LOGINตำหนักเจียงฮวา
“กรี๊ดดดดดดเจ้าพวกเด็กสารเลวนั่น กล้าดีอย่างไรมาทำลูกข้าบาดเจ็บเช่นนี้!” สตรีนางหนึ่งเอ่ยขึ้นมาอย่างคับแค้นใจ พลางมองไปที่บุตรชาย ที่ยามนี้ร่างกายมีบาดแผลหลายแห่งจนนางแทบไม่กล้าดู
“พระสนมโปรดระวังคำกล่าวด้วยเพคะ”
นางกำนัลคนสนิทเอ่ยเตือนสติ เนื่องจากคนที่เจ้านายกำลังก่นด่าอยู่นั้น คือโอรสทั้งสามของฮ่องเต้ซึ่งเกิดจากฮองเฮา อีกทั้งเวลานี้องค์รัชทายาทยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทแล้ว ศักดิ์และฐานะขององค์รัชทายาท จึงสูงกว่าพระสนมทุกระดับในวังหลัง
หากเรื่องที่พระสนมลบหลู่องค์ชายทั้งสาม แพร่งพรายออกไปให้คนนอกรับรู้ มีหวังหัวหลุดจากบ่าโดยไม่ต้องสอบสวน
“อาหลิว เจ้าบอกให้ข้าระงับโทสะและระวังคำกล่าวอย่างนั้นหรือ เจ้าไม่เห็นหรือว่าลูกของข้ามีสภาพเป็นเช่นไร! แล้วหากเขาเป็นอะไรไป สถานะของข้าในวังหลังแห่งนี้ มันจะตกต่ำขนาดไหน!” พระสนมเกาต้าผินกล่าวออกมาอย่างโกรธจัด
“แม้ข้าจะรู้ดีว่าการที่ไปด่าหรือตำหนิองค์รัชทายาท มันผิดต่อกฎมณเฑียรบาลมากเช่นไร และมีผลเสียมากมายอย่างไร แต่ในฐานะมารดา ข้าไม่สามารถโกรธได้เลยหรือ ที่ลูกของข้าถูกรังแกจนบาดเจ็บทั่วทั้งร่างเช่นนี้” นางกล่าวออกมาด้วยความเศร้าเสียใจ
“หม่อมฉันรู้เพคะว่าพระสนมรู้สึกเช่นไร แต่สถานะของพวกเราต่ำกว่าพวกเขา หากมีใครได้ยินเข้า แล้วนำเรื่องนี้ไปรายงาน เกรงว่าสถานะของพระสนมอาจจะย่ำแย่อย่างที่กังวลก็ได้เพคะ”
นางกำนัลคนสนิทกล่าวเตือนอีกครั้ง พร้อมกับมองซ้ายมองขวาด้วยความหวาดกลัวว่าจะมีใครมาแอบได้ยิน แล้วนำเรื่องนี้ไปรายงานต่อฮ่องเต้ หากเป็นเช่นนั้นจริง นางและพระสนมจะมีปัญหาใหญ่เอาได้
“ข้าไม่กลัว เจ้าอย่าลืมสิว่าบิดาของข้าคือเกาต้าหลี่ถงที่เป็นเสนาบดีของสำนักราชเลขา หากฮ่องเต้จะทรงทำอะไรข้า ก็คงต้องไว้หน้าบิดาข้าบ้าง” พระสนมเชิดหน้ากล่าวออกมาอย่างไม่หวั่นเกรง คิดว่าฮ่องเต้จะต้องไว้หน้าบิดาของนางไม่มากก็น้อย
เมื่อนางกำนัลได้ยินเช่นนั้นก็หมดหนทางที่จะกล่าวอะไรกับผู้เป็นนายอีก จึงทำเพียงไหลไปตามน้ำเท่านั้น
โดยที่สองนายบ่าวไม่รู้เลยว่า ภายในตำหนักเจียงฮวาแห่งนี้มีแขกไม่ได้รับเชิญมายืนอยู่ที่หน้าประตูแล้ว ทั้งยังได้รับรู้ทุกคำกล่าวของทั้งสองอย่างไม่ตกหล่น
แขกที่ไม่ได้รับเชิญยกยิ้มมุมปาก ราวกับว่ากำลังจะมีเรื่องสนุกเกิดขึ้น ก่อนที่ร่างนั้นจะหันหลังแล้วก้าวเดินจากไป
ในค่ำคืนเดียวกันภายในตำหนักเจียงฮวาแห่งนี้ ได้มีร่างปริศนาก้าวเข้ามาภายในเรือนนอนของบุตรชายพระสนมด้วยท่าทางประสงค์ร้าย
“ขอโทษนะเด็กน้อย ข้าจำเป็นต้องจัดการกับเจ้า เมื่อเจ้าตายไปแผนการของข้าก็จะสำเร็จลุล่วงด้วยดี”
เสียงปริศนาที่เต็มไปด้วยความเย็นชาเอ่ยขึ้นมา จากนั้นจึงเดินไปหยอดยาบางอย่างเข้าไปในปากของเด็กหนุ่ม ไม่นานอีกฝ่ายก็ชักกระตุกเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะหลับลงและตายไปในที่สุด
“กรี๊ดดดดด ไม่นะ! เหตุใดเจ้าถึงด่วนจากแม่ไปเช่นนี้”
เกาต้าผินกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน นางตั้งใจจะมาดูอาการบุตรชายว่าเป็นเช่นไรบ้าง แต่กลับพบว่าเขาได้จากโลกนี้ไปแล้ว ไม่คิดว่าเหตุการณ์ที่เด็กตีกันมันจะบานปลายมาจนถึงขั้นนี้ ก่อนที่นางจะสลบไปเพราะทำใจไม่ได้
เช้าวันต่อมา...
ข่าวเรื่ององค์ชายที่เกิดจากพระสนมเกาต้าผิน ได้จากโลกนี้ไปแล้ว ก็ไปถึงหูของฮ่องเต้ ฮองเฮา รวมถึงเหล่าองค์ชายและองค์หญิงหลินซูมี่ เรื่องนี้ทำให้ฮ่องเต้โกรธและโมโหบุตรชายทั้งสามคนมากกว่าเดิม เนื่องจากเข้าใจว่าบุตรชายอีกคนได้ตายไปเพราะเหตุการณ์ทะเลาะกันเมื่อวานนี้
ก่อนที่ฮ่องเต้จะออกจากที่นี่แล้วไปที่ตำหนักเจียงฮวา พระองค์ทรงได้เอ่ยกับเหล่าบุตรชายทั้งสามของตนเอง ด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบและแฝงไปด้วยไอสังหารรุนแรง
“พวกเจ้าเตรียมตัวไว้ให้ดี ข้าจะกลับมาจัดการกับพวกเจ้า” กล่าวจบก็เดินจากไปทันที
“พี่ใหญ่!! พวกเราจะทำอย่างไรดี เหตุใดเขาถึงตายได้ล่ะ พวกเราแค่เล่นกันนิดหน่อยเท่านั้น” องค์ชายสี่หลินต้าเหนิงเอ่ยขึ้นมาอย่างร้อนรน เมื่อรับรู้การตายของอีกฝ่าย
องค์รัชทายาทหลินเฟยหลงขมวดคิ้วมุ่น พลางใช้ความคิดทบทวนกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนจะกล่าวออกมา
“น้องสี่ เจ้าอย่าเพิ่งร้อนรนไป เมื่อวานพวกเราแค่ใช้กระบี่ไม้ฟาดไปไม่กี่ครั้ง มองอย่างไรเจ้าสามก็ไม่น่าจะตายด้วยสาเหตุนี้ได้หรอก เรื่องนี้ข้าเชื่อว่ามันมีเงื่อนงำอย่างแน่นอน”
“ต่อให้เจ้าสามไม่ได้ตายเพราะพวกเรา แต่อย่างไรเสีย ทุกคนก็ต้องคิดว่าเป็นฝีมือของพวกเราแน่นอน เรื่องนี้เราทั้งสามคน คงยากที่จะหลุดพ้นจากความผิดนี้ไปได้”
องค์ชายรองหลินเฟยหมิงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกัน
“เป็นอย่างไรล่ะ ข้าเคยบอกพวกท่านพี่แล้วใช่หรือไม่ว่า จะทำอะไรให้คิดให้ดีเสียก่อน หรือไม่ก็วางแผนให้ถี่ถ้วนก่อนลงมือทำ โดยเฉพาะพี่ใหญ่ที่เป็นทั้งองค์รัชทายาทและเป็นพี่ชายใหญ่ ควรจะสุขุมรอบคอบมากกว่านี้”
หลินซูมี่ที่ยืนอยู่มองพี่ชายทั้งสามคนด้วยสายตาว่างเปล่าครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“มี่เอ๋อร์คนเก่ง ช่วยพี่รองคิดแก้ไขหน่อยนะ” องค์ชายรองหลินเฟยหมิงเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับจับมือข้างหนึ่งของน้องสาวไว้
หลินซูมี่จึงส่ายศีรษะอย่างระอา ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ยามนี้เกิดเรื่องขึ้นแล้วค่อยคิดหาทางแก้ไข แบบนี้มันไม่สายไปหน่อยหรือเจ้าคะ”
ระหว่างนั้นก็มองพี่ชายทั้งสามด้วยสายตาเย็นชา
“มี่เอ๋อร์คนเก่งของพี่ ช่วยพวกพี่ด้วยนะ ถ้าหากท่านพ่อกลับมา พวกพี่ไม่เจ็บหนักก็ต้องตายอย่างแน่นอน พี่ขอร้องให้มี่เอ๋อร์ช่วยเอ่ยกับท่านพ่อแทนพวกเราด้วยนะ บอกท่านพ่อว่าพวกเราไม่ได้ตั้งใจ แค่ล้อเล่นกับเจ้าสามแรงไปหน่อยเท่านั้นเอง”
องค์ชายสี่ได้แต่เอ่ยออกมาอย่างร้อนใจ และเข้ามาจับแขนอีกข้างของน้องสาวไว้อย่างขอร้อง
หลินซูมี่มองซ้ายมองขวาแล้วก็ได้ถอนหายใจออกมาอย่างเหลืออด ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างไม่ปิดบังความหงุดหงิดที่มี
“ตอนทำไม่คิดให้ดี ยามนี้จะให้ข้าช่วยกล่าวกับท่านพ่อ พวกท่านนี่มันจริง ๆ เลย”
“มี่เอ๋อร์ ยามนี้มันไม่ใช่เวลาที่น้องจะมาตำหนิพวกพี่ อย่างไรเราต้องเร่งหาทางแก้ไขกันก่อน เมื่อทุกอย่างได้รับการแก้ไขแล้ว น้องจะทำอย่างไรกับพวกพี่ พวกพี่ก็ยอมให้น้องทุกอย่าง”
องค์ชายรองเอ่ยขอร้องขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมมองไปที่น้องสาวด้วยแววตาคาดหวัง
“พี่ก็จะยอมทำทุกอย่างตามที่มี่เอ๋อร์ต้องการ”
องค์รัชทายาทกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น เขาเชื่อว่าหากน้องสาวช่วยแก้ไขในเรื่องนี้ ทุกอย่างจะต้องผ่านพ้นไปได้ด้วยดีแน่
เมื่อได้เห็นแววตาของพวกพี่ชายแล้ว หลินซูมี่ก็แสดงท่าทีเบื่อหน่ายออกมาอย่างไม่ปิดบัง เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่บรรดาพี่ชายก่อเรื่องให้นางต้องช่วยแก้ไข แต่ในครั้งนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุด
“นี่จะเป็นครั้งสุดท้าย ที่ข้าจะช่วยพวกท่าน!!”
สิ้นเสียงนั้นของน้องสาว บรรดาพี่ชายของนางก็แสดงสีหน้าที่โล่งอกออกมา เนื่องจากทุกครั้งที่พวกเขาก่อเรื่อง ก็มักจะได้น้องสาวคนนี้ช่วยเหลืออยู่เสมอ และทุกครั้งไม่ว่าเรื่องอะไรก็ผ่านพ้นไปได้เป็นอย่างดี
“เช่นนั้นพวกเราไปยังตำหนักเจียงฮวากันเถิด”
หลินซูมี่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดและมั่นใจ จากนั้นก็เดินนำเหล่าพี่ชายทั้งสามไปยังตำหนักเจียงฮวา ที่ซึ่งพระสนมเกาต้าผินพำนักอยู่
แต่ก่อนที่นางจะออกมาจากตำหนักของพระบิดา หลินซูมี่ได้สั่งหลี่อิงนางกำนัลคนสนิทให้ทำสิ่งสำคัญ โดยนางได้ยื่นจดหมายฉบับหนึ่งไปให้
“เจ้ารีบนำจดหมายนี้ไปส่งให้ถึงจวนของแม่ทัพใหญ่เสวี่ยโดยเร็ว บอกให้ท่านอารีบเข้ามายังวังหลวงโดยด่วน”
องค์หญิงหลินซูมี่สั่งกำชับ ก่อนจะรีบเดินไปที่ตำหนักของพระสนม
ตอนพิเศษที่ 2นับตั้งแต่ได้รับพระราชทานฐานันดรศักดิ์อ๋อง ทั้งสองก็ได้กลับไปยังหมู่บ้านที่เคยพำนักอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ต่างออกไป เพราะพวกเขากลับมาพร้อมอำนาจเต็มมือหลินซูมี่ได้จัดสร้างจวนอ๋องขึ้นในหมู่บ้าน และยกให้ที่นี่เป็นศูนย์กลางในการว่าราชการของเขตปกครอง ทำให้หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ได้กลายเป็นเมืองหลวงของเขตปกครองเจียงซานและตงตู่นอกจากนี้ ทั้งสองยังได้ประกาศยกย่องสุสานของราชวงศ์เป่ยโจวให้เป็นสุสานหลวง เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อราชวงศ์เก่าแก่ในอดีตเขตปกครองแห่งใหม่นั้น มีการละเว้นการเก็บภาษีในหลายด้าน นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งโรงทานและสร้างที่อยู่ที่กิน ให้แก่เหล่าผู้สูงวัยที่ไร้ผู้คนดูแล เพื่อให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และได้รับการรักษาในยามเจ็บป่วยอย่างทั่วถึงอีกทั้งยังมีการสร้างสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และให้การศึกษาที่ดีต่อเด็ก ๆ เพื่อให้เติบโตไปทำคุณต่อบ้านเมืองทางด้านการขยายอาณาเขต ก็มีการออกปราบปรามชนเผ่าต่าง ๆ โดยรอบเมืองทางเหนืออยู่เนือง ๆทำให้ยามนี้ชนเผ่าเร่ร่อนอีกกว่าสี่สิบแปดชนเผ่า ได้เข้าร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับแคว้นหลิน โดยอยู่ภายใต้การปกครองของเขตปกครองตนเองเจ
ตอนพิเศษที่ 1นับตั้งแต่ที่ฮ่องเต้ได้ปลดองค์หญิงใหญ่ออกจากตำแหน่งให้เป็นเพียงสามัญชน ตัวของนางและเสวี่ยเยวียนสือ ก็ได้เดินทางกลับมาที่หมู่บ้านที่หลินซูมี่เคยหลบหนีมาอยู่อีกครั้ง โดยในครั้งนี้มันแตกต่างออกไป เพราะนางไม่ต้องหลบซ่อนจากผู้ใดทั้งสิ้น อีกทั้งยังกำลังตั้งครรภ์“คารวะท่านผู้อาวุโส”เมื่อนั่งเรือข้ามฟากมาแล้ว หญิงสาวก็ทำความเคารพชายสูงวัยทันที เพราะนางไม่คิดมาก่อนเลยว่า ผู้อาวุโสจะมารับนางด้วยตนเอง“เจ้ากลับมาจนได้ ที่ผ่านมาข้าได้ให้คนคอยดูแลบ้านของเจ้าไว้อย่างดี รีบไปพักผ่อนเถิด” ชายชรากล่าวออกมาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะสั่งให้คนของเขามาช่วยทั้งสองขนข้าวของ“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ” หลินซูมี่กล่างอย่างนอบน้อม“แล้วเป็นเช่นไรบ้าง ไปอยู่เมืองหลวงเสียพักใหญ่ สบายดีใช่หรือไม่ กลับมาคราวนี้ท้องก็ใหญ่ขึ้นแล้วสินะ” ผู้อาวุโสอินหยอกล้อด้วยรอยยิ้มที่เอ็นดู“ก็สบายดีเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ได้ติดตามท่านพี่ไปชายแดนด้วย กว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง ก็กินเวลาไปเสียนาน” หลินซูมี่กล่าวกับชายชราอย่างสนิทสนม“เช่นนั้นก็พักผ่อนเถิด เดินทางกันมาไกลคงเหน็ดเหนื่อยไม่ใช่น้อย เอาไว้พอตกเย็นค่อยมาร่วมงานเลี้ยงต้อนรั
บทส่งท้าย คืนตำแหน่งให้องค์หญิงใหญ่“ครั้งหนึ่งเขาปรารถนาจะยึดเมืองหมิงตี้ เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าเขาทำเช่นไร เขาจับบุตรีของเจ้าเมืองมาข่มเหงจนย่อยยับ จากนั้นก็ประกาศว่านางเป็นภรรยา แล้วใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างรวบรวมเมืองเข้ามาอยู่ในอาณัติของตน เมื่อเจ้าเมืองไม่ยินยอม เขาก็ยกทัพไปโจมตีจนแตกพ่าย และไม่ใช่แค่เพียงเมืองหมิงตี้ เมืองอื่นก็ประสบชะตากรรมไม่ต่างกันบุรุษผู้นั้นเอาแต่ใช้อำนาจที่มีทำลายชีวิตผู้คน เพื่อสนองความทะเยอทะยานของตนเอง ทำให้มีสตรีมากมายต้องจบชีวิตลงด้วยความอัปยศเพราะเขา!” นางหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างเหี้ยมเกรียม “ในวันนี้ที่เขาต้องนอนป่วยไร้เรี่ยวแรง ข้าว่ามันก็เป็นผลกรรมที่คนเช่นนั้นสมควรได้รับแล้วมิใช่หรือ ฮ่าๆ”กล่าวจบหนิงอี้เสียนหวงกุ้ยเฟยก็หัวเราะอย่างสะใจ รอยยิ้มของนางเต็มไปด้วยความคั่งแค้น ที่ระบายออกมาราวกับเขื่อนแตก เสียงหัวเราะนั้นดังก้องไปทั่วบริเวณ ราวกับต้องการให้ทุกผู้คนได้รับรู้ถึงความเจ็บลึกในใจของนางถ้อยคำของนางนั้นไม่เพียงกระทบใจผู้ที่อยู่ตรงหน้า แต่ยังแทรกซึมเข้าสู่จิตใจของเหล่าขุนนางอาวุโสที่ยืนรายล้อมอยู่ไม่ไกลเมื่อคำกล่าวเหล่านั้นจบลง ความเ
บทที่ 56 ปราบกบฎทางด้านกองทัพนอกเมืองหลวง เมื่อเสวี่ยเยวียนสือได้เห็นการจัดขบวนทัพที่อยู่บนกำแพงเขาก็รู้ได้ในทันทีว่าทหารเหล่านั้นไม่ปรารถนาที่จะต่อสู้ เพราะพวกเขาเหล่านั้นล้วนแล้วแต่แอบแสดงท่าทียอมจำนน “ท่านแม่ทัพใหญ่...ข้าว่าเวลาแห่งการชำระล้างความชั่วได้มาถึงแล้ว!” เสียงของแม่ทัพอุดรเหออี้ดังขึ้นด้วยความเคียดแค้น เขาจ้องมองไปยังเบื้องหน้า แววตาเต็มไปด้วยเพลิงแห่งโทสะที่ลุกโชนไม่สิ้นสุดเสวี่ยเยวียนสือก้าวขึ้นมายืนตรงหน้ากองทัพของตน ก่อนจะออกคำสั่งอย่างหนักแน่น “ทหารเตรียมพร้อม!” จากนั้นเพียงครู่เดียว เขาก็เปล่งเสียงสั่งการดังกึกก้อง “บุกได้!”เหล่าทหารที่รอคอยเพียงแค่คำนี้ ต่างตะโกนก้องพร้อมพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างดุดันและพร้อมรบ ทว่าก่อนที่แม่ทัพอุดรเหออี้จะสั่งให้กระแทกประตูบานใหญ่เบื้องหน้า เสียงของการปลดกลอนประตูก็ดังขึ้นแทน จากนั้นประตูเมืองก็ค่อย ๆ แง้มเปิดออกจากด้านใน จนทำให้ทุกคนประหลาดใจ“ขอเชิญทุกท่านผ่านเข้ามาเถิดขอรับ พวกข้าต่างเฝ้ารอการมาถึงของท่านด้วยใจจดใจจ่อ!” เสียงของนายทหารที่เปิดประตูดังขึ้นด้วยความเคารพ แววตาสะท้อนทั้งความดีใจและความภักดีอย่างเหลือล้น“ขอบใจ
บทที่ 55 ช่วยฮ่องเต้จากนั้นองค์รัชทายาทรีบเขียนจดหมายฉบับหนึ่งส่งไปยังสถานที่ที่น้องหญิงของตนพำนักอยู่ ก่อนที่วังหลวงจะถูกทหารของปิงตี้เข้าควบคุมอย่างแน่นหนา ภายในเวลาเพียงเสี้ยวลมหายใจ ทางออกทุกเส้นทางถูกปิดตาย สิ้นไร้การเชื่อมโยงกับโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง“ปิงตี้ นี่เจ้ากำลังคิดจะทำอะไรอยู่ เจ้าจะทำก่อกบฏอย่างนั้นหรือ” หลินเฟยหลงเอ่ยขึ้นมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะกล้าลงมือเช่นนี้“หึ! หลินเฟยหลง ตัวของเจ้าถ้าหากขาดน้องสาวที่เป็นมันสมองและแม่ทัพใหญ่ผู้ควบคุมกำลังทหาร เจ้าก็จะนับว่าทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง” ปิงตี้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเยาะเย้ย“หลินเฟยหลง หลินเฟยหมิง หลินต้าเหนิง ข้ายังไม่คิดลงมือกับพวกเจ้าตอนนี้หรอก เอาไว้ให้พวกเจ้ารวมตัวกันครบก่อน แล้วข้าค่อยพิจารณาอีกทีว่า จะจัดการเช่นไร ยามนี้ก็อยู่กับพ่อแม่ของพวกเจ้า และเป็นเด็กดีไปก่อนก็แล้วกัน”ปิงตี้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น ก่อนจะสั่งให้นำทั้งสามไปคุมขังรวมกับผู้เป็นมารดาและฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ซึ่งในยามนี้อาการทรุดหนักจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้อีกแล้ว“ท่านแม่ ท่านพ่อ พวกท่านเป็นอย่างไรบ้าง ข้าขอโทษที่ไม่อาจร
บทที่ 54 หวงกุ้ยเฟยก่อกบฏเมื่อผู้เป็นบิดาได้ยินเช่นนั้น ก็มองไปที่บุตรสาวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรัก“เสวี่ยเยวียนสือ อย่างไรเสียข้าก็ขอฝากบุตรสาวของข้าให้เจ้าดูแลด้วย มี่เอ๋อร์นับว่าถูกข้าตามใจมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ถูกเจ้าอบรมสั่งสอนมาแต่เด็กเช่นกัน ดังนั้นถ้าหากว่านางมีอะไรที่ประพฤติตนไม่เหมาะสม เจ้าก็ค่อย ๆ สั่งสอนนางต่อไปก็แล้วกัน”ฮ่องเต้ได้หันไปตรัสกับศิษย์น้องของตนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ศิษย์พี่ไม่ต้องเป็นกังวล ข้าขอสาบานด้วยชีวิตของข้า ข้าจะดูแลมี่เอ๋อร์ให้ดีที่สุด ชีวิตของนางหลังจากนี้ จะต้องมีแต่ความสุขไร้ซึ่งความทุกข์ใด ๆ ทั้งสิ้น หากข้าผิดคำสาบาน ขอให้ข้าไม่ตายดีในสามวันเจ็ดวัน” เสวี่ยเยวียนสือยกมือขึ้นแล้วเอ่ยคำสาบานออกไปด้วยน้ำเสียงที่เข้มแข็งและห้าวหาญ เมื่อฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก“เอาล่ะ แม้ว่าข้าอยากจะรั้งพวกเจ้าเอาไว้ให้นานกว่านี้ แต่ข้าคิดว่าเหล่าขุนนางทั้งหลายก็คงจะกดดันข้าไม่เลิก ในวันพรุ่งนี้ข้าจะให้คนส่งเจ้าออกนอกเมืองหลวง และส่งเจ้าไปในที่ที่เจ้าอยากจะไป” พระองค์ตรัสออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน ก่อนจะหันไปทางขันทีข้างกาย “อู่กงกง เจ้าจง







