ตำหนักเจียงฮวา
“กรี๊ดดดดดดเจ้าพวกเด็กสารเลวนั่น กล้าดีอย่างไรมาทำลูกข้าบาดเจ็บเช่นนี้!” สตรีนางหนึ่งเอ่ยขึ้นมาอย่างคับแค้นใจ พลางมองไปที่บุตรชาย ที่ยามนี้ร่างกายมีบาดแผลหลายแห่งจนนางแทบไม่กล้าดู
“พระสนมโปรดระวังคำกล่าวด้วยเพคะ”
นางกำนัลคนสนิทเอ่ยเตือนสติ เนื่องจากคนที่เจ้านายกำลังก่นด่าอยู่นั้น คือโอรสทั้งสามของฮ่องเต้ซึ่งเกิดจากฮองเฮา อีกทั้งเวลานี้องค์รัชทายาทยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทแล้ว ศักดิ์และฐานะขององค์รัชทายาท จึงสูงกว่าพระสนมทุกระดับในวังหลัง
หากเรื่องที่พระสนมลบหลู่องค์ชายทั้งสาม แพร่งพรายออกไปให้คนนอกรับรู้ มีหวังหัวหลุดจากบ่าโดยไม่ต้องสอบสวน
“อาหลิว เจ้าบอกให้ข้าระงับโทสะและระวังคำกล่าวอย่างนั้นหรือ เจ้าไม่เห็นหรือว่าลูกของข้ามีสภาพเป็นเช่นไร! แล้วหากเขาเป็นอะไรไป สถานะของข้าในวังหลังแห่งนี้ มันจะตกต่ำขนาดไหน!” พระสนมเกาต้าผินกล่าวออกมาอย่างโกรธจัด
“แม้ข้าจะรู้ดีว่าการที่ไปด่าหรือตำหนิองค์รัชทายาท มันผิดต่อกฎมณเฑียรบาลมากเช่นไร และมีผลเสียมากมายอย่างไร แต่ในฐานะมารดา ข้าไม่สามารถโกรธได้เลยหรือ ที่ลูกของข้าถูกรังแกจนบาดเจ็บทั่วทั้งร่างเช่นนี้” นางกล่าวออกมาด้วยความเศร้าเสียใจ
“หม่อมฉันรู้เพคะว่าพระสนมรู้สึกเช่นไร แต่สถานะของพวกเราต่ำกว่าพวกเขา หากมีใครได้ยินเข้า แล้วนำเรื่องนี้ไปรายงาน เกรงว่าสถานะของพระสนมอาจจะย่ำแย่อย่างที่กังวลก็ได้เพคะ”
นางกำนัลคนสนิทกล่าวเตือนอีกครั้ง พร้อมกับมองซ้ายมองขวาด้วยความหวาดกลัวว่าจะมีใครมาแอบได้ยิน แล้วนำเรื่องนี้ไปรายงานต่อฮ่องเต้ หากเป็นเช่นนั้นจริง นางและพระสนมจะมีปัญหาใหญ่เอาได้
“ข้าไม่กลัว เจ้าอย่าลืมสิว่าบิดาของข้าคือเกาต้าหลี่ถงที่เป็นเสนาบดีของสำนักราชเลขา หากฮ่องเต้จะทรงทำอะไรข้า ก็คงต้องไว้หน้าบิดาข้าบ้าง” พระสนมเชิดหน้ากล่าวออกมาอย่างไม่หวั่นเกรง คิดว่าฮ่องเต้จะต้องไว้หน้าบิดาของนางไม่มากก็น้อย
เมื่อนางกำนัลได้ยินเช่นนั้นก็หมดหนทางที่จะกล่าวอะไรกับผู้เป็นนายอีก จึงทำเพียงไหลไปตามน้ำเท่านั้น
โดยที่สองนายบ่าวไม่รู้เลยว่า ภายในตำหนักเจียงฮวาแห่งนี้มีแขกไม่ได้รับเชิญมายืนอยู่ที่หน้าประตูแล้ว ทั้งยังได้รับรู้ทุกคำกล่าวของทั้งสองอย่างไม่ตกหล่น
แขกที่ไม่ได้รับเชิญยกยิ้มมุมปาก ราวกับว่ากำลังจะมีเรื่องสนุกเกิดขึ้น ก่อนที่ร่างนั้นจะหันหลังแล้วก้าวเดินจากไป
ในค่ำคืนเดียวกันภายในตำหนักเจียงฮวาแห่งนี้ ได้มีร่างปริศนาก้าวเข้ามาภายในเรือนนอนของบุตรชายพระสนมด้วยท่าทางประสงค์ร้าย
“ขอโทษนะเด็กน้อย ข้าจำเป็นต้องจัดการกับเจ้า เมื่อเจ้าตายไปแผนการของข้าก็จะสำเร็จลุล่วงด้วยดี”
เสียงปริศนาที่เต็มไปด้วยความเย็นชาเอ่ยขึ้นมา จากนั้นจึงเดินไปหยอดยาบางอย่างเข้าไปในปากของเด็กหนุ่ม ไม่นานอีกฝ่ายก็ชักกระตุกเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะหลับลงและตายไปในที่สุด
“กรี๊ดดดดด ไม่นะ! เหตุใดเจ้าถึงด่วนจากแม่ไปเช่นนี้”
เกาต้าผินกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน นางตั้งใจจะมาดูอาการบุตรชายว่าเป็นเช่นไรบ้าง แต่กลับพบว่าเขาได้จากโลกนี้ไปแล้ว ไม่คิดว่าเหตุการณ์ที่เด็กตีกันมันจะบานปลายมาจนถึงขั้นนี้ ก่อนที่นางจะสลบไปเพราะทำใจไม่ได้
เช้าวันต่อมา...
ข่าวเรื่ององค์ชายที่เกิดจากพระสนมเกาต้าผิน ได้จากโลกนี้ไปแล้ว ก็ไปถึงหูของฮ่องเต้ ฮองเฮา รวมถึงเหล่าองค์ชายและองค์หญิงหลินซูมี่ เรื่องนี้ทำให้ฮ่องเต้โกรธและโมโหบุตรชายทั้งสามคนมากกว่าเดิม เนื่องจากเข้าใจว่าบุตรชายอีกคนได้ตายไปเพราะเหตุการณ์ทะเลาะกันเมื่อวานนี้
ก่อนที่ฮ่องเต้จะออกจากที่นี่แล้วไปที่ตำหนักเจียงฮวา พระองค์ทรงได้เอ่ยกับเหล่าบุตรชายทั้งสามของตนเอง ด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบและแฝงไปด้วยไอสังหารรุนแรง
“พวกเจ้าเตรียมตัวไว้ให้ดี ข้าจะกลับมาจัดการกับพวกเจ้า” กล่าวจบก็เดินจากไปทันที
“พี่ใหญ่!! พวกเราจะทำอย่างไรดี เหตุใดเขาถึงตายได้ล่ะ พวกเราแค่เล่นกันนิดหน่อยเท่านั้น” องค์ชายสี่หลินต้าเหนิงเอ่ยขึ้นมาอย่างร้อนรน เมื่อรับรู้การตายของอีกฝ่าย
องค์รัชทายาทหลินเฟยหลงขมวดคิ้วมุ่น พลางใช้ความคิดทบทวนกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนจะกล่าวออกมา
“น้องสี่ เจ้าอย่าเพิ่งร้อนรนไป เมื่อวานพวกเราแค่ใช้กระบี่ไม้ฟาดไปไม่กี่ครั้ง มองอย่างไรเจ้าสามก็ไม่น่าจะตายด้วยสาเหตุนี้ได้หรอก เรื่องนี้ข้าเชื่อว่ามันมีเงื่อนงำอย่างแน่นอน”
“ต่อให้เจ้าสามไม่ได้ตายเพราะพวกเรา แต่อย่างไรเสีย ทุกคนก็ต้องคิดว่าเป็นฝีมือของพวกเราแน่นอน เรื่องนี้เราทั้งสามคน คงยากที่จะหลุดพ้นจากความผิดนี้ไปได้”
องค์ชายรองหลินเฟยหมิงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกัน
“เป็นอย่างไรล่ะ ข้าเคยบอกพวกท่านพี่แล้วใช่หรือไม่ว่า จะทำอะไรให้คิดให้ดีเสียก่อน หรือไม่ก็วางแผนให้ถี่ถ้วนก่อนลงมือทำ โดยเฉพาะพี่ใหญ่ที่เป็นทั้งองค์รัชทายาทและเป็นพี่ชายใหญ่ ควรจะสุขุมรอบคอบมากกว่านี้”
หลินซูมี่ที่ยืนอยู่มองพี่ชายทั้งสามคนด้วยสายตาว่างเปล่าครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“มี่เอ๋อร์คนเก่ง ช่วยพี่รองคิดแก้ไขหน่อยนะ” องค์ชายรองหลินเฟยหมิงเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับจับมือข้างหนึ่งของน้องสาวไว้
หลินซูมี่จึงส่ายศีรษะอย่างระอา ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ยามนี้เกิดเรื่องขึ้นแล้วค่อยคิดหาทางแก้ไข แบบนี้มันไม่สายไปหน่อยหรือเจ้าคะ”
ระหว่างนั้นก็มองพี่ชายทั้งสามด้วยสายตาเย็นชา
“มี่เอ๋อร์คนเก่งของพี่ ช่วยพวกพี่ด้วยนะ ถ้าหากท่านพ่อกลับมา พวกพี่ไม่เจ็บหนักก็ต้องตายอย่างแน่นอน พี่ขอร้องให้มี่เอ๋อร์ช่วยเอ่ยกับท่านพ่อแทนพวกเราด้วยนะ บอกท่านพ่อว่าพวกเราไม่ได้ตั้งใจ แค่ล้อเล่นกับเจ้าสามแรงไปหน่อยเท่านั้นเอง”
องค์ชายสี่ได้แต่เอ่ยออกมาอย่างร้อนใจ และเข้ามาจับแขนอีกข้างของน้องสาวไว้อย่างขอร้อง
หลินซูมี่มองซ้ายมองขวาแล้วก็ได้ถอนหายใจออกมาอย่างเหลืออด ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างไม่ปิดบังความหงุดหงิดที่มี
“ตอนทำไม่คิดให้ดี ยามนี้จะให้ข้าช่วยกล่าวกับท่านพ่อ พวกท่านนี่มันจริง ๆ เลย”
“มี่เอ๋อร์ ยามนี้มันไม่ใช่เวลาที่น้องจะมาตำหนิพวกพี่ อย่างไรเราต้องเร่งหาทางแก้ไขกันก่อน เมื่อทุกอย่างได้รับการแก้ไขแล้ว น้องจะทำอย่างไรกับพวกพี่ พวกพี่ก็ยอมให้น้องทุกอย่าง”
องค์ชายรองเอ่ยขอร้องขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมมองไปที่น้องสาวด้วยแววตาคาดหวัง
“พี่ก็จะยอมทำทุกอย่างตามที่มี่เอ๋อร์ต้องการ”
องค์รัชทายาทกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น เขาเชื่อว่าหากน้องสาวช่วยแก้ไขในเรื่องนี้ ทุกอย่างจะต้องผ่านพ้นไปได้ด้วยดีแน่
เมื่อได้เห็นแววตาของพวกพี่ชายแล้ว หลินซูมี่ก็แสดงท่าทีเบื่อหน่ายออกมาอย่างไม่ปิดบัง เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่บรรดาพี่ชายก่อเรื่องให้นางต้องช่วยแก้ไข แต่ในครั้งนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุด
“นี่จะเป็นครั้งสุดท้าย ที่ข้าจะช่วยพวกท่าน!!”
สิ้นเสียงนั้นของน้องสาว บรรดาพี่ชายของนางก็แสดงสีหน้าที่โล่งอกออกมา เนื่องจากทุกครั้งที่พวกเขาก่อเรื่อง ก็มักจะได้น้องสาวคนนี้ช่วยเหลืออยู่เสมอ และทุกครั้งไม่ว่าเรื่องอะไรก็ผ่านพ้นไปได้เป็นอย่างดี
“เช่นนั้นพวกเราไปยังตำหนักเจียงฮวากันเถิด”
หลินซูมี่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดและมั่นใจ จากนั้นก็เดินนำเหล่าพี่ชายทั้งสามไปยังตำหนักเจียงฮวา ที่ซึ่งพระสนมเกาต้าผินพำนักอยู่
แต่ก่อนที่นางจะออกมาจากตำหนักของพระบิดา หลินซูมี่ได้สั่งหลี่อิงนางกำนัลคนสนิทให้ทำสิ่งสำคัญ โดยนางได้ยื่นจดหมายฉบับหนึ่งไปให้
“เจ้ารีบนำจดหมายนี้ไปส่งให้ถึงจวนของแม่ทัพใหญ่เสวี่ยโดยเร็ว บอกให้ท่านอารีบเข้ามายังวังหลวงโดยด่วน”
องค์หญิงหลินซูมี่สั่งกำชับ ก่อนจะรีบเดินไปที่ตำหนักของพระสนม
บทที่ 6 การตายครั้งนี้มีเงื่อนงำ“เสด็จพ่อ เหตุการณ์เป็นเช่นไรบ้างเพคะ”เมื่อเข้ามาถึงหลินซูมี่ก็เอ่ยถามบิดาทันที และเนื่องจากยามนี้ไม่ได้อยู่ในตำหนักส่วนตัว หรือตำหนักฮ่องเต้และฮองเฮา นางจึงเปลี่ยนถ้อยคำสนทนาอย่างระมัดระวังและให้เป็นทางการมากกว่าปกติ“บาดแผลขององค์ชายสามสาหัสมาก และนี่คือสาเหตุที่ทำให้เขาตาย”ฮ่องเต้ผู้เป็นบิดาถอนหายใจแล้วตอบกลับมา น้ำเสียงของพระองค์หดหู่อย่างเห็นได้ชัด แม้บุตรชายคนนี้จะไม่ได้เกิดจากหญิงที่เขารัก แต่อย่างไรเสียก็เป็นลูก การสูญเสียบุตรเช่นนี้ ทำให้หัวใจของพระองค์หนักอึ้ง จนไม่อาจปิดบังความโศกเศร้าได้ทว่าเมื่อสายตาของฮ่องเต้หันไปเห็นบุตรชายทั้งสาม ที่ยืนก้มหน้าหลบอยู่เบื้องหลังหลินซูมี่ ความโกรธก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง“พวกเจ้าเป็นบุรุษเยี่ยงไรหา! ไปยืนหลบอยู่ข้างหลังน้องสาวที่ตัวเล็กแค่นี้ พวกเจ้าไม่ละอายใจบ้างรึ แต่ละวันคอยสร้างเรื่องให้ข้าปวดหัว วันไหนที่พวกเจ้าไม่สร้างเรื่อง มันจะตายหรือยังไง!!” เสียงตวาดของฮ่องเต้ดังก้องไปทั่วทั้งตำหนักเจียงฮวาเมื่อได้ยินเสียงตำหนิเช่นนั้น องค์ชายทั้งสามทำเพียงยืนก้มหน้าอย่างสำนึกผิด ไม่กล้าตอบอะไรแม้แต่คำเดียวหลินซู
บทที่ 5 การตายขององค์ชายสามตำหนักเจียงฮวา“กรี๊ดดดดดดเจ้าพวกเด็กสารเลวนั่น กล้าดีอย่างไรมาทำลูกข้าบาดเจ็บเช่นนี้!” สตรีนางหนึ่งเอ่ยขึ้นมาอย่างคับแค้นใจ พลางมองไปที่บุตรชาย ที่ยามนี้ร่างกายมีบาดแผลหลายแห่งจนนางแทบไม่กล้าดู“พระสนมโปรดระวังคำกล่าวด้วยเพคะ”นางกำนัลคนสนิทเอ่ยเตือนสติ เนื่องจากคนที่เจ้านายกำลังก่นด่าอยู่นั้น คือโอรสทั้งสามของฮ่องเต้ซึ่งเกิดจากฮองเฮา อีกทั้งเวลานี้องค์รัชทายาทยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทแล้ว ศักดิ์และฐานะขององค์รัชทายาท จึงสูงกว่าพระสนมทุกระดับในวังหลังหากเรื่องที่พระสนมลบหลู่องค์ชายทั้งสาม แพร่งพรายออกไปให้คนนอกรับรู้ มีหวังหัวหลุดจากบ่าโดยไม่ต้องสอบสวน“อาหลิว เจ้าบอกให้ข้าระงับโทสะและระวังคำกล่าวอย่างนั้นหรือ เจ้าไม่เห็นหรือว่าลูกของข้ามีสภาพเป็นเช่นไร! แล้วหากเขาเป็นอะไรไป สถานะของข้าในวังหลังแห่งนี้ มันจะตกต่ำขนาดไหน!” พระสนมเกาต้าผินกล่าวออกมาอย่างโกรธจัด“แม้ข้าจะรู้ดีว่าการที่ไปด่าหรือตำหนิองค์รัชทายาท มันผิดต่อกฎมณเฑียรบาลมากเช่นไร และมีผลเสียมากมายอย่างไร แต่ในฐานะมารดา ข้าไม่สามารถโกรธได้เลยหรือ ที่ลูกของข้าถูกรังแกจนบาดเจ็บทั่วทั้งร่าง
บทที่ 4 ความรู้สึกบางอย่างนับตั้งแต่วันที่องค์หญิงหลินซูมี่ได้หัดชกหุ่นฟาง วันเวลาก็ได้ล่วงเลยมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว ในวันนี้องค์หญิงก็ต้องกลับไปฝึกวิชาการต่อสู้อย่างอื่นอีกครั้ง“มี่เอ๋อร์ วันนี้ข้าจะสอนการใช้กระบี่ ส่วนกระบี่ที่จะให้เจ้าใช้เป็นอาวุธประจำกายนั้น ข้าสั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับเจ้าโดยเฉพาะ นี่คือรางวัลสำหรับเจ้าที่ฝึกอย่างหนักโดยไม่ปริปากบ่น ข้าหวังว่าต่อไปเจ้าจะตั้งใจเหมือนที่ผ่านมา”เสวี่ยเยวียนสือกล่าวกับหลินซูมี่อย่างอ่อนโยนเพื่อเป็นรางวัลในความตั้งใจของนาง เมื่อกล่าวจบเขาก็ได้หยิบกระบี่ออกมามอบให้กับคนตรงหน้า“ขอบคุณท่านอาเจ้าค่ะ” หลินซูมี่กล่าวขอบคุณอย่างนอบน้อม และยื่นมือออกไปรับกระบี่ทันทีที่ได้เห็นกระบี่ที่ชักออกจากฝัก หลินซูมี่ก็รู้สึกหลงใหลกระบี่นี้ไม่น้อยเลย และหลังจากวันนั้นที่ได้รับกระบี่จากเสวี่ยเยวียนสือมา นางก็มักจะนำกระบี่เล่มนี้ติดตัวเสมอสองปีผ่านไป…วันเวลาที่เลยผ่าน ทำให้นางสำเร็จวิชาการต่อสู้หลายแขนงจากแม่ทัพใหญ่ผู้นี้ และในยามนี้เสวี่ยเยวียนสือกำลังจะสั่งสอนวิชากลยุทธ์ทางการทหารให้กับนาง“ศาสตร์วิชาบทกวีและศาสตร์วิชาศิลปะการต่อสู้ เจ้าก็ได้เรียนร
บทที่ 3 ฝึกฝนอย่างหนักหลินซูมี่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่มีท่าทีคัดค้านเลยแม้แต่น้อย กลับกันนางยิ่งรู้สึกกระตือรือร้นที่จะได้ลองทำสิ่งใหม่ ๆ ดังนั้นเมื่อได้รับคำสั่งก็ไม่รอช้า รีบเดินไปยังหุ่นฟางตัวนั้นอย่างตั้งใจทันที นางรวบรวมสมาธิและปล่อยหมัดออกไปอย่างเต็มแรง ตามที่เสวี่ยเยวียนสือได้สอนความรู้สึกแรกที่ได้รับหลังจากปล่อยหมัดออกไปกระทบหุ่นฟาง ก็คือความเจ็บที่มือ แต่ก็ฝืนกัดฟันข่มความเจ็บปวดไว้ แล้วกลั้นใจต่อยออกไปซ้ำ ๆจนผ่านไปครึ่งวันนางก็ต่อยไปถึงสามร้อยครั้ง โดยที่เวลานี้มือของนางมีผ้าพันห้ามเลือดเอาไว้หลายชั้น“ท่านแม่ทัพใหญ่ขอรับ ข้าคิดว่า...” รองแม่ทัพได้เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ แต่เขากล่าวยังไม่จบก็ต้องหยุดลง“ตงตี้ นี่คือการฝึกของนาง หากแค่นี้นางยังผ่านไปไม่ได้ ภายภาคหน้าก็ไร้ซึ่งหนทางจะต่อสู้ การที่ข้าให้นางทำเช่นนี้ ก็เพื่อตัวของนางเอง”เสวี่ยเยวียนสือเอ่ยกับรองแม่ทัพตงตี้ด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง แม้จะกล่าวออกไปเช่นนั้น ทว่าภายในใจกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่เขาไม่อาจทำอะไรได้ เวลานี้จึงทำได้เพียงกำผ้าเช็ดหน้าในมือ แล้วมองดูองค์หญิงต่อยหุ่นฟางต่อแม้มือเล็กจะถูกเลือ
บทที่ 2 พรสวรรค์ขององค์หญิงน้อยระหว่างนั้นเสวี่ยเยวียนสือก็ได้เขียนจดหมายขึ้นมา เขาตั้งใจจะรายงานความคืบหน้าในการเรียนวันนี้ของหลินซูมี่ให้ฮ่องเต้รับรู้ โดยจะฝากไปกับทหารผู้ติดตามทว่าในตอนที่เขานำจดหมายไปส่งให้ทหารผู้ติดตามขององค์หญิง กลับได้รับแจ้งว่า“รายงานท่านแม่ทัพ ฝ่าบาทต้องการให้ท่านไปเข้าเฝ้าเพื่อรายงานเรื่องการเรียนขององค์หญิงใหญ่ด้วยตนเองขอรับ” ทหารติดตามองค์หญิงรายงานทันที ก่อนจะรีบเดินออกไปเมื่อเสวี่ยเยวียนสือได้รับคำสั่งเช่นนั้นก็ถึงกับแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายและบ่นออกมาเล็กน้อย“เห้อ...ตั้งแต่ศิษย์พี่มีบุตรสาวคนนี้ ข้ารู้สึกว่าถูกเบียดเบียนเวลาชีวิตไปอย่างมากมายเหลือเกิน”แต่ถึงกระนั้นเขาก็มิอาจขัดพระบัญชาได้ จึงต้องควบม้าตัวโปรดเพื่อเข้าวังหลวงทันทีเมื่อแม่ทัพหนุ่มเดินทางมาถึงวังหลวง ก็ได้ถูกเชิญไปยังห้องทรงพระอักษร โดยที่นั่นมีฮ่องเต้และฮองเฮาประทับรออยู่แล้วหลังจากเข้ามาในห้องทรงพระอักษรตามลำพังแล้ว ชายหนุ่มก็ทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างไม่รีรอ“ถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมฮองเฮา”“ไม่ต้องมากพิธี รีบมานั่งเสียเถอะ แล้วเล่าให้ข้าฟังว่า บุตรสาวของข้า เรียนเป็นอย่างไรบ้าง” ฮ่อ
บทที่ 1 องค์หญิงหลินซูมี่“ท่านแม่ทัพขอรับ องค์หญิงหลินซูมี่เสด็จมาถึงแล้วขอรับ” นายทหารคนหนึ่งวิ่งมารายงานกับผู้เป็นนายทันที“ให้นางเข้ามา จงจำเอาไว้ว่าหลังจากนี้ห้ามจัดขบวนเสด็จให้นางอีก นางมาที่นี่ในฐานะผู้มาศึกษาคนหนึ่งเท่านั้น หาใช่องค์หญิงของแคว้นไม่”แม่ทัพใหญ่เสวี่ยเยวียนสือได้เอ่ยกับนายกองด้วยน้ำเสียงจริงจังและเฉียบขาดเมื่อได้ยินเช่นนั้น นายทหารผู้รับฟังรู้สึกหนักใจ เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นถึงองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ ทว่าคำสั่งของแม่ทัพก็เป็นดั่งกฎอัยการศึก ที่ทหารอย่างเขาไม่สามารถขัดได้เช่นกัน“ขอรับ ข้าจะทำตามที่ท่านแม่ทัพสั่งมา” นายกองมู่ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จากนั้นจึงหมุนตัวออกมาทันทีทว่าก่อนที่ร่างของนายกองมู่จะเดินถึงหน้าจวน เสียงถามเล็ก ๆ ของเด็กหญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาอย่างสดใส“ท่านนายกองมู่ ท่านแม่ทัพอยู่ที่ใดหรือ”“คารวะองค์หญิงใหญ่ ท่านแม่ทัพอยู่ที่โถงหลักพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด นายกองมู่ก็รีบทำความเคารพทันที พร้อมกับทรุดนั่งก้มหน้าลงแล้วตอบคำถามออกไปอย่างนอบน้อม โดยที่มือยังอยู่ในท่าถวายบังคมเหนือศีรษะ“ลุกขึ้นเถิด หลังจากนี้ก็สนทนากับข้าปกติก็แล้วกัน ที่น