“เสด็จพ่อ เหตุการณ์เป็นเช่นไรบ้างเพคะ”
เมื่อเข้ามาถึงหลินซูมี่ก็เอ่ยถามบิดาทันที และเนื่องจากยามนี้ไม่ได้อยู่ในตำหนักส่วนตัว หรือตำหนักฮ่องเต้และฮองเฮา นางจึงเปลี่ยนถ้อยคำสนทนาอย่างระมัดระวังและให้เป็นทางการมากกว่าปกติ
“บาดแผลขององค์ชายสามสาหัสมาก และนี่คือสาเหตุที่ทำให้เขาตาย”
ฮ่องเต้ผู้เป็นบิดาถอนหายใจแล้วตอบกลับมา น้ำเสียงของพระองค์หดหู่อย่างเห็นได้ชัด แม้บุตรชายคนนี้จะไม่ได้เกิดจากหญิงที่เขารัก แต่อย่างไรเสียก็เป็นลูก การสูญเสียบุตรเช่นนี้ ทำให้หัวใจของพระองค์หนักอึ้ง จนไม่อาจปิดบังความโศกเศร้าได้
ทว่าเมื่อสายตาของฮ่องเต้หันไปเห็นบุตรชายทั้งสาม ที่ยืนก้มหน้าหลบอยู่เบื้องหลังหลินซูมี่ ความโกรธก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง
“พวกเจ้าเป็นบุรุษเยี่ยงไรหา! ไปยืนหลบอยู่ข้างหลังน้องสาวที่ตัวเล็กแค่นี้ พวกเจ้าไม่ละอายใจบ้างรึ แต่ละวันคอยสร้างเรื่องให้ข้าปวดหัว วันไหนที่พวกเจ้าไม่สร้างเรื่อง มันจะตายหรือยังไง!!” เสียงตวาดของฮ่องเต้ดังก้องไปทั่วทั้งตำหนักเจียงฮวา
เมื่อได้ยินเสียงตำหนิเช่นนั้น องค์ชายทั้งสามทำเพียงยืนก้มหน้าอย่างสำนึกผิด ไม่กล้าตอบอะไรแม้แต่คำเดียว
หลินซูมี่หันมามองบิดา โดยที่ไม่ได้สนใจคำตำหนิที่เกิดขึ้น เนื่องจากนางมีเรื่องสำคัญยิ่งกว่านั้นต้องจัดการ
“เสด็จพ่อ เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะเพคะ ยามนี้หม่อมฉันขอไปดูศพขององค์ชายสามก่อนได้หรือไม่เพคะ หม่อมฉันรู้สึกว่าการตายขององค์ชายสามอาจมีเงื่อนงำ” หลินซูมี่เอ่ยต่อรองกับฮ่องเต้ด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่จริงจังอย่างมาก
คำขอของนาง ทำให้องค์ชายทั้งสามเงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ครู่เดียวก็หันไปยิ้มให้กันเพราะรู้สึกถึงทางรอดของตนเอง ทั้งสามคิดว่าแม้นางเพิ่งจะอายุเพียงแค่เก้าหนาวเท่านั้น แต่ความคิดความอ่านก็เป็นผู้ใหญ่มากกว่าอายุ จะมีเด็กอายุแค่นี้สักกี่คน ที่กล้าต่อรองกับผู้ใหญ่ที่เป็นถึงฮ่องเต้ได้เช่นนี้ แล้วยังจะขอเข้าไปดูศพอย่างไม่หวาดกลัวอีกด้วย
ส่วนฮ่องเต้เมื่อได้ยินเช่นนั้น ด้วยความรักที่พระองค์มอบให้บุตรสาว จึงไม่ขัดคำร้องขอของนาง
“ได้สิ พ่อจะพาเจ้าเข้าไปดูศพเอง”
พระองค์ตรัสออกมาด้วยน้ำเสียงที่ทรงอำนาจ จากนั้นรีบพาบุตรสาวเดินเข้าไปด้านใน พร้อมกับองค์ชายทั้งหลายที่ติดตามเข้าไปด้วยทันที โดยมีสายตานางกำนัลกับขันทีในตำหนักเจียงฮวามองตามอย่างไม่มีใครที่คิดห้ามปราม
“มี่เอ๋อร์ลูกรัก เหตุใดเจ้าถึงไม่เกิดเป็นบุรุษนะ พ่อจะได้ส่งต่อบัลลังก์ของพ่อให้เจ้าได้อย่างไม่ต้องกังวลใจ” ฮ่องเต้เอ่ยตัดพ้อขึ้นมาโดยไม่สนใจเลยว่ารอบตัวนั้น จะมีผู้คนอยู่มากมายเพียงใด
คำกล่าวนี้ทำให้องค์รัชทายาทยิ่งก้มหน้าลงไปอีก แม้ในใจของเขาจะไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า รู้สึกอับอายที่บิดากล่าวเช่นนี้ต่อหน้าผู้คน
เมื่อเข้ามาในเรือนนอนขององค์ชายสาม องค์หญิงหลินซูมี่ก็เดินเข้าไปดูศพอย่างไม่หวาดกลัว โดยที่บริเวณรอบข้างของศพ มีหมอหลวงชราคนหนึ่งกำลังตรวจสอบถึงสาเหตุการตายอยู่
“ท่านหมอตรวจพบสิ่งผิดปกติใดหรือไม่” องค์หญิงเอ่ยถามกับหมอสูงวัยที่กำลังจิ้ม ๆ จับ ๆ ศพอยู่ ด้วยท่าทางสนใจ
“ไม่พบสิ่งผิดปกติอันใดเลยพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง จากอาการที่องค์ชายเสียชีวิต คาดว่าน่าจะมาจากบาดแผลที่ได้รับมาพ่ะย่ะค่ะ”
หมอวัยชราได้ตอบกลับมาโดยที่ไม่กล้าสบสายตา สิ่งนี้จึงทำให้หลินซูมี่เกิดความสงสัยอย่างมาก แต่ก่อนที่นางจะได้เอ่ยสอบถามอะไรออกมา ก็ได้มีเสียงสตรีนางหนึ่งกรีดร้องออกมาอย่างเคียดแค้น
“พวกเจ้าทำให้ลูกข้าตาย ข้าจะฆ่าพวกเจ้าให้หมด!!”
สิ้นคำด่าทอปนอาฆาต พระสนมเกาต้าผินก็กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นนางวิ่งเข้ามาพร้อมมีดเล่มใหญ่ในมือ พร้อมกับมุ่งตรงไปยังองค์ชายทั้งสามด้วยความโกรธแค้น ดวงตาของนางแดงก่ำ เต็มไปด้วยน้ำตา และความคับแค้นใจที่เกินจะรับไหวแล้ว
ทว่าก่อนที่นางจะเข้าประชิดถึงตัวเหล่าองค์ชายทั้งสาม ก็มีทหารจำนวนไม่น้อยปรี่เข้ามาจับแขนของนางเอาไว้ บางส่วนก็รีบมายืนขวางหน้าเป็นโล่มนุษย์เพื่อปกป้องเจ้านาย
“พวกเจ้าปล่อยข้า ข้าจะฆ่ามัน พวกมันทำให้ลูกข้าต้องตาย พวกมันต้องตายตามลูกข้าไป กรี๊ดดดด!!”
เกาต้าผินเอ่ยขึ้นมาอย่างเดือดดาล นางพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากพันธนาการของเหล่าทหารที่จับนางไว้ แต่มีหรือที่กำลังของสตรีจะสู้กับบุรุษหลายคนที่จับตัวเอาไว้ได้
“พานางไปขังไว้ในเรือนนอนของนางก่อน เดี๋ยวเสร็จเรื่องราวทั้งหมดแล้วข้าจะตามไป”
ฮ่องเต้ตรัสกับเหล่าทหารที่กำลังจับตัวของพระสนมไว้ แม้จะไม่พอใจการกระทำของเกาต้าผินสักเท่าไร ที่นางบังอาจจะมาทำร้ายลูกชายทั้งสามของตน แต่ฮ่องเต้เข้าใจถึงการสูญเสียบุตรดี เพราะยามนี้พระองค์ก็สูญเสียองค์ชายที่เกิดขึ้นกับนางเช่นกัน
เมื่อทหารได้รับคำสั่งก็ไม่รอช้า รีบนำตัวของเกาต้าผินไปขังไว้ในเรือนนอนทันที โดยตลอดทั้งทางเดิน นางได้แต่กรีดร้อง ดิ้นรน และก่นด่าองค์ชายทั้งสามมาตลอดทาง โดยไม่สนใจว่าคำที่นางพ่นด่าออกมานั้น อาจจะทำให้ศีรษะหลุดจากบ่าได้ก็ตาม
เมื่อเหล่าบรรดาข้ารับใช้ได้เห็นภาพนั้น ทุกคนต่างก็รู้สึกสังเวชใจ เนื่องจากถ้าเป็นพวกเขาที่สูญเสียบุตรไปอย่างกะทันหัน ก็คงจะมีอาการไม่ต่างจากพระสนม หรือไม่ ก็อาจจะคลุ้มคลั่งยิ่งกว่า
ส่วนทางด้านหลินซูมี่ไม่สนใจเลยว่าเสียงของพระสนมจะดังรบกวนมากขนาดไหน นางสนใจเพียงแค่หมอหลวงกับศพขององค์ชายสามเท่านั้น
“หมอหลวง ท่านแน่ใจหรือว่าองค์ชายสามสิ้นใจเพราะบาดแผลเหล่านี้” นางเอ่ยถามกับหมอหลวงด้วยเสียงราบเรียบ ซึ่งไม่ต่างจากผู้ใหญ่เลย
เมื่อหมอหลวงได้ยินคำถามนั้น สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไปในทันที เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นเต็มหน้าผาก ใบหน้าของเขาดูประหม่าอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าความลับที่ถูกเก็บงำเอาไว้ในใจ กำลังจะถูกผู้อื่นล่วงรู้
“องค์หญิงกล่าวเช่นนี้ หมายความเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงกำลังบอกว่า กระหม่อมวินิจฉัยการตายขององค์ชายสามผิดเช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
หมอหลวงวัยชราได้เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่คล้ายกับไม่พอใจ และพยายามบ่ายเบี่ยงเรื่องที่อีกฝ่ายถาม อีกทั้งเวลานี้ดวงตาของเขายังแฝงไปด้วยความตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าโกหก! ทหาร! จับตัวหมอหลวงคนนี้ไว้ มันไม่ใช่หมอหลวงจริง ๆ” หลินซูมี่ขยับห่างออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาเสียงดังและออกคำสั่งอย่างทรงอำนาจ
เพียงแค่สิ้นประโยคนั้นขององค์หญิงหลินซูมี่ เหล่าทหารก็กรูเข้ามาจับกุมตัวชายวัยชราทันที ทำให้บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความตึงเครียด ทุกคนอยู่ในอาการตกตะลึง
รวมถึงฮ่องเต้ที่ยามนี้สีหน้าของพระองค์ ฉายแววโกรธจัดออกมา ก่อนจะปรับน้ำเสียงแล้วถามบุตรสาวออกไปว่า
“ลูกพ่อ นี่มันหมายความว่าอย่างไร สิ่งที่เจ้ากล่าวมานั้นคือเรื่องจริงหรือ” ระหว่างที่ถามก็มองบุตรสาวสลับกับชายวัยชราที่กำลังดิ้นรนอยู่ในมือของทหารอย่างสับสน
“จริงเพคะเสด็จพ่อ คนผู้นี้มิใช่หมอหลวงอย่างแน่นอน เนื่องจากตำแหน่งที่เขาฝังเข็มนั้น ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่จุดที่ถูกต้องตามตำราแพทย์แม้แต่น้อย ดูก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คนจากสำนักหมอหลวง”
หลินซูมี่ตอบด้วยความมั่นใจ ดวงตาของนางจ้องไปที่ร่างของหมอหลวงกำมะลออย่างไม่วางตา
เวลานี้ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังชายชราที่แต่งกายเป็นหมอด้วยความสงสัยว่าเขาเป็นใครกัน ทว่าก่อนที่จะมีใครทันได้เอ่ยถามอะไรเพิ่มเติม ชายผู้นั้นกลับกัดอะไรบางอย่างที่อยู่ในปาก ก่อนที่ร่างของเขาจะกระตุกและทรุดลงกับพื้นอย่างคนไร้เรี่ยวแรง พร้อมกับมีเลือดสีแดงเข้มออกจากปากอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่เห็นภาพนั้น ทุกคนก็รู้ได้ทันทีว่าหมอหลวงกำมะลอคนนี้ ได้ปลิดชีพตัวเองเพื่อปกปิดความลับบางอย่างที่ไม่อาจเปิดเผยออกมาได้
“ทหารจับมันออกไป แล้วตรวจสอบร่างกายของมันให้ดีว่ามีสัญลักษณ์อะไรหรือไม่ ข้าต้องรู้ให้ได้ว่ามันคือคนของผู้ใด”
ฮ่องเต้สั่งการด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ก่อนจะหันมากล่าวชมบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอีกครั้ง
“ลูกพ่อ เจ้าช่างหลักแหลมยิ่งนัก”
“เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับท่านอาเพคะ ที่สั่งสอนหม่อมฉันมาเป็นอย่างดี หม่อมฉันจึงได้มีความรู้ความสามารถเช่นนี้” หลินซูมี่ไม่รับความชอบเพียงผู้เดียว แต่กลับส่งถึงท่านอาที่สั่งสอนนางมาตั้งแต่วัยเยาว์ ก่อนจะเอ่ยประโยคต่อมาว่า
“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะเพคะ เรามาดูกันต่อเถิดเพคะว่าองค์ชายสามตายด้วยสาเหตุใดกันแน่”
เมื่อกล่าวจบ นางก็เดินเข้าไปใกล้ศพขององค์ชายสามอีกครั้ง จากนั้นก็สั่งให้ขันทีช่วยแหวกเสื้อบริเวณหน้าอกของเขาออก แล้วให้ใช้มือง้างปากของศพออกและให้เปิดเปลือกตาของศพ เพื่อให้นางได้ตรวจดูอย่างละเอียด
ตอนพิเศษที่ 2นับตั้งแต่ได้รับพระราชทานฐานันดรศักดิ์อ๋อง ทั้งสองก็ได้กลับไปยังหมู่บ้านที่เคยพำนักอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ต่างออกไป เพราะพวกเขากลับมาพร้อมอำนาจเต็มมือหลินซูมี่ได้จัดสร้างจวนอ๋องขึ้นในหมู่บ้าน และยกให้ที่นี่เป็นศูนย์กลางในการว่าราชการของเขตปกครอง ทำให้หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ได้กลายเป็นเมืองหลวงของเขตปกครองเจียงซานและตงตู่นอกจากนี้ ทั้งสองยังได้ประกาศยกย่องสุสานของราชวงศ์เป่ยโจวให้เป็นสุสานหลวง เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อราชวงศ์เก่าแก่ในอดีตเขตปกครองแห่งใหม่นั้น มีการละเว้นการเก็บภาษีในหลายด้าน นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งโรงทานและสร้างที่อยู่ที่กิน ให้แก่เหล่าผู้สูงวัยที่ไร้ผู้คนดูแล เพื่อให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และได้รับการรักษาในยามเจ็บป่วยอย่างทั่วถึงอีกทั้งยังมีการสร้างสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และให้การศึกษาที่ดีต่อเด็ก ๆ เพื่อให้เติบโตไปทำคุณต่อบ้านเมืองทางด้านการขยายอาณาเขต ก็มีการออกปราบปรามชนเผ่าต่าง ๆ โดยรอบเมืองทางเหนืออยู่เนือง ๆทำให้ยามนี้ชนเผ่าเร่ร่อนอีกกว่าสี่สิบแปดชนเผ่า ได้เข้าร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับแคว้นหลิน โดยอยู่ภายใต้การปกครองของเขตปกครองตนเองเจ
ตอนพิเศษที่ 1นับตั้งแต่ที่ฮ่องเต้ได้ปลดองค์หญิงใหญ่ออกจากตำแหน่งให้เป็นเพียงสามัญชน ตัวของนางและเสวี่ยเยวียนสือ ก็ได้เดินทางกลับมาที่หมู่บ้านที่หลินซูมี่เคยหลบหนีมาอยู่อีกครั้ง โดยในครั้งนี้มันแตกต่างออกไป เพราะนางไม่ต้องหลบซ่อนจากผู้ใดทั้งสิ้น อีกทั้งยังกำลังตั้งครรภ์“คารวะท่านผู้อาวุโส”เมื่อนั่งเรือข้ามฟากมาแล้ว หญิงสาวก็ทำความเคารพชายสูงวัยทันที เพราะนางไม่คิดมาก่อนเลยว่า ผู้อาวุโสจะมารับนางด้วยตนเอง“เจ้ากลับมาจนได้ ที่ผ่านมาข้าได้ให้คนคอยดูแลบ้านของเจ้าไว้อย่างดี รีบไปพักผ่อนเถิด” ชายชรากล่าวออกมาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะสั่งให้คนของเขามาช่วยทั้งสองขนข้าวของ“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ” หลินซูมี่กล่างอย่างนอบน้อม“แล้วเป็นเช่นไรบ้าง ไปอยู่เมืองหลวงเสียพักใหญ่ สบายดีใช่หรือไม่ กลับมาคราวนี้ท้องก็ใหญ่ขึ้นแล้วสินะ” ผู้อาวุโสอินหยอกล้อด้วยรอยยิ้มที่เอ็นดู“ก็สบายดีเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ได้ติดตามท่านพี่ไปชายแดนด้วย กว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง ก็กินเวลาไปเสียนาน” หลินซูมี่กล่าวกับชายชราอย่างสนิทสนม“เช่นนั้นก็พักผ่อนเถิด เดินทางกันมาไกลคงเหน็ดเหนื่อยไม่ใช่น้อย เอาไว้พอตกเย็นค่อยมาร่วมงานเลี้ยงต้อนรั
บทส่งท้าย คืนตำแหน่งให้องค์หญิงใหญ่“ครั้งหนึ่งเขาปรารถนาจะยึดเมืองหมิงตี้ เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าเขาทำเช่นไร เขาจับบุตรีของเจ้าเมืองมาข่มเหงจนย่อยยับ จากนั้นก็ประกาศว่านางเป็นภรรยา แล้วใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างรวบรวมเมืองเข้ามาอยู่ในอาณัติของตน เมื่อเจ้าเมืองไม่ยินยอม เขาก็ยกทัพไปโจมตีจนแตกพ่าย และไม่ใช่แค่เพียงเมืองหมิงตี้ เมืองอื่นก็ประสบชะตากรรมไม่ต่างกันบุรุษผู้นั้นเอาแต่ใช้อำนาจที่มีทำลายชีวิตผู้คน เพื่อสนองความทะเยอทะยานของตนเอง ทำให้มีสตรีมากมายต้องจบชีวิตลงด้วยความอัปยศเพราะเขา!” นางหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างเหี้ยมเกรียม “ในวันนี้ที่เขาต้องนอนป่วยไร้เรี่ยวแรง ข้าว่ามันก็เป็นผลกรรมที่คนเช่นนั้นสมควรได้รับแล้วมิใช่หรือ ฮ่าๆ”กล่าวจบหนิงอี้เสียนหวงกุ้ยเฟยก็หัวเราะอย่างสะใจ รอยยิ้มของนางเต็มไปด้วยความคั่งแค้น ที่ระบายออกมาราวกับเขื่อนแตก เสียงหัวเราะนั้นดังก้องไปทั่วบริเวณ ราวกับต้องการให้ทุกผู้คนได้รับรู้ถึงความเจ็บลึกในใจของนางถ้อยคำของนางนั้นไม่เพียงกระทบใจผู้ที่อยู่ตรงหน้า แต่ยังแทรกซึมเข้าสู่จิตใจของเหล่าขุนนางอาวุโสที่ยืนรายล้อมอยู่ไม่ไกลเมื่อคำกล่าวเหล่านั้นจบลง ความเ
บทที่ 56 ปราบกบฎทางด้านกองทัพนอกเมืองหลวง เมื่อเสวี่ยเยวียนสือได้เห็นการจัดขบวนทัพที่อยู่บนกำแพงเขาก็รู้ได้ในทันทีว่าทหารเหล่านั้นไม่ปรารถนาที่จะต่อสู้ เพราะพวกเขาเหล่านั้นล้วนแล้วแต่แอบแสดงท่าทียอมจำนน “ท่านแม่ทัพใหญ่...ข้าว่าเวลาแห่งการชำระล้างความชั่วได้มาถึงแล้ว!” เสียงของแม่ทัพอุดรเหออี้ดังขึ้นด้วยความเคียดแค้น เขาจ้องมองไปยังเบื้องหน้า แววตาเต็มไปด้วยเพลิงแห่งโทสะที่ลุกโชนไม่สิ้นสุดเสวี่ยเยวียนสือก้าวขึ้นมายืนตรงหน้ากองทัพของตน ก่อนจะออกคำสั่งอย่างหนักแน่น “ทหารเตรียมพร้อม!” จากนั้นเพียงครู่เดียว เขาก็เปล่งเสียงสั่งการดังกึกก้อง “บุกได้!”เหล่าทหารที่รอคอยเพียงแค่คำนี้ ต่างตะโกนก้องพร้อมพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างดุดันและพร้อมรบ ทว่าก่อนที่แม่ทัพอุดรเหออี้จะสั่งให้กระแทกประตูบานใหญ่เบื้องหน้า เสียงของการปลดกลอนประตูก็ดังขึ้นแทน จากนั้นประตูเมืองก็ค่อย ๆ แง้มเปิดออกจากด้านใน จนทำให้ทุกคนประหลาดใจ“ขอเชิญทุกท่านผ่านเข้ามาเถิดขอรับ พวกข้าต่างเฝ้ารอการมาถึงของท่านด้วยใจจดใจจ่อ!” เสียงของนายทหารที่เปิดประตูดังขึ้นด้วยความเคารพ แววตาสะท้อนทั้งความดีใจและความภักดีอย่างเหลือล้น“ขอบใจ
บทที่ 55 ช่วยฮ่องเต้จากนั้นองค์รัชทายาทรีบเขียนจดหมายฉบับหนึ่งส่งไปยังสถานที่ที่น้องหญิงของตนพำนักอยู่ ก่อนที่วังหลวงจะถูกทหารของปิงตี้เข้าควบคุมอย่างแน่นหนา ภายในเวลาเพียงเสี้ยวลมหายใจ ทางออกทุกเส้นทางถูกปิดตาย สิ้นไร้การเชื่อมโยงกับโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง“ปิงตี้ นี่เจ้ากำลังคิดจะทำอะไรอยู่ เจ้าจะทำก่อกบฏอย่างนั้นหรือ” หลินเฟยหลงเอ่ยขึ้นมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะกล้าลงมือเช่นนี้“หึ! หลินเฟยหลง ตัวของเจ้าถ้าหากขาดน้องสาวที่เป็นมันสมองและแม่ทัพใหญ่ผู้ควบคุมกำลังทหาร เจ้าก็จะนับว่าทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง” ปิงตี้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเยาะเย้ย“หลินเฟยหลง หลินเฟยหมิง หลินต้าเหนิง ข้ายังไม่คิดลงมือกับพวกเจ้าตอนนี้หรอก เอาไว้ให้พวกเจ้ารวมตัวกันครบก่อน แล้วข้าค่อยพิจารณาอีกทีว่า จะจัดการเช่นไร ยามนี้ก็อยู่กับพ่อแม่ของพวกเจ้า และเป็นเด็กดีไปก่อนก็แล้วกัน”ปิงตี้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น ก่อนจะสั่งให้นำทั้งสามไปคุมขังรวมกับผู้เป็นมารดาและฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ซึ่งในยามนี้อาการทรุดหนักจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้อีกแล้ว“ท่านแม่ ท่านพ่อ พวกท่านเป็นอย่างไรบ้าง ข้าขอโทษที่ไม่อาจร
บทที่ 54 หวงกุ้ยเฟยก่อกบฏเมื่อผู้เป็นบิดาได้ยินเช่นนั้น ก็มองไปที่บุตรสาวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรัก“เสวี่ยเยวียนสือ อย่างไรเสียข้าก็ขอฝากบุตรสาวของข้าให้เจ้าดูแลด้วย มี่เอ๋อร์นับว่าถูกข้าตามใจมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ถูกเจ้าอบรมสั่งสอนมาแต่เด็กเช่นกัน ดังนั้นถ้าหากว่านางมีอะไรที่ประพฤติตนไม่เหมาะสม เจ้าก็ค่อย ๆ สั่งสอนนางต่อไปก็แล้วกัน”ฮ่องเต้ได้หันไปตรัสกับศิษย์น้องของตนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ศิษย์พี่ไม่ต้องเป็นกังวล ข้าขอสาบานด้วยชีวิตของข้า ข้าจะดูแลมี่เอ๋อร์ให้ดีที่สุด ชีวิตของนางหลังจากนี้ จะต้องมีแต่ความสุขไร้ซึ่งความทุกข์ใด ๆ ทั้งสิ้น หากข้าผิดคำสาบาน ขอให้ข้าไม่ตายดีในสามวันเจ็ดวัน” เสวี่ยเยวียนสือยกมือขึ้นแล้วเอ่ยคำสาบานออกไปด้วยน้ำเสียงที่เข้มแข็งและห้าวหาญ เมื่อฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก“เอาล่ะ แม้ว่าข้าอยากจะรั้งพวกเจ้าเอาไว้ให้นานกว่านี้ แต่ข้าคิดว่าเหล่าขุนนางทั้งหลายก็คงจะกดดันข้าไม่เลิก ในวันพรุ่งนี้ข้าจะให้คนส่งเจ้าออกนอกเมืองหลวง และส่งเจ้าไปในที่ที่เจ้าอยากจะไป” พระองค์ตรัสออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน ก่อนจะหันไปทางขันทีข้างกาย “อู่กงกง เจ้าจง