ภายในห้องประชุมของวัง บรรยากาศอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก ฝนที่สาดกระหน่ำนอกหน้าต่างส่งเสียงเคาะกระจกเป็นจังหวะไม่สม่ำเสมอ คล้ายกำลังนับถอยหลังสู่บางสิ่งที่ไม่มีใครอยากเผชิญ
กษัตริย์นั่งอยู่บนบัลลังก์ที่ตั้งอยู่สูงจากพื้น เบื้องหน้าคือเหล่าขุนนาง ขุนพล และรัชทายาททั้งสามคนที่ยืนเรียงแถว แววตาของกษัตริย์นั้นเย็นชาและเฉียบคม มองตรงไปโดยไม่พูดอะไร แต่ทุกคนรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจที่แผ่ปกคลุมไปทั้งห้อง
ทันใดนั้น ประตูเปิดออก ข้าหลวงคนหนึ่งรีบเข้ามา คุกเข่าทันที ก่อนจะรายงานด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ... เรายังหาตัวท่าน เซลวิน ไม่เจอขอรับ”
คำพูดนั้นเหมือนเสียงระเบิดในห้องเงียบๆ ทุกสายตาหันมามอง เสนาบดีบางคนเบิกตากว้าง รัชทายาทคนโตกับคนรองขมวดคิ้ว แต่มีเพียงองค์ชายคนเล็กที่แอบยิ้มมุมปาก ราวกับกำลังพอใจกับข่าวนี้
เสียงทรงอำนาจดังขึ้น มันเปี่ยมไปด้วยพลังจนไม่มีใครกล้าขัด
“เขาอยู่กับตระกูลวาเรนไฮม์ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงหายตัวไปได้? ไม่ใช่ว่าพวกเขารักกันดีงั้นรึ?”
ข้าหลวงกลืนน้ำลายก่อนตอบ
“ตอนนี้คุณหนูแคทลีน วาเรนไฮม์กำลังรีบกลับไปที่คฤหาสน์เพื่อตรวจสอบด้วยตัวเองอยู่พ่ะย่ะค่ะ... ไม่มีใครรู้ว่าท่านเเซลวินหายไปตั้งแต่เมื่อไร แต่คนในคฤหาสน์ยืนยันว่าไม่กี่วันก่อนก็ยังเห็นตัวอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
มือของกษัตริย์กำบัลลังก์แน่นจนได้ยินเสียงไม้ลั่นเบาๆ สีหน้าเคร่งเครียดเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“ส่งคนไปที่คฤหาสน์วาเรนไฮม์เดี๋ยวนี้ ให้ขุนพลโรเซนเตรียมคนออกเดินทางทันที สั่งหน่วยข่าวกรองตรวจสอบทุกเส้นทางเข้าออกเมืองในช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมาด้วย”
ขณะที่ขุนพลรีบออกไปเตรียมการตามรับสั่ง ประตูห้องประชุมก็เปิดขึ้นอีกครั้ง ข้าหลวงอีกคนก้าวเข้ามา คุกเข่าลงด้วยท่าทีรีบร้อน ใบหน้าเคร่งเครียดก่อนจะเอ่ยรายงาน
“ขอพระราชทานกราบทูล ขณะเมืองทั้ง 3 ได้ส่งฑูตมาทูลถามเรื่องเสบียงพ่ะย่ะค่ะ อีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะเข้าสู่ฤดูหนาว พระองค์จะทรงมีพระบัญชาอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
บรรยากาศภายในห้องเหมือนหยุดนิ่ง ทุกคนรับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่เริ่มก่อตัวขึ้น
กษัตริย์นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น
“ให้ตอบกลับไปว่า เพราะการปรากฏตัวของ ลิเวียธาร ขณะนี้เรากำลังจัดสรรใหม่... อย่าเพิ่งเร่งรัด”
ขุนนางฝ่ายเสบียงสบตากันเล็กน้อย ก่อนเสนาบดีผู้อาวุโสจะเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง
“ขอพระราชทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ... แต่พระองค์ก็ทรงทราบดี เราถ่วงเวลาเช่นนี้มาแล้วหลายครั้ง ขณะนี้ทั้ง 3 เมืองเริ่มส่งสายลับเข้ามาใกล้ชายแดนแล้ว หากพวกเขาต้องการชิงเสบียงล่ะก็...”
“ก็จะเคลื่อนทัพก่อนหิมะแรกตก” ขุนพลโรเซนเอ่ยเสริม น้ำเสียงเคร่งเครียด
“กองทัพที่เรามีอยู่ ไม่มีทางต้านกองกำลังทั้งสามเมืองพร้อมกันได้แน่”อีกคนกล่าวเสียงต่ำ
“...แล้วลีเวียธานล่ะ?” กษัตริย์เอ่ยถามในที่สุด “มันยังขวางเส้นทางเดินเรืออยู่อีกหรือไม่?”
“พ่ะย่ะค่ะ มันยังไม่ยอมถอยห่างจากเส้นทางเดินเรือเลยพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายพาณิชย์ตอบ
“สิบสามวันแล้วที่น่านน้ำถูกปิดสนิท”
เสียงฟ้าร้องดังลั่นแทรกเข้ามาในห้องประชุม ราวกับท้องฟ้าเองก็สะท้อนแรงตึงเครียดที่ก่อตัวขึ้นในห้องนี้ กษัตริย์ทรงหลับตาแน่น สีหน้าแสดงความเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีใครกล้าเอ่ยสิ่งใด
ขณะที่ความเงียบเริ่มแผ่คลุมอีกครั้ง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นกลางห้อง
“ข้าจะเป็นผู้ใช้ดาบนั้นเอง”
องค์รัชทายาทองค์ที่สามก้าวออกมาจากแถว แววตาเต็มไปด้วยความมั่นใจที่เกือบจะกลายเป็นความท้าทาย เสียงของเขาชัดเจน หนักแน่น เสียงพึมพำเริ่มดังขึ้นในหมู่ขุนนางบางส่วน บ้างเบือนหน้าหนี บ้างสบตากันด้วยแววไม่เห็นด้วย แต่องค์ชายที่สามก็ยังคงแสยะยิ้ม
“หากไอ้ขยะมันสามารถใช้ดาบได้ เช่นนั้นข้าที่มีสายเลือดของกษัตริย์ ทำไมถึงจะใช้ไม่ได้?”
ขุนนางฝ่ายหนึ่งขมวดคิ้วทันที กล่าวโต้ด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ด้วยความเคารพพะย่ะค่ะ แต่มิอาจเปรียบได้ ดาบผู้พิทักษ์มีประวัติกล่าวไว้ชัดเจนว่า—”
“ประวัติ หรือ ตำนานลวง?” องค์ชายสวนกลับทันควัน แววตาเป็นประกายด้วยความย่ามใจ
“นั่นอาจเป็นเรื่องที่พวกมันแต่งขึ้นเพื่อรักษาอำนาจของตระกูลมันก็เป็นได้”
ขุนนางอีกคนเริ่มลุกขึ้นเพื่อโต้แย้ง แต่ยังไม่ทันเอ่ยคำใด เสียงของพระราชาดังขึ้นกลางความตึงเครียด
“พอ”
เสียงนั้นหนักแน่น ดับทุกถ้อยคำคัดค้านในห้องลงในทันที
“หากเรายังไม่อาจหาตัวเขากลับมาได้จริงๆ... ข้าจะสั่งให้ตระกูลวาเรนไฮม์นำดาบผู้พิทักษ์มา เพื่อตรวจสอบหาผู้ที่เหมาะสมคนใหม่”
ความเงียบงันแปรเปลี่ยนเป็นแรงสั่นสะเทือนบางอย่างในอกของทุกคน ราวกับทุกลมหายใจถูกแขวนไว้กลางอากาศ
ขุนนางบางส่วนถึงกับหน้าถอดสี เสนาบดีผู้สูงวัยที่สุดนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะโน้มศีรษะต่ำรับพระบัญชา แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความลังเล
องค์ชายคนเล็กยังคงยืนอยู่ตรงกลางห้อง ยิ้มของเขาค่อยๆจางลง แววตานิ่งสงบราวกับเฝ้ารออะไรบางอย่าง
ก่อนที่ใครจะเอ่ยสิ่งใด ประตูห้องประชุมก็เปิดออกอีกครั้ง
เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังเร่งร้อน ร่างของข้าหลวงผู้หนึ่งปรากฏขึ้นกลางสายฝนที่สาดเข้ามาพร้อมลมพัดแรง เขาคุกเข่าลงทันที ใบหน้าเปียกชุ่มแต่เต็มไปด้วยความวิตก
“ขอพระราชทานกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ...” เขาเว้นช่วงหอบหายใจ
“มีคนพบเห็นชายคนหนึ่งที่มีรูปลักษณ์คล้ายท่านเซลวิน... กำลังมุ่งหน้าไปยังชายแดนทางเหนือพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงฮือเบาๆ ดังขึ้นจากเหล่าขุนนางที่ได้ยินคำรายงาน
ข้าหลวงเม้มปากแน่น ก่อนเอ่ยประโยคที่แทบจะทำให้บรรยากาศในห้องขาดอากาศหายใจ
“...เป็นไปได้ว่า ท่านเซลวินกำลังจะไปเข้าร่วมกับฝ่ายศัตรูพ่ะย่ะค่ะ”
กษัตริย์นิ่งค้าง ดวงเนตรคมกริบจับจ้องไปข้างหน้าโดยไม่กล่าวคำใด
เสนาบดีหลายคนเริ่มกระซิบกระซาบ องค์ชายองค์โตขมวดคิ้วแน่น องค์ชายคนรองส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา
แต่ในขณะที่ทุกคนสั่นคลอนกับความเป็นไปได้อันเลวร้าย
องค์ชายที่สามกลับถอยหลังหนึ่งก้าว ถอนหายใจเบาๆ และก้มหน้าลงพึมพำกับตนเองด้วยรอยยิ้มจางๆ บนมุมปาก
“หวังว่าเจ้าตัวปลอมนั่น... จะไม่น่าสงสัยจนเกินไปนะ”
ไม่มีใครได้ยินถ้อยคำนั้น
ไม่มีใครเห็นประกายรอยยิ้มที่แล่นผ่านใบหน้า
แต่ในวังวนแห่งความวุ่นวายนี้—มีใครบางคนที่วางหมากไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว.
ภายในห้องส่วนพระองค์ขององค์ชายคนโต แสงเทียนไหวระริกตามแรงลมที่เล็ดลอดผ่านหน้าต่างที่เปิดเพียงครึ่ง เสียงฝนกระหน่ำลงบนพื้นหินไม่หยุดหย่อน กลิ่นชื้นเย็นแทรกซึมสู่ผนังห้อง เงาสองร่างยืนเคียงกันหน้ากระจกกรองแสงฝ้า ต่างคนต่างเงียบ ราวกับต่างรอให้อีกฝ่ายเริ่มก่อน
เสียงแรกดังขึ้น ต่ำและมั่นคง ราวกับแบกรับบางสิ่งไว้
“ท่านก็รู้... ข้าไม่ใช่คนเดียวที่เห็นว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
องค์ชายคนรองเอ่ยในที่สุด
“ขุนนางส่วนใหญ่เริ่มเทใจให้เขาแล้ว”
องค์ชายคนโตยังไม่ตอบในทันที เขาแนบถ้วยชาไว้กับริมฝีปาก แต่กลับไม่ได้ดื่ม ดวงตาจับจ้องสายฝนภายนอก ยามพายุมาเยือน ฟ้าดินไม่เคยบอกล่วงหน้า
“หากปล่อยให้มันเดินหน้าไปเช่นนี้—ไม่ใช่แค่เมืองหลวง...” เขาพูดช้าๆ “ทั้งทวีปจะกลายเป็นสนามรบ”
“และเขา...ก็พร้อมจะเป็นคนจุดไฟนั้นด้วยตัวเอง”
เสียงวางถ้วยกระเบื้องเบาเสียจนแทบไม่ได้ยิน แต่แรงสะเทือนนั้นส่งตรงถึงใจผู้เป็นน้อง เขาหันมาสบตาพี่ชายทันที
“ข้าจะไม่รอให้ถึงวันนั้น”
“แล้วท่านจะทำอย่างไร?” องค์ชายคนรองถามกลับ เสียงเคร่งตึงแน่น “เรามีกำลังเพียงหยิบมือ ขุนนางที่ภักดีไม่ถึงยี่สิบ ที่เหลือรอแค่โอกาสเปลี่ยนข้าง—และข้าเริ่มไม่แน่ใจ... ว่าครั้งหน้าพวกเขาจะเลือกเราหรือเขา”
องค์ชายคนโตเงียบไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ แววตานั้นกลับมั่นคงกว่าทุกครั้ง
“เราต้องหาหมากตัวใหม่—ตัวที่เขาไม่ทันคิดถึง”
น้องชายเลิกคิ้วทันที
“ท่านหมายถึง…”
“ใช่” เขาพยักหน้าเบาๆ
“เธออยู่ชายแดน ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีเสียง ไม่มีใครในเมืองหลวงยืนข้าง... แต่เจ้าเองก็รู้ดี ถ้าเธอรู้ว่าเขาหายไป เธอจะไม่อยู่นิ่ง”
น้ำเสียงน้องชายเปลี่ยนต่ำลงทันที
“ท่านก็รู้ว่าเราเคยทรยศเธอมาก่อน... ท่านแน่ใจหรือว่าเธอจะกลับมาเพื่อพวกเรา?”
องค์ชายคนโตหันมามองน้องชายตรงๆ ช้าแต่หนักแน่น
“ข้าไม่แน่ใจ... แต่ข้ายังเชื่อในตัวเธอ”
เขาหยุดครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงราวประกาศคำมั่น
“เพราะตอนนี้... เธอคือความหวังสุดท้ายของเรา”
ความเงียบแผ่คลุมห้องอีกครั้ง แต่คราวนี้ ไม่มีความลังเลเจือปนในแววตาของทั้งสอง มีเพียงข้อตกลงที่ไร้ถ้อยคำ และการตัดสินใจที่ไม่อาจหวนกลับ
“เธอได้ยินข่าวรึยัง?”เสียงกระซิบดังขึ้นในร้านขนมปังซึ่งมักเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของแม่บ้าน แต่เช้านี้ กลับมีแต่ความเงียบงันตึงเครียดราวกับพายุจะมา หญิงสาวสองคนยืนต่อคิวอยู่ใกล้ตะกร้าขนมปังอบใหม่ แต่ไม่มีใครสนใจกลิ่นหอมกรุ่นเหล่านั้นอีกต่อไป“เรื่อง ไอ้คุณชายจากตระกูลทรยศ นั่นน่ะเหรอ?” อีกคนตอบทันทีด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยรังเกียจ“นังคนใช้ที่บ้านฉันเล่าว่า เขาหายตัวไปจากคฤหาสน์กลางดึกเลยนะ ทั้งที่คุณหนูแคทลีนก็อุตส่าห์เลี้ยงไว้เป็นอย่างดี พยายามดึงขึ้นมาจากดินจากโคลน พอถึงเวลากลับตอบแทนด้วยการ หนีหาย อย่างกับคนขี้ขลาด!”“แย่ยิ่งกว่านั้นอีกเถอะ! ไอ้นี่สิ! อยู่กินกับตระกูลคู่หมั้นของตัวเอง พอมีโอกาสพิสูจน์ความจริง ก็ถอยหลังกลับลำ ทิ้งคุณหนูเขาไว้ให้เป็นขี้ปากชาวบ้าน!”หญิงอีกคนยกมือขึ้นกอดอกแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์“เขาว่ากันว่า...คืนก่อนจะหายตัวไป มีคนเห็นเขาแอบคุยกับชายแปลกหน้าสองคนตรงท่ารถใต้ดินฝั่งตะวันตกของเมือง แล้วก็หายเงียบ! นี่มันไม่ใช่บังเอิญแล้ว! มันคือ การวางแผนหลบหนี ชัดๆ!”“ใช่! แล้วคนในตลาดตอนนี้ก็พูดกันว่า ไอ้คุณชายบ้านั่น อาจจะเป็นสายลับให้พวกประเทศอื่นก็ได้!”“สายลับเ
เสียงฝนโปรยปรายดังสะท้อนกระจกหน้าต่างรถม้าที่เร่งสปีดผ่านถนนกรวดกลับไปยังคฤหาสน์วาเรนไฮม์ หญิงสาวในชุดดำเรียบหรูเอนตัวมาข้างหน้า มือกำชายผ้าคลุมแน่น เธอไม่อาจซ่อนความกระวนกระวายใจได้ประตูรถยังไม่ทันเปิดสนิท ร่างนั้นก็ก้าวลงอย่างรวดเร็ว รองเท้าบูตกระแทกลานหินเสียงดัง เธอไม่เหลียวมองข้ารับใช้ที่วิ่งเข้ามาต้อนรับด้วยซ้ำ เอ่ยถามทันทีโดยไม่หยุดเดิน“เขาหายตัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่?”หัวหน้าแม่บ้านที่รออยู่ใกล้บันไดขยับเข้ามาอย่างร้อนรน“เมื่อวานช่วงสายค่ะคุณหนู ข้ารับใช้เห็นว่าเขาไม่ได้ออกมาทำงาน เลยไปดูที่ห้องแต่ก็ไม่เจอ ไม่ทราบแน่ชัดว่าออกไปเมื่อใด”“แล้วได้สั่งให้คนที่เหลือไปตรวจสอบรอบๆ เมืองรึยัง?”“ค่ะ ดิฉันได้สั่งการไปแล้ว แต่ขณะนี้ก็ยังไม่เจอคุณชายเลยค่ะ…”เธอไม่รอฟังต่อ ก้าวฉับๆ ไปทางฝั่งตะวันตกของคฤหาสน์ เส้นทางเปียกชื้นจากฝนทำให้เสียงฝีเท้าดังขึ้นกว่าปกติ อาคารของข้ารับใช้เงียบผิดสังเกต แม้จะไม่ใช่เวลาพักแคทลีนมุ่งตรงไปยังห้องของเขา เธอแค่ต้องการดู—ว่าเขาทิ้งอะไรไว้หรือเปล่า บางอย่างที่อาจบอกได้ว่าเขาจากไปเพราะเหตุจำเป็น... หรือเพราะตั้งใจ“หรือว่า…เขาหายไปเพราะสภาพแวดล้อมไม่ดี?”ปร
ภายในห้องประชุมของวัง บรรยากาศอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก ฝนที่สาดกระหน่ำนอกหน้าต่างส่งเสียงเคาะกระจกเป็นจังหวะไม่สม่ำเสมอ คล้ายกำลังนับถอยหลังสู่บางสิ่งที่ไม่มีใครอยากเผชิญกษัตริย์นั่งอยู่บนบัลลังก์ที่ตั้งอยู่สูงจากพื้น เบื้องหน้าคือเหล่าขุนนาง ขุนพล และรัชทายาททั้งสามคนที่ยืนเรียงแถว แววตาของกษัตริย์นั้นเย็นชาและเฉียบคม มองตรงไปโดยไม่พูดอะไร แต่ทุกคนรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจที่แผ่ปกคลุมไปทั้งห้องทันใดนั้น ประตูเปิดออก ข้าหลวงคนหนึ่งรีบเข้ามา คุกเข่าทันที ก่อนจะรายงานด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ... เรายังหาตัวท่าน เซลวิน ไม่เจอขอรับ”คำพูดนั้นเหมือนเสียงระเบิดในห้องเงียบๆ ทุกสายตาหันมามอง เสนาบดีบางคนเบิกตากว้าง รัชทายาทคนโตกับคนรองขมวดคิ้ว แต่มีเพียงองค์ชายคนเล็กที่แอบยิ้มมุมปาก ราวกับกำลังพอใจกับข่าวนี้เสียงทรงอำนาจดังขึ้น มันเปี่ยมไปด้วยพลังจนไม่มีใครกล้าขัด“เขาอยู่กับตระกูลวาเรนไฮม์ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงหายตัวไปได้? ไม่ใช่ว่าพวกเขารักกันดีงั้นรึ?”ข้าหลวงกลืนน้ำลายก่อนตอบ“ตอนนี้คุณหนูแคทลีน วาเรนไฮม์กำลังรีบกลับไปที่คฤหาสน์เพื่อตรวจสอบด้วยตัวเองอยู่พ่ะย่ะค่ะ... ไม่มีใคร
แสงแรกของวันสาดส่องลงบนชายหาดที่เงียบสงบ คลื่นทะเลซัดเอื่อย ๆ สัมผัสผืนทรายราวกับต้องการปลอบโยนผู้ที่ถูกพัดพามาเกยตื้น ลมยามเช้าพัดเอากลิ่นไอทะเลคละคลุ้งไปทั่ว เสียงนกนางนวลลอยล่องอยู่เบื้องบน ทว่าความเงียบสงบของเช้าวันนี้ถูกทำลายลงด้วยเสียงร้องของชายชรา“เฮ้ย! มีคนรอดชีวิตมาเกยตื้น!”ชาวประมงวัยกลางคนที่เดินเลาะชายหาดเพื่อเก็บหอยและเศษไม้รีบตะโกนเรียกผู้คนในหมู่บ้าน ไม่นานนัก ชาวบ้านหลายคนต่างพากันวิ่งมาตามเสียงเรียก ก่อนที่สายตาของพวกเขาจะจับจ้องไปยังร่างของผู้รอดชีวิตสามคนที่นอนแน่นิ่งอยู่บนผืนทรายร่างแรกเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ผิวหนังเต็มไปด้วยบาดแผลเก่าใหม่ปะปนกัน ทว่าในมือของเขายังคงกำดาบเก่าคร่ำคร่าราวกับสัญชาตญาณสั่งให้ไม่ปล่อยมัน แม้ว่าเขาจะหมดสติไปแล้วก็ตาม ร่างที่สองคือชายวัยกลางคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของคนร่ำรวย แต่บัดนี้ฉีกขาดและเปรอะเปื้อนโคลนจนแทบจำสภาพเดิมไม่ได้ ใบหน้าของเขาซีดเซียว ดูเหมือนจะเป็นพ่อค้าหรือขุนนางจากที่ใดที่หนึ่ง ส่วนร่างสุดท้ายคือหญิงสาวในชุดกัปตันเรือ แม้เปียกโชกไปทั้งตัวและมีร่องรอยความเหนื่อยล้าบนใบหน้า แต่ท่าทางของเธอกลับดูสงบอย่
นานมาแล้ว ในยุคสมัยที่เทพเจ้ายังปกครองเหนือทุกสิ่ง ท้องทะเลทั้งหมดเป็นอาณาเขตของสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ผู้หนึ่ง มันเป็นทั้งผู้พิทักษ์และผู้พิพากษาแห่งผืนน้ำ ชื่อของมันถูกจารึกลงในแผ่นหินโบราณ และเล่าขานด้วยความหวาดกลัว “ลีเวียธาน”ลีเวียธานคือร่างมหึมาแห่งเกลียวคลื่น ลำตัวยาวไร้ที่สิ้นสุดปกคลุมด้วยเกล็ดสีดำสนิทเหมือนค่ำคืนไร้ดวงจันทร์ ดวงตาสีทองของมันส่องประกายราวกับเพลิงแห่งเทพเจ้าที่ไม่มีวันดับ ลมหายใจของมันสร้างพายุ ลำตัวของมันสร้างคลื่นยักษ์ที่สามารถกลืนกินทั้งทวีป ไม่มีสิ่งใดหนีพ้นจากเงื้อมมือของมันตามคำสั่งของเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ลีเวียธานมีหน้าที่รักษาสมดุลของทะเล กำจัดสิ่งใดก็ตามที่อาจคุกคามความบริสุทธิ์แห่งผืนน้ำ มันเป็นทั้งผู้ปกป้องและผู้ทำลาย ท้องทะเลคืออาณาเขตของมัน และไม่มีผู้ใดกล้าล่วงล้ำแต่แล้วมนุษย์ก็สร้างเรือ ล่องเรือข้ามน่านน้ำด้วยความหยิ่งผยอง ลีเวียธานมองเห็นเรือใบเหล่านั้นเป็นดั่งสิ่งแปลกปลอมที่บุกรุกเขตแดนของมัน มันพิโรธ พายุร้ายเกิดขึ้นจากหางที่สะบัดของมัน คลื่นยักษ์พัดเรือให้แตกเป็นเสี่ยงๆ นักเดินเรือมากมายจมหายสู่ก้นสมุทรพร้อมเสียงกรีดร้องที่ไม่มีผู้ใดได้ยินเทพ
เสียงคลื่นที่เคยไหลเอื่อยกลายเป็นเสียงคำรามก้องของทะเลที่บ้าคลั่ง ลมพายุพัดกระหน่ำจนใบเรือแทบขาดเป็นชิ้น เสากระโดงส่งเสียงลั่นประหนึ่งจะหักสะบั้นลงได้ทุกเมื่อ ลูกเรือบนดาดฟ้าวิ่งวุ่นพยายามยึดเชือกและควบคุมเรือไม่ให้พลิกคว่ำเม็ดฝนที่กระหน่ำลงมาเหมือนเข็มที่ทิ่มแทงผิวหนัง ท้องฟ้าสีดำทะมึนตัดกับแสงฟ้าผ่าที่วูบวาบ ทุกครั้งที่แสงปรากฏ มันเผยให้เห็นใบหน้าของลูกเรือที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความสิ้นหวัง “เร็วเข้า! ดึงเชือกให้แน่น!” กัปตันหญิงตะโกนลั่น แข่งกับเสียงฟ้าผ่าที่ดังสนั่นเป็นระยะ เธอยืนอยู่กลางดาดฟ้าพร้อมกับมือที่ชี้นำทุกคนอย่างมั่นคงขณะที่ทุกอย่างกำลังตกอยู่ในสถานการณ์วุ่ยวาย ชายหนุ่มจับราวเรือแน่นจนมือซีด ดวงตาของเขากวาดมองไปรอบๆ เห็นคลื่นยักษ์ลูกแล้วลูกเล่าพุ่งเข้าหาเรือ ดาดฟ้าที่เปียกชุ่มทำให้ทุกย่างก้าวลื่นไถลจนแทบจะยืนไม่อยู่ หัวใจของเขาเต้นรัวด้วยความตื่นตระหนก ความกลัวและความหวังถูกบีบคั้นจนแทบจะขาดอากาศหายใจ ขณะที่เรือโคลงเคลงไปตามคลื่นยักษ์ แม้จะผ่านการเดินทางมาหลายวันแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน ดวงตาของเขาสอดส่องไปยังลูกเรือคนอื่นที่พยายามอย่างสุดความสามารถ