“เสด็จพ่อ เหตุการณ์เป็นเช่นไรบ้างเพคะ”
เมื่อเข้ามาถึงหลินซูมี่ก็เอ่ยถามบิดาทันที และเนื่องจากยามนี้ไม่ได้อยู่ในตำหนักส่วนตัว หรือตำหนักฮ่องเต้และฮองเฮา นางจึงเปลี่ยนถ้อยคำสนทนาอย่างระมัดระวังและให้เป็นทางการมากกว่าปกติ
“บาดแผลขององค์ชายสามสาหัสมาก และนี่คือสาเหตุที่ทำให้เขาตาย”
ฮ่องเต้ผู้เป็นบิดาถอนหายใจแล้วตอบกลับมา น้ำเสียงของพระองค์หดหู่อย่างเห็นได้ชัด แม้บุตรชายคนนี้จะไม่ได้เกิดจากหญิงที่เขารัก แต่อย่างไรเสียก็เป็นลูก การสูญเสียบุตรเช่นนี้ ทำให้หัวใจของพระองค์หนักอึ้ง จนไม่อาจปิดบังความโศกเศร้าได้
ทว่าเมื่อสายตาของฮ่องเต้หันไปเห็นบุตรชายทั้งสาม ที่ยืนก้มหน้าหลบอยู่เบื้องหลังหลินซูมี่ ความโกรธก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง
“พวกเจ้าเป็นบุรุษเยี่ยงไรหา! ไปยืนหลบอยู่ข้างหลังน้องสาวที่ตัวเล็กแค่นี้ พวกเจ้าไม่ละอายใจบ้างรึ แต่ละวันคอยสร้างเรื่องให้ข้าปวดหัว วันไหนที่พวกเจ้าไม่สร้างเรื่อง มันจะตายหรือยังไง!!” เสียงตวาดของฮ่องเต้ดังก้องไปทั่วทั้งตำหนักเจียงฮวา
เมื่อได้ยินเสียงตำหนิเช่นนั้น องค์ชายทั้งสามทำเพียงยืนก้มหน้าอย่างสำนึกผิด ไม่กล้าตอบอะไรแม้แต่คำเดียว
หลินซูมี่หันมามองบิดา โดยที่ไม่ได้สนใจคำตำหนิที่เกิดขึ้น เนื่องจากนางมีเรื่องสำคัญยิ่งกว่านั้นต้องจัดการ
“เสด็จพ่อ เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะเพคะ ยามนี้หม่อมฉันขอไปดูศพขององค์ชายสามก่อนได้หรือไม่เพคะ หม่อมฉันรู้สึกว่าการตายขององค์ชายสามอาจมีเงื่อนงำ” หลินซูมี่เอ่ยต่อรองกับฮ่องเต้ด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่จริงจังอย่างมาก
คำขอของนาง ทำให้องค์ชายทั้งสามเงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ครู่เดียวก็หันไปยิ้มให้กันเพราะรู้สึกถึงทางรอดของตนเอง ทั้งสามคิดว่าแม้นางเพิ่งจะอายุเพียงแค่เก้าหนาวเท่านั้น แต่ความคิดความอ่านก็เป็นผู้ใหญ่มากกว่าอายุ จะมีเด็กอายุแค่นี้สักกี่คน ที่กล้าต่อรองกับผู้ใหญ่ที่เป็นถึงฮ่องเต้ได้เช่นนี้ แล้วยังจะขอเข้าไปดูศพอย่างไม่หวาดกลัวอีกด้วย
ส่วนฮ่องเต้เมื่อได้ยินเช่นนั้น ด้วยความรักที่พระองค์มอบให้บุตรสาว จึงไม่ขัดคำร้องขอของนาง
“ได้สิ พ่อจะพาเจ้าเข้าไปดูศพเอง”
พระองค์ตรัสออกมาด้วยน้ำเสียงที่ทรงอำนาจ จากนั้นรีบพาบุตรสาวเดินเข้าไปด้านใน พร้อมกับองค์ชายทั้งหลายที่ติดตามเข้าไปด้วยทันที โดยมีสายตานางกำนัลกับขันทีในตำหนักเจียงฮวามองตามอย่างไม่มีใครที่คิดห้ามปราม
“มี่เอ๋อร์ลูกรัก เหตุใดเจ้าถึงไม่เกิดเป็นบุรุษนะ พ่อจะได้ส่งต่อบัลลังก์ของพ่อให้เจ้าได้อย่างไม่ต้องกังวลใจ” ฮ่องเต้เอ่ยตัดพ้อขึ้นมาโดยไม่สนใจเลยว่ารอบตัวนั้น จะมีผู้คนอยู่มากมายเพียงใด
คำกล่าวนี้ทำให้องค์รัชทายาทยิ่งก้มหน้าลงไปอีก แม้ในใจของเขาจะไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า รู้สึกอับอายที่บิดากล่าวเช่นนี้ต่อหน้าผู้คน
เมื่อเข้ามาในเรือนนอนขององค์ชายสาม องค์หญิงหลินซูมี่ก็เดินเข้าไปดูศพอย่างไม่หวาดกลัว โดยที่บริเวณรอบข้างของศพ มีหมอหลวงชราคนหนึ่งกำลังตรวจสอบถึงสาเหตุการตายอยู่
“ท่านหมอตรวจพบสิ่งผิดปกติใดหรือไม่” องค์หญิงเอ่ยถามกับหมอสูงวัยที่กำลังจิ้ม ๆ จับ ๆ ศพอยู่ ด้วยท่าทางสนใจ
“ไม่พบสิ่งผิดปกติอันใดเลยพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง จากอาการที่องค์ชายเสียชีวิต คาดว่าน่าจะมาจากบาดแผลที่ได้รับมาพ่ะย่ะค่ะ”
หมอวัยชราได้ตอบกลับมาโดยที่ไม่กล้าสบสายตา สิ่งนี้จึงทำให้หลินซูมี่เกิดความสงสัยอย่างมาก แต่ก่อนที่นางจะได้เอ่ยสอบถามอะไรออกมา ก็ได้มีเสียงสตรีนางหนึ่งกรีดร้องออกมาอย่างเคียดแค้น
“พวกเจ้าทำให้ลูกข้าตาย ข้าจะฆ่าพวกเจ้าให้หมด!!”
สิ้นคำด่าทอปนอาฆาต พระสนมเกาต้าผินก็กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นนางวิ่งเข้ามาพร้อมมีดเล่มใหญ่ในมือ พร้อมกับมุ่งตรงไปยังองค์ชายทั้งสามด้วยความโกรธแค้น ดวงตาของนางแดงก่ำ เต็มไปด้วยน้ำตา และความคับแค้นใจที่เกินจะรับไหวแล้ว
ทว่าก่อนที่นางจะเข้าประชิดถึงตัวเหล่าองค์ชายทั้งสาม ก็มีทหารจำนวนไม่น้อยปรี่เข้ามาจับแขนของนางเอาไว้ บางส่วนก็รีบมายืนขวางหน้าเป็นโล่มนุษย์เพื่อปกป้องเจ้านาย
“พวกเจ้าปล่อยข้า ข้าจะฆ่ามัน พวกมันทำให้ลูกข้าต้องตาย พวกมันต้องตายตามลูกข้าไป กรี๊ดดดด!!”
เกาต้าผินเอ่ยขึ้นมาอย่างเดือดดาล นางพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากพันธนาการของเหล่าทหารที่จับนางไว้ แต่มีหรือที่กำลังของสตรีจะสู้กับบุรุษหลายคนที่จับตัวเอาไว้ได้
“พานางไปขังไว้ในเรือนนอนของนางก่อน เดี๋ยวเสร็จเรื่องราวทั้งหมดแล้วข้าจะตามไป”
ฮ่องเต้ตรัสกับเหล่าทหารที่กำลังจับตัวของพระสนมไว้ แม้จะไม่พอใจการกระทำของเกาต้าผินสักเท่าไร ที่นางบังอาจจะมาทำร้ายลูกชายทั้งสามของตน แต่ฮ่องเต้เข้าใจถึงการสูญเสียบุตรดี เพราะยามนี้พระองค์ก็สูญเสียองค์ชายที่เกิดขึ้นกับนางเช่นกัน
เมื่อทหารได้รับคำสั่งก็ไม่รอช้า รีบนำตัวของเกาต้าผินไปขังไว้ในเรือนนอนทันที โดยตลอดทั้งทางเดิน นางได้แต่กรีดร้อง ดิ้นรน และก่นด่าองค์ชายทั้งสามมาตลอดทาง โดยไม่สนใจว่าคำที่นางพ่นด่าออกมานั้น อาจจะทำให้ศีรษะหลุดจากบ่าได้ก็ตาม
เมื่อเหล่าบรรดาข้ารับใช้ได้เห็นภาพนั้น ทุกคนต่างก็รู้สึกสังเวชใจ เนื่องจากถ้าเป็นพวกเขาที่สูญเสียบุตรไปอย่างกะทันหัน ก็คงจะมีอาการไม่ต่างจากพระสนม หรือไม่ ก็อาจจะคลุ้มคลั่งยิ่งกว่า
ส่วนทางด้านหลินซูมี่ไม่สนใจเลยว่าเสียงของพระสนมจะดังรบกวนมากขนาดไหน นางสนใจเพียงแค่หมอหลวงกับศพขององค์ชายสามเท่านั้น
“หมอหลวง ท่านแน่ใจหรือว่าองค์ชายสามสิ้นใจเพราะบาดแผลเหล่านี้” นางเอ่ยถามกับหมอหลวงด้วยเสียงราบเรียบ ซึ่งไม่ต่างจากผู้ใหญ่เลย
เมื่อหมอหลวงได้ยินคำถามนั้น สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไปในทันที เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นเต็มหน้าผาก ใบหน้าของเขาดูประหม่าอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าความลับที่ถูกเก็บงำเอาไว้ในใจ กำลังจะถูกผู้อื่นล่วงรู้
“องค์หญิงกล่าวเช่นนี้ หมายความเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงกำลังบอกว่า กระหม่อมวินิจฉัยการตายขององค์ชายสามผิดเช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
หมอหลวงวัยชราได้เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่คล้ายกับไม่พอใจ และพยายามบ่ายเบี่ยงเรื่องที่อีกฝ่ายถาม อีกทั้งเวลานี้ดวงตาของเขายังแฝงไปด้วยความตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าโกหก! ทหาร! จับตัวหมอหลวงคนนี้ไว้ มันไม่ใช่หมอหลวงจริง ๆ” หลินซูมี่ขยับห่างออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาเสียงดังและออกคำสั่งอย่างทรงอำนาจ
เพียงแค่สิ้นประโยคนั้นขององค์หญิงหลินซูมี่ เหล่าทหารก็กรูเข้ามาจับกุมตัวชายวัยชราทันที ทำให้บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความตึงเครียด ทุกคนอยู่ในอาการตกตะลึง
รวมถึงฮ่องเต้ที่ยามนี้สีหน้าของพระองค์ ฉายแววโกรธจัดออกมา ก่อนจะปรับน้ำเสียงแล้วถามบุตรสาวออกไปว่า
“ลูกพ่อ นี่มันหมายความว่าอย่างไร สิ่งที่เจ้ากล่าวมานั้นคือเรื่องจริงหรือ” ระหว่างที่ถามก็มองบุตรสาวสลับกับชายวัยชราที่กำลังดิ้นรนอยู่ในมือของทหารอย่างสับสน
“จริงเพคะเสด็จพ่อ คนผู้นี้มิใช่หมอหลวงอย่างแน่นอน เนื่องจากตำแหน่งที่เขาฝังเข็มนั้น ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่จุดที่ถูกต้องตามตำราแพทย์แม้แต่น้อย ดูก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คนจากสำนักหมอหลวง”
หลินซูมี่ตอบด้วยความมั่นใจ ดวงตาของนางจ้องไปที่ร่างของหมอหลวงกำมะลออย่างไม่วางตา
เวลานี้ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังชายชราที่แต่งกายเป็นหมอด้วยความสงสัยว่าเขาเป็นใครกัน ทว่าก่อนที่จะมีใครทันได้เอ่ยถามอะไรเพิ่มเติม ชายผู้นั้นกลับกัดอะไรบางอย่างที่อยู่ในปาก ก่อนที่ร่างของเขาจะกระตุกและทรุดลงกับพื้นอย่างคนไร้เรี่ยวแรง พร้อมกับมีเลือดสีแดงเข้มออกจากปากอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่เห็นภาพนั้น ทุกคนก็รู้ได้ทันทีว่าหมอหลวงกำมะลอคนนี้ ได้ปลิดชีพตัวเองเพื่อปกปิดความลับบางอย่างที่ไม่อาจเปิดเผยออกมาได้
“ทหารจับมันออกไป แล้วตรวจสอบร่างกายของมันให้ดีว่ามีสัญลักษณ์อะไรหรือไม่ ข้าต้องรู้ให้ได้ว่ามันคือคนของผู้ใด”
ฮ่องเต้สั่งการด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ก่อนจะหันมากล่าวชมบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอีกครั้ง
“ลูกพ่อ เจ้าช่างหลักแหลมยิ่งนัก”
“เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับท่านอาเพคะ ที่สั่งสอนหม่อมฉันมาเป็นอย่างดี หม่อมฉันจึงได้มีความรู้ความสามารถเช่นนี้” หลินซูมี่ไม่รับความชอบเพียงผู้เดียว แต่กลับส่งถึงท่านอาที่สั่งสอนนางมาตั้งแต่วัยเยาว์ ก่อนจะเอ่ยประโยคต่อมาว่า
“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะเพคะ เรามาดูกันต่อเถิดเพคะว่าองค์ชายสามตายด้วยสาเหตุใดกันแน่”
เมื่อกล่าวจบ นางก็เดินเข้าไปใกล้ศพขององค์ชายสามอีกครั้ง จากนั้นก็สั่งให้ขันทีช่วยแหวกเสื้อบริเวณหน้าอกของเขาออก แล้วให้ใช้มือง้างปากของศพออกและให้เปิดเปลือกตาของศพ เพื่อให้นางได้ตรวจดูอย่างละเอียด
บทที่ 6 การตายครั้งนี้มีเงื่อนงำ“เสด็จพ่อ เหตุการณ์เป็นเช่นไรบ้างเพคะ”เมื่อเข้ามาถึงหลินซูมี่ก็เอ่ยถามบิดาทันที และเนื่องจากยามนี้ไม่ได้อยู่ในตำหนักส่วนตัว หรือตำหนักฮ่องเต้และฮองเฮา นางจึงเปลี่ยนถ้อยคำสนทนาอย่างระมัดระวังและให้เป็นทางการมากกว่าปกติ“บาดแผลขององค์ชายสามสาหัสมาก และนี่คือสาเหตุที่ทำให้เขาตาย”ฮ่องเต้ผู้เป็นบิดาถอนหายใจแล้วตอบกลับมา น้ำเสียงของพระองค์หดหู่อย่างเห็นได้ชัด แม้บุตรชายคนนี้จะไม่ได้เกิดจากหญิงที่เขารัก แต่อย่างไรเสียก็เป็นลูก การสูญเสียบุตรเช่นนี้ ทำให้หัวใจของพระองค์หนักอึ้ง จนไม่อาจปิดบังความโศกเศร้าได้ทว่าเมื่อสายตาของฮ่องเต้หันไปเห็นบุตรชายทั้งสาม ที่ยืนก้มหน้าหลบอยู่เบื้องหลังหลินซูมี่ ความโกรธก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง“พวกเจ้าเป็นบุรุษเยี่ยงไรหา! ไปยืนหลบอยู่ข้างหลังน้องสาวที่ตัวเล็กแค่นี้ พวกเจ้าไม่ละอายใจบ้างรึ แต่ละวันคอยสร้างเรื่องให้ข้าปวดหัว วันไหนที่พวกเจ้าไม่สร้างเรื่อง มันจะตายหรือยังไง!!” เสียงตวาดของฮ่องเต้ดังก้องไปทั่วทั้งตำหนักเจียงฮวาเมื่อได้ยินเสียงตำหนิเช่นนั้น องค์ชายทั้งสามทำเพียงยืนก้มหน้าอย่างสำนึกผิด ไม่กล้าตอบอะไรแม้แต่คำเดียวหลินซู
บทที่ 5 การตายขององค์ชายสามตำหนักเจียงฮวา“กรี๊ดดดดดดเจ้าพวกเด็กสารเลวนั่น กล้าดีอย่างไรมาทำลูกข้าบาดเจ็บเช่นนี้!” สตรีนางหนึ่งเอ่ยขึ้นมาอย่างคับแค้นใจ พลางมองไปที่บุตรชาย ที่ยามนี้ร่างกายมีบาดแผลหลายแห่งจนนางแทบไม่กล้าดู“พระสนมโปรดระวังคำกล่าวด้วยเพคะ”นางกำนัลคนสนิทเอ่ยเตือนสติ เนื่องจากคนที่เจ้านายกำลังก่นด่าอยู่นั้น คือโอรสทั้งสามของฮ่องเต้ซึ่งเกิดจากฮองเฮา อีกทั้งเวลานี้องค์รัชทายาทยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทแล้ว ศักดิ์และฐานะขององค์รัชทายาท จึงสูงกว่าพระสนมทุกระดับในวังหลังหากเรื่องที่พระสนมลบหลู่องค์ชายทั้งสาม แพร่งพรายออกไปให้คนนอกรับรู้ มีหวังหัวหลุดจากบ่าโดยไม่ต้องสอบสวน“อาหลิว เจ้าบอกให้ข้าระงับโทสะและระวังคำกล่าวอย่างนั้นหรือ เจ้าไม่เห็นหรือว่าลูกของข้ามีสภาพเป็นเช่นไร! แล้วหากเขาเป็นอะไรไป สถานะของข้าในวังหลังแห่งนี้ มันจะตกต่ำขนาดไหน!” พระสนมเกาต้าผินกล่าวออกมาอย่างโกรธจัด“แม้ข้าจะรู้ดีว่าการที่ไปด่าหรือตำหนิองค์รัชทายาท มันผิดต่อกฎมณเฑียรบาลมากเช่นไร และมีผลเสียมากมายอย่างไร แต่ในฐานะมารดา ข้าไม่สามารถโกรธได้เลยหรือ ที่ลูกของข้าถูกรังแกจนบาดเจ็บทั่วทั้งร่าง
บทที่ 4 ความรู้สึกบางอย่างนับตั้งแต่วันที่องค์หญิงหลินซูมี่ได้หัดชกหุ่นฟาง วันเวลาก็ได้ล่วงเลยมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว ในวันนี้องค์หญิงก็ต้องกลับไปฝึกวิชาการต่อสู้อย่างอื่นอีกครั้ง“มี่เอ๋อร์ วันนี้ข้าจะสอนการใช้กระบี่ ส่วนกระบี่ที่จะให้เจ้าใช้เป็นอาวุธประจำกายนั้น ข้าสั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับเจ้าโดยเฉพาะ นี่คือรางวัลสำหรับเจ้าที่ฝึกอย่างหนักโดยไม่ปริปากบ่น ข้าหวังว่าต่อไปเจ้าจะตั้งใจเหมือนที่ผ่านมา”เสวี่ยเยวียนสือกล่าวกับหลินซูมี่อย่างอ่อนโยนเพื่อเป็นรางวัลในความตั้งใจของนาง เมื่อกล่าวจบเขาก็ได้หยิบกระบี่ออกมามอบให้กับคนตรงหน้า“ขอบคุณท่านอาเจ้าค่ะ” หลินซูมี่กล่าวขอบคุณอย่างนอบน้อม และยื่นมือออกไปรับกระบี่ทันทีที่ได้เห็นกระบี่ที่ชักออกจากฝัก หลินซูมี่ก็รู้สึกหลงใหลกระบี่นี้ไม่น้อยเลย และหลังจากวันนั้นที่ได้รับกระบี่จากเสวี่ยเยวียนสือมา นางก็มักจะนำกระบี่เล่มนี้ติดตัวเสมอสองปีผ่านไป…วันเวลาที่เลยผ่าน ทำให้นางสำเร็จวิชาการต่อสู้หลายแขนงจากแม่ทัพใหญ่ผู้นี้ และในยามนี้เสวี่ยเยวียนสือกำลังจะสั่งสอนวิชากลยุทธ์ทางการทหารให้กับนาง“ศาสตร์วิชาบทกวีและศาสตร์วิชาศิลปะการต่อสู้ เจ้าก็ได้เรียนร
บทที่ 3 ฝึกฝนอย่างหนักหลินซูมี่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่มีท่าทีคัดค้านเลยแม้แต่น้อย กลับกันนางยิ่งรู้สึกกระตือรือร้นที่จะได้ลองทำสิ่งใหม่ ๆ ดังนั้นเมื่อได้รับคำสั่งก็ไม่รอช้า รีบเดินไปยังหุ่นฟางตัวนั้นอย่างตั้งใจทันที นางรวบรวมสมาธิและปล่อยหมัดออกไปอย่างเต็มแรง ตามที่เสวี่ยเยวียนสือได้สอนความรู้สึกแรกที่ได้รับหลังจากปล่อยหมัดออกไปกระทบหุ่นฟาง ก็คือความเจ็บที่มือ แต่ก็ฝืนกัดฟันข่มความเจ็บปวดไว้ แล้วกลั้นใจต่อยออกไปซ้ำ ๆจนผ่านไปครึ่งวันนางก็ต่อยไปถึงสามร้อยครั้ง โดยที่เวลานี้มือของนางมีผ้าพันห้ามเลือดเอาไว้หลายชั้น“ท่านแม่ทัพใหญ่ขอรับ ข้าคิดว่า...” รองแม่ทัพได้เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ แต่เขากล่าวยังไม่จบก็ต้องหยุดลง“ตงตี้ นี่คือการฝึกของนาง หากแค่นี้นางยังผ่านไปไม่ได้ ภายภาคหน้าก็ไร้ซึ่งหนทางจะต่อสู้ การที่ข้าให้นางทำเช่นนี้ ก็เพื่อตัวของนางเอง”เสวี่ยเยวียนสือเอ่ยกับรองแม่ทัพตงตี้ด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง แม้จะกล่าวออกไปเช่นนั้น ทว่าภายในใจกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่เขาไม่อาจทำอะไรได้ เวลานี้จึงทำได้เพียงกำผ้าเช็ดหน้าในมือ แล้วมองดูองค์หญิงต่อยหุ่นฟางต่อแม้มือเล็กจะถูกเลือ
บทที่ 2 พรสวรรค์ขององค์หญิงน้อยระหว่างนั้นเสวี่ยเยวียนสือก็ได้เขียนจดหมายขึ้นมา เขาตั้งใจจะรายงานความคืบหน้าในการเรียนวันนี้ของหลินซูมี่ให้ฮ่องเต้รับรู้ โดยจะฝากไปกับทหารผู้ติดตามทว่าในตอนที่เขานำจดหมายไปส่งให้ทหารผู้ติดตามขององค์หญิง กลับได้รับแจ้งว่า“รายงานท่านแม่ทัพ ฝ่าบาทต้องการให้ท่านไปเข้าเฝ้าเพื่อรายงานเรื่องการเรียนขององค์หญิงใหญ่ด้วยตนเองขอรับ” ทหารติดตามองค์หญิงรายงานทันที ก่อนจะรีบเดินออกไปเมื่อเสวี่ยเยวียนสือได้รับคำสั่งเช่นนั้นก็ถึงกับแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายและบ่นออกมาเล็กน้อย“เห้อ...ตั้งแต่ศิษย์พี่มีบุตรสาวคนนี้ ข้ารู้สึกว่าถูกเบียดเบียนเวลาชีวิตไปอย่างมากมายเหลือเกิน”แต่ถึงกระนั้นเขาก็มิอาจขัดพระบัญชาได้ จึงต้องควบม้าตัวโปรดเพื่อเข้าวังหลวงทันทีเมื่อแม่ทัพหนุ่มเดินทางมาถึงวังหลวง ก็ได้ถูกเชิญไปยังห้องทรงพระอักษร โดยที่นั่นมีฮ่องเต้และฮองเฮาประทับรออยู่แล้วหลังจากเข้ามาในห้องทรงพระอักษรตามลำพังแล้ว ชายหนุ่มก็ทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างไม่รีรอ“ถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมฮองเฮา”“ไม่ต้องมากพิธี รีบมานั่งเสียเถอะ แล้วเล่าให้ข้าฟังว่า บุตรสาวของข้า เรียนเป็นอย่างไรบ้าง” ฮ่อ
บทที่ 1 องค์หญิงหลินซูมี่“ท่านแม่ทัพขอรับ องค์หญิงหลินซูมี่เสด็จมาถึงแล้วขอรับ” นายทหารคนหนึ่งวิ่งมารายงานกับผู้เป็นนายทันที“ให้นางเข้ามา จงจำเอาไว้ว่าหลังจากนี้ห้ามจัดขบวนเสด็จให้นางอีก นางมาที่นี่ในฐานะผู้มาศึกษาคนหนึ่งเท่านั้น หาใช่องค์หญิงของแคว้นไม่”แม่ทัพใหญ่เสวี่ยเยวียนสือได้เอ่ยกับนายกองด้วยน้ำเสียงจริงจังและเฉียบขาดเมื่อได้ยินเช่นนั้น นายทหารผู้รับฟังรู้สึกหนักใจ เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นถึงองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ ทว่าคำสั่งของแม่ทัพก็เป็นดั่งกฎอัยการศึก ที่ทหารอย่างเขาไม่สามารถขัดได้เช่นกัน“ขอรับ ข้าจะทำตามที่ท่านแม่ทัพสั่งมา” นายกองมู่ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จากนั้นจึงหมุนตัวออกมาทันทีทว่าก่อนที่ร่างของนายกองมู่จะเดินถึงหน้าจวน เสียงถามเล็ก ๆ ของเด็กหญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาอย่างสดใส“ท่านนายกองมู่ ท่านแม่ทัพอยู่ที่ใดหรือ”“คารวะองค์หญิงใหญ่ ท่านแม่ทัพอยู่ที่โถงหลักพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด นายกองมู่ก็รีบทำความเคารพทันที พร้อมกับทรุดนั่งก้มหน้าลงแล้วตอบคำถามออกไปอย่างนอบน้อม โดยที่มือยังอยู่ในท่าถวายบังคมเหนือศีรษะ“ลุกขึ้นเถิด หลังจากนี้ก็สนทนากับข้าปกติก็แล้วกัน ที่น