหลิน’ กองทัพที่ไร้ความปรานี

ส่วนศัตรูนั้นตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาเป็นเพียงชนเผ่านอกด่านเท่านั้น ไม่ใช่ทหารในกองทัพที่ได้รับการฝึกฝนอย่างเป็นระบบ กองกำลังส่วนใหญ่เป็นเพียงชาวบ้านที่จับอาวุธเป็นครั้งแรก ทำให้การเอาชนะกองทัพแคว้นหลินที่ถูกฝึกมาอย่างดี แทบเป็นไปไม่ได้เลย

เมื่อความหวาดกลัวเข้าครอบงำ เด็กและคนชราจำนวนมาก ต่างก็เริ่มถอดใจและวางอาวุธยอมแพ้ ทหารฝ่ายแคว้นหลินเห็นดังนั้นจึงละเว้นชีวิตของพวกเขา และคุมตัวกลับไปยังค่ายทหาร เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ผิดพลาด

และบัดนี้เทพสงครามของแคว้นหลิน ก็ได้ออกมาสู่แนวหน้าด้วยตนเอง ง้าวสีดำสนิทขนาดใหญ่ที่อยู่ในมือของเขา กำลังฟาดฟันใส่ศัตรูอย่างบ้าคลั่ง ทุกครั้งที่ง้าวสะบัดผ่านไป ถึงแม้ว่าศัตรูจะสวมเกราะที่หนาเพียงใด พวกเขาก็ถูกตัดขาดเป็นสองท่อนในทันที

 ภาพความน่าสะพรึงกลัวตรงหน้า ทำให้ฝ่ายศัตรูที่เหลือเริ่มตระหนักว่า พวกเขาไม่อาจเอาชนะปีศาจตนนี้ได้ หลายคนจึงยอมแพ้และวางอาวุธแต่โดยดี

เมื่อผู้นำทัพฝ่ายศัตรูอย่างน่าหลัวปู้ฉีชิง เห็นว่าทหารของตนเริ่มยอมแพ้ เขาก็ยิ่งเดือดดาล จึงตะโกนด่าทอและสาปแช่งพวกคนทรยศเหล่านั้นด้วยความโกรธแค้น จากนั้นก็ควบม้าพุ่งตรงไปยังทหารที่ยอมจำนน พร้อมกับใช้หอกในมือกระหน่ำแทงใส่พวกของตนอย่างไร้ปรานี เพื่อประหารคนอ่อนแอ และระบายโทสะที่ปะทุอยู่ในอกจนแทบจะระเบิด

“พวกเจ้าเป็นคนต่ำช้า กล้าทรยศเผ่าพันธุ์ตัวเองเพื่อไปเข้าร่วมกับฝ่ายศัตรู พวกเจ้าจะต้องตายสถานเดียวเท่านั้น”

เสียงคำรามดังขึ้นมาอย่างโกรธแค้น ก่อนจะควบม้าไปประจันหน้ากับเสวี่ยเยวียนสือ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับกองทัพของตัวเอง

แต่การกระทำเช่นนั้น ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะแม้ว่าเขาจะเก่งกาจที่สุดในเผ่า แต่คนที่เขาต้องรับมือคือเทพสงคราม ซึ่งทำสงครามมาตั้งแต่อายุสิบสามปี จนปัจจุบันนี้อายุของเขาก็ปาไปเลยสามสิบแล้ว ประสบการณ์และความสามารถ ย่อมต่างชั้นกันอย่างสิ้นเชิง

ทันทีที่น่าหลัวปู้ฉีชิงเข้าใกล้วิถีง้าวของเสวี่ยเยวียนสือ ศีรษะของเขาก็ถูกตัดออกอย่างไร้เสียง ชนิดที่ไม่มีใครทันได้เห็น ร่างไร้หัวของเขาล้มลงในทันใด

ศีรษะที่ขาดนั้นกลิ้งตกไปหยุดอยู่แทบเท้าของเสวี่ยเยวียนสือ ซึ่งมองไปอย่างเย้ยหยันและสมเพช

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • องค์หญิงใหญ่ดวงใจท่านแม่ทัพทมิฬ   ตอนพิเศษที่ 2

    ตอนพิเศษที่ 2นับตั้งแต่ได้รับพระราชทานฐานันดรศักดิ์อ๋อง ทั้งสองก็ได้กลับไปยังหมู่บ้านที่เคยพำนักอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ต่างออกไป เพราะพวกเขากลับมาพร้อมอำนาจเต็มมือหลินซูมี่ได้จัดสร้างจวนอ๋องขึ้นในหมู่บ้าน และยกให้ที่นี่เป็นศูนย์กลางในการว่าราชการของเขตปกครอง ทำให้หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ได้กลายเป็นเมืองหลวงของเขตปกครองเจียงซานและตงตู่นอกจากนี้ ทั้งสองยังได้ประกาศยกย่องสุสานของราชวงศ์เป่ยโจวให้เป็นสุสานหลวง เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อราชวงศ์เก่าแก่ในอดีตเขตปกครองแห่งใหม่นั้น มีการละเว้นการเก็บภาษีในหลายด้าน นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งโรงทานและสร้างที่อยู่ที่กิน ให้แก่เหล่าผู้สูงวัยที่ไร้ผู้คนดูแล เพื่อให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และได้รับการรักษาในยามเจ็บป่วยอย่างทั่วถึงอีกทั้งยังมีการสร้างสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และให้การศึกษาที่ดีต่อเด็ก ๆ เพื่อให้เติบโตไปทำคุณต่อบ้านเมืองทางด้านการขยายอาณาเขต ก็มีการออกปราบปรามชนเผ่าต่าง ๆ โดยรอบเมืองทางเหนืออยู่เนือง ๆทำให้ยามนี้ชนเผ่าเร่ร่อนอีกกว่าสี่สิบแปดชนเผ่า ได้เข้าร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับแคว้นหลิน โดยอยู่ภายใต้การปกครองของเขตปกครองตนเองเจ

  • องค์หญิงใหญ่ดวงใจท่านแม่ทัพทมิฬ   ตอนพิเศษที่ 1

    ตอนพิเศษที่ 1นับตั้งแต่ที่ฮ่องเต้ได้ปลดองค์หญิงใหญ่ออกจากตำแหน่งให้เป็นเพียงสามัญชน ตัวของนางและเสวี่ยเยวียนสือ ก็ได้เดินทางกลับมาที่หมู่บ้านที่หลินซูมี่เคยหลบหนีมาอยู่อีกครั้ง โดยในครั้งนี้มันแตกต่างออกไป เพราะนางไม่ต้องหลบซ่อนจากผู้ใดทั้งสิ้น อีกทั้งยังกำลังตั้งครรภ์“คารวะท่านผู้อาวุโส”เมื่อนั่งเรือข้ามฟากมาแล้ว หญิงสาวก็ทำความเคารพชายสูงวัยทันที เพราะนางไม่คิดมาก่อนเลยว่า ผู้อาวุโสจะมารับนางด้วยตนเอง“เจ้ากลับมาจนได้ ที่ผ่านมาข้าได้ให้คนคอยดูแลบ้านของเจ้าไว้อย่างดี รีบไปพักผ่อนเถิด” ชายชรากล่าวออกมาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะสั่งให้คนของเขามาช่วยทั้งสองขนข้าวของ“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ” หลินซูมี่กล่างอย่างนอบน้อม“แล้วเป็นเช่นไรบ้าง ไปอยู่เมืองหลวงเสียพักใหญ่ สบายดีใช่หรือไม่ กลับมาคราวนี้ท้องก็ใหญ่ขึ้นแล้วสินะ” ผู้อาวุโสอินหยอกล้อด้วยรอยยิ้มที่เอ็นดู“ก็สบายดีเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ได้ติดตามท่านพี่ไปชายแดนด้วย กว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง ก็กินเวลาไปเสียนาน” หลินซูมี่กล่าวกับชายชราอย่างสนิทสนม“เช่นนั้นก็พักผ่อนเถิด เดินทางกันมาไกลคงเหน็ดเหนื่อยไม่ใช่น้อย เอาไว้พอตกเย็นค่อยมาร่วมงานเลี้ยงต้อนรั

  • องค์หญิงใหญ่ดวงใจท่านแม่ทัพทมิฬ   บทส่งท้าย คืนตำแหน่งให้องค์หญิงใหญ่

    บทส่งท้าย คืนตำแหน่งให้องค์หญิงใหญ่“ครั้งหนึ่งเขาปรารถนาจะยึดเมืองหมิงตี้ เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าเขาทำเช่นไร เขาจับบุตรีของเจ้าเมืองมาข่มเหงจนย่อยยับ จากนั้นก็ประกาศว่านางเป็นภรรยา แล้วใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างรวบรวมเมืองเข้ามาอยู่ในอาณัติของตน เมื่อเจ้าเมืองไม่ยินยอม เขาก็ยกทัพไปโจมตีจนแตกพ่าย และไม่ใช่แค่เพียงเมืองหมิงตี้ เมืองอื่นก็ประสบชะตากรรมไม่ต่างกันบุรุษผู้นั้นเอาแต่ใช้อำนาจที่มีทำลายชีวิตผู้คน เพื่อสนองความทะเยอทะยานของตนเอง ทำให้มีสตรีมากมายต้องจบชีวิตลงด้วยความอัปยศเพราะเขา!” นางหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างเหี้ยมเกรียม “ในวันนี้ที่เขาต้องนอนป่วยไร้เรี่ยวแรง ข้าว่ามันก็เป็นผลกรรมที่คนเช่นนั้นสมควรได้รับแล้วมิใช่หรือ ฮ่าๆ”กล่าวจบหนิงอี้เสียนหวงกุ้ยเฟยก็หัวเราะอย่างสะใจ รอยยิ้มของนางเต็มไปด้วยความคั่งแค้น ที่ระบายออกมาราวกับเขื่อนแตก เสียงหัวเราะนั้นดังก้องไปทั่วบริเวณ ราวกับต้องการให้ทุกผู้คนได้รับรู้ถึงความเจ็บลึกในใจของนางถ้อยคำของนางนั้นไม่เพียงกระทบใจผู้ที่อยู่ตรงหน้า แต่ยังแทรกซึมเข้าสู่จิตใจของเหล่าขุนนางอาวุโสที่ยืนรายล้อมอยู่ไม่ไกลเมื่อคำกล่าวเหล่านั้นจบลง ความเ

  • องค์หญิงใหญ่ดวงใจท่านแม่ทัพทมิฬ   บทที่ 56 ปราบกบฎ

    บทที่ 56 ปราบกบฎทางด้านกองทัพนอกเมืองหลวง เมื่อเสวี่ยเยวียนสือได้เห็นการจัดขบวนทัพที่อยู่บนกำแพงเขาก็รู้ได้ในทันทีว่าทหารเหล่านั้นไม่ปรารถนาที่จะต่อสู้ เพราะพวกเขาเหล่านั้นล้วนแล้วแต่แอบแสดงท่าทียอมจำนน “ท่านแม่ทัพใหญ่...ข้าว่าเวลาแห่งการชำระล้างความชั่วได้มาถึงแล้ว!” เสียงของแม่ทัพอุดรเหออี้ดังขึ้นด้วยความเคียดแค้น เขาจ้องมองไปยังเบื้องหน้า แววตาเต็มไปด้วยเพลิงแห่งโทสะที่ลุกโชนไม่สิ้นสุดเสวี่ยเยวียนสือก้าวขึ้นมายืนตรงหน้ากองทัพของตน ก่อนจะออกคำสั่งอย่างหนักแน่น “ทหารเตรียมพร้อม!” จากนั้นเพียงครู่เดียว เขาก็เปล่งเสียงสั่งการดังกึกก้อง “บุกได้!”เหล่าทหารที่รอคอยเพียงแค่คำนี้ ต่างตะโกนก้องพร้อมพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างดุดันและพร้อมรบ ทว่าก่อนที่แม่ทัพอุดรเหออี้จะสั่งให้กระแทกประตูบานใหญ่เบื้องหน้า เสียงของการปลดกลอนประตูก็ดังขึ้นแทน จากนั้นประตูเมืองก็ค่อย ๆ แง้มเปิดออกจากด้านใน จนทำให้ทุกคนประหลาดใจ“ขอเชิญทุกท่านผ่านเข้ามาเถิดขอรับ พวกข้าต่างเฝ้ารอการมาถึงของท่านด้วยใจจดใจจ่อ!” เสียงของนายทหารที่เปิดประตูดังขึ้นด้วยความเคารพ แววตาสะท้อนทั้งความดีใจและความภักดีอย่างเหลือล้น“ขอบใจ

  • องค์หญิงใหญ่ดวงใจท่านแม่ทัพทมิฬ   บทที่ 55 ช่วยฮ่องเต้

    บทที่ 55 ช่วยฮ่องเต้จากนั้นองค์รัชทายาทรีบเขียนจดหมายฉบับหนึ่งส่งไปยังสถานที่ที่น้องหญิงของตนพำนักอยู่ ก่อนที่วังหลวงจะถูกทหารของปิงตี้เข้าควบคุมอย่างแน่นหนา ภายในเวลาเพียงเสี้ยวลมหายใจ ทางออกทุกเส้นทางถูกปิดตาย สิ้นไร้การเชื่อมโยงกับโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง“ปิงตี้ นี่เจ้ากำลังคิดจะทำอะไรอยู่ เจ้าจะทำก่อกบฏอย่างนั้นหรือ” หลินเฟยหลงเอ่ยขึ้นมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะกล้าลงมือเช่นนี้“หึ! หลินเฟยหลง ตัวของเจ้าถ้าหากขาดน้องสาวที่เป็นมันสมองและแม่ทัพใหญ่ผู้ควบคุมกำลังทหาร เจ้าก็จะนับว่าทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง” ปิงตี้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเยาะเย้ย“หลินเฟยหลง หลินเฟยหมิง หลินต้าเหนิง ข้ายังไม่คิดลงมือกับพวกเจ้าตอนนี้หรอก เอาไว้ให้พวกเจ้ารวมตัวกันครบก่อน แล้วข้าค่อยพิจารณาอีกทีว่า จะจัดการเช่นไร ยามนี้ก็อยู่กับพ่อแม่ของพวกเจ้า และเป็นเด็กดีไปก่อนก็แล้วกัน”ปิงตี้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น ก่อนจะสั่งให้นำทั้งสามไปคุมขังรวมกับผู้เป็นมารดาและฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ซึ่งในยามนี้อาการทรุดหนักจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้อีกแล้ว“ท่านแม่ ท่านพ่อ พวกท่านเป็นอย่างไรบ้าง ข้าขอโทษที่ไม่อาจร

  • องค์หญิงใหญ่ดวงใจท่านแม่ทัพทมิฬ   บทที่ 54 หวงกุ้ยเฟยก่อกบฏ

    บทที่ 54 หวงกุ้ยเฟยก่อกบฏเมื่อผู้เป็นบิดาได้ยินเช่นนั้น ก็มองไปที่บุตรสาวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรัก“เสวี่ยเยวียนสือ อย่างไรเสียข้าก็ขอฝากบุตรสาวของข้าให้เจ้าดูแลด้วย มี่เอ๋อร์นับว่าถูกข้าตามใจมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ถูกเจ้าอบรมสั่งสอนมาแต่เด็กเช่นกัน ดังนั้นถ้าหากว่านางมีอะไรที่ประพฤติตนไม่เหมาะสม เจ้าก็ค่อย ๆ สั่งสอนนางต่อไปก็แล้วกัน”ฮ่องเต้ได้หันไปตรัสกับศิษย์น้องของตนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ศิษย์พี่ไม่ต้องเป็นกังวล ข้าขอสาบานด้วยชีวิตของข้า ข้าจะดูแลมี่เอ๋อร์ให้ดีที่สุด ชีวิตของนางหลังจากนี้ จะต้องมีแต่ความสุขไร้ซึ่งความทุกข์ใด ๆ ทั้งสิ้น หากข้าผิดคำสาบาน ขอให้ข้าไม่ตายดีในสามวันเจ็ดวัน” เสวี่ยเยวียนสือยกมือขึ้นแล้วเอ่ยคำสาบานออกไปด้วยน้ำเสียงที่เข้มแข็งและห้าวหาญ เมื่อฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก“เอาล่ะ แม้ว่าข้าอยากจะรั้งพวกเจ้าเอาไว้ให้นานกว่านี้ แต่ข้าคิดว่าเหล่าขุนนางทั้งหลายก็คงจะกดดันข้าไม่เลิก ในวันพรุ่งนี้ข้าจะให้คนส่งเจ้าออกนอกเมืองหลวง และส่งเจ้าไปในที่ที่เจ้าอยากจะไป” พระองค์ตรัสออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน ก่อนจะหันไปทางขันทีข้างกาย “อู่กงกง เจ้าจง

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status